Thursday, September 14, 2006

ทีลอซู-ทีลอเร (Part II)

ไปถึงน้ำตกทีลอเรประมาณ 16.00 น. เป็นน้ำตกที่ไม่เหมาะจะเล่นมากๆ อยู่ริมแม่น้ำที่แพล่อง ถ้าจะเล่นน้ำต้องปีนขึ้นไปบนก้อนหินใต้น้ำตกที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก ส่วนเลหรือหน้าผา เป็นก้อนหินเล็กๆ กว้างยาวประมาณ 1 x 1.5 เมตร ยื่นออกมาจากน้ำตกนิดนึง พวกเราเลยได้แต่ถ่ายรูปอยู่ในแพ คิดว่าถ้าเป็นหน้าฝนมีน้ำเยอะๆ คงสวยมาก

ที่พักของเราเป็นที่ราบริมน้ำ ก่อนถึงน้ำตกประมาณ 500 เมตร ขากลับจากน้ำตกเลยเป็นเรื่องลำบากของไกด์ เพราะต้องพายทวนน้ำ แถมยังมีตัวอ้วนๆ อยู่ในแพตั้ง 8 คน (ยัยปริญญ์หนักน้อยที่สุดคงเกือบ 50 กก.) เมื่อแพโดนน้ำพัดวนไปวนมาหนักเข้า พี่แสงเลยต้องพายไปใกล้ๆ ฝั่ง ตรงน้ำตื้น เอาเชือกผูกแพแล้วเดินลุยน้ำลากไป พอพ้นส่วนที่เป็นหน้าผาริมน้ำ ก็ปล่อยให้พวกเราเดินกลับที่พัก

พวกเรากลับถึงที่พักเป็นพวกแรกเพราะคนอื่นมัวแต่เล่นน้ำตกหรือก็ถ่ายรูปกันอยู่ เลยรีบชวนกันไปอาบน้ำที่ยังใสน่าอาบ ตอนนั้นช้างที่ใช้ขนสัมภาระมาบ้างแล้ว และที่โชคดีคือตอนล่องแพกลุ่มของเราไปกันช้าเลยไม่ทันช้าง ทำให้ต้องใช้แพเปล่าขนของมาให้ ข้าวของของพวกเราเลยมาถึงก่อนช้างที่ใช้เวลาเดิน 5 ชั่วโมง แล้วยังได้แพมาแทนลำที่รั่วไปอีกด้วย

อาบน้ำเสร็จก็กลับเข้าเต้นท์จัดข้าวของ เราได้เต้นท์ใหญ่นอนกัน 3 สาว ในเต้นท์มีถุงนอนกับหมอนเป่าลมให้คนละชุด อาหารเย็นเป็นผัดผักกูดที่พวกเราช่วยกันเก็บระหว่างพักล่องแพ เลยได้รู้ว่าผักกูดต่างกับเฟิร์นตรงที่ ผักกูดมีลำต้นสีดำก่อนจะเป็นก้านใบ (เหมือนต้นปรง) ส่วนเฟิร์นมีก้านใบโผล่ออกมาจากดินเลย ตอนเก็บก็โดนกำชับให้ดูดีๆ และเลือกเก็บใบอ่อนที่หงิกๆเป็นลานนาฬิกา เพราะถ้าเก็บได้เฟิร์นไปแทน กินแล้วจะท้องเสีย ซึ่งเราเก็บได้ต้น สองต้นก็เริ่มสยองเพราะเกือบทุกต้นจะมีแมงมุมขายาวทำรังอยู่ ถึงจะดูไม่น่ากลัว แต่เนื่องจากปริมาณมันเยอะ เลยถอดใจเดินกลับมานั่งในแพ ดูพี่ไกด์เก็บทีละเป็นหอบๆ

เสร็จจากอาหารเย็น ก่อนจะนอนก็ต้องเดินลุยป่าด้านหลังเต้นท์ ไปฉี่ แล้วก็ภาวนาว่าตอนกลางคืนอย่าได้ปวดฉี่เลย เพราะกว่าจะได้ที่เหมาะๆ ต้องเดินผ่านทุ่งหญ้าสูงท่วมหัว แต่คืนนั้นก็ผ่านไปได้ด้วยดี และถึงเต้นท์ของพวกเราจะอยู่ใกล้แม่น้ำมากที่สุดแต่ก็ไม่หนาว แถมยังมีเสียงน้ำไหลคอยกล่อมอีก ทำเอาเราหลับรวดเดียวถึงเช้า ตื่นขึ้นมาได้ยินเสียงเพื่อนร่วมเต้นท์บ่นว่าปลุกไปฉี่เป็นเพื่อนก็ไม่ยอมตื่นเลย

พูดถึงห้องน้ำธรรมชาติแล้ว คุณนายปริญญ์ของเราเนี่ยสมกับเป็นนักอนุรักษ์ เพราะเวลาเจ๊จะฉี่ต้องตักน้ำไปราดและเก็บกระดาษทิชชู่ที่ใช้แล้วกลับมาด้วยทุกครั้ง ขณะที่เราและคนอื่นๆ ทิ้งกันเกลื่อนบริเวณที่ปฏิบัติการ และในตอนเช้าที่ไปอีกครั้งถึงได้รู้ว่าทางเดินสบายๆ ก็มีให้เดิน ไม่ต้องลุยหญ้าไปอย่างเมื่อคืน

อาหารเช้าเป็นข้าวต้มที่กินเข้าไปนิดเดียวเพราะห่วงถ่ายรูป โดยที่เราไม่รู้ว่าความยากลำบากรออยู่ข้างหน้า ไปแวะถ่ายรูปกับช้างที่ขนสัมภาระมาให้อย่างลังเล เพราะเราใส่เสื้อสีแดงแปร๊ด (ไม่แน่ใจว่ามันจะมีสัญชาติญาณควาย – ขวิดของแดง หรือเปล่า) แต่เชื่อว่าช้างพวกนี้ค่อนข้างชอบแกล้งคนทีเดียว เพราะเมื่อวานตอนอาบน้ำ มันก็มายืนกินน้ำอยู่ใกล้ๆ พอขึ้นจากน้ำและเช็ดตัวจนแห้งแล้วยืนมองตากันไปมา (ระหว่างคนกับช้าง) มันก็เอางวงดูดน้ำแล้วม้วนเข้าไปในปาก ทำแก้มป่องๆ เหมือนกำลังจะพ่นน้ำใส่ จนยัยหมอปุ้มร้องหวีดว้ายพอน่ารัก เพราะหนุ่มๆ IBM อาบน้ำอยู่แถวนั้นด้วย แต่เสร็จแล้วมันก็พ่นน้ำใส่ปากตัวเอง พร้อมทั้งเหล่มองอย่างสะใจที่ได้แกล้งคน (ว่าเข้านั่น)

มาถึงกำหนดการสุดหินของทริปนี้แล้ว นั่นคือการเดินกลับหมู่บ้านเซปะหละ ระยะทาง 28 กม. (ไกลสุดในชีวิตเลยเนี่ย) แถมตอนช่วงแรกเป็นการเดินขึ้นเขาที่ค่อนข้างชัน แค่ 10 นาทีแรกเราก็หอบแฮ่ก จนอยากปลอมตัวเป็นสัมภาระติดไปกับช้าง จาก 32 คนที่ทยอยกันเดิน ก็ค่อยๆ ทิ้ง ห่างไปเรื่อยๆ บางคนหยุดนั่งพักหน้าซีดจนต้องแบ่งยาดมให้ กลุ่มเรา 8 คน ก็มีเรากับเอก ที่ท่าทางจะ BMI มากกว่าเพื่อน รั้งท้ายอยู่ เอ๋มาคอยดูแลปิดท้ายขบวน จนในที่สุดเอกต้องใช้ไม้ค้ำ ส่วนเรากลัวว่าไม้จะมาเป็นภาระมากกว่าเลยไม่เอา ก็เดินๆ หยุดๆ ไปเรื่อย ส่วนยัยหมอปุ้มพออุ่นเครื่องได้ก็เดินลิ่ว และส่งเสียงเร่งมาเป็นระยะ จนเรารำคาญต้องบอกให้เดินไปล่วงหน้าไม่ต้องรอ ยัยปริญญ์เดินไปได้ระยะนึงหันกลับมาเพื่อน พ.ป. หายหัวกันไปหมด เลยต้องเดินกลับมาตาม พร้อมทั้งร้องเพลงให้กำลังใจและวิ่งไปมาอย่างร่าเริงจนน่าหมั่นไส้ว่าคุณเธอไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนกันฟะ

No comments: