บันทึกการท่องเที่ยว จางเจียเจี้ย 20 – 25 พ.ค. 57
20 พ.ค. 57
คราวนี้เราอาศัยทัวร์เต็มรูปแบบพาไปเที่ยวบ้าง
เพียงแต่ว่าสมาชิกทัวร์คราวนี้รู้จักกันหมด ตั้งแต่กลุ่มที่อายุรวมกันเกิน 200
ปี อย่างพี่อุไร พยาบาล รพ.ห้วยพลู พี่หมวย พยาบาล รพ.กำแพงแสน พี่อ้อย อ.จาก ม.เกษตร
และพี่โอ๋ ส่วนอีกกลุ่มใหญ่มาจากคณะเภสัชศิลปากร ทั้งพี่แอร์ที่พาน้องเอ็กซ์
น้องสาวมาด้วย (โดนล้อไปแล้วว่าคือ Air X) พี่ก้าและหลานชาย
ครอบครัวพี่ฝน พี่เล้งและลูกสาวอีก 2 คน พี่เต่ากับน้องสาว พี่เปี๊ยก
เจ้าหลุก พี่ไหม และสามสาว ปิ๊ก ปริ้นท์ อร รวมทั้งหมด 21 ชีวิต
เดินทางไปกับ พับบลิค ฮอลิเดย์ ทัวร์ โปรแกรมอวตารจางเจียเจี้ย 6 วัน 5 คืน ราคาทัวร์คนละ 22,900 บาท แต่เนื่องจากพวกเราไม่เอาไกด์คนไทยที่จะเดินทางไปด้วย
เลยลดค่าทัวร์ได้อีกคนละเกือบ 1,000 บาท
เช้ามืดวันแรกของการเดินทาง พี่อุไรกับแท็กซี่มารับเราตั้งแต่ตี 3 กว่า ไปถึงสนามบินดอนเมืองยังไม่ตี 5 ดี ส่วนคนอื่นๆ
ก็ค่อยทยอยกันมา ทางทัวร์นำพาสปอร์ตมาแจกจ่ายและบริการก่อนผ่านเข้า ตม.
หลังจากนั้นพวกเราก็ทำความคุ้นเคยกัน เราก็ไปฝากเนื้อฝากตัวกับพี่ไหม รูมเมทในอีก 5
คืนต่อจากนี้
อาหารบนเครื่องแอร์เอเชียเป็นข้าวมันไก่แข็งๆ
ได้แต่บ่นกับเจ้าหลุกที่นั่งข้างๆ หลังจากนั้นก็กินจนหมด
ตบท้ายด้วยป๊อกกี้ที่พกมาด้วยเป็นของหวาน หลับไปเป็นพักๆ 3 ชั่วโมงครึ่งต่อมาก็มาถึงสนามบินฉางซาอย่างราบรื่น
เวลาของเมืองจีนเร็วกว่าเมืองไทย 1 ชั่วโมง มาถึงเป็นเวลาเที่ยงแล้ว กว่าจะผ่าน ตม. มาเจอไกด์ดาว
ที่ยืนรอพวกเราอยู่แล้วก็เริ่มจะหิวอีกรอบ
รถทัวร์ที่จะพาเราเที่ยวตลอด 6 วันค่อนข้างใหม่ และมีพื้นที่มากพอให้พวกเราจับจองที่นั่งอย่างไม่แออัด รวมทั้งให้เด็กเล็กอย่างลูกสาวพี่ฝนนอนยาวที่เบาะหลังสุดอย่างสบาย
จากทิวทัศน์นอกหน้าต่างรถจะเห็นว่าเมืองฉางซาเป็นเมืองค่อนข้างใหญ่
ภายในตัวเมืองมีอาคารใหญ่ๆ ทันสมัยหลายหลัง แถบที่เป็นมหาวิทยาลัยก็เต็มไปด้วยตึก
แต่ค่อนข้างเงียบสงบ พวกเราแวะกินข้าวแบบโต๊ะจีน ประกอบด้วยผัดผักหลายจานที่จะมีเหมือนกันไปตลอด
เกือบทุกมื้อนับจากนี้ ได้แก่ ผัดแตงกวา ผัดมะเขือยาว ผัดเห็ดออรินจิ ผัดสารพัดผัก
พะโล้หมูสามชั้น ไข่เจียว และปลานึ่งก้างเยอะมาก
หลังอาหารเที่ยง พวกเราประเดิมไหว้พระกันที่วัดไคฝูซื่อ
กลางเมืองฉางซา พอได้ธูปก็พากันนำไปใส่ในเตาเผาขนาดใหญ่ทั้งห่อ ดูเหมือนทิ้งขยะในเตาเผาไงก็ไม่รู้
ก่อนจะเดินไปไหว้พระและเจ้าแม่กวนอิมในวิหารด้านหลัง วัดนี้ค่อนข้างใหญ่
แต่ผู้คนบางตา อาจเป็นเพราะเป็นวันธรรมดา บรรยากาศร่มรื่นก็พาเอาเกือบหลับ
นั่งรถอีกหลายชั่วโมงต่อไปยังเมืองฉีลี่ (Cili)
ผ่าน 2 ข้างทางที่เป็นท้องนา สลับกับป่าโปร่งเป็นระยะ
นับว่าเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์เมืองหนึ่งทีเดียว
ฝนตกลงมาประปรายเมื่อรถเริ่มขึ้นเขา ไกด์เห็นว่าบางคนยังไม่หลับก็อธิบายไปเรื่อยๆ
ว่าสาวภูเขาแถบนี้จะผิวพรรณดี เนื่องจากอากาศดี แดดไม่ร้อนเกือบทั้งปี
คนภูเขาชอบร้องเพลงและงานรื่นเริง บางครั้งหนุ่มสาวจะหาคู่ด้วยการเหยียบเท้า
ถ้าถูกใจก็จะเหยียบตอบ ดังนั้นเวลาเดินเล่นในเมืองให้ระวัง โดยเฉพาะหนุ่มๆ
ที่ไกด์ดาวบอกว่าสเปคของสาวๆ แถวนี้คือผู้ชายใส่แว่นดูมีความรู้
พี่เปี๊ยกเลยรีบถอดแว่น ส่วนเรารีบชวนพี่ไรว่างั้นคืนนี้เราพากันออกไปกระทืบ เอ๊ย
เหยียบเท้าหนุ่มๆ ท้องถิ่นกันดีกว่า
พวกเราแวะกินข้าวเย็นกันก่อนจะเข้าที่พัก
ฝนยังคงตกอยู่ ในย่านโรงแรมพอจะมีซุปเปอร์มาเก็ตให้เดินไปซื้อของ
โดยไกด์ดาวบอกว่าถนนคนเดินของเมืองฉีลี่นี้ไม่ค่อยมีสินค้าน่าสนใจและยังราคาไม่ต่างกับในเมืองฉางซา
ทีแรกเราก็กะว่าจะออกไปเดินชมเมืองเพราะยังไม่ดึกนัก
แต่พอเข้าไปในห้องก็ปรากฎว่าแอร์ใช้งานไม่ได้ ไกด์บอกจะแจ้งที่ล็อบบี้ให้
ระหว่างรอรวมพลไปเดินซื้อของก็เล่น Wifi กันอยู่ที่ชั้นล่าง กะว่าจะโทรหาแม่แต่ True
net talk ไม่ยักใช้งานได้ ยุงก็กัดและเหม็นบุหรี่จากคนจีนที่มาเล่น wifi
เหมือนกัน เลยหมดอารมณ์เดินซื้อของ ได้แต่บอกให้คนอื่นๆ
ไปกันส่วนเรากลับห้องพัก
เหมือนขุดเจอสมบัติมีค่าเมื่อในห้องมีสาย lan ม้วนอยู่ขดหนึ่ง จากนั้นอุปกรณ์ที่นำมาจากเมืองไทย ทั้ง mini
router ปลั๊กต่อพ่วง
ก็ได้ฤกษ์นำออกมาใช้งาน คราวนี้โทรกลับบ้านได้ หายเหม็นบุหรี่
ถึงแม้แอร์ในห้องจะใช้งานไม่ได้อารมณ์จึงเริ่มดีกว่าเดิมเยอะ
อาบน้ำจนเสร็จแต่พี่ไหมก็ยังไม่กลับมา
รู้สึกในห้องร้อนกว่าเดิมเลยจนใจต้องใช้ภาษาอังกฤษห่วยๆ โทรลงไปที่ล็อบบี้อีกครั้ง
บ่นว่าแอร์เสียทำไมไม่มาทำให้ซะที พนักงานอึ้งไปแป๊บ
แล้วในที่สุดก็มีคนใช้ภาษาไทยตอบกลับมาว่า ถ้าอุณหภูมิต่ำกว่า 20 องศา แอร์จะไม่ทำงานฮ่ะคุณพี่ เราก็เลยบอกว่านี่มันน่าจะเกือบ 30 แล้วอ่ะ แต่สรุปแล้วชีก็บอกได้แค่ว่าระบบมันตัดเอง
แอร์ไม่ได้เสียแต่อย่างใด ให้คุณพี่เปิดหน้าต่างเอา
พี่ไหมกลับมา 4 ทุ่มกว่าแล้ว
บอกว่านั่งเล่นเน็ตอยู่ที่ล็อบบี้ยุงก็เยอะ เหม็นบุหรี่ (เจอเหมือนกัน
อิอิอิ) ถึงกลับเหวอพอมาเห็นเรานอนเล่นเน็ตอยู่ในห้องสบายๆ
...โธ่ งวดนี้พจนารถขนอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์มาแทบจะครึ่งกระเป๋าเดินทางนี่คะ
อากาศร้อนไปนิดแต่ก็พอนอนได้ ดึกๆ
เริ่มเย็นลงเลยนอนสบายขึ้น ได้ยินเสียงพี่ไหมตีแปลงถีบผ้าห่มเป็นระยะ
ไม่ถึงกับตีลังกานอนกลับด้านอย่างที่พี่โหน่งนินทาไว้ ส่วนเราก็คงนอนกรนเสียงดังสนั่นเหมือนเคย
21 พ.ค. 57
เช้านี้พี่ไหมปอกผลไม้ที่ซื้อมาเมื่อคืน
มีทั้งลูกพีชและแนคทารีน ดูจากอุปกรณ์ที่เตรียมมาพร้อม ทั้งมีด
และกล่องพลาสติกมีฝาปิด แสดงว่าพี่ไหมชอบกินผลไม้ยามไปเที่ยวสูสีกับหมอปุ้มทีเดียว
ผิดกับ IT
girl ที่ไม่มีเอ็นไซม์ย่อยผักกับผลไม้อย่างเราอย่างชัดเจน
อาหารบุฟเฟ่ต์ที่โรงแรมค่อนข้างน้อย
แต่ก็ยังดูน่ากินมากกว่าอาหารขึ้นโต๊ะมื้อเที่ยงกับมื้อเย็น สงสัยจะเข็ดผัดผักไปอีกนานเลยเรา
กลับไปเก็บของที่ห้องพักแล้วก็ขึ้นรถต่อไปยังแกรนด์แคนยอนจางเจียเจี้ย มรดกโลกปี 1992
ของ UNESCO ฝนตกลงมาจนเกือบทุกคน
ยกเว้นเรากับพี่เล้ง ต้องซื้อเสื้อกันฝนพลาสติกใส่ก่อนจะเดินลงระเบียงบันได 700
ขั้น ผ่านซอกเขา และชมทิวทัศน์ยามฝนโปรยปรายไปเรื่อยๆ
นับเป็นโชคดีของพจนารถที่ไม่มีปัญหาเรื่องการเดินลงเขา เพราะไม่มีหนทางให้เดินกลับแล้วสำหรับคนที่เดินลงไม่ไหว
รถบัสจะอ้อมมารับพวกเราอีกที่หนึ่งหลังจากล่องเรือเสร็จ
สภาพก้อนเนื้อห่อด้วยพลาสติกของเพื่อนร่วมทัวร์
ที่เดินกันไป เสื้อกันฝนก็ส่งเสียงดังกรอบแกรบกันไป แต่ละคนยังต้องกางร่มถ่ายรูป
ทำเอาเรานึกชมเชยตัวเองที่คิดถูกใช้ร่มอย่างเดียว
ส่วนเสื้อกันลมที่ใช้อยู่นั้นเป็นแบบแห้งเร็ว ยอมเปียกไม่นานเดี๋ยวก็แห้ง
กลับมาจะได้ไม่มีรูปตัวเองแปลงร่างเป็นถัง 200 ลิตรห่อด้วยถุงพลาสติก
ออกประจานตามโซเชียลมีเดียต่างๆ
พอหมดจากระเบียงบันไดลงก็มาเจอสไลเดอร์ทำด้วยหินขัดมัน
หรือคนนั่งเลื่อนกันจนมันวับก็ไม่แน่ พวกเราได้รับแจกผ้ารองก้น
และถุงมือกันคนละคู่ จากนั่นก็อาศัยน้ำหนักตัวลื่นไถลลงไปตามลู่
ถ้าเร็วไปก็ใช้มือที่สวมถุงมือไว้จับขอบทางเลื่อนเพื่อจะเบรค แรกๆ ความชันก็ทำให้ลื่นลงไปดีอยู่
แต่พอเจอโค้งหักศอกที่ต้องเบรคและตั้งตัวใหม่ก็ชักจะขยับก้นให้กลับมาอยู่ในลู่ยากซะแล้ว
ทางเลื่อนนี้มี 2 ระยะด้วยกัน พอสุดทางระยะแรก ต้องเดินออกมาเพื่อจะเล่นต่อ
ซึ่งเราก็ไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าผ้าที่ใช้รองก้นซึ่งทำเป็นทรงกางเกง
มีเชือกผูกอ้อมมาที่เอวกับน่องทั้ง 2 ข้าง มันเลื่อนขึ้นมาอยู่เหนือหัวเข่าไปแล้ว
ปมเชือกที่ผูกเอาไว้เริ่มจะมัดแน่น
พอไถลอีกครั้งผ้ารองก้นที่ร่นขึ้นไปอีกก็ดึงจนเจ็บขาไปหมด
คราวนี้เลยต้องใช้แรงแขนยกลำตัวอันมหึมาของตัวเองให้ขยับลื่นไปทีละนิดจนปวดแขนไปหมด
หลุดมาได้พวกเราก็เดินเลาะโตรกผาธรรมชาติไปตามทาง
ผ่านน้ำตกที่ถ้าเป็นหน้าร้อนคงมีคนลงไปเล่น
ทางน้ำที่ขนานไปกับทางเดินของเราเริ่มลึกขึ้นและเห็นเป็นสีฟ้าอ่อนสวยงามมาก
ช่วงที่เป็นสะพานข้ามลำน้ำยังใช้วัสดุเป็นกระจกหนาใส
มองลงไปเห็นผืนน้ำให้คนถ่ายรูปกันอย่างไม่มีเหนื่อย
ทางเดินพาพวกเราผ่านถ้ำมืดช่วงหนึ่งเรียกว่าถ้ำโจรแล้วจึงจะถึงท่าเรือ
นั่งรอให้คนเต็มลำแล้วเรือก็พาพวกเราชมโตรกผาให้เห็นชัดๆ อีกครั้ง
สวยงามก็จริงแต่คนที่เคยไปแกรนด์แคนยอนมาแล้วก็บอกว่ายังเทียบแกรนด์แคนยอนไม่ได้หรอกนะอาหมวยอาตี๋
ทางขึ้นจากท่าเรือไปที่จอดรถบัสมีของขายมากมายรายทาง
ส่วนใหญ่จะเป็นงานหัตถกรรมพวกกำไล กระเป๋า ตุ๊กตา สลับกับของกิน เช่น เกาลัดคั่ว
ข้าวโพดย่าง และขนมหวานคล้ายถั่วตัด ซึ่งเราจะเห็นของขายคล้ายๆ กันตลอด 5 วัน
หลังกินข้าวเที่ยงพวกเราก็เข้าไปในเขตอุทยานมรดกโลกทางธรรมชาติจางเจียเจี้ย
หรือภูเขาฮัลเลลูย่าห์ จากทางเข้าเราต้องซื้อบัตรเข้าชมแบบ 3
days pass ซึ่งต้องแตะบัตรและสแกนนิ้วชี้ตรงทางเข้าก่อน
โดยการเดินทางต้องใช้รถบัสนักท่องเที่ยวของอุทยานเท่านั้น
รถบัสจะมีเส้นทางและจุดจอดรถในแต่ละสถานที่ไม่เหมือนกัน
ถ้าเดินทางด้วยตนเองไม่ง้อทัวร์ จำเป็นต้องมีแผนที่อุทยานที่มีเส้นทางเดินรถ
และหาจุดจอดรถบัสคันที่จะไปให้แม่นๆ
รถบัสนำพวกเราขึ้นเขาแบบผ่านโค้งน่าหวาดเสียว
ในวันนี้เราจะไปในส่วนของลำธารแส้ทองหรือลำธารจินเปียนซีซึ่งเป็นลำธารที่ไหลวนไปตามช่องเขาและชะง่อนผาสูงชันเข้าไปกลางภูเขาวงกต
ระยะทาง 7.5
กม. แต่พวกเราไม่ต้องเดินกันไปจนสุดทางเจอภูเขาวงกตเพราะคงจะค่ำมืดพอดี
พอถึงจุดไฮไลท์ที่ถ่ายรูป ซึ่งมองเห็นภูเขาหินตั้งตระหง่าน
มีป้ายสีแดงที่อ่านไม่ออกติดไว้ก็พากันกลับ
ไกด์บอกว่าที่เรียกลำธารแส้ทองเพราะนอกจากน้ำในลำธารเล็กๆ
นี้จะใสสะอาดปราศจากมลภาวะแล้ว ยามเมื่อแสงแดดส่องกระทบสายน้ำที่คดโค้งจนเกิดประกายสีทองระยิบระยับนั้นดูคล้ายแส้สีทองซึ่งสวยงามมาก
แต่ในวันฝนตก ท้องฟ้าครึ้มเช่นนี้
คนฟังอย่างเราได้แต่มโนเอาเอง ว่ามันก็คงสวยดียามแดดส่อง
เพราะอีกฝั่งของแสงสว่างที่งดงาม จะมีโกโบริยืนรออยู่...(รู้สึกนั่นเขาจะเรียกว่าทางช้างเผือกนี่หว่า
แหะๆๆ)
กลับมาที่ทำการอุทยาน
ไกด์พาเราเดินกลับโรงแรมซึ่งอยู่ในละแวกเดียวกันนี้เอง
ช่วงเย็นก่อนออกจากห้องไปกินข้าวก็มีเวลาให้ต่อสาย lan เล่นอินเตอร์เน็ตอีกแล้ว
ห้องข้างๆ ที่เปิดมือถือเจอสัญญาณ wifi แปลกปลอม ก็พากันหาว่ามันมาจากห้องไหนเพราะ
networkphar แบบนี้คงมาจากพวกกันเองนี่แหละ
ห้องพักที่นี่มีห้องน้ำกว้างขวางและอ่างอาบน้ำให้แช่ผ่อนคลายจากการเดินได้ดีทีเดียว
เสียแต่ว่าพจนารถไม่ใช่คนติดอ่างเลยเลือกที่จะทายาหม่องตราเสือที่เอามาแทน
ก่อนจะผลัดกันนวดกับพี่ไหมก็หายปวดได้เหมือนกัน
22 พ.ค. 57
เช้านี้มีข่าวรัฐประหารจากเมืองไทยมาให้คุยกันในรถ
ก่อนที่เราจะไปแวะร้านหยก
เด็กประจำร้านบอกว่าวันนี้ผู้จัดการใหญ่เข้ามาและจะเป็นคนต้อนรับพวกเราเอง
ไม่นานน้องรินสาวสวยก็เดินเข้ามาแนะนำวิธีการเลือกหยก โดยใช้ไฟฉายส่องจะเห็นว่าหยกดีเนื้อจะแน่น
สีสม่ำเสมอไม่อ่อนบ้างเข้มบ้างจากการฉีดสี พร้อมทั้งออกตัวว่าไม่ซื้อไม่เป็นไรเพราะหยกพม่าของที่นี่ราคาค่อนข้างสูง
ตั้งราคาไว้ขายทัวร์เกาหลีที่ทำข้อตกลงว่าอายุเกิน 45 เข้ามาเที่ยวฟรีพักฟรีที่เมืองจีน
จากนั้นก็เอาหยกงานคุณภาพที่จะขายในงานเซี่ยงไฮ้ Expo ออกมาให้ดู
หยอดท้ายด้วยลูกปัดหยกหิมะที่เธอเป็นคนออกแบบทำเป็นสร้อยข้อมือและสร้อยคอเอง
ซึ่งขายดีมาก น้องรินให้ประวัติว่าเคยมาอยู่เมืองไทยตอนยังเด็กและชอบเมืองไทย เป็นหนี้บุญคุณคนไทย
ถ้าใครสนใจเธอก็จะเอากำไรนิดหน่อยสำหรับงานของเธอ
ถือซะว่าเป็นของที่เธอมาเซ็นเบิกไป (คือไม่ได้ขายออกตามราคาป้าย) ก็แล้วกัน
ดังนั้นสร้อยข้อมือราคาเส้นละ 100 บาทกับสร้อยคอเส้นละ 200
บาท จึงขายดีราวกับให้ฟรี ส่วนเราได้ปี่เซียะหยกมาเป็นของฝาก 2
ตัวด้วยกัน
จากนั้นไปต่อกันที่ศูนย์สมุนไพรจีนบัวหิมะ
มีบริการนวดเท้าให้ฟรี ระหว่างนวดก็มีคนมาบรรยายสรรพคุณสมุนไพรให้ฟัง
รวมทั้งการรักษาด้วยกำลังภายในชี่กง ครั้งนี้เน้นยาอยู่ 4 อย่าง นอกจากบัวหิมะรุ่นปรับ (ราคา) ปรุงใหม่
เพิ่มปริมาณสมุนไพร ราคา 300 หยวน (เดิม
250 หยวน) แต่น่าแปลกที่กล่องไม่ยักใช้ชื่อฟูจือเป่าเหมือนของเดิม
เลยไม่แน่ใจว่าเป็นคนละสูตร หรือคนละสถานที่ผลิตหรือเปล่า
ครั้งนี้เราไม่ได้สนใจเพราะที่ซื้อมาจากปักกิ่งยังมีอยู่
เลยซื้อกอเอี๊ยะแปะแก้ปวดมาฝากแม่แทน อีก 2 อย่างที่นำมาเสนอขายก็เป็นผงแช่เท้ากับแคปซูลสมุนไพรบำรุงร่างกาย
นอกจากขายยาแล้ว ยังมีซินแสมาตรวจให้ฟรีอีกด้วย
เราตรวจแล้วก็เหมือนกับครั้งก่อน คือ น่าจะมีปัญหาระบบมดลูกสืบพันธุ์
แกล้งบอกซินแสว่าผ่าตัดออกไปแล้ว อาแปะทำท่าตกใจว่าทำไมผิดหลักการ ตรวจเจอได้ไง
เลยอธิบายกับล่ามว่าตัดรังไข่ออกแค่ 1 ข้าง อาแปะก็พยักหน้าให้เดาว่า
กลับไปนี่ตูต้องไปตัดอีกข้างใช่มั๊ย?
หลังจากไม่สนใจคอร์สการรักษาราคาหลักหมื่นของแปะ
เราก็นั่งให้คนนวดเท้าพลางมองดูคนอื่นทดลองรักษาด้วยพลังชี่กงบ้าง
ก็เห็นซินแสคนอื่นเอาครอบแก้ววางตรงที่ปวดแล้วทำให้เกิดสูญญากาศดูดติดกับผิวหนังตรงนั้นไว้
จากนั้นก็ใช้พลังดัชนีสุริยัน เอ๊ย ชูนิ้วกลาง...เอ่อ
นิ้วชี้กับนิ้วกลางจ่อไปที่ครอบแก้ว จะเห็นประจุไฟฟ้าเล็กๆ วิ่งแว้บๆ
สัมภาษณ์คนที่ถูกทดลองส่วนใหญ่บอกว่ารู้สึกเหมือนมีเข็มเล่มเล็กๆ แทง
พอเอาครอบแก้วออกก็เห็นเป็นเลือดคั่งสีแดงบ้าง ม่วงบ้าง และช้ำต่อไปอีกหลายวัน
หมอนวดที่นวดให้เราก็พยายามชวนคุยเหมือนหมอนวดคนอื่นๆ
แต่คุยกันไม่รู้เรื่อง พอเห็นว่าเราซื้อยาแล้วก็ไม่ชวนคุยอีก พอนวดเท้าเสร็จก็กลับมานวดบ่า
เราเริ่มทนการขยำมั่วไม่ได้ เลยสาธิตบอกให้ทำแบบที่ต้องการบ้าง
ปรากฎว่าชีหาว่ามือเราหนักไปซะอีก
เช้านี้ไม่ได้ไปเที่ยวไหนแต่ใช้เงินที่แลกมาไปเกือบหมดซะแล้ว
หลังอาหารเที่ยง เราก็กลับไปเริ่มต้นที่ท่ารถอุทยานจางเจียเจี้ยกันอีกครั้ง
หลังจากสแกนนิ้วและขึ้นรถบัสแล้วเราก็ไปที่เขตอนุรักษ์ธรรมชาติเทียนจื่อซาน
ซึ่งเป็นภูเขาคนละลูกกับภูเขาฮัลเลลูย่าห์ แต่ก็นับได้ว่าเป็นเทือกเขาเดียวกัน
พวกเราขึ้นกระเช้าที่มองเห็นเสาหินลักษณะเฉพาะของจางเจียเจี้ยได้อย่างใกล้ชิด
แต่ละคนก็ยกกล้องของตนขึ้นมาถ่ายรูปกันอย่างตื่นเต้น
ยกเว้นพจนารถที่นั่งตัวแข็งทื่อ หลับตาเป็นพักๆ ไม่กล้ามองซ้ายมองขวา รู้สึกหวิวๆ
จะเป็นลม จนกระเช้าเคลื่อนขึ้นมาสูงสุด ลงจากกระเช้าได้เป็นจุดชมวิว
ถ้าไม่มีหมอกมากอย่างวันนี้ก็จะได้เห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของยอดเขาน้อยใหญ่นับร้อยยอด
พวกเราต้องนั่งรถตู้ลงเขาต่อมาที่สวนสาธารณะเฮ่อหลง
มีรูปปั้นนายพลเฮ่อหลงตั้งประดับไว้อย่างน่าเกรงขาม
ไกด์ดาวบอกว่าสัญลักษณ์ของนายพลเฮ่อหลงที่รูปปั้นนำเสนอไว้ทั้งหมดมี 3 อย่างด้วยกันก็คือม้า ไปป์ และหนวด
ที่สวนนี้มีจุดชมวิวซึ่งมีหมอกหนาเป็นอุปสรรคเช่นเดียวกัน
จุดที่สำคัญคือเซียนหนี่ว์ซ่าฮวา หรือนางฟ้าโปรยดอกไม้ และหน้าผาเจียงจวิน
เราเห็นว่าหมอกหนาจึงเดินไปแค่จุดชมวิวเดียวซึ่งก็ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไรใน 2 จุดนี้ ระยะทางเดินลงไปไกลพอสมควร ขาที่ปวดอยู่แล้วก็กลับมาปวดอีก
ถ่ายรูปกับหมอก แล้วก็กลับขึ้นมารอคนอื่นๆ
จนไกด์ดาวเดินลงไปตามคนอื่นแล้วขึ้นมาบอกว่าหมอกจางแล้วให้ลงไปดูวิวกัน
เราก็เลยต้องลากสังขารเดินลงไปอีกจนได้…เฮ้อ!
เรานั่งรถตู้ต่อไปยังจุดชมวิวอีกที่ซึ่งเป็นระเบียงทางเดินแนบไปกับภูเขา
คราวนี้ไม่มีหมอก ทำให้มองเห็นภูเขาหินที่รายล้อมอยู่อย่างชัดเจน
เป็นวิวใหม่ซึ่งมุมมองจะต่ำกว่าจุดชมวิวบริเวณยอดเขาและสวนเฮ่อหลิง
เดินเลาะมาเรื่อยๆ จะพบว่ามีส่วนของแท่งภูเขาหินซึ่งทอดขวางเชื่อมติดกันระหว่างภูเขา
2
ลูก เป็นสะพานธรรมชาติ เรียกว่าสะพานหนึ่งในใต้หล้า
(เทียนเสี้ยตี้อี้เฉียว) มีต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นคลุมจนเขียวชอุ่ม
ถ่ายรูปกันจนพอใจก็นั่งรถต่อมายังสถานีลิฟท์แก้วไป่หลงที่สูงที่สุดในโลก (326
เมตร) ซึ่งไม่เสียวอย่างที่คิด
เพราะลิฟท์ไม่ได้เคลื่อนเร็วมากและเราก็ไม่ได้ยืนอยู่ตรงกระจกลิฟท์แก้ว ฮี่ฮี่
เย็นนี้เรายังคงพักที่โรงแรมเดิม
เนื่องจากยังเที่ยวอยู่ในเขตอุทยานจางเจียเจี้ยที่ทางเข้าออกต้องผ่านที่ทำการใกล้ๆ
โรงแรม แต่เนื่องจากแต่ละคนกระปลกกระเปลี้ยจากการเดิน
หลังจากมาถึงโรงแรมแล้วก็แยกย้ายกันเปิด wifi พักผ่อนตามอัธยาศัย
23 พ.ค. 57
เช้านี้เราไปแวะร้านของฝากภาคบังคับของทัวร์จีนร้านที่
3
นั่นคือร้านชา น่าเสียดายไม่มีใครซื้อชาหอมๆ แบบที่นำมาเสริฟเลย
ที่น่าสนใจจะเป็นชาดำเก็บไว้ได้นาน ในก้อนใบชาจะมีเส้นใยของเห็ดหลินจืองอกอยู่ด้วย
แต่ก็ราคาแพงเกินไป ออกจากร้านน้ำชา เราก็ไปที่ศูนย์วัฒนธรรมเผ่าถูเจีย
ยังคงมีฝนตกอยู่ ภายในศูนย์วัฒนธรรมเป็นบ้านเรือนของชนเผ่าถูเจีย ที่คล้ายๆ
ชาวเขาของเมืองไทย ที่บ้านหัวหน้าเผ่ามีหลายชั้นมาก มีการนำรูปปั้นมังกรมาประดับ
ราวกับจะสื่อว่ามังกรนั้นเลื้อยลงมาจากบ้านนั้น นอกจากบ้านเรือนและภาชนะโบราณแล้ว
ยังมีโชว์แสดงให้ชมอีกด้วย อย่างแรกเป็นพิธีเข้าหอของเจ้าสาว ที่ทั้งเจ้าสาว
แม่เจ้าสาว และผู้ติดตามจะต้องร้องไห้รำพึงรำพัน
เป็นความเชื่อว่าร้องไห้ไปจนถึงวันแต่งงาน ชีวิตต่อมาจะมีความสุข
ไม่ต้องร้องไห้อีก (ก็แน่นอน เพราะหลังจากนั้น
เจ้าบ่าวหรือสามีนั่นแหละจะต้องร้องไห้แทน) เดิมจะเริ่มร้องไห้ก่อนแต่งงาน 3
เดือน แต่เดี๋ยวนี้ไกด์ดาวบอกว่า พวกที่ยังยึดถือประเพณีอยู่ก็ร้องไห้พอเป็นพิธีเท่านั้น
ส่วนอีกโชว์เป็นการร้องรำทำเพลงเพื่ออวยพร และรำมีดให้คนดูเสียวเล่น
หลังกินข้าวเที่ยง
พวกเราใช้บัตรผ่านเข้าอุทยานเป็นวันสุดท้าย
รถบัสของอุทยานพามาที่สถานีกระเช้าที่จะขึ้นไปยังยอดเขาเทียนเหมินซาน พอรู้ว่าเส้นทางกระเช้ายาวที่สุดคือ
7.5
กม. ใช้เวลา 40 นาที
เราก็เริ่มเหงื่อตก เพราะเมื่อวานนั่งแค่ 20 นาทียังแทบใจจะขาด
คราวนี้เสร็จแน่ แต่พอทุกคนเริ่มคุ้นเคยจากการเที่ยวด้วยกันมาหลายวัน
เลยหาหัวข้อสนุกสนานมาคุยเล่นระหว่างนั่งกระเช้า ทำให้ลืมเรื่องกลัวกระเช้าไปได้…รอดแล้ว
บนยอดเขาเทียนเหมินซานก็เป็นจุดชมวิวเช่นเดียวกับเทียนจื่อซาน
แต่ทางเดินระเบียงเลียบเขานั้นมีช่วงหนึ่งที่เป็นกระจกใส มองเห็นหุบเหวด้านล่าง
แต่ไม่ค่อยหวาดเสียวเท่าไหร่ เนื่องจากหมอกลงจนมองไม่ค่อยเห็นเบื้องล่างที่ลึกลงไป
พวกเราเจอกับทัวร์เกาหลีทุกวัน ที่น้องรินบอกว่าทางการส่งเสริมให้ชาวเกาหลีมาเที่ยวฟรีนี่ท่าจะจริง
และสัญลักษณ์ที่ว่าต้องมาจากเกาหลีแน่ๆ
ก็คือแม่กุญแจที่คล้องกันไปมาจนคล้ายพวงองุ่นติดอยู่กับกิ่งไม้ที่ยื่นออกไปนอกระเบียงทางเดิน
จนบางแห่งต้องสงสัยด้วยซ้ำว่ากิ่งไม้อยู่ไกลขนาดนั้นยังมีคนอุตสาหะนำกุญแจไปแขวนไว้อีก
เรานั่งรถผ่านโค้งซับซ้อน
ที่ถ้าถ่ายรูปได้จากกระเช้าจะสวยงามมาก
แต่ถ้ามานั่งรถผ่านแล้วไม่แน่จริงก็อาจจะอ้วกได้
จุดที่จะไปต่อคราวนี้คือถ้ำประตูสวรรค์
เป็นถ้ำธรรมชาติลักษณะคล้ายบานประตูขนาดใหญ่
(นึกถึงบานประตูสัมฤทธิ์จากเรื่องบันทึกจอมโจรแห่งสุสานขึ้นมาเลย) สูง 131.5
เมตร กว้าง 57 เมตร และลึก 60 เมตร ชื่อประตูสวรรค์นั้นบอกเป็นนัยๆ อยู่แล้วว่าต้องอยู่สูง
การจะไปถึงได้จึงต้องขึ้นบันไดไปอีก 999 ขั้น…แม่เจ้า! นี่ตูมาเที่ยวหรือมาฝึก รด.
จากสถานีกระเช้ามีวีดีโอของกิจกรรม extreme
ในหน้าร้อน เช่น ดิ่งพสุธาลอดผ่านประตูสวรรค์
หรือเดินไต่เชือกทักทายคนในกระเช้า
นอกจากนี้ยังมีโชว์เครื่องบินผาดโผนลอดประตูสวรรค์พร้อมกัน 3 ลำ น่าทึ่ง แต่ไม่น่าลอง
พี่แอร์บอกไว้ตั้งแต่ลงรถว่าจะรออยู่ด้านล่าง
ส่วนคนที่จะเดินขึ้นไปก็ฝากของไว้ได้ ส่วนเราก็กะว่าเดินเท่าที่เดินได้ละกัน
หลังจากสลัดเป้หลังออกไป เหลือแต่ร่มกับกล้องถ่ายรูป
ก็ชวนกับพี่ไหมเดินกันไปเป็นบัดดี้ ตามคนอื่นๆ ไปอย่างช้าๆ
โชคดีที่อากาศเย็นพอจะทำให้ไม่เป็นลม และเสื้อผ้าอย่างบางที่จงใจจะไม่ใช้เสื้อกันหนาวเพราะจะอบ ทำให้พอจะลากข้อเข่าที่ถ้าพูดได้มันคงด่าเจ้านายมันเป็น 100 รอบ ขึ้นไปทีละขั้น ในที่สุดกลุ่มผู้สูงอายุอย่างป้าไรก็เริ่มแซง ส่วนเราชักจะถอดใจ เลยบอกให้พี่ไหมเปลี่ยนบัดดี้ไปกับกลุ่มพี่อุไรเถอะ เพราะเกรงใจที่พี่ไหมต้องหยุดรอบ่อยมาก อาศัยถ่ายรูปรอ แต่หลังๆ ฝนเริ่มหนาเม็ดขึ้น เปิดกล้องรอแทบไม่ได้แล้ว
แต่พอเข้าไปที่จุดพัก
แล้วเงยหน้าขึ้นมองเท่านั้นแหละ (ตลอดมาก้มหน้าก้มตาเดิน)
หมอกจางลงจนเห็นแสงสว่างลอดออกมาจากประตูสวรรค์
แรงใจก็มาเลยเพราะรู้แล้วว่าไปอีกนิดเดียว
พี่ไหมกับแก๊งค์ป้าถึงกับงงว่าตกลงมันจะกลับหรือไปต่อเนี่ย
เดินลอดประตูสวรรค์ไปอีกฟากที่ไม่ไกลนักได้ (ถ้าเดินลอดไปไกลจะตกเหว)
ฝนก็กระหน่ำลงมาสุดๆ
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจุดถ่ายรูปกลางประตูสวรรค์ทามม้ายถึงแขวนหัวใจกิ๊บเก๋ไว้ราวกับอยู่หน้างานแต่ง
ดูจะเด่นกว่าหินสลักรูปสัตว์ประจำทิศอย่างเต่า กับมังกร
ที่ด้านหน้าและหลังประตูสวรรค์ซะอีก
ปลื้มปริ่มกับตัวเองที่ลากสังขารขึ้นมาจนถึงครู่ใหญ่ ก็เดินกลับลงไปด้านล่าง มาโม้ให้คนไม่ได้ขึ้นฟัง จากนั้นก็ได้เวลานั่งกระเช้ากลับ อำลาเขตอุทยานสวรรค์บนดิน
เหนื่อยกันมาพอสมควร ไกด์ดาวเห็นว่าไม่เย็นมากเลยพาพวกเราเข้าร้านผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่ ที่นำใยไผ่มาเป็นเสื้อผ้า ชุดชั้นใน หมอน ฯลฯ กินข้าวเย็นกันต่อเพื่อจะรอเวลาไปดูโชว์ตระการตา The love story of a woodenman and a fairy fox ที่เป็นเวทีแสดงกลางแจ้ง ดูเหมือนฝนจะเป็นใจที่ตกลงมาปรอยๆ เท่านั้น พวกเราจึงได้ดูโชว์อลังการแสงสีเสียง มีนักร้องประสานเสียงร้องเพลงประกอบ ถึงไกด์ดาวจะเล่าเนื้อเรื่องให้ฟังคร่าวๆ แต่ที่มุมเวที 2 ด้านก็มีตัวอักษรวิ่งบรรยายไว้ให้ผู้ชมอ่านเหมือนกัน
ที่ประทับใจที่สุดเห็นจะเป็นการผสมผสานเทคโนโลยีด้วยคอมพิวเตอร์กราฟฟิกทำให้พระจันทร์ขึ้นหรือการแปลงร่างของนางจิ้งจอกดูมหัศจรรย์ราวกับเกิดขึ้นจริง รวมกับฉากหลังเป็นภูเขาจริงๆ และทิวทัศน์พาโนราม่าที่ทอดยาวไปไกล นับว่าโชว์ของคนจีนนำหน้าคนไทยไปไกลทีเดียว
24 พ.ค. 57
วันนี้ไกด์ปล่อยให้พักขากันเต็มที่ เพราะโปรแกรมค่อนข้างน้อย ตอนเช้าพวกเราไปดูภาพสวยงามที่สร้างสรรค์จากทรายและวัสดุธรรมชาติที่พิพิธภัณฑ์หินทรายของศิลปินแห่งชาติ หลี่หวินเจิง ภาพที่เราชอบที่สุดเห็นจะเป็นภาพวิวภายในบ้านที่ต้องใช้มือเปิดหน้าต่างออกไปจะเห็นทางเดินและวิวภูเขาจางเจียเจี้ย ที่ดูแล้วมีคำผุดขึ้นมา 2 คำ นั่นคือ ความหวัง และเส้นทางไปต่อ
4 ชั่วโมงหลังจากนั้นเราก็นั่งรถไกลเพื่อจะกลับฉางซา ก่อนถึงที่พัก แวะกันที่เกาะส้มซึ่งเป็นสวนสาธารณะกลางแม่น้ำในเมืองฉางซา ว่ากันว่าท่านประธานเหมาเจ๋อตุงสมัยที่ยังเป็นนักศึกษา ชอบว่ายน้ำมาพักผ่อนที่เกาะนี้ บนเกาะมีรูปปั้นครึ่งตัวของเหมาเจ๋อตุงตอนหนุ่ม แต่ดูแล้วจะเป็นฝรั่งและคล้ายรูปสลักประธานาธิบดีอเมริกาที่หน้าผาเม้าต์รัชมอร์ไปนิด ส่วนอื่นๆ ของเกาะปลูกต้นไม้ดอกไม้ไว้สมกับเป็นสวนสาธารณะ ได้เวลาพวกเราก็กลับโรงแรม
คืนนี้ไกด์ดาวพาพวกเราไปหาซื้อของฝากกันที่ถนนคนเดินหวงซิงลู่ของฉางซา ดูเหมือนฟ้าฝนจะไม่เป็นใจเพราะร้านค้าตามถนนเก็บของไปเกือบหมด พวกเราเลยเข้าไปซื้อของกันในซุปเปอร์มาเก็ตแทน หลังจากได้ของมาพอสมควรก็กลับไปแพ็คกระเป๋าเตรียมกลับ
25 พ.ค. 57
วันนี้ถึงจะออกเดินทางสาย แต่ก็ไม่คิดจะออกไปเดินรอบๆ โรงแรมนัก ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะยังปวดขาอยู่ อีกส่วนก็เพราะมัวแต่เล่นอินเตอร์เน็ตนั่นเอง เดิมทีไกด์บอกให้เราดีใจว่าแอร์เอเชียจะเลื่อนไฟต์ให้เร็วขึ้น 1 ชั่วโมง จะได้กลับถึงบ้านเร็วขึ้นอีก แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าดีเลย์ไปอีก 1 ชั่วโมง…ฮือ...คุณหลอกดาว...แล้วดาวก็มาหลอกเรา
สนามบินฉางซาอัตคัตของฝากมาก กะว่าจะซื้อแม่เหล็กเพิ่มเติม ก็เจอของไม่สวยแถมยังแพง ได้แต่นั่งหลับรอเวลาขึ้นเครื่อง คราวนี้อ๋อยใจดีมารับถึงสนามบินดอนเมือง กลับถึงบ้าน 18.30 น.