22 พ.ย. 51
วันนี้พวกเราซื้อ city tour เต็มวันของ Sinh café ช่วงเช้าไกด์ (ที่หน้าตาและท่าทางคล้ายแชมป์ พีระพล พิธีกรและนักข่าวไทยมาก) พาพวกเรามาดูการทำธูปและหมวกเวียตนาม เรา(และคนอื่น) เลยถือโอกาสซื้อหมวกที่ต่อรองราคาจนได้เท่าๆ กับราคาตลาด จากนั้นไปแวะที่สุสานตือดึ๊ก (Tu Duc tomb) ที่เป็นทั้งสุสานของกษัตริย์ราชวงศ์เหงียน (Nguyen) ราชวงศ์สุดท้ายของเวียนนาม และเป็นที่อยู่อาศัยของบรรดาข้าราชบริพาร นางสนมกำนัลทั้งหลายที่ต้องอยู่ตลอดไป หลังจากที่กษัตริย์สวรรคต ซึ่งสุสานก็คล้ายๆ ของอียิปต์ คือมีอุโมงค์ต่อลงไปจากพื้นดิน โดยไม่มีใครรู้ว่าตำแหน่งของพระศพอยู่ที่ไหนแน่ เพราะคนงานก่อสร้างจะถูกประหารทั้งหมด เพื่อไม่ให้ศัตรูรู้ที่ซ่อนและไม่ให้สมบัติถูกขโมย ไกด์อธิบายว่าข้าราชบริพารที่อยู่ด้วยเป็นพวกขันทีเหมือนของจีน แต่แบ่งเป็น 3 พวก คือขันทีหนุ่มที่ถูกตอน ขันทีที่เป็นเด็กถูกให้กินยาบางชนิดทำให้ระบบสืบพันธุ์ฝ่อไป (แถมชูนิ้วก้อยให้ดูว่าเหลือประมาณเนี้ย) และประเภทสุดท้ายเป็นขันทีปลอม ที่มีเป้าหมายอยู่ที่เจ้าหญิงหรือพวกสนม พูดถึงขันที พวกเราก็หันมามองหนุ่มหนึ่งเดียวในคณะ ซึ่งเจ้าตัวยืนยันแบบชูป้ายว่าตัวเองจัดอยู่ในประเภท 3 แต่บรรดาสาวๆ ชูป้ายตรงกันว่าประเภท 2 ฟันธง!
สุสานตือดึ๊กเป็นสุสานกษัตริย์ที่ใหญ่มาก อาคารเป็นสถาปัตยกรรมจีน แต่สุสานต่อมาที่พวกเราไปถึงนั้นใหญ่ยิ่งกว่า ชื่อสุสานไคดิ้นท์ (Khai Dinh tomb) และยังเป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างจีน ฝรั่งเศส อิตาลี ไกด์อธิบายว่ากษัตริย์ไคดิ้นท์เป็นกษัตริย์ที่ชาวเวียตนามไม่ปลื้มนัก เนื่องจากไปเข้าพวกกับฝรั่งเศสและเกณฑ์ชาวเวียตนามไปช่วยรบในสงคราม นอกจากนี้ยังเป็นเกย์อีกต่างหาก (รู้สึกเรื่องนี้ไกด์จะพูดหลายรอบ) กษัตริย์ไคดิ้นท์เสด็จประพาสยุโรปและสั่งทำรูปปั้นทองคำขนาดเท่าตัวจริง และซื้อศิลปะอื่นๆ ของทางตะวันตกอีกพะเรอเกวียน ซึ่งนี่คงเป็นอีกสาเหตุที่คนเวียตนามไม่ชอบใจนักในเรื่องของความฟุ่มเฟือยในขณะที่ประเทศชาติกำลังยากจน สาวเวียตนามที่ร่วมทัวร์กับพวกเราช่วยอธิบายว่ากษัตริย์ไคดิ้นท์เป็นพ่อของกษัตริย์บ๋าวได๋ กษัตริย์องค์สุดท้ายของเวียตนาม สุสานสุดท้ายที่ทัวร์พาไปเป็นสุสานขนาดเล็กและอยู่ระหว่างซ่อมแซมของกษัตริย์หมินหมาง (Ming Mang tomb) ซึ่งตัวสุสานไม่ค่อยน่าสนใจนักเพราะโดนระเบิดระหว่างสงครามชำรุดเสียหายและอยู่ในระหว่างการบูรณะ สิ่งที่น่าสนใจและจับใจความได้อย่างเดียวของกษัตริย์องค์นี้คือ พระองค์มีสนมหลายร้อยและลูกชายหญิงร้อยกว่าคน ซึ่งไกด์ระบุว่าเป็น busy king และแนะนำให้พวกเราหาซื้อ Ming Mang wine มาลองกินเพิ่มความฟิต
พวกเรากลับเข้าเมืองเว้เพื่อกินข้าวเที่ยงแบบบุฟเฟต์ อาหารอร่อยและมีให้เลือกหลายอย่างเล่นเอาตอนบ่ายตาเกือบปิด แต่ก็ช่วยให้มีแรงเดินในพระราชวังเก่า (The Citadel) ที่สถาปนากษัตริย์ราชวงศ์เหงียน ไปดูเสาพระราชวัง 90 ต้นที่เหลือของเก่าอยู่แค่ต้นเดียว และส่วนของพระราชวังเดิมถูกทำลายไปถึง 90% ยังดีที่บัลลังก์ทองคำของกษัตริย์ยังอยู่ให้ได้ชื่นชมในยุคนี้ และคงมีเงื่อนไขบางอย่างเป็นการแลกเปลี่ยน รัฐบาลญี่ปุ่นถึงได้ให้เงินมากโขมาบูรณะพระราชวังแห่งนี้จนสวยงามเหมือนเก่า พวกเราผ่านส่วนอื่นๆ ของพระราชวัง เช่น หอสมุด หอละคร ไปจนถึงส่วนที่ประดิษฐานพระรูปของกษัตริย์องค์ต่างๆ ในราชวงศ์ จากประวัติที่กษัตริย์บางพระองค์ต้องถูกส่งไปอยู่ในประเทศอาณานิคมแถวแอฟริกา ทำให้รู้ว่าเวียตนามพยายามอย่างยิ่งที่จะเป็นเอกราชจากการปกครองทั้งจากฝรั่งเศสและอเมริกาขนาดไหน ซึ่งในปัจจุบันคนเวียตนามไม่สนใจระบบกษัตริย์หรือการปกครองว่าจะเป็นแบบใด พวกเขาสนใจเรื่องของเศรษฐกิจเป็นหลัก ถือเป็นความคิดที่เป็นแรงผลักดันให้ก้าวหน้า แต่ส่วนลึกในใจของเราก็ยังมีคำถามว่าแล้วความสุขแบบพอเพียงของคนเวียตนามจะอยู่ตรงไหนหนอ
ที่สุดท้ายของทัวร์คือ เจดีย์เทียนมู (Thien Mu pagoda) ซึ่งเป็นเจดีย์ 7 ชั้น มีวัดซึ่งเป็นที่ทำศาสนกิจอยู่ด้านใน ไกด์บอกให้พวกเราสัมผัสระฆังที่วัดซึ่งหมายถึงความสุข และลูบหัวเต่าหยก ซึ่งหมายถึงอายุยืนยาว มีทัวร์อื่นเข้ามาที่วัดพร้อมกันด้วย ขณะที่ไกด์ของเขากำลังอธิบายอยู่ แก็งค์คนไทย 4 คน ก็พากันโดดขึ้นศาลาไปลูบหัวเต่า แถมยังถ่ายรูปกันเมามัน ทำเอาฝรั่งลูกทัวร์ไม่สนใจไกด์ พากันเลียนแบบบ้าง พวกเราเจอคณะทัวร์คนไทยใส่เสื้อแจ็กเก็ตสาธารณสุขมากันเป็นหมู่ แต่ไม่ได้ทักทาย (เพราะชอบทำตัวเป็นชาวต่างชาติ) หลังจากนั้นก็พากันมาขึ้นเรือล่องแม่น้ำหอม ว่ากันว่าต้นน้ำของแม่น้ำหอมมีสวนดอกไม้อยู่ ซึ่งละอองเกสรดอกไม้หล่นลงในน้ำ ทำให้น้ำมีกลิ่นหอม เป็นที่มาของชื่อแม่น้ำหอม เมื่อคืนก่อนพวกเรามองเห็นสะพานข้ามแม่น้ำหอมมีไฟสีส่อง และเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ดูสวยมาก ผิดกับตอนกลางวันที่เป็นแค่สะพานเหล็กธรรมดา เรือเทียบท่าใกล้สะพานแม่น้ำหอมให้พวกเรากลับที่พักกันเอง โชคดีที่ฝนหยุดตกแล้ว เลยได้โอกาสชักชวนกันไปซื้อของฝากที่ตลาดดองบา อีกฟากหนึ่งของท่าเรือแม่น้ำหอม พวกเราสอบถามทางกับเด็กสาววัยรุ่นแถวนั้น ซึ่งได้รับคำตอบอย่างดี (แต่บอกทางผิด) แถมยังส่งจูบอำลาด้วย ทำเอาจุ๋ยยิ้มแป้นว่าขันทีประเภท 2 ก็มีเสน่ห์กับสาวๆ ด้วย แต่ยิ้มได้ไม่นานเมื่อต้องเดินข้ามสะพานแม่น้ำหอม จนต้องอาศัยเกาะมือพี่ยี้เดิน ปล่อยให้ปาปารัซซี่ถ่ายรูปและส่งเสียงแซวกันตามสบาย
ถึงตลาดดองบาได้พจนารถก็นำขบวนไปตามร้านที่ (ส่วนใหญ่) พูดไทยได้ เริ่มจากเสื้อยืดที่รื้อกันจนแม่ค้าถอนใจ แต่ก็ต่อรองซื้อขายกันอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส ซื้อเสร็จยังชักชวนให้ซื้ออ๋าวใหญ่ตัวละ 200 ที่ถึงแม้เราจะบอกว่าคับๆ แม่ค้าก็ยังพยักเพยิดบอกว่ามี big ๆ ทีแรกเราตั้งเป้าหมายว่าจะซื้อเป้ใหม่อีก 1 ใบ ทดแทนใบที่ให้น้องชายไป แต่เนื่องจากยึดถือคัมภีร์ของพี่วุฒิเคทมากไป ต่อรองจาก 400 จนเหลือ 250 บาทแล้วก็ยังไม่ได้ตามเป้า คือ 60,000 ด่อง หรือ 150 บาท (เราต่อ 200) ซึ่งไม่มีร้านไหนให้ก็เลยมือเปล่ากลับมา ส่วนจุ๋ยได้สร้อยไข่มุกไปฝากแม่ ที่อาศัยเราเป็นนางแบบให้สวมคอแถมยังต้องต่อรองให้ด้วย โดยเจ้าตัวไปยืนห่างๆ ประมาณว่าถ้ามีรายการตบเนื่องจากต่อรองจะได้เผ่นได้ทัน บางร้านต่อกันราวกับประมูลราคา (ให้ถูกลง) จนได้แล้ว จุ๋ยก็ไม่เอา ปล่อยให้เพื่อนเหวอโดนแม่ค้าฉุดเอาไว้ โชคดีที่หุ่นกำยำของเราสู้แรงแม่ค้าไหว เลยเดินออกมาได้แบบไม่ต้องคิดกลับไปซอยนั้นอีก หมอปุ้มไปต่อรองราคากล้วยกรอบและขนุนกรอบอีกด้านนึงจนได้ เลยเป็นภาระให้เดินถือ (10 กว่าถุง) ไปรอบตลาด ปล่อยให้คุณชายและคนต่อของเดินตัวปลิวกันต่อไป เรามาแวะหยุดที่ร้านขายเป้กันอีก มีคุณป้าเฝ้าร้านอยู่คนเดียว ซึ่งเราก็ลุยต่อ 200 เหมือนเก่า แต่คราวนี้เพิ่มปริมาณเป็น 2 ใบ ยังต่อไม่เสร็จดีพี่ยี้ก็อยากได้ผ้าคลุมโต๊ะปักมือของป้าเพิ่มอีก เราเลยต่อในราคาเดิม 200 (จาก 350) ป้าก็ยังไม่ให้ หันมามองหน้าผู้ร่วมทีมแล้วบอกกันว่างั้นไม่เอา ไปกันเหอะ เราไม่วายบอกพี่ยี้ว่าห้ามทำหน้าอยากได้ เดี๋ยวป้าไม่ลด (รวมทั้งผู้ชายก็เหมือนกันนะพี่ยี้ ห้ามทำหน้าอยากได้) ร้อนถึงป้าต้องออกมาตามอีกครั้ง แต่ยังยืนยันราคาเดิม คราวนี้เลยต้องไปจริง แห้วกันทั้งเราและพี่ยี้ ...เดินกันจนมืด ร้านต่างๆ เตรียมเก็บกันหมดแล้ว พวกเราเลยเลิก แต่สรุปว่ามีแต่เราที่สนุกอยู่คนเดียว พอมาถึงโรงแรมได้ คุณชายจุ๋ยก็สั่งให้ถอดรองเท้าไว้นอกห้อง แล้วไปล้างเท้าที่เปื้อนน้ำในตลาดกันให้สะอาดก่อน ดีที่อ่างอาบน้ำกว้างขนาดสาวๆ 3 คน ลงไปขัดเท้าตามที่สั่งได้ (ภายหลังมาเห็นว่าพื้นอ่างมีรอยแตกด้วยล่ะ) มื้อเย็นพวกเราไปกินอาหารร้านที่ฝรั่งเข้าเยอะมาก แต่ไม่อร่อยอย่างที่คิด ตามถนนวันนี้มีคนไทยเต็มไปหมด คาดว่าน่าจะมีทัวร์คนไทยมาลง พวกเราดื่มด่ำค่ำคืนสุดท้ายตามท้องถนนในเวียตนามหลังจากออกจากร้านอาหารได้ประมาณ 2 นาที ก็ถึงโรงแรม
23 พ.ย. 51
วันนี้พวกเรารีบตื่นมากินอาหารเช้าในโรงแรมแล้วก็นั่ง taxi ไปสนามบินเว้ เพื่อขึ้นเครื่องไปโฮจิมินห์ โดยสายการบินเวียตนามซึ่งเป็นสายการบินในประเทศเจ้าเดียว แอร์ใส่ชุดอ๋าวใหญ่ดูน่ารัก แต่สจ๊วตเหมือนกับคัดหุ่น เพราะตัวสูงล่ำสัน ผิดกับหนุ่มเวียตนามที่เราเจอตามท้องถนน ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงก็มาถึงเมืองโฮจิมินห์
มาถึงสนามบินโฮจิมินห์ได้ พวกเราก็เอากระเป๋าไปฝาก เจ้าหน้าที่รับฝากกระเป๋าแนะนำให้เรานั่งรถเมล์เข้าเมืองหรือจะนั่ง taxi ก็ได้ในราคา 7 US$ จุ๋ยที่นั่งรถเมล์ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ก็จำไม่ได้แล้ว ชักชวนให้พวกเราขึ้นรถเมล์เสียค่าโดยสารแค่คนละ 3000 ด่อง รถแล่นวนรอบเมืองจนเริ่มหิว มองดูหน้าผู้จัดการทริปแล้ว เห็นมีตัวอักษรขึ้นที่หน้าผากว่าถ้าไม่ได้กิน Pho24 จะแปลงร่าง เลยชวนกันลงแถว Sinh café ใกล้โรงแรมที่เราเคยพัก และร้าน Pho24 นั่นเอง
อากาศที่โฮจิมินห์ยังร้อนเหมือนเดิมผิดกับเมืองอื่นๆ ที่เราจากมา ออกจากร้าน Pho24 ได้ พวกเราก็คิดว่าไปเดินตากแอร์ในห้างแถวสนามบินคงดีกว่าตลาดเบนถันห์ หมอปุ้มเสนอให้ขึ้นรถเมล์กลับ แต่เราก็ไม่รู้ว่าป้ายรถเมล์ของที่นี่หน้าตาเป็นยังไงและอยู่ตรงไหน พากันเดินตามหากันได้ซักพักก็แพ้ความร้อนในที่สุดก็ขึ้น taxi กลับ
คุณชายยังได้เครื่องประดับห้องราคาห้างอีก 1 อย่าง ส่วนเราก็เอาเงินด่องที่เหลือซื้อกล้วยกับแอบเปิ้ลแห้งจนหมด พวกเราฆ่าเวลาด้วยการคำนวณค่าใช้จ่ายทั้งหมด น่าตกใจเหมือนกันกับค่าอาหาร 5 ล้านกว่า (ด่อง) กับอีกเกือบ 100 US$ แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในงบที่ประมาณการไว้ ขากลับเราเจอเรื่องยุ่งยากนิดหน่อยที่สนามบิน เพราะทำใบผ่านแดนหาย ในขณะที่เพื่อนๆ ผ่าน ตม. กันไปหมดแล้ว เจ้าหน้าที่ ตม. ก็ไม่ค่อยอำนวยความสะดวก ทำให้ต้องกลับไปที่เคาน์เตอร์แอร์เอเชียอีกครั้งเพื่อกรอกใบใหม่ กลับมาเจ้าหน้าที่คนใหม่ก็ดุอีกว่าทำไมทำหาย พอดีพี่ยี้กับจุ๋ยเข้ามาสอบถามเขาก็เลยปล่อยให้ผ่าน (ก่อนที่เราจะให้ดมรองเท้า aroma และชี้แจงว่า this is my declarations) เข้าไปที่ gate ได้ 2 สาวก็พากันฟ้องว่าผู้จัดการทริปบ่น (ไม่รู้ว่าเป็นห่วงหรือมะโห) ว่ามีปัญหาไม่ยอมแจ้ง ป๊าดธ่อ ก็เล่นเดินอ้าวกันไปโน่นแล้ว จะให้ตะโกนเรียกก็กระไรอยู่ ต่างบ้านต่างเมืองด้วย นั่งรอกันไม่นานฝนก็ตกลงมาหนัก ทำเอาใจแป้วว่าเครื่องจะออกได้ป่าวฟะ มีการเปลี่ยน gate และแจ้ง delay มาต่อเนื่อง แต่ในที่สุดเครื่องจากเมืองไทยลำที่พวกเราจะขึ้นก็มาจอด เราไปรอทักยัยแค้มป์ที่จะมาพร้อมเที่ยวบินนี้ จนได้ตะกายกระจกทักกันพักนึง หลังจากนั้นเสียงเรียกขึ้นเครื่องที่ช้าไปเกือบชั่วโมงก็นำพาพวกเรากลับเมืองไทยโดยสวัสดิภาพ จุ๋ยมาแวะเก็บของที่คอนโดและไปส่งเรากับหมอปุ้มที่บ้าน ถึงบ้าน 22.50 น.