Sunday, September 28, 2014

หนีห่าว...ไต้หวัน

บันทึกการท่องเที่ยว ไต้หวัน 8 – 12 ส.ค. 57

8 .. 57

ทัวร์กินช้อปไต้หวันคราวนี้ ประกอบด้วย 3 สาว พจ หมอปุ้ม และแมว เริ่มออกเดินทางกันตั้งแต่เที่ยงวัน ใช้วิธีเหมาแท็กซี่ไปส่งสุวรรณภูมิ แวะรับหมอปุ้มที่ รพ.สต. แล้วก็วิ่งยาวเลย รถติดบ้างเล็กน้อยเนื่องจากกำลังเริ่มต้นวันหยุดยาว ไปถึงสนามบินก็สอดส่ายสายตามองหาของกินแก้คลื่นไส้ เนื่องจากคุณลุงแท็กซี่ขับปาดซ้ายปาดขวาทำเอาเวียนหัวนิดๆ ได้น้ำสตอเบอร์รี่ปั่นของสตาร์บัคมาเพิ่มน้ำตาลในเลือดค่อยหายเวียนหัว มาหน้ามืดเอาตอนจ่ายเงินทีเดียว อิอิ

พอแมวมาถึงในชุดกระโปรงทำงาน (และกำลังจะเป็นชุดนอน ชุดเที่ยว) พวกเราก็พากันไปเช็คอินสายการบินไทย โชคดีที่เคาน์เตอร์เปิดเร็ว พอพนักงานบอกว่าวีซ่าของแมวซึ่งยื่นขอโดยใช้วีซ่าอเมริกานั้นระบุเลขที่วีซ่าผิด พวกเราจึงมีเวลาไปใช้อินเตอร์เน็ตที่ไปรษณีย์ของสุวรรณภูมิยื่นขอวีซ่าและพิมพ์เอกสารออกมาใหม่

อย่างไรก็ดี ยังมีเวลาให้สาวๆ ขาช้อปซื้อของปลอดภาษีและพากันไปกินดื่มกันที่ King power lounge อีกพอสมควร แต่สุดท้ายเครื่องก็ delay ให้ต้องรอกันอีกพักใหญ่

3 ชั่วโมงครึ่งต่อมา พวกเราก็มาถึงสนามบินเถาหยวน อาศัยนอนบนเครื่องนิดๆ หน่อยๆ เพราะมาถึงดึกพอสมควร เครื่องการบินไทยลงที่ Terminal 1 เดินไปไม่ไกลก็ถึงทางลงมาซื้อตั๋วรถบัสเข้าเมือง เนื่องจากเป็นเวลาดึกแล้ว และยังไม่มีรถไฟฟ้าวิ่งมาถึงสนามบินโดยตรง พวกเราจึงไม่เลือกที่จะเข้าไทเปด้วยการนั่ง shuttle bus ไปที่สถานีรถไฟความเร็วสูง (High speed rail: HSR)

ตามที่หนังสือท่องเที่ยวและเว็บไซต์ที่พวกเราหาข้อมูลมา แนะนำตรงกันคือให้ขึ้นรถบัสของบริษัทกั๋วกวง (King bus) สาย 1819 ซึ่งขายตั๋วอยู่ช่องที่ 7 ของสนามบิน ราคาคนละ 125 NT (New Taiwan dollar) ละเอียดกันขนาดนี้ทำให้พวกเราต้องทวงเงินทอนเมื่อจ่ายแบ๊งค์พันไปแล้วเหลือเงินติ๊ดเดียว ไม่แน่ใจว่าพนักงานง่วงเลยทอนเงินผิดหรือคิดจะโก่งราคา

ออกมาถึงช่องจอดรถ รอได้สักพักก็ได้เพื่อนคนไทยที่มาคนเดียว น้องคนนี้เคยทำงานอยู่ที่ ม.ศิลปากร วิทยาเขตเพชรบุรีซะด้วย พอรถมาจอด ลุงคนขับก็ล้งเล้งเป็นภาษาจีน ส่วนพวกเรามีหน้าที่ยื่นตั๋วให้ดู แล้วบอกสถานที่ลง (Taipei Main Station) ต่างคนต่างก็พูดกันคนละภาษา แต่สรุปก็คือคนที่ลงสถานีเดียวกันให้เอากระเป๋าเดินทางวางไว้ในช่องเดียวกัน

หมอปุ้มเห็นว่าน้องมาหลายครั้งแล้วเลยถือโอกาสไปนั่งด้วยและสอบถามข้อมูลตลอดทาง แต่ข้อใหญ่ใจความที่ได้มาคือให้พวกเราไปซีเหมินติ่ง หรือสยามสแควร์ไต้หวัน แล้วไปกินบุฟเฟ่ต์ที่ร้านหมาล่า ซึ่งเป็นร้านสไตล์สุกี้และมีไอศกรีมฮาเก้นด๊าซให้กินไม่อั้น ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าน้องบอกทางไปไม่ถูกและไม่มีป้ายชื่อร้านเป็นภาษาอังกฤษ!

มาถึง Taipei bus station ไม่ใช่ Main station อย่างที่เข้าใจ ถามอีกครั้งคนในรถบอกว่าให้ลงตรงนี้แหละ พวกเราลงมายืนเอ๋อกันพักนึง โบกมือลาส่งคุณน้องที่เพิ่งรู้จักขึ้นรถแท็กซี่ จากนั้นก็ค่อยคลำทางไปโรงแรม เนื่องจากเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว จะลงไปทางใต้ดินคงไม่ดี เดินวนไปวนมาจนเจอสัญลักษณ์ที่เป็นทางเข้าสถานีรถไฟไต้ดิน เช่น Y1 หรือ M1 แต่ที่พักของเราอยู่ระหว่าง Y11 กับ Y13 ก็เลยเดินกันไกลนิดนึง 

หลังจากข้ามถนน ลัดเลาะลานจอดรถ ในที่สุดก็มาถึงหน้าโรงแรมกันจนได้ ลิฟท์เปิดออกมาถึงกับใจหายเพราะภายในลิฟท์บุด้วยไม้อัดเก่าๆ ธรรมดาๆ จะลองชกดูว่าบางจนทะลุได้หรือเปล่าก็กลัวเสี้ยนทิ่มเป็นบาดทะยักกันเสียเปล่าๆ เมื่อไม่มีบันไดให้เดินขึ้นก็จำใจเข้าลิฟท์ พจกับหมอปุ้มเคยขึ้นลิฟท์ส่งของที่จะพังแหล่มิพังแหล่ที่อินเดียกันมาแล้ว ประสาทเลยออกจะแข็งกว่าแมวนิดหน่อย แต่อย่างไรก็ตามพวกเราก็ได้แต่หวังว่าลิฟท์จะพาขึ้นไปจนถึงโรงแรมซึ่งอยู่ชั้น 3 ได้อย่างปลอดภัย

ที่เคาน์เตอร์โรงแรมราวกับเป็นคนละภพกับภายในลิฟท์ เพราะดูสะอาดสะอ้านเหมือนรูปในหน้าเว็บ และที่สำคัญมีพนักงานต้อนรับเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาหล่อเหลา โดนใจป้าๆ เป็นอย่างยิ่ง

ห้องของพวกเรามีเตียงใหญ่ 1 เตียงเล็ก 1 ให้นอนกัน 3 คน ห้องน้ำกว้างขวาง และมี wifi ระหว่างที่เพื่อนๆ กำลังเข้าสู่โลกโซเชียล พจนารถก็ถือโอกาสอาบน้ำก่อนแล้วรีบนอนด้วยความเร็วแสง

9 .. 57

พออายุเริ่มมากขึ้น ได้พักผ่อนก่อนค่อยเที่ยวจะรู้สึกสดชื่นมากกว่ามาถึงกลางวันแล้วเที่ยวต่อเลย และยิ่งสดชื่นขึ้นมาอีกเมื่อน้องหล่อที่เคาน์เตอร์ยังไม่ออกเวร ยังคงยืนคอยอรุณสวัสดิ์...อา ความหวังหลังรอยยิ้ม!

โปรแกรมของวันนี้ พวกเราจะไปพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน หรือกู้กง พอสว่างแล้วเลยทดลองใช้เส้นทางใหม่ที่ไม่ได้ผ่านมาเมื่อคืน ก็ปรากฎว่า แค่เดินอ้อมตึกไป เราก็เจอทางลงไปยัง main station (Y13) ใช้เวลา 5 นาที อย่างที่คนพักโรงแรมก่อนหน้านี้แสดงความคิดเห็นไว้จริงๆ

ทีแรกตั้งใจกันว่าจะหาซื้อบัตร MRT หรือ Easy card เพื่อใช้ขึ้นรถไฟใต้ดินกันก่อน แต่พอท้องเริ่มร้อง กองทัพก็ไม่ยอมเดิน ถึงแม้ว่าร้านค้าภายในสถานีจะมีมากมายก็จริง แต่ในเวลาเช้าอย่างนี้ไม่ค่อยมีร้านเปิด โดยเฉพาะร้านอาหาร ที่พึ่งพิงของพวกเราก็คือ 7 – 11 ที่ทุกความเห็นและหนังสือแนะนำว่า หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา” ได้จริงๆ

พวกเราทดลองกินโอเด้ง ลูกชิ้น ในน้ำซุป ส่วนอาหารหลักเป็นมาม่าหรือข้าวปั้นกันตามสะดวก จากนั้นก็สานต่อภารกิจซื้อบัตร Easy card กันต่อ จากที่นั่งพักกินข้าวเช้า จะใกล้กับเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติมากกว่า พวกเราเลยเลือกที่จะจองตั๋ว HSR ไปสถานีไถจง (Taichung) เพื่อเดินทางไปทะเลสาบสุริยันจันทรากันในวันพรุ่งนี้ เนื่องจากตู้ขายตั๋วอยู่ติดๆ กัน เราจึงเลือกตู้ที่มีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการ หลังจากบอกวันที่และสถานที่จะไปแล้ว คุณลุงเจ้าหน้าที่ก็อำนวยความสะดวกให้ แต่พอทำรายการขากลับเกิดมีปัญหา เจ้าหน้าที่ก็เลยให้ไปซื้อตั๋วที่ช่องขายตั๋วแทน

ตอนนั้นเราแค่รู้สึกแปลกใจเพราะในหนังสือท่องเที่ยวซึ่งอธิบายการซื้อตั๋วจากเครื่องอัตโนมัติอย่างละเอียดพร้อมรูปถ่าย มีช่องทำรายการที่ไม่เหมือนกัน มาถึงบางอ้อตอนที่เดินหาช่องขายตั๋วของ HSR และเจอกับเครื่องอัตโนมัติของ HSR ที่อยู่ใกล้ๆ กัน แสดงว่าเครื่องอัตโนมัติที่คุณลุงเจ้าหน้าที่ประจำอยู่นั้นเป็นของรถไฟธรรมดาวิ่งระหว่างเมือง หรือ Taiwan Railway Administration (TRA) ซึ่งมีสถานีไถจงเช่นเดียวกัน แต่ใช้เวลาวิ่งนานกว่า

จองตั๋วกันเองเสร็จสรรพจนเริ่มรู้สึกเมื่อย ขี้เกียจเดินหาซื้อบัตร Easy card ต่อ นึกขึ้นได้ว่าที่ 7 -11 ก็มีขาย และดูจะหาง่ายกว่าเครื่องขายตั๋วที่ติดกันเป็นพรืด แต่ที่ไหนได้ ในสถานีชุมทางเช่นนี้ บัตร Easy ต้องซื้อเอาที่ตู้อย่างเดียว และตู้ขายบัตรจะแบ่งเป็นตู้เงินสดและบัตรเครดิต ส่วนบัตรก็จะแยกเป็นขายบัตรอย่างเดียว 100 NT แล้วต้องเติมเงินอีกรอบตามราคาที่ต้องการ สรุปว่าพวกเรา 3 คน ต้องทำรายการที่ตู้ทั้งหมด 6 ครั้ง! ชาวไต้หวันที่ต่อแถวข้างท้าย ถึงกับย้ายไปต่อคิวเครื่องอื่นกันทีเดียว ปล่อยให้ป้าๆ มะงุมมะงาหราอยู่กับหน้าจอตามสบาย

วันนี้พวกเราวางแผนเที่ยวเนิบช้า สร้างความคุ้นเคยกับระบบขนส่งมวลชนกันก่อน ใช้คำซะดี ที่จริงก็คือเผื่อเวลาหลงไว้เยอะนั่นเอง สถานที่แรกคือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติกู้กง เพื่อนๆ ถึงกับงงที่พจนารถบอกจะใช้เวลาดูซัก 3 ชั่วโมง ทำท่าสนใจศิลปวัตถุอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ที่จริงเป้าหมายลึกๆ ก็คือเกาะติดสมบัติล้ำค่าของจีนแผ่นดินใหญ่ เอาไว้มามโนต่อกับหนังสือนิยายบันทึกจอมโจรฯ นั่นเอง ฮิฮิ

จากสถานีรถไฟฟ้า MRT main station สายสีแดงไปลงสถานีซื่อหลิน (Shilin) Exit 1 เดินตามๆ เขาไปก็จะพบป้ายรถเมล์หน้าร้านวัตสัน รอรถไม่มาซักที แมวเลยเข้าไปซื้อกาแฟที่ร้านแถวนั้นมากินไปพลางๆ ส่วนพจกับหมอปุ้มได้น้ำถั่วเขียวกับไอศกรีมใน family mart กันมาคนละอย่าง

ไม่ต้องดูสายรถ เพราะทันทีที่รถจอด คุณลุงคนขับก็ตะโกนว่ากู้กง ให้ทุกคนกรูกันขึ้นไป เราชู Easy card เป็นเชิงถามว่าต้องแตะบัตรก่อนไหม? คุณลงก็โบกมือให้เดินเข้าไปเลย เป็นอันรู้กัน...ภาษาใบ้ international ไปได้ทั่วโลกจริงๆ

ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ก็มาถึงกู้กง คราวนี้ก่อนลงใครที่มี Easy card ก็แตะบัตรข้างคนขับ ส่วนใครไม่มีก็หยอดเหรียญลงในช่องใส่เหรียญ


เนื่องจากเป็นวันหยุด ผู้คนทั้งจีนและไม่จีนจึงล้นหลาม ซื้อบัตรผ่านประตูได้ เราก็ต้องฝากกระเป๋ากันที่ช่องรับฝากซึ่งก็คือเดินเข้าไปวางเฉยๆ ส่วนน้ำดื่มวางไว้ที่โต๊ะด้านนอก หากจะกลับมาเอาก็เขียนชื่อติดเอาไว้ ระหว่างที่แมวเอาเป้ไปฝาก เราก็คิดวิธีฆาตกรรมด้วยการหยอดยาลงไปในขวดน้ำที่ต้องวางทิ้งไว้ ซึ่งส่วนใหญ่เจ้าของจะเปิดขวดกินไปบ้างแล้ว...น่าเสียดายที่กระเป๋าของหมอปุ้มดันสะพายเข้าไปได้เลยไม่ต้องเดินไปฝาก

ผ่านบริเวณตรวจบัตรเข้าไปด้านในแล้ว พวกเราถึงนึกได้ว่าไม่ได้หยิบแผนผังห้องจัดแสดงมาด้วย อย่างนี้จะไปดูไฮไลท์ครบได้อย่างไร เราได้แต่พูดเล่นว่าออกไปไม่ได้แล้วก็หาเอาตามพื้นละกัน เผื่อใครจะทิ้ง แมวรีบตัดเยื่อใยว่าคนเพิ่งเข้ามาใครเขาจะทิ้ง เราได้แต่แถไปว่าไม่เชื่อไปดูในห้องน้ำสิ คนจะกลับแล้วต้องทิ้งแน่ๆ ว่าแล้วก็เดินเข้าห้องน้ำไปทำธุระ ออกมาอีกทีปรากฎว่าหมอปุ้มได้โบชัวร์ภาษาจีนจากถังขยะในห้องน้ำมาชุดหนึ่งจริงๆ...เอิ่มม!?!  พวกเรากลับมาที่ประตูทางเข้าใช้ภาษาใบ้อีกนิดหน่อย เจ้าหน้าที่ก็ปล่อยให้คนต่างชาติทั้ง 3 ออกมาหยิบโบชัวร์กันตามสบาย ส่วนเครื่องบรรยายต้องไปต่อคิวเช่าอีกยาว ก็เลยไม่รอ

ไฮไลท์ของกู้กงนี้ก็คือหยกแกะสลักรูปผักกาดขาว มีตั๊กแตนเกาะอยู่ด้านบน และหยกสีน้ำตาลรูปเนื้อหมูสามชั้น ทั้ง 2 ชิ้นงดงามเหมือนจริงมาก ในห้องจัดแสดงยังมีจอภาพขนาดใหญ่ซูมให้เห็นรายละเอียดของหยกทั้ง 2  ชัดๆ ที่จริงข้อบังคับของที่นี่คือห้ามถ่ายรูป แต่เนื่องจากคนเยอะมาก เจ้าหน้าที่คงดูแลไม่ทั่วถึง เลยเห็นบางคนควักมือถือออกมาถ่ายรูป ไม่ใส่ใจสายตาติเตียนของคนรอบข้าง

ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ในกู้กงนั้นมีจำนวนกว่า 6 แสนชิ้น นับว่านายพลเจียงไคเช็คหิ้วข้ามทะเลมาได้มากโขอยู่ ถึงแม้พิพิธภัณฑ์นี้จะกว้างใหญ่ไพศาล แต่ก็ยังไม่สามารถจัดแสดงสมบัติทั้งหมดได้ ต้องหมุนเวียนกันแสดงทุก 3 เดือน ไม่เห็นใจพิพิธภัณฑ์ปักกิ่งที่สร้างไว้รอท่าเลย

ถัดจากเครื่องหยกก็เป็นเครื่องหมิงชิง จำพวกโลหะ เซรามิก ถ้วยโถโอชาม พวกเราเดินลงบันไดผ่านห้องจัดแสดงภาพวาดและบันทึกอักษรโบราณกันอย่างหิวโหยยามบ่ายโมง ไม่ลืมออกมาถ่ายรูปด้านหน้าพิพิธภัณฑ์เล็กน้อยแล้วค่อยอำลากู้กงไปหาของกิน จาก 3 ชั่วโมงที่ตั้งเป้าไว้ ก็เลยเหลือแค่ 1.5 ชั่วโมง...เศร้า!

เราโปรยเมนูยั่วน้ำลายเพื่อนๆ เอาไว้อย่างดีว่าแถวๆ MRT ซื่อหลินนั้น มีคนแนะนำร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ หมีใหญ่สุดอร่อยเอาไว้ ทำไมถึงหมีใหญ่? เพราะที่หน้าร้านมีตุ๊กตาหมีตัวเบ้อเร่ออยู่ตรงบานกระจก แต่พอลงจากรถบัส ที่คุณลุงคนเดิมขับมาจอดฝั่งตรงข้ามป้ายรถเดิม เดินหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ หันมามองเพื่อนร่วมทางที่ทำท่าจะกินหมีใหญ่ตัวที่เดินนำอยู่นี่แทนแล้ว เราก็รีบเปลี่ยนร่างเป็นริวจิตสัมผัสแทน...ม่ายช่าย ใช้จมูกสอดส่ายจนได้กลิ่นเนื้อวัวตุ๋นที่ถนนฝั่งตรงข้าม ว่าแล้วก็พาเพื่อนๆ เดินไปที่ร้าน ถึงจะไม่มีหมีใหญ่ แต่ด้วยความหิว พวกเราก็มีมติเอกฉันท์เลือกร้านนี้แหละ

ถึงระยะหลังๆ นี้จะไม่ค่อยได้กินเนื้อวัวแล้ว แต่พอมาเจอก๋วยเตี๋ยวเนื้อชามใหญ่ รสชาติดีมาก ไม่นาน ทั้งเนื้อทั้งเส้นที่คล้ายราเม็งก็ลงมาอยู่ในพุงป่องๆ อย่างรวดเร็ว ไม่ทันได้พิสูจน์ว่าพอมากินเนื้ออีกจะรู้สึกเหม็นสาบเหมือนที่เขาว่าไว้หรือเปล่า

แมวแนะนำขนมเค้กน่ากินในร้านกาแฟที่ซื้อก่อนไปกู้กง พวกเราก็ไม่ขัดแต่ขอเวลาย่อยเนื้อด้วยการช้อปปิ้งในร้านวัตสันกันก่อน ซึ่งก็ได้ผล เพราะต่างคนต่างก็ถูกใจเครื่องสำอางญี่ปุ่นที่ราคาพอๆ กับต้นตำรับ บางอย่างที่จัดรายการยังจะถูกกว่าซื้อที่ญี่ปุ่นด้วยซ้ำ ได้เวลาสมควรพวกเราก็เดินเข้าไปสั่งเค้กและน้ำปั่นมากินกันต่อตามประสาสาวๆ ไม่แคร์แคลอรี่ ช็อคโกแลตบานาน่าสมูตตี้ของพจนารถยังดึงดูดหนุ่มไต้หวันมาสะกิดถามว่า ป้าๆ ไอ้นี่คืออัลไล? จะได้สั่งบ้าง อีกต่างหาก...เวลาเที่ยวเมืองนอกนี่มีเสน่ห์ต่อหญ้าอ่อนนะเนี่ย โฮะ โฮะ

หมอปุ้มยังติดใจแวะวัตสันอีกรอบ ต่อจากนั้นพวกเราก็ยังช้อปร่มพับที่ร้านรายทาง ร่มของไต้หวันก็ถือเป็นของฝากคุณภาพอย่างหนึ่งที่มีผู้แนะนำไว้ เนื่องจากแข็งแรงทนทาน สวยงาม หาซื้อง่าย และราคาไม่แพง จนกลับมาที่สถานีซื่อหลินนั่นแหละ ถึงได้เห็นว่าร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อหมีใหญ่มันก็อยู่ตรงฝั่งขวามือของ Exit 1 นั่นเอง...เฮอะ!

บ่ายคล้อยแล้ว พวกเรากลับมาที่ main station เปลี่ยนจากรถไฟฟ้าสายสีแดง เป็นสายสีน้ำเงินไปลงสถานี Zhongxiao Fuxing เป้าหมายต่อไปก็คือห้างสรรพสินค้า SOGO ซึ่งมี 2 ห้าง คนไทยเรียกว่า ตึกเขียวกับตึกขาวจากสีของตัวตึก ตึกเขียวคือ SOGO สาขา Fuxing จะเน้นแบรนด์เนมเป็นหลัก ส่วนตึกขาวคือสาขา Zhongxiao สินค้าจะมีราคาถูกกว่าหน่อย พวกเรามองหาร้านเสี่ยวหลงเปาเจ้าดังที่ชั้น B2 ของตึกเขียว เห็นว่าคนรอคิวเยอะ และยังอิ่มอยู่ จึงเดินดูของ และชิมพายสับปะรดเจ้าต่างๆ ที่มีให้เลือกแทน (ไหนว่ายังอิ่มอยู่?)

แมวตรงดิ่งไปที่ชั้นแสดงรองเท้าโอนิสึกะซึ่งราคาถูกกว่าเมืองไทยมาก แต่ก็ยังคิดว่าจะลองเปรียบเทียบราคาจากหลายๆ ที่ อย่างเช่นถนนคนเดินซีเหมินติง กับซื่อหลินก่อน ซึ่งตามแผนในคืนนี้ พวกเราจะเริ่มที่ตลาดซื่อหลิน (Shilin night market)

การไปตลาดซื่อหลินนั้น แทนที่จะลงสถานีซื่อหลินเหมือนตอนเช้า พวกเราลงที่สถานี  Jiantan Exit 1 ซึ่งใกล้ตลาดมากกว่า เดินออกมาก็เริ่มเห็นผู้คนทะยอยกันเดินไปเรื่อยๆ ร้านริมถนนส่วนใหญ่เป็นพวกเสื้อผ้า หมวก กระเป๋า แต่มาถึงร้านรองเท้าผ้าใบร้านแรกพวกเราก็หยุดดูอยู่เป็นนาน เพราะทั้งแมวและหมอปุ้มเป็นพวกนิยมรองเท้าผ้าใบกันทั้งคู่ ส่วนพจได้แต่นั่งเป็นนางกวักมองหนุ่มๆ เอ๊ย ติชมรองเท้าที่เพื่อนๆ เลือกมาให้ดูเป็นพักๆ

พจกับแมวใส่รองเท้าเบอร์เดียวกัน เสียแต่ว่าถ้าเป็นรองเท้าทรงเรียวหน้าแคบ เป็นเท้าแมวก็ต้องเพิ่มไซส์ขึ้นอีก ส่วนเท้าพจที่หนากว่าอีกขั้นหนึ่งเรียกได้ว่าไปลองรองเท้าผู้ชายเสียเลยจะดีกว่า หมอปุ้มนั้นใช้กระเป๋าเดินทางใบเล็กบอกว่าไม่คิดจะซื้ออะไรมาก แค่วันแรกก็ได้เครื่องสำอางกับรองเท้าผ้าใบอีกคู่ พจนารถก็เลยชี้ชวนให้ซื้อกระเป๋าเดินทางใหม่อีกใบตามประสาเพื่อนที่ดี

ดูของใช้กันมาก็มาก พอเข้าไปในซอยย่อยๆ ก็เริ่มได้กลิ่นอาหาร พวกเราเปิดเมนูเดินกินกันที่น้ำสมุนไพรสีเหลืองอ่อนที่มีโลโก้เป็นไข่กบ ตามด้วยปลาหมึกตัวใหญ่ชุบแป้งทอด เห็ดออรินจิย่าง ไส้กรอกหมูป่า หอยเชลล์ย่าง ไก่ทอดกรอบร้าน hot star เจ้าดัง แล้วตบท้ายกันด้วยน้ำแข็งไสหน้าผลไม้ เรียกว่าหมอปุ้มเหรัญญิกจดบัญชีตามแทบไม่ทันทีเดียว (เพราะเธอมัวแต่กินอยู่)

ท้ายที่สุดก่อนกลับถึงสถานีรถไฟฟ้า เราก็ยังได้กินชานมไข่มุกกันต่อ ถึงจะไม่ใช่ร้านลุงแว่นเจ้าดัง แต่ก็รสชาติดีตามที่รีวิวของหลายๆ คนเขียนไว้ว่าชานมไข่มุกของไต้หวัน ตัวไข่มุกจะออกหวานและเคี้ยวหนึบ ส่วนชานมก็ไม่ถึงกับจืดจนรับไม่ได้

กลับมาถึงโรงแรมอีกครั้งเกือบ 4 ทุ่ม แวะทักทายน้องหล่อพนักงาน แล้วก็พากันหาข้อสรุปจากการแทะโลมหนุ่มๆ ด้วยสายตาบนรถไฟฟ้ามาทั้งวัน ว่าหนุ่มไต้หวันหน้าตาดีกว่าหนุ่มจีนและญี่ปุ่น...ฟันธง!

10 .. 57

วันนี้แหล่งอาหารเช้าของพวกเราเป็น 7 -11 หน้าโรงแรม ก่อนจะไปยังสถานีรถไฟ HSR เราเผื่อเวลากันไว้พอสมควร ดังนั้นแทนที่จะกินอาหารเช้ากันบนรถไฟเลยเปลี่ยนมากินให้เสร็จตรงที่นั่งรอ พอรถไฟมาถึงและนั่งตรงที่นั่งที่จองไว้ พวกเราก็เล่นโทรศัพท์กันอย่างเพลิดเพลินเพราะบนรถไฟมีสัญญาณ Wifi ให้ด้วย

ใช้เวลา 45 นาทีก็มาถึงสถานีไถจงที่ใหญ่โตราวกับสนามบิน ลงบันไดเลื่อนมาก็จะเจอเคาน์เตอร์ขายตั๋วรถบัสไปทะเลสาบสุริยันจันทรา โดยตั๋วนี้ขายเป็นแพคเกจ ประกอบด้วยตั๋วรถบัสไป-กลับ ไถจง-หนานโถว (Nantou) เมืองที่ตั้งทะเลสาบสุริยันจันทรา ตั๋วกระเช้าชมวิว ตั๋วรถบัสรอบทะเลสาบ เรือโดยสาร และบัตรส่วนลดเช่าจักรยาน พร้อมกับตารางเดินรถ

และเนื่องจากพวกเราจองตั๋วรถไฟกลับเที่ยว 11 โมงเช้า ดังนั้นตามตารางเดินรถที่เห็นทำให้หมดโอกาสเที่ยวบริเวณอื่นๆ ของทะเลสาบรวมทั้งขี่จักรยานในวันพรุ่งนี้ เพราะต้องขึ้นรถเที่ยวแรกเวลา 8.45 น. รถบัสจะมีช่วงเวลาเร่งด่วนที่ไม่จอดตามเมืองต่างๆ ซึ่งจะใช้เวลาวิ่งเร็วกว่าช่วงเวลาปกติถึง 20 นาที

เกือบ 2 ชั่วโมงต่อมาเราก็มาถึงทะเลสาบสุริยันจันทรา เมืองที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวไทย ถึงจะเที่ยงแล้ว แต่เราก็เดินหาที่พักกันก่อนซึ่งไม่ยากนัก เพราะเป็นโฮมสเตย์ที่คนไทยรีวิวกันหลายคน เจ้าของดูเป็นกันเองและใช้ภาษาอังกฤษได้ดีมาก เราไปถึงก็ยังได้เจอคนไทยที่กำลังคืนห้อง พวกเราจองห้องสำหรับ 3 คนไว้ และต้องฝากของไว้ด้านล่างก่อน

จากนั้นหาข้าวกินกันแถวๆ ที่พักเป็นปลาทอด ผัดผัก และเต้าหู้ทรงเครื่อง นับว่าเป็นมื้อแรกที่กินกันเป็นชิ้นเป็นอันในร้านอาหาร อิ่มกันดีแล้วก็ขึ้นเรือที่ท่าเรือหน้าที่พัก

เรือแล่นผ่านเกาะเล็กๆ ชื่อว่าเกาะล่าลู่ ซึ่งเดิมเป็นเกาะใหญ่ที่แบ่งทะเลสาบออกเป็น 2 ฝั่ง คือฝั่งตะวันออกที่รูปทรงคล้ายพระอาทิตย์ กับฝั่งตะวันตกที่คล้ายพระจันทร์เสี้ยว ซึ่งเป็นที่มาของชื่อทะเลสาบสุริยันจันทรา แต่พอสร้างเขื่อนทำให้ระดับน้ำเพิ่มขึ้น เกาะล่าลู่ถูกน้ำท่วมเหลือเพียงพื้นที่เหนือน้ำให้เห็นเป็นเกาะเล็กๆ มีทุ่นปลูกต้นไม้ลอยน้ำ กระจายอยู่รอบๆ คล้ายรัศมีพระอาทิตย์ ทำเอาทีแรกเราเข้าใจผิดว่านี่คือที่มาของชื่อทะเลสาบสุริยันจันทราเสียอีก

ท่าเรือวัดซวงกวง (Xuanguang temple) เป็นจุดจอดเรือแรก พวกเราต้องเดินขึ้นเขาที่ชันเล็กน้อยไปที่วัดซวงกวง หรือวัดพระถังซัมจั๋ง เพื่อไหว้พระและชมวิวทะเลสาบ แต่ชมได้ไม่นานฝนก็ตกลงมาหนาเม็ด เลยลงมานั่งเรือต่อไปยังท่าเรือ Ita Thao แล้วเดินต่อไปยังสถานีรถกระเช้าเพื่อขึ้นกระเช้าชมวิว ระหว่างทางฝนตกหนักขึ้นเลยได้โอกาสหลบฝนและแวะซื้อเสื้อสัญลักษณ์ไต้หวัน พอฝนเริ่มซาเราก็ได้ขึ้นกระเช้าที่ค่อยๆ ใต่ระดับความสูงขึ้นไปท่ามกลางหมอกบางๆ จนถึงหมู่บ้าน Formosan aboriginal culture village หรือหมู่บ้านวัฒนธรรม 9 เผ่า ต้องซื้อบัตรผ่านประตูเพิ่มต่างหากเพื่อเข้าไปดูการแสดงและวิธีชีวิตของชนเผ่าต่างๆ พวกเราเดินดูสินค้าด้านนอกอยู่สักพักก็ขึ้นกระเช้ากลับ 


ฝนหยุดแล้วจึงค่อยมีเวลาชมทิวทัศน์ทางเดินเลียบทะเลสาบผ่านต้นไม้เขียวชอุ่มและฝูงปลาน่ากินกลับมาที่ท่าเรือ แต่เนื่องจากเป้าหมายต่อไปคือวัดเวิ่นวู (Wenwu) หรือวัดกวนอูนั้นต้องขึ้นเขาโดยรถบัสรอบทะเลสาบต่อไปอีก เราจึงต้องถามทางจากจุดบริการนักท่องเที่ยว ก็ได้ความว่าต้องเดินขึ้นเนินต่อไปที่ท่ารถ ถึงทางจะเริ่มชันแต่ก็ไม่เหนื่อยเพราะมีถนนคนเดินเป็นร้านค้า 2 ข้างทาง ให้พวกเราแวะดูของที่ระลึก กินเห็ดหอมย่างและขนมโมจิกันไปพลางๆ


วัดเวิ่นวูเป็นวัดขนาดใหญ่สร้างขึ้นบนเขาทดแทนวัดที่จมน้ำจากการสร้างเขื่อน จุดเด่นคือรูปปั้นสิงโตเหยียบลูกบอลยักษ์อยู่ด้านหน้า ภายในวัดมีทวนของเทพเจ้ากวนอู และเทพเจ้าอื่นๆ สร้างไว้ให้ขอพร ด้านนอกวัดมีบันไดเวียนลงไปถึงริมทะเลสาบด้านล่าง เรียกว่าบันไดสวรรค์ประกอบด้วยขั้นบันไดทั้งหมด 366 ขั้น เท่ากับจำนวนวันใน 1 ปี วิธีสักการะคือผูกกระดิ่งใว้ให้ตรงขั้นบันไดที่เป็นวันเกิดเดือนเกิดของตนเองโดยนับวันที่ 1 มกราคมเป็นบันไดขั้นล่างสุด...คนเกิดช่วงครึ่งปีแรกอย่างเราขอเลือกใช้วิธีไปไหว้ในวัดเอาดีกว่า เพราะหากเดินลงไปนับขั้นบันไดไปด้วยแล้วเกรงว่าจะขึ้นมาไม่ได้ แค่เดินขึ้นประตูสวรรค์ที่จางเจียเจี้ยหนเดียวคงไปสวรรค์ถูกแล้วล่ะน่า

ฟ้าเริ่มมืดแล้ว พวกเราก็กลับมารอรถบัสรอบทะเลสาบที่จุดจอดรถ รอเกือบครึ่งชั่วโมงจนต้องดูตารางรถวิ่ง ก็ไม่เห็นจะมีรถบัสผ่านมา ครอบครัวที่รออยู่พร้อมกันถึงกับบ่นพึมพำ แต่ที่สุดแล้วรถบัสเที่ยวสุดท้ายก็ผ่านมาจนได้ ท่ารถเป็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่เดียวกับจุดจอดรถจากไถจง แวะซื้อฝรั่งขี้นกไส้แดงราคา 3 แพค 100 NT หลังจาก 3 คนช่วยกันชิมที่เขาผ่าไว้ให้ไปเกือบหมดลูก เจอคนไทยให้ทักทายกันอีก และสุดท้ายเมื่อกลับถึงที่พักก็ยังมีคนไทยอีก 4 คนพักที่เดียวกัน ก่อนเข้าห้องพัก เจ้าของที่พักมานำเสนอรูปวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามจากยอดเขาแถวๆ นั้น โน้มน้าวจนพวกเรายอมตกลงแหกขี้ตาตื่นตี 4 เพื่อเดินขึ้นเขาระยะทาง 5 กม. ไปชมวิว แต่เห็นห้องนอนที่กว้างขวางราวกับบ้านพร้อมสัญญาณ Wifi แล้ว แทบจะเดินกลับลงมาบอกเจ้าของว่าพรุ่งนี้อั๊วขี้เกียจตื่นมาชมวิวแระ อาหารเย็นคืนนี้เป็นปลาทะเลสาบนึ่งซีอิ๊ว ผัดผัก ก๋วยเตี๋ยวเนื้อฯลฯ จนโต๊ะข้างๆ เบิ่งตามองว่าผู้หญิง 3 คนจะกินกันหมดแน่หรือเปล่า?

11 .. 57

เช้านี้พจนารถตื่นขึ้นมาก่อนอีกเช่นเคย เห็นว่ายังไม่ถึงเวลาเลยเผลอเล่นเกมอยู่ในห้องน้ำซะนาน กว่าจะปลุกเพื่อนๆ ได้ก็อีก 5 นาทีเป็นเวลานัดพบ! พวกเราสายไป 10 นาทีจนเจ้าของที่พักบ่นพึมว่าจะไม่ทันดูพระอาทิตย์ขึ้น แล้วก็รีบพาเดินขึ้นเขา มาถึงทางชันให้เริ่มเหนื่อย เราก็คิดได้ว่าไม่ควรปลุกเพื่อน แต่ควรใช้เวลา 5 นาทีนั้นลงมาบอกยกเลิกการเดินขึ้นเขาดูพระอาทิตย์ขึ้นซะยังจะดีกว่า

ฟ้ายังไม่สว่างเลยรู้แค่ว่ากำลังเดินผ่านป่าขึ้นไปตามทางรถยนต์เรื่อยๆ มีแมวเดินเป็นเพื่อนรั้งท้ายกันเราหนี สุดท้ายพวกเราก็ไปถึงศูนย์วิจัยใบชา ซึ่งเป็นสถานที่ราชการ รู้สึกว่าพ่อของเจ้าของที่พักทำงานอยู่ในนี้ เลยมีกุญแจไขประตูเข้ามาได้ แต่เขาก็กำชับไม่ให้พวกเราถ่ายรูปตัวอาคารและป้ายต่างๆ ให้ถ่ายรูปแค่วิวและห้ามเผยแพร่ พร้อมกับบ่นว่าถ้ามาเร็วกว่านี้จะเห็นทะเลหมอกซึ่งในปีหนึ่งจะมีให้เห็นไม่กี่วัน เห็นเขาภูมิใจกับรูปทะเลหมอกของทะเลสาบสุริยันจันทราแล้วก็ไม่อยากคุยว่ายังด้อยกว่าทะเลหมอกภูชี้ฟ้าและภาคเหนือของเมืองไทยนัก ได้แต่ขอโทษที่ทำให้สายแบบง่วงๆ ถ่ายรูปกันเสร็จก็เดินลงเขามาถ่ายรูปริมทะเลสาบกันต่อ แมวถึงกับบ่นว่าถ้าไม่ขึ้นเขายังจะมีเวลานอนและถ่ายรูปสวย (กว่า) ริมทะเลสาบได้อีกตั้งนาน

กินอาหารเช้าเสร็จแล้วเราก็ออกจากที่พักขึ้นรถบัสกลับมาที่สถานีรถไฟ โดยก่อนลงต้องสอบถามคนขับให้ดีเพราะรถบัสจะจอดที่สถานี HSR ไถจง แล้วจะเลยไปจอดที่สถานี TRA ไถจง ซึ่งอยู่คนละป้ายกัน และบังเอิญรถคันแรกที่พวกเราขึ้นมาเป็นรถด่วนไม่จอดระหว่างทาง เราจึงถึงสถานีไถจงตั้งแต่ 10.00 . มีเวลาให้เดินดูร้านค้า กินกาแฟสตาร์บัคสาขาไต้หวัน ก่อนจะขึ้นรถกลับไทเป

พวกเราเอาของมาเก็บของกันที่โรงแรมเดิมก่อน แล้วก็พากันขึ้นรถไฟฟ้าไปลงที่สถานีไทเป 101 ซึ่งเป็นสถานีในเส้นทางใหม่ของรถไฟสายสีแดง สถานีนี้ยังไม่มีในรีวิว ดังนั้นการใช้แผนที่ของท้องถิ่นแทนการยึดแผนที่จากหนังสือท่องเที่ยว จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้เราได้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันที่สุด

หลังจากใช้ความมานะจองคิวร้าน Din Tai Fung ติ๋มซำเจ้าอร่อย เมื่อเห็นว่าเวลารอคิวถึง 1 ชั่วโมง จึงเดินไปซื้อตั๋วขึ้นตึกไทเป 101 กันก่อน กลับมาวนเวียนที่ป้ายเมนูภาษาอังกฤษจนได้เวลาสั่งอาหารล่วงหน้า ก็ไปเอาใบรายการอาหารที่คล้ายๆ ร้านส้มตำเมืองไทย มาใส่ตัวเลขจำนวนที่สั่ง เทียบเลขที่รายการและตัวอักษรจีนกับป้าย พอได้โต๊ะนั่ง พนักงานก็ปราดเข้ามาถามว่าแม่นางทั้ง 3 สั่งอาหารมากขนาดนี้จะกินกันไหวหรือ พร้อมกับแนะนำจำนวนที่เหมาะสม เช่น เสี่ยวหลงเปาบางชนิดจะมีทั้งจำนวน 5 และ 10 ชิ้น พวกเราควรเลือกแค่ 5 ชิ้นก็พอ สุดท้าย ถือว่าเห็นแก่หน้าพนักงานเลยยอมลดจำนวนลงบ้าง

ติ๋มซำของที่นี่อร่อยสมราคาจริงๆ โดยเฉพาะเสี่ยวหลงเปาไส้มันปู นอกจากนี้ยังมีวิธีกินสำหรับฝรั่งเป็นภาษาอังกฤษไว้เสร็จสรรพ เริ่มจากผสมน้ำจิ้มที่ประกอบด้วยซีอิ๊ว น้ำส้ม และขิงเส้น จากนั้นนำเสี่ยวหลงเป่าลงไปจิ้ม แล้วค่อยคีบมาใส่ช้อนใช้ตะเกียบเจาะรูแป้งที่หุ้มอยู่ให้น้ำซุปเสี่ยวหลงเปาไหลลงมาที่ช้อน แล้วก็หม่ำได้ ส่วนวิธีกินแบบพจนารถคือพอจิ้มน้ำจิ้มเสร็จเอาใส่ปาก กัดให้น้ำซุปไหลออกมาจนชุ่มลิ้น แล้วก็ทำตาโปน อ้าปากพะงาบๆ เพราะมันร้อน...แฮ่!

กินกันเกลี้ยงจนพนักงานเสริฟไม่กล้าเดินมาใกล้...กลัวจะสั่งอีกให้คนแนะนำเสียเซลฟ์ เราก็หันไปถามพรรคพวกว่าอิ่มหรือเปล่า โดยเฉพาะแมวที่ผอมบางกว่าคนอื่น กลัวจะกินไม่ทัน แมวบอกว่าตั้งแต่คบกับพวกเราก็ปรับกระบวนการกิน ไม่ใช่ว่ากินให้เร็วขึ้น แต่เป็นคีบอาหารมาพักในจานของตัวเองซะก่อน และเมนูต่างๆ ก็เฉลี่ยโควต้าแต่ละคนกันไว้อย่างดีแล้ว จนใจที่เราใช้ภาษาจีนได้แค่นิดหน่อย (ภาษาอังกฤษไม่ได้เลย) เลยไม่ได้เสนอแนะพนักงานว่าต่อไปเรื่องจำนวนเสี่ยวหลงเปา ขอลดจาก 10 ชิ้นเป็น 9 ชิ้นก็พอ ไม่ใช่ 5 เพราะมันสิ้นเปลืองสมองตอนหารโควต้าของป้า!

ได้เวลาขึ้นลิฟท์ที่เร็วที่สุดในโลกใช้เวลา 37 วินาทีไปที่ชั้น 89 ของตึกไทเป 101 กันซะที ในช่วงท้ายของขาขึ้นก่อนจะถึง บนเพดานลิฟท์จะเปิดไฟให้เป็นแสงหมู่ดาวระยิบระยับ ดูสวยงามอลังการและไม่รู้สึกถึงความกดอากาศให้หูอื้อ เวียนหัวเลย

พวกเราไปที่ชั้น 5 ซึ่งเป็นที่ขายตั๋วและทางขึ้นก่อน (แต่วิธีไปต้องขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้น 4 แล้วเดินไปขึ้นบันไดเลื่อนอีกฟากหนึ่ง) จากนั้นก็เข้าแถวคอย เดินไปตามแถวแป๊บเดียวจะมีซุ้มบริการถ่ายรูปที่ระลึก คนส่วนใหญ่จะตั้งตัวไม่ทัน ได้แต่ทำท่ายืนตรงเคารพธงชาติกัน นอกจากก๊วน 3 สาวที่โพสท่าซารางเฮโยกันอย่างสวยงามมุ้งมิ้งแล้วก็ไม่เอารูปที่ระลึก

ตึกไทเป 101 สูง 509.2 เมตรจากพื้นดิน ภายในมีสำนักงาน ร้านค้า ตัวตึกมี 101 ชั้นตามชื่อตึก รูปทรงเป็นปล้องคล้ายต้นไผ่ ติดกระจกสีน้ำเงินเขียวใช้สะท้อนความร้อนและรังสี UV ออกแบบอิงฮวงจุ้ย ตรง 4 มุมของตึกทุกช่วงจะมีหัวมังกรติดไว้เพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้าย (แต่สิ่งชั่วร้ายบางตัวก็ซื้อบัตรเข้าไปชมได้หน้าตาเฉย คิคิคิ) ภายในมีแกนกลางเป็นลูกตุ้มยักษ์ (damper) ทำจากโลหะ หนัก 660 ตัน ขึงอยู่กับลวดสลิง (มีขายเป็นของที่ระลึก ว่าจะซื้อมาแขวนคานอยู่เหมือนกัน) สำหรับถ่วงสมดุลของตัวตึกรองรับลมพายุและแผ่นดินไหว

ที่กระจกชมวิวรอบๆ จะมีหมายเลขกำกับ เอาไว้ฟังคำบรรยายจาก audio guide ว่าบริเวณที่มองเห็นเป็นสถานที่ใดของเมืองบ้าง น่าเสียดายที่ฝนตกลงมาอีก พวกเราเลยไม่ได้ไปที่ชั้น 91 ซึ่งเปิดให้เดินออกไปชมวิวนอกอาคาร นอกจากนี้ยังมีไปรษณีย์ไว้คอยบริการนักท่องเที่ยว เราเลยถือโอกาสซื้อโปสการ์ดหวังจะส่งให้เพื่อน แต่สุดท้ายก็ได้แต่ซื้อ ไม่ได้ส่งเพราะไม่ได้พกที่อยู่มา...เฮ้อ

ออกจากตึก 101 ก็เกือบเย็นแล้ว เรายังต้องไปวัดหลงซาน (Longshan) กันอีก เวลาเหลือน้อย ว่าจะลงมาดูร้านค้าในงานนิทรรศการเกมและการ์ตูนที่ชั้น 2 ก็เลยต้องงดไป ได้แต่มองเด็กวัยรุ่นถือถุงเกมมายืนรอรถไฟฟ้าใกล้ๆ กันด้วยความอิจฉา

วัดหลงซานเป็นวัดเก่าแก่ของไต้หวัน ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกเครื่องบินทิ้งระเบิดจนเสียหาย แต่เจ้าแม่กวนอิมในวิหารยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ถือเป็นอิทธิปาฏิหารย์ที่ทำให้ชาวไต้หวันศรัทธาเลื่อมใสกันมาก ตัววัดที่สร้างขึ้นใหม่มีหินสลักลายมังกรมากมายตั้งแต่บนหลังคาจนถึงเสาแต่ละต้นสมชื่อวัด ไหว้พระแล้วก็ถือโอกาสเช่าเครื่องรางกลับมาฝากคนอื่นๆ เสียดายที่ทางวัดยังหัวการค้าไม่เท่าญี่ปุ่น จึงไม่มีคำบรรยายภาษาอังกฤษใต้รูปเครื่องรางว่า แบบ และสีนี้ให้พรอะไรบ้าง มีแต่ภาษาจีนล้วนๆ และพนักงานขายก็ยุ่งอยู่ตลอดเวลา เลยได้แต่บอกว่างั้นเอาประเภทร่ำรวยมาให้ละกัน

ใช้เวลาไหว้พระเร็วกว่าช้อปปิ้งถึง 10 เท่าแล้วพวกเราก็ไปต่อกันที่ถนนคนเดินแหล่งที่ 2 นั่นคือ ซีเหมินติ่ง หรือ สยามสแควร์ไต้หวัน แต่เนื่องจากไปตลาดซื่อหลินกันมาก่อน ซึ่งร้านค้าส่วนใหญ่ของซื่อหลินอยู่ในตึกแคบๆ อารมณ์จึงประมาณเดินตลาดนัดจตุจักรกับสยามสแควร์ และของกินน้อยกว่าเห็นๆ พวกเราเลยได้แค่กินน้ำมะระผสมน้ำผึ้ง ออส่วน แป้งผัด แกงส้มต๊อก (น้ำแกงเผ็ดรสเดียวกับแกงส้มใส่ต๊อกหรือแป้งที่เป็นแท่งๆ แบบเกาหลี) สเต็กเนื้อลูกเต๋า ชิมลูกชิ้นเนื้อเป็ด ซื้อไข่เหล็ก ตบท้ายด้วยหมี่ราดหน้า และชานมไข่มุก ไม่นับเชอร์รี่ลูกแดงใหญ่ที่ซื้อกลับมาด้วย

เดินหลงไปหลงมาก็เจอร้านบุพเฟ่ต์ชาบู มีรูปไอศกรีมฮาเก้นด๊าซรวมอยู่ในเมนูด้วย พวกเราจึงคิดว่านี่น่าจะเป็นร้านหมาล่าตามที่น้องเมื่อวันแรกแนะนำ ได้แต่ถ่ายรูปเก็บไว้เพราะตอนนี้กินอะไรไม่ไหวแล้ว จากนั้นก็เดินเข้าร้านรองเท้าบ้าง ร้านตุ๊กตาโมเดลบ้าง ดูของที่ระลึก ซึ่งราคาแพงกว่าตลาดซื่อหลินนิดหน่อย ก่อนกลับก็ยังจะหลงทางจนได้ซื้อถั่วเคลือบถ่านไม้ไผ่มาเป็นของฝากกันอีก


12 .. 57

วันกลับนี้ทีแรกพวกเราจะไปอุทยานแห่งชาติเย่หลิวที่อยู่ทางชายฝั่งตะวันออกซึ่งมีไฮไลท์คือหินเศียรราชินี รูปร่างคล้ายกับรูปปั้นของพระนางเนเฟอร์ติติของอิยิปต์ แต่สุดท้ายก็ตกลงกันว่าถ้าฝนตกก็เปลี่ยนเป็นไปกินบุพเฟ่ต์ที่ร้านหมาล่าซีเหมินติ่งแทน แล้วฟ้าก็เมตตานักกิน จากพยากรณ์อากาศและฟ้าครึ้มฝนตั้งแต่เช้า พวกเราเลยเปลี่ยนโปรแกรมเป็นไปอนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ค แล้วค่อยไปซีเหมินติ่งกัน

อนุสรณ์สถานเจียงไคเช็คเป็นสถานที่กว้างใหญ่มาก ประกอบด้วยลานกว้าง ด้านข้างเป็นโรงละครแห่งชาติและอาคารสำหรับจัดนิทรรศการและคอนเสิร์ตต่างๆ ตัวอนุสรณ์สถานอยู่ตรงกลาง ภายในมีทหารผลัดเวรกันยืนเฝ้ารูปปั้นเจียงไคเช็ค พวกเรามาไม่ตรงเวลาเลยไม่ได้ดูพิธีการผลัดเปลี่ยนเวรของทหาร ในส่วนจัดแสดงก็จะมีประวัติ แผนผังอนุสรณ์สถาน รวมไปถึงไปรษณีย์และร้านค้า

ออกจากอนุสรณ์สถานได้ไม่นาน ฝนก็ตกลงมาจนถึงซีเหมินติ่ง เราพากันเดินไปที่ร้านหมาล่าโดยไม่หลงแบบเมื่อคืน นั่งรอพักหนึ่งจนร้านเปิดก็ได้เข้าไปชื่นชมกับความหลากหลายของอาหาร ตั้งแต่อาหารทะเลนานาชนิด ผัก(ไม่เน้น) เบียร์ไต้หวัน ชานม ส่วนที่เป็นเนื้อมีมาให้เลือก 3 อย่าง น่าจะเลือกจำนวนตามรายหัว พวกเราจึงเลือกเนื้อวัว 2 ชนิดที่ทางร้านแนะนำ และเนื้อแกะ ส่วนน้ำซุปมีให้เลือก 2 แบบใส่ในหม้อต้มคล้ายชาบูชิ เมื่อเลือกน้ำซุปใสกับน้ำหมาล่า ซึ่งเป็นน้ำพริกเผาเผ็ดนิดๆ ไม่เผ็ดจัดเหมือนที่เมืองจีน แล้วก็แยกย้ายกันไปหยิบอาหารกันตามสะดวก จวบจนไอศกรีมลูกที่ 8 หมดลง พจนารถก็ยอมวางช้อน

เมื่อคืนวานไปเกาะกระจกตู้โชว์ที่ร้านของเล่นโมเดลไม่ยอมไปไหนอยู่พักใหญ่ คนขายก็ไม่เห็นใจลดราคาให้ เลยลั่นปากไว้ว่าถ้ามาอีกจะซื้อ ดังนั้นกินเสร็จก็เลยกัดฟันกรอดไปถอยตุ๊กตา danboard mini มาไว้ในครอบครองจนได้ ได้แต่แบ่งร่าง ซีกนึงก็ด่าตัวเองในใจว่าไม่ใช่ต้องมีเงินอย่างเดียวนะ...ต้องโง่ด้วย ส่วนอีกซีกนึงก็ทำตาบ้องแบ๊วเถียงกลับว่า ก็ตูอยากได้นี่หว่า พอเงินออกนอกกระเป๋าได้ครั้งหนึ่งแล้ว เข้าร้านเครื่องสำอางต่อมาก็ถอยน้ำหอมอีกขวดมาอย่างง่ายดาย คำเค้าว่าอย่าซื้อของกินตอนหิว กับอย่าซื้อของใช้ตอนอิ่ม (เพราะเลือดไปเลี้ยงกระเพาะมากกว่าสมอง) มันก็เป็นอย่างงี้นี่เอง

พนักงานขายร้านชาช่าพูดภาษาอังกฤษเก่งมาก แป๊บเดียวป้าๆ ก็หลวมตัวจ่ายเงินซื้อของกันเป็นแถว สุดท้ายมาตายตอนเชียร์เครื่องสำอางให้กับพจนารถ บอกว่าคุณพี่ต้องบำรุงผิวหน้าด้วยครีมตัวนี้นะฮ๊า และเพราะใช้ภาษาอังกฤษเก่งเกินไปเลยไม่เข้าใจว่า ที่ชะนีอ้วนตอบกลับไปว่าหน้ารุ่นตูเนี่ยเกินเยียวยาแระ...It’s too late เขาหรือหล่อนก็ไม่รู้แหละ เลยรีบบอกว่าถึงต้องเสียเวลาหน่อยแต่ก็ต้องบำรุงนะ แล้วก็เล่ายาวว่าเนี่ย my girlfriend น่ะแนะนำให้ใช้ตัวนี้เหมือนกัน ใช้ดีมั่กเรยฮ่า (ทำเอาพจกับแมวถึงกับมองหน้ากัน) จากนั้นมามุกไม่เชื่อลองทายดูสิว่าผมอายุเท่าไหร่? อิป้าก็เลยรับมุกทำเป็นเพ่งนิดนุง แล้วก็บอกว่า 25 แค่นั้นฮีก็เป็นปลื้มบอกว่า 30 แล้วนา ออกจากร้านมาได้เลยโดนแมวแหนบเข้าให้ บอกว่าเดี๋ยวนี้ตอแหลเป็นภาษาอังกฤษก็ได้นะยะเอ่อ แบบว่าเพื่อนนึกชื่อเลขภาษาอังกฤษไม่ค่อยออกต่างหากอ่ะ ส่วนที่มองหน้ากันตอนนั้นก็ออกมาหัวเราะกันข้างนอกว่าเจ๊นั่นเขามี girlfriend ด้วยรึ? พจก็ได้แต่บอกว่าหรือมันจะแปลว่าเพื่อนสาวกันวะ...ภาษาอังกฤษนี่ซับซ้อน!

ว่าจะแวะช้อปต่อกันที่ main station แต่เวลาก็ล่วงเข้าบ่าย 3 แล้ว พวกเรารีบกลับไปแพคกระเป๋าเตรียมเดินทางกลับ จากที่ผ่านมาเวลาเดินทางไปกินช้อปแต่ละที่ ทุกอย่างที่รีวิวมาจำได้ขึ้นใจเดินไม่มีหลง มาตายกันตรง bus station ที่จะต้องขึ้นกลับสนามบินนี่แหละ ตอนแรกพวกเราลากกระเป๋ามุ่งหน้าไปที่ทางออก (Y4) ซึ่งมีเป็นอาคาร bus station เชื่อมต่อกับ main station แต่พอไปถึงจุดขายตั๋วกลับสนามบิน เขาบอกว่าอยู่คนละอาคาร ให้เราเดินออกไปด้านนอก จะมองเห็นตึกอยู่ฝั่งตรงข้าม ขณะนั้นกำลังลนลานว่าไม่มีทางข้ามและจะใช่ตึกที่ว่าหรือเปล่า พวกเราเลยย้อนกลับมาที่ main station แล้วถามพนักงานในนั้นกันใหม่ กว่าจะรู้ว่ามันคืออาคารที่เรียกว่า Taipei west bus station terminal A (ทางออก Z3) เป็นที่เดียวกับสถานที่ขึ้นรถไปเย่หลิ่วซึ่งเราไม่ได้ไป และอยู่ใกล้กับโรงแรมของพวกเรามากกว่าจะเดินมายัง main station เสียอีก เดินวนกลับมากันอย่างรีบเร่ง จนถึงที่ขายตั๋วและช่องรอรถ ในที่สุดก็มาถึงสนามบินกันจนได้

ขากลับนี้เครื่องบินก็ยัง delay โชคดีที่มาถึงสุวรรณภูมิตามเวลาที่นัดแท็กซี่เผื่อเอาไว้ หลังจากส่งหมอปุ้มแล้วก็กลับถึงบ้านเวลา 0.30 น.