Friday, December 12, 2008

Central&South Vietnam (Part V)

22 พ.ย. 51


วันนี้พวกเราซื้อ city tour เต็มวันของ Sinh café ช่วงเช้าไกด์ (ที่หน้าตาและท่าทางคล้ายแชมป์ พีระพล พิธีกรและนักข่าวไทยมาก) พาพวกเรามาดูการทำธูปและหมวกเวียตนาม เรา(และคนอื่น) เลยถือโอกาสซื้อหมวกที่ต่อรองราคาจนได้เท่าๆ กับราคาตลาด จากนั้นไปแวะที่สุสานตือดึ๊ก (Tu Duc tomb) ที่เป็นทั้งสุสานของกษัตริย์ราชวงศ์เหงียน (Nguyen) ราชวงศ์สุดท้ายของเวียนนาม และเป็นที่อยู่อาศัยของบรรดาข้าราชบริพาร นางสนมกำนัลทั้งหลายที่ต้องอยู่ตลอดไป หลังจากที่กษัตริย์สวรรคต ซึ่งสุสานก็คล้ายๆ ของอียิปต์ คือมีอุโมงค์ต่อลงไปจากพื้นดิน โดยไม่มีใครรู้ว่าตำแหน่งของพระศพอยู่ที่ไหนแน่ เพราะคนงานก่อสร้างจะถูกประหารทั้งหมด เพื่อไม่ให้ศัตรูรู้ที่ซ่อนและไม่ให้สมบัติถูกขโมย ไกด์อธิบายว่าข้าราชบริพารที่อยู่ด้วยเป็นพวกขันทีเหมือนของจีน แต่แบ่งเป็น 3 พวก คือขันทีหนุ่มที่ถูกตอน ขันทีที่เป็นเด็กถูกให้กินยาบางชนิดทำให้ระบบสืบพันธุ์ฝ่อไป (แถมชูนิ้วก้อยให้ดูว่าเหลือประมาณเนี้ย) และประเภทสุดท้ายเป็นขันทีปลอม ที่มีเป้าหมายอยู่ที่เจ้าหญิงหรือพวกสนม พูดถึงขันที พวกเราก็หันมามองหนุ่มหนึ่งเดียวในคณะ ซึ่งเจ้าตัวยืนยันแบบชูป้ายว่าตัวเองจัดอยู่ในประเภท 3 แต่บรรดาสาวๆ ชูป้ายตรงกันว่าประเภท 2 ฟันธง!

สุสานตือดึ๊กเป็นสุสานกษัตริย์ที่ใหญ่มาก อาคารเป็นสถาปัตยกรรมจีน แต่สุสานต่อมาที่พวกเราไปถึงนั้นใหญ่ยิ่งกว่า ชื่อสุสานไคดิ้นท์ (Khai Dinh tomb) และยังเป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างจีน ฝรั่งเศส อิตาลี ไกด์อธิบายว่ากษัตริย์ไคดิ้นท์เป็นกษัตริย์ที่ชาวเวียตนามไม่ปลื้มนัก เนื่องจากไปเข้าพวกกับฝรั่งเศสและเกณฑ์ชาวเวียตนามไปช่วยรบในสงคราม นอกจากนี้ยังเป็นเกย์อีกต่างหาก (รู้สึกเรื่องนี้ไกด์จะพูดหลายรอบ) กษัตริย์ไคดิ้นท์เสด็จประพาสยุโรปและสั่งทำรูปปั้นทองคำขนาดเท่าตัวจริง และซื้อศิลปะอื่นๆ ของทางตะวันตกอีกพะเรอเกวียน ซึ่งนี่คงเป็นอีกสาเหตุที่คนเวียตนามไม่ชอบใจนักในเรื่องของความฟุ่มเฟือยในขณะที่ประเทศชาติกำลังยากจน สาวเวียตนามที่ร่วมทัวร์กับพวกเราช่วยอธิบายว่ากษัตริย์ไคดิ้นท์เป็นพ่อของกษัตริย์บ๋าวได๋ กษัตริย์องค์สุดท้ายของเวียตนาม สุสานสุดท้ายที่ทัวร์พาไปเป็นสุสานขนาดเล็กและอยู่ระหว่างซ่อมแซมของกษัตริย์หมินหมาง (Ming Mang tomb) ซึ่งตัวสุสานไม่ค่อยน่าสนใจนักเพราะโดนระเบิดระหว่างสงครามชำรุดเสียหายและอยู่ในระหว่างการบูรณะ สิ่งที่น่าสนใจและจับใจความได้อย่างเดียวของกษัตริย์องค์นี้คือ พระองค์มีสนมหลายร้อยและลูกชายหญิงร้อยกว่าคน ซึ่งไกด์ระบุว่าเป็น busy king และแนะนำให้พวกเราหาซื้อ Ming Mang wine มาลองกินเพิ่มความฟิต

พวกเรากลับเข้าเมืองเว้เพื่อกินข้าวเที่ยงแบบบุฟเฟต์ อาหารอร่อยและมีให้เลือกหลายอย่างเล่นเอาตอนบ่ายตาเกือบปิด แต่ก็ช่วยให้มีแรงเดินในพระราชวังเก่า (The Citadel) ที่สถาปนากษัตริย์ราชวงศ์เหงียน ไปดูเสาพระราชวัง 90 ต้นที่เหลือของเก่าอยู่แค่ต้นเดียว และส่วนของพระราชวังเดิมถูกทำลายไปถึง 90% ยังดีที่บัลลังก์ทองคำของกษัตริย์ยังอยู่ให้ได้ชื่นชมในยุคนี้ และคงมีเงื่อนไขบางอย่างเป็นการแลกเปลี่ยน รัฐบาลญี่ปุ่นถึงได้ให้เงินมากโขมาบูรณะพระราชวังแห่งนี้จนสวยงามเหมือนเก่า พวกเราผ่านส่วนอื่นๆ ของพระราชวัง เช่น หอสมุด หอละคร ไปจนถึงส่วนที่ประดิษฐานพระรูปของกษัตริย์องค์ต่างๆ ในราชวงศ์ จากประวัติที่กษัตริย์บางพระองค์ต้องถูกส่งไปอยู่ในประเทศอาณานิคมแถวแอฟริกา ทำให้รู้ว่าเวียตนามพยายามอย่างยิ่งที่จะเป็นเอกราชจากการปกครองทั้งจากฝรั่งเศสและอเมริกาขนาดไหน ซึ่งในปัจจุบันคนเวียตนามไม่สนใจระบบกษัตริย์หรือการปกครองว่าจะเป็นแบบใด พวกเขาสนใจเรื่องของเศรษฐกิจเป็นหลัก ถือเป็นความคิดที่เป็นแรงผลักดันให้ก้าวหน้า แต่ส่วนลึกในใจของเราก็ยังมีคำถามว่าแล้วความสุขแบบพอเพียงของคนเวียตนามจะอยู่ตรงไหนหนอ

ที่สุดท้ายของทัวร์คือ เจดีย์เทียนมู (Thien Mu pagoda) ซึ่งเป็นเจดีย์ 7 ชั้น มีวัดซึ่งเป็นที่ทำศาสนกิจอยู่ด้านใน ไกด์บอกให้พวกเราสัมผัสระฆังที่วัดซึ่งหมายถึงความสุข และลูบหัวเต่าหยก ซึ่งหมายถึงอายุยืนยาว มีทัวร์อื่นเข้ามาที่วัดพร้อมกันด้วย ขณะที่ไกด์ของเขากำลังอธิบายอยู่ แก็งค์คนไทย 4 คน ก็พากันโดดขึ้นศาลาไปลูบหัวเต่า แถมยังถ่ายรูปกันเมามัน ทำเอาฝรั่งลูกทัวร์ไม่สนใจไกด์ พากันเลียนแบบบ้าง พวกเราเจอคณะทัวร์คนไทยใส่เสื้อแจ็กเก็ตสาธารณสุขมากันเป็นหมู่ แต่ไม่ได้ทักทาย (เพราะชอบทำตัวเป็นชาวต่างชาติ) หลังจากนั้นก็พากันมาขึ้นเรือล่องแม่น้ำหอม ว่ากันว่าต้นน้ำของแม่น้ำหอมมีสวนดอกไม้อยู่ ซึ่งละอองเกสรดอกไม้หล่นลงในน้ำ ทำให้น้ำมีกลิ่นหอม เป็นที่มาของชื่อแม่น้ำหอม เมื่อคืนก่อนพวกเรามองเห็นสะพานข้ามแม่น้ำหอมมีไฟสีส่อง และเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ดูสวยมาก ผิดกับตอนกลางวันที่เป็นแค่สะพานเหล็กธรรมดา เรือเทียบท่าใกล้สะพานแม่น้ำหอมให้พวกเรากลับที่พักกันเอง โชคดีที่ฝนหยุดตกแล้ว เลยได้โอกาสชักชวนกันไปซื้อของฝากที่ตลาดดองบา อีกฟากหนึ่งของท่าเรือแม่น้ำหอม พวกเราสอบถามทางกับเด็กสาววัยรุ่นแถวนั้น ซึ่งได้รับคำตอบอย่างดี (แต่บอกทางผิด) แถมยังส่งจูบอำลาด้วย ทำเอาจุ๋ยยิ้มแป้นว่าขันทีประเภท 2 ก็มีเสน่ห์กับสาวๆ ด้วย แต่ยิ้มได้ไม่นานเมื่อต้องเดินข้ามสะพานแม่น้ำหอม จนต้องอาศัยเกาะมือพี่ยี้เดิน ปล่อยให้ปาปารัซซี่ถ่ายรูปและส่งเสียงแซวกันตามสบาย

ถึงตลาดดองบาได้พจนารถก็นำขบวนไปตามร้านที่ (ส่วนใหญ่) พูดไทยได้ เริ่มจากเสื้อยืดที่รื้อกันจนแม่ค้าถอนใจ แต่ก็ต่อรองซื้อขายกันอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส ซื้อเสร็จยังชักชวนให้ซื้ออ๋าวใหญ่ตัวละ 200 ที่ถึงแม้เราจะบอกว่าคับๆ แม่ค้าก็ยังพยักเพยิดบอกว่ามี big ๆ ทีแรกเราตั้งเป้าหมายว่าจะซื้อเป้ใหม่อีก 1 ใบ ทดแทนใบที่ให้น้องชายไป แต่เนื่องจากยึดถือคัมภีร์ของพี่วุฒิเคทมากไป ต่อรองจาก 400 จนเหลือ 250 บาทแล้วก็ยังไม่ได้ตามเป้า คือ 60,000 ด่อง หรือ 150 บาท (เราต่อ 200) ซึ่งไม่มีร้านไหนให้ก็เลยมือเปล่ากลับมา ส่วนจุ๋ยได้สร้อยไข่มุกไปฝากแม่ ที่อาศัยเราเป็นนางแบบให้สวมคอแถมยังต้องต่อรองให้ด้วย โดยเจ้าตัวไปยืนห่างๆ ประมาณว่าถ้ามีรายการตบเนื่องจากต่อรองจะได้เผ่นได้ทัน บางร้านต่อกันราวกับประมูลราคา (ให้ถูกลง) จนได้แล้ว จุ๋ยก็ไม่เอา ปล่อยให้เพื่อนเหวอโดนแม่ค้าฉุดเอาไว้ โชคดีที่หุ่นกำยำของเราสู้แรงแม่ค้าไหว เลยเดินออกมาได้แบบไม่ต้องคิดกลับไปซอยนั้นอีก หมอปุ้มไปต่อรองราคากล้วยกรอบและขนุนกรอบอีกด้านนึงจนได้ เลยเป็นภาระให้เดินถือ (10 กว่าถุง) ไปรอบตลาด ปล่อยให้คุณชายและคนต่อของเดินตัวปลิวกันต่อไป เรามาแวะหยุดที่ร้านขายเป้กันอีก มีคุณป้าเฝ้าร้านอยู่คนเดียว ซึ่งเราก็ลุยต่อ 200 เหมือนเก่า แต่คราวนี้เพิ่มปริมาณเป็น 2 ใบ ยังต่อไม่เสร็จดีพี่ยี้ก็อยากได้ผ้าคลุมโต๊ะปักมือของป้าเพิ่มอีก เราเลยต่อในราคาเดิม 200 (จาก 350) ป้าก็ยังไม่ให้ หันมามองหน้าผู้ร่วมทีมแล้วบอกกันว่างั้นไม่เอา ไปกันเหอะ เราไม่วายบอกพี่ยี้ว่าห้ามทำหน้าอยากได้ เดี๋ยวป้าไม่ลด (รวมทั้งผู้ชายก็เหมือนกันนะพี่ยี้ ห้ามทำหน้าอยากได้) ร้อนถึงป้าต้องออกมาตามอีกครั้ง แต่ยังยืนยันราคาเดิม คราวนี้เลยต้องไปจริง แห้วกันทั้งเราและพี่ยี้ ...เดินกันจนมืด ร้านต่างๆ เตรียมเก็บกันหมดแล้ว พวกเราเลยเลิก แต่สรุปว่ามีแต่เราที่สนุกอยู่คนเดียว พอมาถึงโรงแรมได้ คุณชายจุ๋ยก็สั่งให้ถอดรองเท้าไว้นอกห้อง แล้วไปล้างเท้าที่เปื้อนน้ำในตลาดกันให้สะอาดก่อน ดีที่อ่างอาบน้ำกว้างขนาดสาวๆ 3 คน ลงไปขัดเท้าตามที่สั่งได้ (ภายหลังมาเห็นว่าพื้นอ่างมีรอยแตกด้วยล่ะ) มื้อเย็นพวกเราไปกินอาหารร้านที่ฝรั่งเข้าเยอะมาก แต่ไม่อร่อยอย่างที่คิด ตามถนนวันนี้มีคนไทยเต็มไปหมด คาดว่าน่าจะมีทัวร์คนไทยมาลง พวกเราดื่มด่ำค่ำคืนสุดท้ายตามท้องถนนในเวียตนามหลังจากออกจากร้านอาหารได้ประมาณ 2 นาที ก็ถึงโรงแรม

23 พ.ย. 51

วันนี้พวกเรารีบตื่นมากินอาหารเช้าในโรงแรมแล้วก็นั่ง taxi ไปสนามบินเว้ เพื่อขึ้นเครื่องไปโฮจิมินห์ โดยสายการบินเวียตนามซึ่งเป็นสายการบินในประเทศเจ้าเดียว แอร์ใส่ชุดอ๋าวใหญ่ดูน่ารัก แต่สจ๊วตเหมือนกับคัดหุ่น เพราะตัวสูงล่ำสัน ผิดกับหนุ่มเวียตนามที่เราเจอตามท้องถนน ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงก็มาถึงเมืองโฮจิมินห์

มาถึงสนามบินโฮจิมินห์ได้ พวกเราก็เอากระเป๋าไปฝาก เจ้าหน้าที่รับฝากกระเป๋าแนะนำให้เรานั่งรถเมล์เข้าเมืองหรือจะนั่ง taxi ก็ได้ในราคา 7 US$ จุ๋ยที่นั่งรถเมล์ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ก็จำไม่ได้แล้ว ชักชวนให้พวกเราขึ้นรถเมล์เสียค่าโดยสารแค่คนละ 3000 ด่อง รถแล่นวนรอบเมืองจนเริ่มหิว มองดูหน้าผู้จัดการทริปแล้ว เห็นมีตัวอักษรขึ้นที่หน้าผากว่าถ้าไม่ได้กิน Pho24 จะแปลงร่าง เลยชวนกันลงแถว Sinh café ใกล้โรงแรมที่เราเคยพัก และร้าน Pho24 นั่นเอง

อากาศที่โฮจิมินห์ยังร้อนเหมือนเดิมผิดกับเมืองอื่นๆ ที่เราจากมา ออกจากร้าน Pho24 ได้ พวกเราก็คิดว่าไปเดินตากแอร์ในห้างแถวสนามบินคงดีกว่าตลาดเบนถันห์ หมอปุ้มเสนอให้ขึ้นรถเมล์กลับ แต่เราก็ไม่รู้ว่าป้ายรถเมล์ของที่นี่หน้าตาเป็นยังไงและอยู่ตรงไหน พากันเดินตามหากันได้ซักพักก็แพ้ความร้อนในที่สุดก็ขึ้น taxi กลับ

คุณชายยังได้เครื่องประดับห้องราคาห้างอีก 1 อย่าง ส่วนเราก็เอาเงินด่องที่เหลือซื้อกล้วยกับแอบเปิ้ลแห้งจนหมด พวกเราฆ่าเวลาด้วยการคำนวณค่าใช้จ่ายทั้งหมด น่าตกใจเหมือนกันกับค่าอาหาร 5 ล้านกว่า (ด่อง) กับอีกเกือบ 100 US$ แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในงบที่ประมาณการไว้ ขากลับเราเจอเรื่องยุ่งยากนิดหน่อยที่สนามบิน เพราะทำใบผ่านแดนหาย ในขณะที่เพื่อนๆ ผ่าน ตม. กันไปหมดแล้ว เจ้าหน้าที่ ตม. ก็ไม่ค่อยอำนวยความสะดวก ทำให้ต้องกลับไปที่เคาน์เตอร์แอร์เอเชียอีกครั้งเพื่อกรอกใบใหม่ กลับมาเจ้าหน้าที่คนใหม่ก็ดุอีกว่าทำไมทำหาย พอดีพี่ยี้กับจุ๋ยเข้ามาสอบถามเขาก็เลยปล่อยให้ผ่าน (ก่อนที่เราจะให้ดมรองเท้า aroma และชี้แจงว่า this is my declarations) เข้าไปที่ gate ได้ 2 สาวก็พากันฟ้องว่าผู้จัดการทริปบ่น (ไม่รู้ว่าเป็นห่วงหรือมะโห) ว่ามีปัญหาไม่ยอมแจ้ง ป๊าดธ่อ ก็เล่นเดินอ้าวกันไปโน่นแล้ว จะให้ตะโกนเรียกก็กระไรอยู่ ต่างบ้านต่างเมืองด้วย นั่งรอกันไม่นานฝนก็ตกลงมาหนัก ทำเอาใจแป้วว่าเครื่องจะออกได้ป่าวฟะ มีการเปลี่ยน gate และแจ้ง delay มาต่อเนื่อง แต่ในที่สุดเครื่องจากเมืองไทยลำที่พวกเราจะขึ้นก็มาจอด เราไปรอทักยัยแค้มป์ที่จะมาพร้อมเที่ยวบินนี้ จนได้ตะกายกระจกทักกันพักนึง หลังจากนั้นเสียงเรียกขึ้นเครื่องที่ช้าไปเกือบชั่วโมงก็นำพาพวกเรากลับเมืองไทยโดยสวัสดิภาพ จุ๋ยมาแวะเก็บของที่คอนโดและไปส่งเรากับหมอปุ้มที่บ้าน ถึงบ้าน 22.50 น.

Thursday, December 11, 2008

Central&South Vietnam (Part IV)

20 พ.ย. 51

รถมาถึง Sinh café ฮอยอัน 6.40 น. พวกเราแบ่งหน้าที่กัน โดยพจกับหมอปุ้มที่พูดภาษาเวียตนามได้นิดหน่อย แต่ภาษาอังกฤษไม่ได้เลย เฝ้าของอยู่ที่ office ส่วนจุ๋ยกับพี่ยี้ไปเดินหาโรงแรม ทั้ง 2 คนเลือกโรงแรมที่ไม่ไกลจาก office นัก เพราะติดใจความสะดวกเวลาจะขึ้นรถบัส จากนั้นเราก็เข้าคิวกันอาบน้ำ เนื่องจากห้องน้ำใช้ได้ใช้ได้ห้องเดียว ส่วนห้องจุ๋ยยังจัดห้องไม่เรียบร้อย พวกเราใช้เวลาเกือบ 10 โมงเช้า กว่าจะได้เดินไปหาข้าวเช้ากินในเขตเมืองเก่าของฮอยอัน

น้ำในเขตเมืองเก่าล้นตลิ่งขึ้นมาจนท่วมถนนด้านติดแม่น้ำ นักท่องเที่ยวบางพวกก็อาศัยเรือพายล่องไปตามแม่น้ำ พวกเราถ่ายรูปกันได้แป๊บเดียวกระเพาะอาหารก็เรียกร้องให้เดินหาร้านสำหรับกินข้าวเช้า ไปเจอเมนูแนะนำเป็นเกาเหลา (Cao lao) ซึ่งเป็นก๋วยเตี๋ยวเส้นโซบะแห้ง มีหมูและหนังหมูกรอบโรยหน้า อร่อยมาก จากนั้นเราลองเดินมั่วเข้าไปในบ้านโบราณ เลยโดนเจ้าหน้าที่เตือนให้ไปซื้อตั๋ว Ancient town of Hoian ก่อนถึงจะเข้าชมได้ ซึ่งตั๋วแบ่งออกเป็น 4 ส่วนใหญ่ คือ สะพานญี่ปุ่น (Japanese covered bridge) ที่เป็นสะพานมีหลังคาทรงญี่ป่น ส่วนอื่นๆ คือบ้านโบราณ พิพิธภัณฑ์และสมาคม (Assembly hall) ที่มีหลายแห่งให้เลือกเข้าอย่างละแห่งเดียวจาก 3 – 4 แห่ง

ถ่ายรูปกับสะพานญี่ปุ่นแล้วก็พากันเข้าไปในบ้านโบราณที่ลักษณะคล้ายบ้านคนจีน ทำด้วยไม้ทั้งหลัง ประดับภาพวาด และมีของที่ระลึกขายอยู่ข้างใน ถ่ายรูปกันอีกหลายชุดจนหิวอีกแล้ว เลยแวะกันที่ร้านไอติมทำเองแถวสะพานญี่ปุ่น แล้วก็เดินลัดเลาะไปที่ assembly hall ที่ไกด์จุ๋ยแปลให้ว่าเป็นสมาคม (แซ่ตั้ง) ที่มีลักษณะคล้ายวัด ข้างในมีธูปเป็นกรวยกลมคล้ายศาลเจ้าจีน ข้างในมีป้ายชื่อคนแขวนไว้ หลายอันที่เป็นภาษาไทย ทำให้พวกเราอยากจะแขวนมั่ง รีรออยู่จนเจอเจ้าหน้าที่พูดไทยได้ บอกว่าค่าธูป 800 บาท พวกเราถือโอกาสจ่ายด้วยเงินไทยและเขียนชื่อลงบนการ์ด มารู้ทีหลังว่าธูปนี้เรียกว่าธูปต่อชะตาที่พจนารถต่อราคาไปเรียบร้อยแล้ว...แฮ่

เราผ่านร้านขายยาร้านเล็กๆ พี่ยี้เลยได้โอกาสซื้อยาระบายแก้ปัญหาลำไส้แปลกที่ ตอนแรกเขาไม่ขายให้เพราะเภสัชกรไม่อยู่ (ก็มีอยู่ที่ลูกค้า 2 ตัวแล้วไงอ้ะ) จนพวกเราเดินผ่านรอบ 2 พี่ยี้ถึงได้ถูกฟันค่ายาระบายสมุนไพรไปถึงแผงละ 75 บาท!!

เดินผ่านตลาดสดไปนิดเดียวก็เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงสิ่งของโบราณพวกระฆัง กระเบื้อง และแผ่นจารึกต่างๆ จนผู้จัดการทริปบอกว่าไปหาอะไรกินกันเหอะ เราก็เริ่มฉุกใจคิดได้ว่าตั้งแต่ 10 โมงเช้ามานี่ เรากินกันทุก 2 ชั่วโมงเลยแฮะ เดินเข้าไปดูของในตลาดกันอีกครั้งก็เจอเส้นเกาเหลาที่วางขายแบบขนมจีนบ้านเรา และขนมหน้าตาแปลกแต่น่ากิน พอไปถึงร้านอาหารได้พี่ยี้ก็บอกว่าสังเกตมาหลายครั้งแล้วว่าถ้าจุ๋ยหิวจะอารมณ์บูดสุดๆ ประมาณว่าก๊อซซิลล่าจะอาละวาด (มีเราทำท่าและเสียง Grr….. ประกอบ) ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วยว่าสมควรต้อง feed อาหารโดยด่วน ก่อนจะถล่มฮอยอัน กินกันจนอารมณ์ดีแล้ว พวกเราก็ผ่านร้านของที่ระลึกที่ป้าเจ้าของร้านพูดไทยได้ พวกเราเลยได้กระเป๋าตังค์กันมาหลายสิบใบ รวมทั้งกระเป๋าสะพายกันอีก 2 – 3 ใบ เรากลับไปพักผ่อนกันที่โรงแรมอีกครั้ง ก่อนจะเดินกลับไปกินมื้อค่ำที่ย่านเมืองเก่า โดยทีแรกตั้งใจจะเลือกร้านอาหารที่แนะนำในหนังสือ แต่เดินผ่านร้านหนึ่งที่บรรยากาศดี มีฝรั่งนั่งกินกันเยอะ แถมแหม่มที่เพิ่งเดินออกจากร้านก็ชักชวนว่าร้านนี้ดีอาหารอร่อย ซึ่งพวกเราก็ไม่ลังเลเลยที่จะเดินเข้าไป

เราเลือก set menu ของร้าน Hai ที่คิดราคาต่อหัว ปริมาณอาหารที่ไม่มากไม่น้อยเดินไป และรสชาติอร่อย โดยเฉพาะปลาย่างใบตอง และ white rose (คล้ายข้าวเกรียบปากหม้อแต่เป็นใส้กุ้ง) อาหารอีกอย่างที่ขึ้นชื่อของฮอยอัน นอกจากเกาเหลา กลับมาที่โรงแรมอีกครั้ง ไม่รู้ว่าพี่ยี้เหนื่อยหรือว่ายาระบายแพงโครตกำลังจะออกฤทธิ์ พอเข้าห้องได้แกก็หลับยาว ปลุกให้ไปอาบน้ำเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น

21 พ.ย. 51

เช้านี้พวกเราต้องรีบตื่นกินข้าวเช้าที่โรงแรม เพื่อจะขึ้นรถไปเว้ (ระยะทาง 120 กม.) จุ๋ยบ่นว่าห้องนอนไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะหน้าต่างห้องด้านติดกับบันได ล๊อคไม่ได้ และมีคนมือบอนมาเปิด ยิ่งโดนพวกเราแซวก่อนเข้านอนว่าพนักงานต้องรับ (ชาย) ทำท่าจะติดใจจุ๋ย ทำให้ยิ่งนอนผวา นอกจากนี้ตอนกลางคืนยังมีเสียงปิดประตูดังมากเหมือนคนติดอยู่ในห้องน้ำต้องพังประตูออกหลายครั้ง หลัง check out แล้ว เราต้องวิ่งกลับมาที่โรงแรมอีกครั้งเพราะนึกได้ว่าจิ๊กกุญแจห้องไว้ไม่ยอมคืน

รถที่จะไปเว้คราวนี้เป็น sleeping bus อีก แต่พวกเรายืนยันตั๋วช้ากว่าคนอื่นเลยได้ไปนอนเรียงกันเป็นตับอยู่ท้ายรถ มีฝรั่งแนว ที่มีรอยสักตามแขนขาหน้าตาตะวันออกกลางนั่งข้างเรา ขึ้นรถได้ไม่นานจุ๋ยก็โวยเป็นภาษาอังกฤษ (ท่าทางจะตั้งสติไว้ก่อน) เพราะมีตัวชีปะขาวบินไปมาข้างกระจกที่จุ๋ยนั่ง พี่ยี้กับหมอปุ้มช่วยจับให้ก็ไม่สำเร็จ ต้องเอาถุงพลาสติกให้ฝรั่ง (หล่อเหมือนเบ็คแฮม) ที่นั่งข้างหน้าจุ๋ยจับให้ แต่พ่อเบ็คไม่ยักบี้ให้ตาย กลับเอาไปให้คนขับรถทิ้งให้...หน้าตาดีแล้วยังใจดีอีกตัวเอง

ส่วนคู่ฝรั่งที่นั่งด้านหน้าเราก็เอามือเอื้อมมาจับกันอย่าง sweet ซึ่งพอเราเหยียดเท้า (อันเหม็นสุดยอด) ไปตรงช่องว่างใกล้ๆ อย่างหมั่นไส้ มือที่จับกันไว้ก็มีอันต้องแยกจาก แถมยังต้องหันหน้าหันจมูกไปกันคนละทาง ฮี่ฮี่ เจอ aromatherapy สยบคู่รักเข้าไปถึงกับอึ้งล่ะสิ แต่รถวิ่งไปได้ไม่นานเราก็เริ่มเห็นใจ เอาด้านที่เป็นพิมเสนน้ำของยาดมออกมาทานวดเท้า เผื่อกลิ่นจะดีขึ้น

รถแวะพักที่ภูเขาหินอ่อน (Marble mountain) มีหินอ่อนสลักเป็นรูปต่างๆ ขายอยู่เยอะมาก พวกเราไม่ได้เสียเงินเข้าไปดูด้านในของภูเขา ได้แต่เดินหาห้องน้ำที่อยู่ไกลสุด พอเข้าห้องน้ำหญิงได้ก็ต้องเหวอแตกกับโถส้วมที่เรียงกันแบบไม่มีประตูกั้น จะไม่เข้าก็เสียดาย 1000 ด่องที่จ่ายไปแล้ว มองไปมองมาเห็นไม่มีคน เลยถือโอกาสล๊อคประตูใหญ่ไม่ให้ใครเข้า

รถวิ่งผ่านดานังที่เป็นเมืองใหญ่ แต่ไม่ได้จอด เลยได้แต่ชมเมืองผ่านทางหน้าต่าง เที่ยงกว่าเราก็ถึงเว้ท่ามกลางสายฝนโปรยปรายและ taxi ที่มานำเสนอโรงแรมที่พักให้จนน่ารำคาญ พอจุ๋ยซื้อ city tour ของเว้เสร็จออกมาเจอ taxi นักตื๊อถึงกับหน้าหงิก ดูนาฬิกาเวลาเที่ยงกว่าแล้ว ก๊อซซิลล่ากำลังจะกลายร่าง พวกเราเลยพากันลากกระเป๋าไปที่ร้านอาหารใกล้ๆ เราที่กำลังปวดฉี่ก็ไปรอเข้าห้องน้ำ มีคนแซงไปถึง 2 คน เพราะลุงหัวหน้าทัวร์ของฝรั่งมาจัดแจงแบบไม่มองเล้ยว่าใครรออยู่บ้าง เราเลยหน้าบูดเป็นกาเมร่าไปอีกตัว! ถึงตอนหลังลุงจะมาชวนคุยทำนองขอโทษเราก็ไม่สนใจ พูดตอบแค่ว่ามาจาก Thailand มีพึมพำเป็นภาษาไทยต่อท้ายว่า “มึงไปได้แล้วกรูจะเยี่ยว” โชคดีที่แกงกะหรี่เนื้อที่สั่งรสชาติใช้ได้ กาเมร่าเลยกลับร่างเป็นน้องแพนเค้กเหมือนเดิม....ฮิ้วววว

คราวนี้ผู้จัดการตั้งเป้าหมายว่าเรานอนที่เว้ 2 คืน ขอเป็นโรงแรมดีนิดนึง (แบบไม่ต้องนอนผวา) ด้วยว่าเงินกองกลางก็ยังเหลือ หลังจากเรียก taxi ไปส่งโรงแรม 3 ดาวตามที่หนังสือท่องเที่ยวแนะนำ แต่น่าเสียดายที่โรงแรมเต็ม ไม่มีห้องสำหรับ 2 คืน ดีที่เขาแนะนำโรงแรมระดับเดียวกันที่เพิ่งเปิดใหม่ ชื่อ New star มาให้ จุ๋ยถือโอกาสปลดผู้ช่วยเลือกห้องจากพี่ยี้ (ไม่ประทับใจโรงแรมในฮอยอัน) มาเป็นพจ ปล่อยให้อีก 2 สาวรอใน taxi พนักงานที่โรงแรมนี้ดีมาก พาพวกเราไปเลือกห้องแบบ 2 เตียงใหญ่ และแบบ 3 เตียงเล็ก ทั้ง 2 ห้องเสริมเตียง (สำหรับจุ๋ย) ให้นอนได้ 4 คน จุ๋ยเลือกห้อง 2 เตียงใหญ่ชั้น 7 โดยให้ความเห็นว่าห้องโปร่งกว่า ถึงวางเตียงเสริมแล้วก็ยังมีพื้นที่มากกว่า และที่แน่ๆ สอดคล้องกับสวรรค์ชั้น 7 (ถึงเหล่านางฟ้าที่มาด้วยจะรูปร่างหน้าตาตกเกณฑ์ไปไกลก็เถอะ) พวกเราก็เลยได้นอนโรงแรม 3 ดาวในราคาคืนละ 60 US$ ด้วยประการฉะนี้

ฝนยังตกหนาเม็ดจนพวกเราต้องอยู่กันแต่ในห้อง ดูหนังฝรั่งที่มี subtitle เป็นภาษาไทยของช่อง true ส่วนมื้อเย็นทางโรงแรมแนะนำร้านอาหารที่อยู่ในเขตพระราชวังเก่าให้ พร้อมโทรจองให้เสร็จสรรพ พอถึงเวลาพวกเราก็เรียก taxi ไปที่ร้านยี่เทา (Y thao garden) กินอาหารแบบ set menu ที่อร่อยมากโดยเฉพาะปอเปี๊ยะทอดที่ทำเป็นรูปนกยูง กินกันไปคุยกันไปจน 3 ทุ่มกว่า ก็ได้เวลากลับโรงแรม


Central&South Vietnam (Part III)

18 พ.ย. 51

วันนี้เราซื้อ city tour แบบเต็มวันของ Sinh café มีรถบัสมารับแต่เช้า พวกเราได้เปรียบตรงที่โรงแรมมีอาหารเช้าให้และเป็นท่ารถด้วยเลยไม่ต้องเสียเวลามากนัก รถแล่นผ่านทะเลสาบที่สวยมากในยามฝนไม่ตก (ถึงน้ำจะเป็นสีดินแดงขุ่น) ไกด์พาเราผ่านสวนดอกไม้ (Vuon hoa Dalat) โดยไม่แวะตามโปรแกรม เพราะสวนกำลังจะลงดอกไม้ใหม่ให้ทันฉลอง 150 ปีดาลัด กลางเดือนธันวาคม จากนั้นพวกเราไปกันที่น้ำตก Datanla ซึ่งต้องลงไปตัวน้ำตกด้านล่างด้วย sliding car ที่วิ่งในรางคล้ายรถไฟเหาะให้เราบังคับรถวิ่งไปตามรางโค้งไปมา บางครั้งก็ลาดชัน เราซิ่งไปเป็นคนแรกแบบไม่กลัวแหกโค้ง จนต้องจอดรอคนอื่นๆ หลายครั้งกว่าจะตามกันทัน ตั๋วรถมีแบบไปกลับและไปอย่างเดียวเดินกลับ พวกเราซื้ออย่างแรกเมื่อรถลงมาถึงด้านล่างก็มองเห็นน้ำตก แวะถ่ายรูปกันสักพัก และถ่ายรูปกับพ่อแม่ลูกชาวมาเลเซีย ที่คนพ่อพูดไทยได้ แถมยังบอกว่ามีชื่อไทย ชื่อสมศักดิ์ นามสกุลภักดี (หลังจากนั้นอีก 3 วันเราจึงค่อยสงสัยกันว่าจะเป็นมุขตลกของแกหรือเปล่าที่ชื่อและนามสกุลเหมือนกับพระเอกลิเกสมัยเก่า) ขากลับหมอปุ้มทำตั๋วหาย ดีที่ไกด์ช่วยติดต่อกับเจ้าหน้าที่ให้ขึ้นรถกลับได้ โดยยืนยันว่าพวกเราซื้อตั๋วแล้วแน่นอน

เราไปแวะน้ำตกอีกที่ ชื่อ น้ำตก Prenn ที่ขนาดเล็กกว่า มีกระเช้าพาดผ่านเลียบน้ำตก (ซึ่งเราไม่ได้ขึ้น) ไกด์ถามตั้งแต่อยู่บนรถว่าใครจะขี่ช้างบ้าง ซึ่งช้างตัวนึงนั่งได้ 3 คนและราคาแพงมากคือ 15 นาที 9 US$ พวกเราลังเลว่าจะขึ้นช้างดีหรือเปล่าเพราะมีกัน 4 คน (คงต้องมีใครเป็นฝ่ายไป) แต่เดินไปเดินมาก็ไม่เห็นเจอช้างซักที มีแต่ม้า เลยได้แต่ถ่ายรูปกับทางเดินลอดใต้น้ำตก ที่ไม่ได้เดินไปจนถึงเพราะกลัวเปียก พี่ยี้ไปเปลี่ยนชุดชาวเขาเดินแบกกระบุงมาถ่ายรูปกันอย่างสนุก เสียดายที่พวกเรามาเห็นว่ามีขี่นกกระจอกเทศกันด้วยก็ตอนหมดเวลา เลยได้แต่มองดู จุ๋ยบอกว่านกกระจอกเทศดวงดีคอไม่หักเพราะโดนพวกเราขี่

ออกจากน้ำตกเราไปกันต่อที่ Linh Phuoc pagoda เป็นวัดที่มีสวนดอกไม้สวยมาก โดยเฉพาะดอกไฮเดรนเยียพวงใหญ่กว่าหน้าคน ถ่ายรูปกับดอกไม้และทะเลสาบจนเกือบไม่มีเวลาไปอธิษฐานที่ระฆังใหญ่ ซึ่งไกด์บอกว่าให้เราเขียนคำอธิษฐานบนกระดาษแล้วแปะเข้าไปด้านในของระฆัง พวกเราหากระดาษได้ก็เขียนๆๆ แบบรีบเร่ง ดีที่มีสก๊อตเทปอยู่แถวนั้น หมอปุ้มเลยเอามาติดกระดาษของพวกเราเรียงกันเป็นตับ (จริงๆ แล้วไม่ค่อยอยากแปะในแนวเดียวกันเลยนะเนี่ย กลัวได้อยู่บนที่สูงระดับเดียวกัน) ส่วนจุ๋ยได้แต่รอข้างล่างให้สาวๆ อธิษฐานกันไป

ที่ข้างๆ pagoda มี cable car อยู่ คราวนี้ไกด์ให้ซื้อแต่ตั๋วขาไป และจะเอารถไปรับอีกฝั่ง พวกเราได้กระเช้าสีน้ำเงินนั่งได้ 4 คนพอดี คราวนี้จุ๋ยไม่ยักกลัวเพราะไม่ค่อยสูงเท่าไหร่ แต่เวลาย้ายข้างถ่ายรูปจนกระเช้าแกว่งก็พาให้เสียวอยู่เหมือนกัน

กระเช้าไปถึงอีกฝั่งที่ใกล้โรงแรมที่พักของเรามาก พวกเราแวะพักกินสเต็กหมูค่อนข้างอร่อยและรวมอยู่ในค่าทัวร์ในโต๊ะเดียวกับสาวชาวแคนาดาที่มาเที่ยวคนเดียว และคู่รักชาวฝรั่งเศสที่สาวๆ ทุกคนในทีมเราลงความเห็นว่าหล่อมั่กๆ พี่ยี้อุตส่าห์ชวนคุยและแทะโลมว่านึกว่าเป็นคนอเมริกันที่ชื่อ คีนู รีฟซะอีก เล่นเอาพ่อหนุ่มถึงกับเขิน (แต่แฟนทำตาเขียว) พวกเราใช้เวลาที่เหลือกลับขึ้นห้องไปนอนย่อยอาหารก่อนจะไปต่อในช่วงบ่าย

ที่แรกที่เราไปถึงตอนบ่ายเป็นบ้านที่ออกแบบพิสดาร เป็นช่องโพรง มีบันไดเชื่อมต่อขึ้นลง เรียกว่า crazy house แก๊งค์บ้ากล้องเข้าไปถ่ายรูปตามห้องต่างๆ ที่ประดับไปด้วยรูปปั้นสัตว์ จนกลับมาที่รถบัสช้ากว่าคนอื่น หลังจากนั้นเราไปกันที่พระราชวังฤดูร้อนที่ใช้ล่าสัตว์ของกษัตริย์องค์สุดท้ายของเวียตนาม (Bao Dai ‘s summer palace) ซึ่งเป็นอาคารเล็กๆ ข้างในสามารถเดินเข้าชม แถมยังนั่งเก้าอี้ที่เคยทรงงานได้อีกต่างหาก อาเฮียมาเลเซียไปลองนั่งดูก่อนและพอดีพี่แกใส่หมวกคาวบอย เลยถูกไกด์แซวว่า king cowboy ส่วนจุ๋ยใส่หมวกแก๊ปนั่งเป็นอันดับต่อมา เราเลยตั้งให้เป็นคิงลี่ที่ 1

ในพระราชวังมีชุด king กับ queen ให้เช่าถ่ายรูปบนบัลลังก์กันด้วย ซึ่งแน่นอนว่าพวกเราพากันไปใส่ชุด ไม่สนใจห้องหับอื่นแล้ว แต่คราวนี้หมอปุ้มไม่ยอมบ้าด้วย บอกจะเป็นตากล้องให้ ส่วนพี่ยี้ที่ถูกชาวเวียตทึกทักว่าเป็นชาติเดียวกันมาหลายวัน ต้องรอตั้งนานกว่าจะได้เปลี่ยนเป็นชุดเจ้าหญิง แล้วรีบวิ่งดุ๊กๆ มาถ่ายรูปกับพวกเรา ได้เป็นภาพชุดสถาปนาคิงลี่ที่ 1 และหลังจากนั้นก็เป็นคิงลี่ที่ 1 ถูกเตะตกบัลลังก์ รวมมิตรเจ้าหญิงกำมะลอ คู่เลสควีนกะเจ้าหญิง ฯลฯ

เราไปกันต่อที่ Traditional embroidery village ที่เป็นส่วนแสดงงานปักด้วยมือที่สวยมาก บางรูปใช้เวลาและคนปักหลายคนอยู่ ทำให้นึกถึงรูปปักงานแต่งสุนันท์ขึ้นมาได้ ว่าใช้เวลากับคนปักหลายคนเหมือนกัน(ก็ยังไม่เสร็จ) พวกเราถ่ายรูปกับสวนดอกไม้ของที่นี่มากกว่างานปักซะอีก

สำหรับที่สุดท้ายของวันนี้คือ Valley of love ที่เป็นสวนดอกไม้ ประดับด้วยรูปปั้นต่างๆ เน้นแนวคู่รัก เราพาจุ๋ยกับพี่ยี้ไปถ่าย wedding ได้แป๊บเดียวก็ไปเจอสวนดอกไม้งามแงะ เลยทิ้งให้คู่รักมองตาปริบๆ แล้วโลดเข้าไปถ่ายรูปกับดอกไม้อย่างเมามัน (ไม่ลืมส่งกล้องไปให้ถ่ายให้ด้วย) วันนี้โชคดีมากที่แดดดี มีฝนปรอยๆ แค่พักเดียว ทำให้เราเที่ยวกันได้อย่างสนุก

ตอนบ่ายพวกเราพากันออกไปเดินเล่นในเมืองกันต่อ ผู้จัดการทริปเริ่มหิวอีกแล้ว เลยได้แวะ café ที่ข้อมูลบอกว่ากาแฟของดาลัดเป็นกาแฟชั้นดี ทั้ง 3 คน (ยกเว้นเรา) เลยสั่งกันมากิน กาแฟที่นำมาเสิร์ฟเป็นถ้วยแก้วแบบที่มีหม้อกรองอยู่ด้านบน ใส่เมล็ดกาแฟที่คั่วเสร็จชงน้ำร้อนเอาไว้ ส่วนแก้วกาแฟด้านล่างใส่นมข้นหวาน (คงมีเมลามีน) ไว้อย่างเดียว พวกเราเอาช้อนเขี่ยๆ ให้น้ำกาแฟไหลลงในถ้วยเร็วๆ ทำเอาเจ้าของร้านรีบเข้ามาห้ามบอกม่ายช่ายๆ แล้วเอาช้อนเขี่ยด้านบนแผ่นกรองนิดเดียวให้ค่อยๆ ไหลแบบ iv infusion ส่วนเราได้แต่ขำกลิ้งพลางจิบช็อคโกแลตที่สั่งมาเยาะเย้ย เพิ่งสังเกตได้ว่าค่าอาหารแต่ละมื้อรวมทั้งอาหารว่างอย่างมื้อนี้ราคารวมเป็นแสนด่องขึ้นไป นับว่าเป็นทัวร์ไฮโซพากินโดยแท้ กลับมานอนผึ่งพุงกันอีกครั้งก่อนออกไปกินอาหารเกาหลีที่เล็งไว้เมื่อคืนวาน อาหารรสชาติใช้ได้ยกเว้น hot pot ที่จุ๋ยสั่งไว้ว่าเลิกกินกันได้แล้ว มื้อนี้เรียกว่าปิดร้านกินเอาทีเดียว เพราะมีมีแต่พวกเรา 4 คนที่เป็นลูกค้าของร้าน สำหรับเครื่องเคียงอาหารเกาหลีพวกกิมจิ รากบัวดอง มีเสิร์ฟไม่อั้น ทำเอาพวกเรากินกันอย่างปรีเปรม (เค้าคงต้องเลิกนโยบายแบบนี้แล้วล่ะ) ฝนตกลงมาอีกครั้งพอดีกับที่พวกเรากลับถึงห้องใต้หลังคาอันอบอุ่นของโรงแรม

19 พ.ย. 51

วันนี้พวกเราออกเดินทาง 205 กม. ไปยาตรัง (Nha Trang) แต่เช้า เลยต้องตื่นและกินข้าวเช้ากันเร็วหน่อย รถวิ่งผ่านภูเขาได้สักพัก หมอปุ้มก็ทำท่าจะแย่เพราะเส้นทางโค้งไปโค้งมา รถแวะจอดที่ทางเบี่ยงบนภูเขาให้ได้เข้าห้องน้ำแบบที่เป็นแผ่นกระสอบมากั้นเป็นคอก เลยมีแต่จุ๋ยคนเดียวที่ไปเข้า แถมยังมาบอกว่าไม่ได้เข้าในห้องน้ำ แต่ไปฉี่ข้างห้องน้ำแทน....แป่ว ระหว่างทางบนเขามีดอกบัวตองบานสลับกับป่าสนสวยงามมาก แต่ถึงจะสวยยังไงหมอปุ้มก็อ้วกซะ..ดีที่ยังชมว่า Dramamine ออกฤทธิ์ดีกว่า Dimen ของโรงพยาบาลเยอะ หลังจากนั้นก็หลับเกือบตลอดทาง

รถมาแวะพักที่ปราสาทจามแถว Phan Rang ที่ดูคล้ายปราสาทหินพิมาย แต่ต้องเดินขึ้นเขาไปดูและเสียค่าผ่านประตู พวกเราเลยได้แค่เข้าห้องน้ำแถวที่จอดรถ และนั่งพักให้ลมพัดผ่าน พอให้หมอปุ้มหายเมารถและทิ้งถุงอ้วกไป จากนั้นรถไปจอดที่ร้านอาหารใกล้ๆ ทะเลให้ได้กินข้าวเที่ยง คาดว่าพี่ยี้คงจะเล็งลูกพลับมาตั้งแต่แผงลอยบนเขา มาเจอเจ้าของร้านอาหารเรียกให้ซื้อเลยได้มา 2 ลูก (ฝาดสนิท)

รถแล่นฝ่าฝนไปเรื่อยๆ ตลอดทางจนถึงยาตรัง เมืองริมทะเลและเป็นสถานที่ประกวดนางงามจักรวาล 2008 กว่าจะถึงสำนักงาน Sinh café สาขายาตรังก็ 14.30 น. พวกเราฝากของไว้ที่สำนักงาน เนื่องจากคืนนี้จะต้องเดินทางต่อไปฮอยอัน จากนั้นก็ข้ามถนนไปที่ทะเลซึ่งคลื่นลมแรงมากๆ แต่ยังมีฝรั่งนอนเกยตื้นกันตามเก้าอี้ชายหาด น้ำทะเลหน้านี้สีเทาแก่ผิดกับในโปสเตอร์ที่สีฟ้าสวย นั่งกันริมทะเลได้พักเดียวเราก็เรียก taxi (ก่อนพจนารถจะอ้อนกินอาหารทะเลนึ่งริมหาด) ไปวัดพระใหญ่ Long Son pagoda ที่ต้องเดินขึ้นบันไดไป 100 กว่าขั้น ฝนเริ่มตกลงมาจนชักจะขี้เกียจขึ้น แต่แล้ว ส.ว. (สูงวัย) ขาลุย 2 ท่านก็เดินนำขึ้นไป จุ๋ยกับพจเลยต้องจำใจเดินตาม องค์พระใหญ่ทำด้วยหยกสีขาว ที่ฐานเป็นห้องพระเล็กๆ มีลุงคนดูแลใจดียืนรอเปิดให้ได้เข้าไปไหว้พระในตอนเย็นแล้ว กลับลงมาด้านล่าง taxi คันเดิมยังรอให้เราเหมาไปรอบเมือง พวกเราเห็นว่ายังมีเวลาเหลืออีกมากเลยตกลง

เราไปแวะชมโบสถ์คริสต์ในเมือง ภายในตกแต่งสวยงามพอกันกับโบสถ์นอตเตอดามที่โฮจิมินห์ taxi ชักชวนให้ไปดูปราสาทหิน Ponagar Cham Tower นอกเมืองที่ไม่ไกลนัก แต่พอไปถึงได้แป๊บเดียว ฝนก็ตกลงมาราวกับฟ้ารั่ว แรกๆ พวกเราไปอาศัยหลบฝนในร้านค้าที่ปราสาทโดยอุดหนุนไอติมกัน แต่พอนานไปเราก็เลยต้องซื้อเสื้อกันฝนเพิ่มหลังจากลืมไว้ในรถ หลังจากนั้นก็พากันเดินกลับโดยที่ไม่ได้ถ่ายรูปให้สะใจอย่างที่คิดไว้ taxi พาเรากลับมาที่ชายหาดเดิมให้เดินถ่ายรูปกันทั้งเสื้อกันฝน แต่สรุปแล้วพวกเราก็ยังถือได้ว่าเที่ยวในเมืองได้ทั่วแล้ว ยังขาดการแช่โคลนบำบัดกลางแจ้ง ที่เป็นสิ่งขึ้นชื่อของเมืองอีกอย่างเดียว มื้อเย็นคราวนี้เป็นอาหารทะเลที่ไม่อร่อยเท่าเมืองไทย นั่งกินกันไปคุยกันไปจนเกือบได้เวลา เราก็มารอ sleeping bus ของ Sinh café ที่จะพาเรานอนไปฮอยอัน (ระยะทาง 530 กม.)

Sleeping bus เป็นรถค่อนข้างใหม่ มีเตียง 2 ชั้น บน-ล่าง แบ่งเป็น 3 แถวคือริมหน้าต่าง 2 ข้าง และตรงกลาง แต่ละเตียงเป็นเบาะเอนนอนได้เกือบ 180 องศา มีช่องให้เสียบเท้าเข้าไป(ใต้หัวคนอื่นที่นอนอยู่ข้างหน้า) และมีเหล็กกั้นเตียงพร้อมเข็มขัดรัดไม่ให้หล่น ทีแรกเรากะว่ากลิ่นรองเท้าคงตลบจนนอนไม่หลับ ดีที่เค้าให้เอารองเท้าใส่ถุงพลาสติกมัดให้แน่นเลยไม่มีปัญหา แรกๆ รถวิ่งโคลงเคลงนิดหน่อย แต่จุ๋ยกับพี่ยี้ที่นอนด้านริมหน้าต่าง (เรากับหมอปุ้มนอนแถวกลาง) บอกว่าถนนเสียและรถโคลงมาก นอนไม่ค่อยหลับ รถจอดให้เข้าห้องน้ำอีกครั้งตอนเที่ยงคืน จากนั้นเราก็หลับยาวไปจนเช้า

Monday, December 01, 2008

Central&South Vietnam (Part II)

16 พ.ย. 51

วันนี้เป็น City tour ที่เราจะไปกันเอง ทำให้ตื่นสายได้ตามสบาย เราเริ่มมื้อเช้ากันที่ร้าน Pho 24 กันเกือบ 9.00 น. เพราะผู้จัดการทัวร์ใช้ net หาโรงแรมที่เราจะพักต่อไปในดาลัด ส่วนลูกทัวร์ก็กินบาแกตต์รอไปพลางๆ

พวกเรามาแวะกันที่ office ของ Sinh café เพื่อซื้อตั๋ว open bus จาก โฮจิมินห์ไปจนถึงเว้ ทัวร์แจกเสื้อยืดมาให้คนละตัว การซื้อตั๋ว open bus เป็นการเที่ยวแบบ backpack ที่สะดวก เนื่องจากเราสำรองที่นั่งบนรถได้แน่นอน แค่ไปยืนยันตั๋วตรง office เมืองที่จะขึ้นรถก่อนเดินทางประมาณ 1 วัน เราก็จะได้เลขที่นั่งบนรถมาเลย ซึ่งเราจะสามารถหยุดพักเที่ยวในเมืองที่มาถึงกี่วันก็ได้ ก่อนจะออกเดินทางต่อไปยังเมืองอื่นต่อไป

ราอาศัยแท็กซี่พาเข้าเมืองโดยเริ่มจากโบสถ์นอตเทอดาม เนื่องจากวันนี้เป็นวันอาทิตย์จึงมีคริตสาสนิกชนและนักท่องเที่ยวมาร่วมพิธีในโบสถ์กันมากมาย รวมทั้ง wedding studio ที่พาบ่าวสาวมาถ่ายรูปกันด้านนอกตัวโบสถ์ จากนั้นเราข้ามถนนไปยัง central post office ที่เป็นอาคารเก่าแก่ ทรงตะวันตก เรามี postcard ฟรีของโรงแรมเลยได้ส่งไปหาปริญญ์และพรชัย จากนั้นของที่ระลึกต่างๆ ใน post office ก็ดึงดูดพวกเราไว้กว่าชั่วโมง รวมทั้ง sim card โทรศัพท์ ของ Vinaphone ที่สอบถามแล้วราคาค่าโทรกลับไทยประมาณ 12 บาทเท่านั้น

ประมาณเที่ยงแล้ว พวกเรายังเดินตุหรัดตุเหร่กันอยู่แถว park พลางดูแผนที่หา reunification palace ซึ่งคำว่า palace ทำเอาจินตนาการเกินจริง เพราะมองไปมองมาแบบอาศัยรูปในหนังสือประกอบแล้ว ถึงได้มองเห็นตึกใหญ่ประมาณที่ว่าการอำเภอใกล้ๆ นั้นเอง แถมเวลาเที่ยงยังปิดอีกด้วย พวกเรายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ จนถึงสวนพรรณไม้และสวนสัตว์ (Botany garden and zoo) ที่ผู้จัดการทัวร์โฆษณาซะดีว่าจะพาไปดูช้างที่รัชกาลที่ 7 มอบให้เวียตนาม แล้วก็เดินดุ่ยๆ มาหยุดในสวน ให้พวกเรามองหากันล่อกแล่กว่าไหนฟะช้าง? จนจุ๋ยต้องบอกว่าเป็นช้างสัมฤทธิ์ตั้งอยู่นี้ไง ...เกิดอาการเหวอเล็กน้อยในหมู่ลูกทัวร์ แต่อย่างไรก็ดี พวกเรายังคงถ่ายรูปกันอย่างบ้ากล้องเหมือนเดิม

อากาศร้อนมากจนต้องแวะพักกินน้ำ กินไอติม เนื่องจากยังไม่ได้กินข้าวเที่ยง พวกเราเลยเรียกแท็กซี่ไปเที่ยววัดต่อ และหวังไว้ว่าแถววัดจะมีร้านอาหาร แต่พอแท็กซี่ไปถึงวัดก็ต้องอึ้งไปอีกรอบ เพราะเป็นวัดเล็กๆ ไม่ค่อยมีคน เราเดินหาร้านอาหารแถวๆ นั้นกันอยู่ครึ่งค่อนวันก็ได้ร้านข้าวแกงที่โชว์ไข่พะโล้ยั่วน้ำลายไว้ในตู้กระจก

กลับเข้าไปเดินในวัดกันอีกครั้ง หมอปุ้มเข้าไปได้แป๊บเดียวก็แพ้ควันธูปต้องรีบออกมาก่อน ข้างในวัดก็เหมือนกับวัดในเวียตนามทั่วๆ ไป คือมีรูปปั้นเทพเจ้าให้กราบไหว้ (ลืมถามผู้จัดการทริปว่าวัดนี้เน้นให้อธิษฐานด้านไหนเป็นพิเศษหรือเปล่าถึงได้พามา) ส่วนรูปปั้นอื่นท่าทางน่ากลัว เราเลยเผ่นออกมาอีกคน ปล่อยให้พี่ยี้ซื้อธูปไปไหว้แล้วก็เดินออกมาเอาธูปเสียบปากสิงโตหน้าประตูวัด หน้าตาเฉย เพราะเจ้าตัวบอกว่าหลังจากไหว้เทพเจ้าด้านในแล้ว ต้องนำธูปมาปักด้านนอก ซ้าย-ขวาด้วยตามประเพณี แต่ที่นี่ไม่มีกระถางธูป พี่ยี้เลยต้องเอาไปเสียบไว้ในปากสิงโต ดูแล้วเหมือนสิงโตสูบบุหรี่ นักท่องเที่ยวที่มาทีหลังพวกเราเห็นเป็นของแปลกเลยถ่ายรูปกันใหญ่

จากนั้นเรานั่งแท็กซี่ต่อไปยังตลาดเบนถันห์ (Ben thanh market) ซึ่งเป็นตลาดที่รวบรวมของใช้ของฝาก และของกินมากมาย แท็กซี่คันนี้ช่างคุยและพูดภาษาอังกฤษได้ดี อธิบายว่าตลาดนี้มีทางเข้า 4 ประตูด้วยกัน และยังแนะนำร้านอาหารดังของโฮจิมินห์ ชื่อร้านงง (Ngon resterent) ให้อีกด้วย

พวกเรากลับมานอนพักกันก่อนจะออกไปกินมื้อเย็น แค่จุ๋ยบอกชื่อถนน แท็กซี่ก็บอกว่า “งง” แล้ว ทำเอาจุ๋ยที่เป็นคนบอกงงยิ่งกว่า สรุปก็คือ ร้านนี้เป็นร้านดังจริงๆ ที่ใครๆ ก็รู้จัก พอไปถึงก็ต้องตะลึงกับลูกค้าที่ยืนรอกันเป็นแถวออกมานอกร้าน พี่ยี้เป็นคนไปเจรจา แล้วก็กลับมาทำหน้างงๆ ว่าเค้าพูดภาษาเวียตนามด้วย (ฟังไม่รู้เรื่อง) ที่หน้าร้านมีพนักงานคนนึงเป็นคนจัดคิว พวกเราเห็นไม่มีบัตรคิว หรือถามชื่อซักที ทำให้ไม่แน่ใจว่าจะได้กินแน่หรือเปล่า ยืนรออยู่ประมาณ 10 นาที เขาก็ชี้บอกให้เดินเข้าไปได้ แต่ไม่มีคนพาไปที่โต๊ะ พวกเราเลยได้แต่เดินตามฝรั่งขึ้นไปถึงชั้น 2 แล้วก็ไปบอกพนักงานแถวนั้นว่าพวกตูมากัน 4 คน เลยได้โต๊ะนั่ง จากนั้นพวกเราก็สั่งอาหารลุย ตั้งแต่แหนมเนือง ผัดผักบุ้ง ผัดหมี่ซั่ว hot pot รวมมิตร ที่อร่อยสมกับที่มากันอย่างงงๆ แถมเด็กเสริฟหนุ่มหน้าทะเล้นยังชวนพวกเราคุยแล้วก็สอนวิธีกินพวกแหนมเนืองกับ hot pot แบบเวียตนาม เหมาะแล้วที่ร้านนี้จะเป็นร้านยอดนิยมที่ทั้งคนเวียตและชาวต่างชาติจะพากันมากิน

ตอนใกล้จะอิ่มพวกเราก็ว่างพอที่จะอำเด็กเสริฟ เพราะพอเค้าถามว่าจุ๋ยกับพี่ยี้เป็นแฟนกันเหรอ พี่ยี้ก็บอกว่าไม่ใช่...จุ๋ยชอบผู้ชายมากกว่า จากที่ยืนคุยด้วยในระยะ 2 ฟุตก็เปลี่ยนไปเป็น 2 เมตร แล้วเด็กคนนั้นก็หายไปเม้าท์กับเพื่อนอยู่พักใหญ่ พร้อมกับผลัดกันมาดูหน้าจุ๋ย...ดูไปยิ้มไป พอบอกให้จุ๋ยทำท่าจุ๊บๆ ทุกคนในโต๊ะก็ฮากันลั่น (แต่เจ้าตัวไม่ยักทำ)

พวกเราเดินย่อยอาหารจากร้านกลับไปที่จัตุรัสโฮจิมินห์ อาคารสีขาวตอนกลางวันของ city mall ในยามค่ำคืนมีไฟสีเหลืองส่องอยู่ ดูสวยไปอีกแบบ พวกเรายังเดินต่อกันไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ผ่านร้านเค้กที่เล็งไว้ยามนั่งแท็กซี่ผ่านไปมา แต่พอเข้าไปดูใกล้ๆ กลับไม่ค่อยน่ากินเท่าที่ควร พวกเราเลยได้ขนมปังอย่างอื่นมาเป็นเสบียงสำหรับอาหารเช้าบนรถในวันพรุ่งนี้

17 พ.ย. 51

วันนี้พวกเราขึ้นรถไปเมืองดาลัด (Dalat) ซึ่งเป็นเมืองภูเขาห่างจากโฮจิมินห์ 308 กม. จากข้อมูลที่ว่าเมืองนี้ถือเป็นสวิสเซอร์แลนด์ของเวียตนาม ทำเอาใจจดจ่อว่าจะเป็นเมืองแบบไหนกันนะ รถวิ่งออกนอกเมืองให้ได้ดูร้านค้าที่คล้ายกับเมืองไทย โดยส่วนหน้าบ้านจะแคบกว่า อาจเป็นเพราะคนเวียตตัวเล็ก หรือเก็บภาษีแพงก็ไม่แน่

รถแวะให้เราพักเข้าห้องน้ำที่สะอาดมาก เพราะบังคับให้เปลี่ยนรองเท้าหน้าห้องน้ำ มีร้านค้าอยู่ด้วยเลยได้ซื้อขนุนและกล้วยกรอบเป็นเสบียงเพิ่มเติมบนรถ จากนั้นเราก็หลับตลอดจนอากาศเริ่มเย็นเพราะฝนตก รถจอดอีกครั้งให้เรากินข้าวเที่ยงที่ร้านอาหารค่อนข้างใหญ่ แต่ฝนที่ตกทำเอาไม่ทันได้ชื่นชมบรรยากาศของร้านนัก หมอปุ้มยังเอาดีถ่ายรูปกันหน้าห้องน้ำ

รถวิ่งได้ช้ากว่ากำหนดถึง 1 ชั่วโมง เพราะหลังจากกินข้าวเที่ยงก็เป็นการวิ่งขึ้นเขาตลอด ตอนใกล้จะถึงยังวิ่งผ่านทะเลสาบขนาดใหญ่ ฝนที่ตกอยู่ทำให้หนักใจว่าจะไปเดินหาโรงแรมกันอย่างไรดีท่ามกลางสายฝน โชคดีที่จริงๆ แล้ว office ของ Sinh café ที่นี่เป็นโรงแรมและยังมีห้องเหลืออีกห้องเดียวให้พวกเราได้นอนกัน 4 คน จุ๋ยกับพี่ยี้ไปดูห้องแล้วลงมาบอกว่าอยู่ชั้น 3 เป็นห้องใต้หลังคา พวกเราได้อบอุ่นอยู่ในห้องแป๊บเดียวก็ต้องควักเสื้อกันฝนที่เตรียมมาออกมาใช้

ร้านอาหารที่หมอปุ้มหาข้อมูลมาชื่อร้าน Blue water เป็นร้านริมทะเลสาบค่อนข้างหรูอยู่ไม่ไกลจากโรงแรม พวกเราเมียงๆ มองๆ สักพัก ก็เดินต่อไป สุดท้ายก็มาเจอร้านติ๋มซำที่ด้านล่างขาย bakery น่ากิน ทำเอาจุ๋ยกับพจได้บาแกตต์และวุ้นในเนื้อเค้กมะพร้าวติดไม้ติดมือไปสมทบกับอีก 2 สาวที่เตรียมสั่งอาหารกันแล้ว

พวกเราเดินขึ้นไปที่ชั้น 2 ของร้าน และสั่งที่คิดว่าเป็นติ๋มซำ โดยมีคุณลุงคนหนึ่งเข้ามาทักทาย ทีแรกเราคิดว่าแกเป็นเจ้าของร้านที่พูดไทยได้ แต่คุยไปคุยมาแกบอกว่าเป็นคนสิงคโปร์ เคยไปทำงานในเมืองไทยแถวปากน้ำ สมุทรปราการอยู่หลายปี ตอนนี้แกทำงานบริษัทน้ำมันที่ยังไม่ได้สัมปทานในเวียตนาม และเป็นลูกค้าประจำร้านนี้ จากนั้นลุงก็ชวนคุยและแนะนำอาหารต่างๆ แถมยังแจกนามบัตรพร้อมเบอร์โทรให้พี่ยี้อีกด้วย แกเดินกลับไปกลับมาระหว่างโต๊ะตัวเองกับโต๊ะเราหลายครั้งทำเอาจุ๋ยหน้าบูด ก้มหน้าก้มตากินอย่างเดียว อาแปะยังคงจ้อต่อไปแถมยังแซวจุ๋ยแบบไม่ดูตาม้าตาเรือว่าไม่ค่อยคุยเลย หนสุดท้ายหลังจากที่แกจ่ายเงินค่าอาหารของตัวเองแล้วก็ยังมาถามอีกว่าถ้าพวกเรามีปัญหาเรื่องค่าอาหาร พร้อมทั้งมองอาหารที่พวกเราสั่งมาเต็มโต๊ะ แกก็ยินดีช่วยจ่ายนะ พวกเรารีบบอกขอบคุณ (ก่อนที่จุ๋ยจะด่าเป็นภาษาอังกฤษชุดใหญ่) ให้แกอำลาจากไปซะที อีกหลายวันทีเดียวที่พี่ยี้โดนแซวว่ามีหนุ่ม (คราวพ่อ) มาหลีด้วยนะเนี่ย หลังจากนั้นเราก็เก็บซาลาเปาลูกเท่านมน้องตั๊กที่ยังเหลืออีกหลายลูกอยู่ใส่ถุงไว้กินมื้อหน้า พวกเราออกจากร้านไม่ดึกเท่าไหร่ แต่การเดินฝ่าความมืดที่หนาวเย็นและฝนตกปรอยๆ ตลอดทางไปเรื่อยๆ เหมือนไม่มีทางจะสิ้นสุดก็ให้ความรู้สึกยากจะบรรยาย เดาไม่ถูกเลยว่า city tour ในวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง

Sunday, November 30, 2008

เวียตนามกลาง-ใต้ 14 - 23 พ.ย. 51 (Part I)

บันทึกการท่องเที่ยว เวียตนามกลาง – ใต้ 14 – 23 พ.ย. 51

14 พ.ย. 51

พวกเรา ประกอบด้วย เรา หมอปุ้ม จุ๋ย และพี่ยี้ ไปเวียตนามกันอีกครั้ง คราวนี้เจาะจงเมืองที่ยังไม่ได้ไป คือ โฮจิมินห์ ดาลัด ยาตรัง เว้ ดานัง และฮอยอัน

เราเริ่มต้นทัวร์กันโดยไปกินติ๋มซำเอาฤกษ์กันก่อนที่ร้านครัวกรุงเทพ แถวพญาไท จากนั้นก็ออกเดินทางไปสุวรรณภูมิกัน โดยมีพี่ยี้ตามมาสมทบทีหลัง เราใช้บริการ Thai Air Asia
เช่นเคย พวกเรามาถึงสนามบินโฮจิมินห์ตามเวลา คือ 17.20 น. รอแท็กซี่ที่โรงแรมส่งมารับอยู่พักใหญ่ ทุกคนเลยถือโอกาสโทรกลับบ้าน และไม่น่าเชื่อว่า happy go inter ของ DTAC จะทรยศ โทรกลับกันไม่ได้ ดีที่เรามีซิม one two call สำรองไว้ เลยได้คุยกับแม่ ส่วนหมอปุ้มต้องอาศัยพี่ยี้โทรกลับบ้านให้

โรงแรม AnAn2 ที่พักของเราอยู่ในย่านกลางเมือง เป็นโรงแรมค่อนข้างใหม่และยังมี agency ท่องเที่ยวอยู่ชั้นล่างด้วย ห้องพักของสาวๆ อยู่ชั้น 3 นอนได้ 3 คนแบบไม่ต้องเสริมเตียง เป็นห้องริมหน้าต่าง ส่วนห้องจุ๋ยเป็นห้องเตียงคู่อยู่ชั้น 2 ค่อนข้างอับเพราะไม่มีหน้าต่างเปิดไปด้านนอกโรงแรม แต่อุปกรณ์ในห้องดีทีเดียว จากนั้นแทนที่เราจะเริ่มออกไปหาข้าวเย็นกันตามที่ตั้งใจไว้ เราก็ไปแวะถามเรื่องท่องเที่ยวกันก่อน
โชคดีที่ร้านค้าในโฮจิมินห์ปิดช้า ร้านอาหารที่ทางโรงแรมแนะนำชื่อร้าน Kim café เลยยังเปิดอยู่ และได้เงินไปหลายจากลูกค้าชาวไทย 4 คน ที่สั่งกับข้าวด้วยสูตร n + 2 จากนั้นหัวหน้าทัวร์ก็พาเราไปเดินย่อยอาหารในย่านใกล้ๆ แล้วจึงเข้าที่พัก

15 พ.ย. 51

พวกเราซื้อทัวร์ไปวัด Cao Dai และอุโมงค์ซูฉี (Cu Chi) จาก บริษัท TNK ซึ่งอยู่ที่โรงแรมนั่นเองในราคาถูกกว่า Sinh café คนละ 1 US$ พูดถึง Sinh café จากที่ค้นข้อมูลในอินเตอร์เนต ใครๆ ก็บอกว่าบริการของ Sinh café ดี และเป็น agency ท่องเที่ยวเจ้าใหญ่ในเวียตนาม แต่พอพวกเราติดต่อไปจากเมืองไทยกลับไม่ประทับใจเลยสักนิด เพราะทางนั้นทวงค่าใช้จ่ายอย่างเดียวและให้โอนเงินไปเข้าบัญชีที่ออสเตเรียอีกต่างหาก พวกเราโดยเฉพาะหัวหน้าทัวร์เกรงว่าจะโดนหลอกก็เลยมาซื้อทัวร์แบบ walk-in กันที่เวียตนาม

รถบัสที่จะพาเราไปออกแต่เช้า ทำให้ต้องรีบตื่นตามโปรแกรม 6-7-8 แล้วพากันไปกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อ หรือ pho bo กันในร้านที่เดินไปดูลาดเลาตั้งแต่เมื่อวาน น้ำพริกเผาที่พกมาจากเมืองไทย ทำให้รสชาติเฝอ ดีขึ้นเยอะ แต่ก็ยังไม่วายถูกประณามว่าไม่ยอมกินอาหารรสชาติดั้งเดิม กินกันเสร็จสรรพก็ยังมาสั่งบั้นมี่ หรือ บาแกตต์ กินกันอีกคนละชิ้นระหว่างทางในรถ

ภายในรถมีนักท่องเที่ยวประมาณ 30 คน มีคนเอเชียไม่กี่คน และก็มีแต่พวกเราที่เป็นคนไทย ไกด์ประจำรถขึ้นมาแนะนำสถานที่ และแจ้งว่าเราต้องเดินทางกัน 100 กว่า กม. ไปที่วัด Cao Dai แต่ไปได้ไม่นานรถก็จอดให้พวกเราได้ดูงานหัตถกรรมของคนพิการ
นอกจากแก๊งค์กินมากฯ อย่างพวกเราจะไม่ซื้อแล้ว ยังอาศัยภาพศิลปะของร้านเป็นฉากหลังถ่ายรูปกันอย่างหน้าตาเฉย ขึ้นรถกันอีกครั้งคราวนี้ก็หลับยาวไปจนถึงวัดตอน 11.30 น.

วัด Cao Dai เป็นวัดใหญ่นิกายหนึ่ง ตามบานหน้าต่างและหมวกของพระในวัดจะมีรูปดวงตาข้างซ้ายติดอยู่ ภายในตัวอาคารมีรูปปั้นมังกรพันไว้ที่เสาทุกต้น ด้านในสุดมีวัตถุทรงกลมมีรูปดวงตาตรงกลางตั้งอยู่ พอเวลาเที่ยงก็มีพิธีกรรมบางอย่างคล้ายการสวด โดยพระที่แต่งตัวหลายๆ สี เช่น แดง เหลือง และสาวกนั่งกันอยู่เป็นแถวรอบนอก

ไกด์บอกว่าพวกเราสามารถถ่ายรูปภายในวัดได้ แต่ไม่ให้โพสท่าถ่ายตัวเองหรือคนอื่นในวัดเพราะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หลังจากนั้นรถก็พาเราไปกินข้าวที่ร้านอาหารใกล้ๆ ที่พวกเรา 4 คน สั่งกันมาเต็มโต๊ะ แต่งวดนี้กินไม่หมดดีนักเพราะเนื้อที่สั่งค่อนข้างเหนียว ทัวร์ในโฮจิมินห์แตกต่างกับที่ฮานอยและซาปา ตรงที่ค่าทัวร์ไม่ได้รวมกับค่าอาหาร คือพวกเราจะกินอะไรก็สั่งและจ่ายกันเอาเอง ส่วนทัวร์ของทางตอนเหนือจะรวมค่าอาหารไว้ด้วย ซึ่งก็หนีไม่พ้นผัดกะหล่ำปลี ปอเปี๊ยะทอด เนื้อผัด ที่มีปริมาณน้อยมากสำหรับพวกเรา

กินข้าวเสร็จขึ้นรถได้ฝนก็ตกลงมา มีตกหนักบางช่วง ทำเอากังวลว่าน้ำจะท่วมอุโมงค์หรือเปล่าหว่า แต่พอไปถึงฝนก็หยุด เหลือแต่เส้นทางเดินที่เฉอะแฉะ พวกเราต้องจ่ายค่าผ่านประตูกันเอง จากนั้นก็มี VDO สงครามเวียตนามและการสร้างอุโมงค์เปิดให้ดู ซึ่งเป็นสิ่งน่าทึ่งมากที่ชาวบ้านใช้เพียงจอบอันเล็กๆ ขุดอุโมงค์ไปเรื่อยๆ จนมาเชื่อมต่อกันเป็นอุโมงค์ที่มีความยาวถึง 200 กม. ไกด์บอกว่าความกว้างของอุโมงค์จะขึ้นอยู่กับคนขุด ถ้าคนขุดตัวใหญ่อุโมงค์ก็จะใหญ่ตามไปด้วย

สำหรับเส้นทางที่ชาวบ้านใช้ประจำจะมีความกว้างไม่เท่ากัน เพื่อไม่ให้ทหารอเมริกันที่ตัวใหญ่กว่ามากผ่านเข้ามาได้ มีช่วงหักมุมบ้างเพื่อป้องกันอันตรายจากสารเคมีและก๊าซพิษที่จะถูกโยนใส่เข้าไปในอุโมงค์ และก็มีห้องโถงใหญ่สำหรับเป็นที่พัก ทำอาหารและรักษาพยาบาล รวมถึงมีพวกกับดักต่างๆ ด้วย

ปลายเปิดของอุโมงค์มีตั้งแต่บนดิน ในบ้าน ในค่ายศัตรู และติดกับแม่น้ำที่ต้องว่ายเข้าออก ไกด์พาไปดูปากอุโมงค์หนึ่งที่แคบมากแล้วก็ชักชวนให้ทุกคนลงไปถ่ายรูปโดยถือฝาปิดอุโมงค์ไว้แล้วก้มตัวลงไปในอุโมงค์ จากนั้นเวลาขึ้นก็จะมีการถ่ายรูปตอนที่ยังถือฝาปิดไว้ ทีแรกทุกคนอิดออดเพราะเป็นรูที่เล็กมาก ไกด์เลยต้องสาธิตโดยเอาใบไม้มาวางปนฝาเป็นการอำพราง แล้วก็สอดตัวเข้าไปในรู พอปิดฝาก็มีฝรั่งทำท่าเหยียบฝาไว้ ไม่ให้เปิดขึ้นมาได้ ทำเอาพวกเราฮากันใหญ่ จากนั้นมีอีกหลายคนถ่ายรูปตามแบบกันบ้าง เรายุให้จุ๋ยกับพี่ยี้เป็นตัวแทนกลุ่มลงไปถ่ายรูป แต่ก็ไม่สำเร็จ อุตส่าห์บอกให้พี่ยี้ทำเป็นลงไปแต่ติดหน้าอกเพราะใหญ่มาก..ก แกก็ไม่ยอม

ผ่านอุโมงค์มาก็มีการถ่ายรูปกับรถถังสมัยสงคราม หมอปุ้มปีนขึ้นไปจะถ่ายรูปแต่ดันทำกล้องหล่นลงมา เล่นเอาเจ้าของกล้องหน้าเสีย ส่วนฝรั่งที่ปีนขึ้นไปพร้อมๆ กัน ไปแอ๊คท่าแถวกระบอกปืน แล้วก็ลื่นหว่างขากระแทกกับตัวรถ ได้ยินเจ้าตัวอุทานดังลั่น กองเชียร์ที่อยู่ข้างล่างต่างพากัน Oh god! ไม่รู้ว่าสงสารกล้องหมอปุ้มที่ตกลงมา หรือสงสารฝรั่งกันแน่555

พวกเรามาพักตรงร้านขายของที่ระลึกให้ฝนซาพักหนึ่งก็ไปที่อุโมงค์ยาวสำหรับนักท่องเที่ยว ที่ปากอุโมงค์มีบันไดทอดลงไปในช่องกว้างอย่างดี แต่แป๊บเดียวก็เป็นอุโมงค์ดินที่ต้องนั่งยองๆ กระเถิบเข้าไปทีละนิด บางช่วงก็ต่างระดับให้ลอด หรือหย่อนตัวลงไปอีก ข้างในมืดตึ๊ดตื๋อ คลานไปก็อาศัยเสียงหมอปุ้มที่จ้อไม่หยุดบอกทิศทางว่าไปทางไหน ลำดับที่คลานไปมีจุ๋ยนำหน้า พี่ยี้ หมอปุ้ม และพจปิดท้าย ส่วนฝรั่งที่ตามเรามาติดๆ ก็ถ่ายรูปกันจัง ติดตูดพจนารถเข้าไปเต็มๆ พวกเราคลานตามกันไปเรื่อยๆ จนถึงทางแยก คนนำหน้าจุ๋ยคลานหายไปทางไหนแล้วก็ไม่รู้ เพราะพวกเรามัวถ่ายรูปกันอยู่ พี่ยี้เจอป้าย exit ที่ด้านหนึ่ง พวกเราเลยได้ขึ้นไปสูดอากาศกันซะที ส่วนฝรั่งที่ตามตูดเรามาก็ได้รับคำแนะนำจากพจว่า exit this way ส่วน that way you will continue ก็เลยมีฝรั่งตามขึ้นมาตรงทางออกนี้กว่าครึ่ง
ปากอุโมงค์ที่พวกเราขึ้นมาอยู่ห่างจากอุโมงค์เข้าแค่ 10 – 15 เมตร ยังมองเห็นคนต่อคิวเดินลงอุโมงค์กันอยู่เลย ส่วนปากอุโมงค์ถัดๆ ไปก็มีคนลอดต่อไปจนถึง หลังจากกลับถึงโรงแรมแบบไม่มีเวลาให้เปลี่ยนสายเดี่ยวไป dinner บนเรือสำราญ พวกเราก็เรียกแท็กซี่ไปที่ท่าเรือซึ่งมีเรือสำราญจอดอยู่หลายลำ
พวกเราเลือกเรือไซ่ง่อนซึ่งอยู่ด้านนอกสุดและดีที่สุด ตามที่โรงแรมแนะนำ พนักงานบนเรือแต่งชุดขาวคล้ายทหารเรือ โต๊ะไม่ถึงกับเต็มทำให้เราที่ไม่ได้จองโต๊ะไว้พอจะมีที่นั่งดีๆ รับลมหัวเรือ เราสั่งอาหารมากินกันมากมายเหมือนเคย พอได้เวลา 20.30 น. เรือก็ออกจากท่า ล่องไปตามแม่น้ำไซ่ง่อน มีคนเล่นไวโอลินกับกีตาร์เป็นเพลงซึ้งๆ ไปพลางระหว่างเรือวิ่ง พอจะทำให้เสียงเอะอะของเกาหลีกลุ่มใหญ่ที่มาฉลองวันเกิดเปลี่ยนเป็นเสียงเพลงร้องคลอไปกับไวโอลินได้ เรือแล่นอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง ผ่านท่าเรือขนส่งสินค้า แล้วก็อ้อมกลับมาส่งพวกเราอีกครั้ง