Monday, December 01, 2008

Central&South Vietnam (Part II)

16 พ.ย. 51

วันนี้เป็น City tour ที่เราจะไปกันเอง ทำให้ตื่นสายได้ตามสบาย เราเริ่มมื้อเช้ากันที่ร้าน Pho 24 กันเกือบ 9.00 น. เพราะผู้จัดการทัวร์ใช้ net หาโรงแรมที่เราจะพักต่อไปในดาลัด ส่วนลูกทัวร์ก็กินบาแกตต์รอไปพลางๆ

พวกเรามาแวะกันที่ office ของ Sinh café เพื่อซื้อตั๋ว open bus จาก โฮจิมินห์ไปจนถึงเว้ ทัวร์แจกเสื้อยืดมาให้คนละตัว การซื้อตั๋ว open bus เป็นการเที่ยวแบบ backpack ที่สะดวก เนื่องจากเราสำรองที่นั่งบนรถได้แน่นอน แค่ไปยืนยันตั๋วตรง office เมืองที่จะขึ้นรถก่อนเดินทางประมาณ 1 วัน เราก็จะได้เลขที่นั่งบนรถมาเลย ซึ่งเราจะสามารถหยุดพักเที่ยวในเมืองที่มาถึงกี่วันก็ได้ ก่อนจะออกเดินทางต่อไปยังเมืองอื่นต่อไป

ราอาศัยแท็กซี่พาเข้าเมืองโดยเริ่มจากโบสถ์นอตเทอดาม เนื่องจากวันนี้เป็นวันอาทิตย์จึงมีคริตสาสนิกชนและนักท่องเที่ยวมาร่วมพิธีในโบสถ์กันมากมาย รวมทั้ง wedding studio ที่พาบ่าวสาวมาถ่ายรูปกันด้านนอกตัวโบสถ์ จากนั้นเราข้ามถนนไปยัง central post office ที่เป็นอาคารเก่าแก่ ทรงตะวันตก เรามี postcard ฟรีของโรงแรมเลยได้ส่งไปหาปริญญ์และพรชัย จากนั้นของที่ระลึกต่างๆ ใน post office ก็ดึงดูดพวกเราไว้กว่าชั่วโมง รวมทั้ง sim card โทรศัพท์ ของ Vinaphone ที่สอบถามแล้วราคาค่าโทรกลับไทยประมาณ 12 บาทเท่านั้น

ประมาณเที่ยงแล้ว พวกเรายังเดินตุหรัดตุเหร่กันอยู่แถว park พลางดูแผนที่หา reunification palace ซึ่งคำว่า palace ทำเอาจินตนาการเกินจริง เพราะมองไปมองมาแบบอาศัยรูปในหนังสือประกอบแล้ว ถึงได้มองเห็นตึกใหญ่ประมาณที่ว่าการอำเภอใกล้ๆ นั้นเอง แถมเวลาเที่ยงยังปิดอีกด้วย พวกเรายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ จนถึงสวนพรรณไม้และสวนสัตว์ (Botany garden and zoo) ที่ผู้จัดการทัวร์โฆษณาซะดีว่าจะพาไปดูช้างที่รัชกาลที่ 7 มอบให้เวียตนาม แล้วก็เดินดุ่ยๆ มาหยุดในสวน ให้พวกเรามองหากันล่อกแล่กว่าไหนฟะช้าง? จนจุ๋ยต้องบอกว่าเป็นช้างสัมฤทธิ์ตั้งอยู่นี้ไง ...เกิดอาการเหวอเล็กน้อยในหมู่ลูกทัวร์ แต่อย่างไรก็ดี พวกเรายังคงถ่ายรูปกันอย่างบ้ากล้องเหมือนเดิม

อากาศร้อนมากจนต้องแวะพักกินน้ำ กินไอติม เนื่องจากยังไม่ได้กินข้าวเที่ยง พวกเราเลยเรียกแท็กซี่ไปเที่ยววัดต่อ และหวังไว้ว่าแถววัดจะมีร้านอาหาร แต่พอแท็กซี่ไปถึงวัดก็ต้องอึ้งไปอีกรอบ เพราะเป็นวัดเล็กๆ ไม่ค่อยมีคน เราเดินหาร้านอาหารแถวๆ นั้นกันอยู่ครึ่งค่อนวันก็ได้ร้านข้าวแกงที่โชว์ไข่พะโล้ยั่วน้ำลายไว้ในตู้กระจก

กลับเข้าไปเดินในวัดกันอีกครั้ง หมอปุ้มเข้าไปได้แป๊บเดียวก็แพ้ควันธูปต้องรีบออกมาก่อน ข้างในวัดก็เหมือนกับวัดในเวียตนามทั่วๆ ไป คือมีรูปปั้นเทพเจ้าให้กราบไหว้ (ลืมถามผู้จัดการทริปว่าวัดนี้เน้นให้อธิษฐานด้านไหนเป็นพิเศษหรือเปล่าถึงได้พามา) ส่วนรูปปั้นอื่นท่าทางน่ากลัว เราเลยเผ่นออกมาอีกคน ปล่อยให้พี่ยี้ซื้อธูปไปไหว้แล้วก็เดินออกมาเอาธูปเสียบปากสิงโตหน้าประตูวัด หน้าตาเฉย เพราะเจ้าตัวบอกว่าหลังจากไหว้เทพเจ้าด้านในแล้ว ต้องนำธูปมาปักด้านนอก ซ้าย-ขวาด้วยตามประเพณี แต่ที่นี่ไม่มีกระถางธูป พี่ยี้เลยต้องเอาไปเสียบไว้ในปากสิงโต ดูแล้วเหมือนสิงโตสูบบุหรี่ นักท่องเที่ยวที่มาทีหลังพวกเราเห็นเป็นของแปลกเลยถ่ายรูปกันใหญ่

จากนั้นเรานั่งแท็กซี่ต่อไปยังตลาดเบนถันห์ (Ben thanh market) ซึ่งเป็นตลาดที่รวบรวมของใช้ของฝาก และของกินมากมาย แท็กซี่คันนี้ช่างคุยและพูดภาษาอังกฤษได้ดี อธิบายว่าตลาดนี้มีทางเข้า 4 ประตูด้วยกัน และยังแนะนำร้านอาหารดังของโฮจิมินห์ ชื่อร้านงง (Ngon resterent) ให้อีกด้วย

พวกเรากลับมานอนพักกันก่อนจะออกไปกินมื้อเย็น แค่จุ๋ยบอกชื่อถนน แท็กซี่ก็บอกว่า “งง” แล้ว ทำเอาจุ๋ยที่เป็นคนบอกงงยิ่งกว่า สรุปก็คือ ร้านนี้เป็นร้านดังจริงๆ ที่ใครๆ ก็รู้จัก พอไปถึงก็ต้องตะลึงกับลูกค้าที่ยืนรอกันเป็นแถวออกมานอกร้าน พี่ยี้เป็นคนไปเจรจา แล้วก็กลับมาทำหน้างงๆ ว่าเค้าพูดภาษาเวียตนามด้วย (ฟังไม่รู้เรื่อง) ที่หน้าร้านมีพนักงานคนนึงเป็นคนจัดคิว พวกเราเห็นไม่มีบัตรคิว หรือถามชื่อซักที ทำให้ไม่แน่ใจว่าจะได้กินแน่หรือเปล่า ยืนรออยู่ประมาณ 10 นาที เขาก็ชี้บอกให้เดินเข้าไปได้ แต่ไม่มีคนพาไปที่โต๊ะ พวกเราเลยได้แต่เดินตามฝรั่งขึ้นไปถึงชั้น 2 แล้วก็ไปบอกพนักงานแถวนั้นว่าพวกตูมากัน 4 คน เลยได้โต๊ะนั่ง จากนั้นพวกเราก็สั่งอาหารลุย ตั้งแต่แหนมเนือง ผัดผักบุ้ง ผัดหมี่ซั่ว hot pot รวมมิตร ที่อร่อยสมกับที่มากันอย่างงงๆ แถมเด็กเสริฟหนุ่มหน้าทะเล้นยังชวนพวกเราคุยแล้วก็สอนวิธีกินพวกแหนมเนืองกับ hot pot แบบเวียตนาม เหมาะแล้วที่ร้านนี้จะเป็นร้านยอดนิยมที่ทั้งคนเวียตและชาวต่างชาติจะพากันมากิน

ตอนใกล้จะอิ่มพวกเราก็ว่างพอที่จะอำเด็กเสริฟ เพราะพอเค้าถามว่าจุ๋ยกับพี่ยี้เป็นแฟนกันเหรอ พี่ยี้ก็บอกว่าไม่ใช่...จุ๋ยชอบผู้ชายมากกว่า จากที่ยืนคุยด้วยในระยะ 2 ฟุตก็เปลี่ยนไปเป็น 2 เมตร แล้วเด็กคนนั้นก็หายไปเม้าท์กับเพื่อนอยู่พักใหญ่ พร้อมกับผลัดกันมาดูหน้าจุ๋ย...ดูไปยิ้มไป พอบอกให้จุ๋ยทำท่าจุ๊บๆ ทุกคนในโต๊ะก็ฮากันลั่น (แต่เจ้าตัวไม่ยักทำ)

พวกเราเดินย่อยอาหารจากร้านกลับไปที่จัตุรัสโฮจิมินห์ อาคารสีขาวตอนกลางวันของ city mall ในยามค่ำคืนมีไฟสีเหลืองส่องอยู่ ดูสวยไปอีกแบบ พวกเรายังเดินต่อกันไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ผ่านร้านเค้กที่เล็งไว้ยามนั่งแท็กซี่ผ่านไปมา แต่พอเข้าไปดูใกล้ๆ กลับไม่ค่อยน่ากินเท่าที่ควร พวกเราเลยได้ขนมปังอย่างอื่นมาเป็นเสบียงสำหรับอาหารเช้าบนรถในวันพรุ่งนี้

17 พ.ย. 51

วันนี้พวกเราขึ้นรถไปเมืองดาลัด (Dalat) ซึ่งเป็นเมืองภูเขาห่างจากโฮจิมินห์ 308 กม. จากข้อมูลที่ว่าเมืองนี้ถือเป็นสวิสเซอร์แลนด์ของเวียตนาม ทำเอาใจจดจ่อว่าจะเป็นเมืองแบบไหนกันนะ รถวิ่งออกนอกเมืองให้ได้ดูร้านค้าที่คล้ายกับเมืองไทย โดยส่วนหน้าบ้านจะแคบกว่า อาจเป็นเพราะคนเวียตตัวเล็ก หรือเก็บภาษีแพงก็ไม่แน่

รถแวะให้เราพักเข้าห้องน้ำที่สะอาดมาก เพราะบังคับให้เปลี่ยนรองเท้าหน้าห้องน้ำ มีร้านค้าอยู่ด้วยเลยได้ซื้อขนุนและกล้วยกรอบเป็นเสบียงเพิ่มเติมบนรถ จากนั้นเราก็หลับตลอดจนอากาศเริ่มเย็นเพราะฝนตก รถจอดอีกครั้งให้เรากินข้าวเที่ยงที่ร้านอาหารค่อนข้างใหญ่ แต่ฝนที่ตกทำเอาไม่ทันได้ชื่นชมบรรยากาศของร้านนัก หมอปุ้มยังเอาดีถ่ายรูปกันหน้าห้องน้ำ

รถวิ่งได้ช้ากว่ากำหนดถึง 1 ชั่วโมง เพราะหลังจากกินข้าวเที่ยงก็เป็นการวิ่งขึ้นเขาตลอด ตอนใกล้จะถึงยังวิ่งผ่านทะเลสาบขนาดใหญ่ ฝนที่ตกอยู่ทำให้หนักใจว่าจะไปเดินหาโรงแรมกันอย่างไรดีท่ามกลางสายฝน โชคดีที่จริงๆ แล้ว office ของ Sinh café ที่นี่เป็นโรงแรมและยังมีห้องเหลืออีกห้องเดียวให้พวกเราได้นอนกัน 4 คน จุ๋ยกับพี่ยี้ไปดูห้องแล้วลงมาบอกว่าอยู่ชั้น 3 เป็นห้องใต้หลังคา พวกเราได้อบอุ่นอยู่ในห้องแป๊บเดียวก็ต้องควักเสื้อกันฝนที่เตรียมมาออกมาใช้

ร้านอาหารที่หมอปุ้มหาข้อมูลมาชื่อร้าน Blue water เป็นร้านริมทะเลสาบค่อนข้างหรูอยู่ไม่ไกลจากโรงแรม พวกเราเมียงๆ มองๆ สักพัก ก็เดินต่อไป สุดท้ายก็มาเจอร้านติ๋มซำที่ด้านล่างขาย bakery น่ากิน ทำเอาจุ๋ยกับพจได้บาแกตต์และวุ้นในเนื้อเค้กมะพร้าวติดไม้ติดมือไปสมทบกับอีก 2 สาวที่เตรียมสั่งอาหารกันแล้ว

พวกเราเดินขึ้นไปที่ชั้น 2 ของร้าน และสั่งที่คิดว่าเป็นติ๋มซำ โดยมีคุณลุงคนหนึ่งเข้ามาทักทาย ทีแรกเราคิดว่าแกเป็นเจ้าของร้านที่พูดไทยได้ แต่คุยไปคุยมาแกบอกว่าเป็นคนสิงคโปร์ เคยไปทำงานในเมืองไทยแถวปากน้ำ สมุทรปราการอยู่หลายปี ตอนนี้แกทำงานบริษัทน้ำมันที่ยังไม่ได้สัมปทานในเวียตนาม และเป็นลูกค้าประจำร้านนี้ จากนั้นลุงก็ชวนคุยและแนะนำอาหารต่างๆ แถมยังแจกนามบัตรพร้อมเบอร์โทรให้พี่ยี้อีกด้วย แกเดินกลับไปกลับมาระหว่างโต๊ะตัวเองกับโต๊ะเราหลายครั้งทำเอาจุ๋ยหน้าบูด ก้มหน้าก้มตากินอย่างเดียว อาแปะยังคงจ้อต่อไปแถมยังแซวจุ๋ยแบบไม่ดูตาม้าตาเรือว่าไม่ค่อยคุยเลย หนสุดท้ายหลังจากที่แกจ่ายเงินค่าอาหารของตัวเองแล้วก็ยังมาถามอีกว่าถ้าพวกเรามีปัญหาเรื่องค่าอาหาร พร้อมทั้งมองอาหารที่พวกเราสั่งมาเต็มโต๊ะ แกก็ยินดีช่วยจ่ายนะ พวกเรารีบบอกขอบคุณ (ก่อนที่จุ๋ยจะด่าเป็นภาษาอังกฤษชุดใหญ่) ให้แกอำลาจากไปซะที อีกหลายวันทีเดียวที่พี่ยี้โดนแซวว่ามีหนุ่ม (คราวพ่อ) มาหลีด้วยนะเนี่ย หลังจากนั้นเราก็เก็บซาลาเปาลูกเท่านมน้องตั๊กที่ยังเหลืออีกหลายลูกอยู่ใส่ถุงไว้กินมื้อหน้า พวกเราออกจากร้านไม่ดึกเท่าไหร่ แต่การเดินฝ่าความมืดที่หนาวเย็นและฝนตกปรอยๆ ตลอดทางไปเรื่อยๆ เหมือนไม่มีทางจะสิ้นสุดก็ให้ความรู้สึกยากจะบรรยาย เดาไม่ถูกเลยว่า city tour ในวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง

No comments: