Friday, September 10, 2010

Annyeong haseyo - Korea

บันทึกการท่องเที่ยวเกาหลี 25 – 29 ส.ค. 53

25 ส.ค. 53

เราและแม่ ซื้อทัวร์เกาหลี จากบริษัท Morning star travel ราคาคนละ 23,900 บาท
หลังจากพาแม่ไปทัวร์ฮ่องกงเมื่อคราวที่แล้ว รู้สึกแม่จะเริ่มติดใจอยากไปอีก แต่ไม่อยากไปแบบแพคเกจทัวร์ ที่มีลูกสาวเป็นคนนำเที่ยวและไม่ตามใจพาไปช้อป เลยต้องเที่ยวหาทัวร์เซี่ยงไฮ้ (ไม่ออกวันที่จะไปอีกเหมือนเคย) และพอมีภัยธรรมชาติที่จีน แม่เลยบอกว่างั้นไปเกาหลีก็ได้ ลองเสี่ยงโทรไปที่บริษัทนี้ ปรากฏว่าวันที่ต้องการมีทัวร์ออก (แบบต้องย้ำแบบคนโรคจิตถามแล้วถามอีกว่าออกแน่ๆ นะ) และที่น่าไปอีกอย่างก็คือไปกลางวัน กลับกลางวัน ไม่ต้องรีบร้อนไปสนามบิน และขากลับไม่ต้องกลับบ้านมืดค่ำ

เราออกจากบ้านกัน 8.30 น. ไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิ 10.20 น. ยังพอมีเวลาให้กินข้าวผัดกุ้งที่เตรียมมาเองจากบ้าน ก่อนไปเดินหาเจ้าหน้าที่ทัวร์ที่เคาน์เตอร์สายการบินตามเวลานัดคือ 12.00 น. พวกเราไปก่อนเวลานัด 5 นาที ไม่เจอใครเลย ทำเอาใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ว่าจะโดนหลอกหรือเปล่าหว่า แต่ให้แม่นั่งรอแล้วเดินวนมาอีกที คราวนี้มีป้ายบริษัทอันใหญ่กับเจ้าหน้าที่คอยต้อนรับอยู่แล้ว มองไปมองมามีแต่เด็กๆ วัยรุ่น ไม่เห็นอากงอาม่า เลยคิดว่าสงสัยผู้สูงอายุจะมาช้าละมั๊ง ไกด์ที่ไปด้วยงวดนี้ผู้หญิงชื่อคุณฉี เป็นหัวหน้าทัวร์ ส่วนไกด์ท้องถิ่นเป็นคนไทยอาศัยในเกาหลีชื่อคุณเจมส์

พวกเราโดยสารสายการบินจินแอร์ ที่เป็นบริษัทลูกของโคเรียนแอร์ เข้าไปที่นั่งแล้วรู้สึกว่าเครื่องบินลำเล็กมาก แถวนึงรวมซ้าย-ขวามีแค่ 6 ที่นั่งเอง แต่ไม่กล้าบ่น กลัวแม่จะใจเสียไปด้วย คนที่มาทัวร์เดียวกันมานั่งกับเราอีกคน แต่แต่งตัวสวยเชียวนุ่งชุดกระโปรงสั้นใส่เสื้อคลุม จนนึกว่าจะไปเดินแบบไม่ได้ไปเที่ยว นั่งไป 5 ชั่วโมงจนเมื่อยไปหมด มีดีให้มองแก้เมื่อยอยู่อย่างคือสจ๊วตเกาหลีหล่อ....... เดินไปเดินมาบ่อยๆ อีกต่างหาก อิ อิ

พวกเราไปถึงสนามบินอินชอนเวลา 3 ทุ่มครึ่ง (เวลาไทย 1 ทุ่มครึ่ง) ไกด์เรียกรวมพลหน้าห้องน้ำก่อน เลยได้รู้ว่ามีแม่เราเป็นผู้สูงอายุอยู่คนเดียว นอกนั้นวัยรุ่นทั้งนั้น เด็กๆ คุยกันอยู่แต่ในกลุ่ม แต่มี 2 สาวไทยที่น่าจะอายุมากกว่าเรานิดหน่อย มองแม่เราแปลกๆ เราเลยจ้องกลับแบบ
กวนตรีนทำนองว่า ทำม่ะ พาแม่มาเที่ยวด้วยมีปัญหาไรป่ะ? จ่ายเงินเฟ้ย
หลังจากผ่าน ตม. มาได้ก็หาที่รอไกด์ จากที่เราหาข้อมูลมา ตม. เกาหลีค่อนข้างเข้มงวด เรารึอุตส่าห์เตรียมหนังสือรับรองการทำงานและสลิปเงินเดือนไปด้วย แต่ไม่เห็นถามอะไรซักคำ มองๆ หน้าแล้วก็ปั๊มให้ผ่าน รอไกด์นานจนไปเดินหาโทรศัพท์แต่ไม่รู้จะโทรยังไงเพราะมีแต่ภาษาเกาหลี และเดินไปซื้อ pin phone ร้านสะดวกซื้อในสนามบินมาแล้วก็ยังไม่มีวี่แววไกด์ ดีที่เด็กๆ ก็นั่งรวมกลุ่มกันด้วย ไม่งั้นเวลาที่ผ่านไปเกือบชั่วโมงคงพอจะทำให้กังวลว่าถูกทิ้งซะแล้วม้าง

หลังจากที่ไกด์ต้อนพวกเราขึ้นรถแล้วก็ขอโทษขอโพยใหญ่ โดยบอกว่าต้องไปทำเรื่องซื้อตั๋วกลับให้คนที่ไม่ผ่าน ตม. 2 คน ก็คือผู้หญิงที่นั่งข้างเรากับผู้ชายที่มาด้วยกัน พอถามว่าทำไมไม่ผ่านตม. ไกด์บอกว่า ตม. เค้ามีวิธีดูคนว่าเจตนาเข้าประเทศเพื่ออะไร และ 2 คนนี้ก็เคยไม่ผ่าน ตม. มาแล้วหนนึง เอ๊า ตอนนั่งข้างตูคุยอย่างดีว่าเคยมาแล้วหนนึง มิน่า ถามว่าไปเที่ยวไหนมาบ้างบอกจำไม่ได้เฉยเลย ส่วนอีก 2 คนที่จ้องแม่เราให้ไกด์เจมส์ต่อโทรศัพท์ถึงเพื่อนในเกาหลีให้มารับ ทำนองว่าใช้ทัวร์บังหน้าเข้ามาทำงานเหมือนกัน เหลือเพื่อน (หลาน) ร่วมทัวร์ 16 คน

ฝนเริ่มตกลงมาเรื่อยๆ รถแล่นผ่านบ้านหรือจะเรียกให้ถูกน่าจะเป็นคอนโดหรืออพาตเม้นท์สูงๆ ปลูกติดกันเป็นกลุ่มๆ มีหมายเลขตึก ดูแล้วเหมือนคนเกาหลีอยู่กันในกล่องยังไงก็ไม่รู้ กว่ารถจะพาเราไปถึงโรงแรมในโซลก็เกือบ 5 ทุ่ม ไปถึงปุ๊บเราก็ปรี่เข้าไปถามเจ้าหน้าที่โรงแรมว่าใช้ pin phone ในห้องพักได้หรือเปล่า ก็ได้คำตอบว่าได้ ให้กด 9 ก่อน เลยดีใจใหญ่อยากจะขึ้นลิฟท์ไปโทรหาพ่อที่ห้องเร็วๆ ไม่สนใจล็อบบี้ที่ตกแต่งร่วมสมัย มีเก้าอี้แนวๆ แถมยังมีตุ๊กตาหมีตัวเบ้อเร่ออีก แต่ไกด์เจมส์ก็กระวีกระวาดบอกเดี๋ยวผมไปต่อโทรศัพท์ให้ที่ห้อง รู้สึกไม่ค่อยชินกับบริการเรื่องส่วนตัว แต่พอไปถึงห้องก็ต้องอะเมซซิ่งกับความไฮเทค เพราะโผล่ไปปุ๊บเจอคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง แถมลำโพงรอบทิศทั้งที่ผนังติดเพดานแล้วก็ลำโพงใหญ่ในตู้ ไม่มี master console สำหรับปิดเปิดไฟ มีแต่รีโมตอันเดียวใช้เปิดแอร์ด้วย ไม่รวมไฟทางเข้าที่เป็นระบบเซ็นเซอร์ ในห้องน้ำมีอ่างจากุชชี่ และห้องอาบฝักบัวและซาวน่าแยกออกมา แย่อยู่อย่างเดียวคือโทรศัพท์ไม่ได้ น่าจะเป็นการล๊อคโทรต่างประเทศ เมื่อเป็นดังนั้นเลยได้เวลาอัปเปหิไกด์เจมส์ออกไปจากห้องซะที

มองไปมองมาไม่มีทีวี มีแต่เครื่องคล้ายๆ UBC ยี่ห้อ Kool เดาๆ ว่าน่าจะเป็นทีวีที่ใช้ต่อกับ monitor คอม แต่เห็นคู่มือหนาเท่าหนังสือสวดมนต์แล้วก็ไปเปิดคอม วานให้อ๋อยโทรหาพ่อให้จะใช้เวลาน้อยกว่า ดีที่ไกด์ให้มาม่าคัพมาเลยใช้น้ำร้อนในห้องต้มกินกับแม่คนละถ้วยก่อนนอน ในห้องมีเตียงใหญ่ 1 กับเตียงเล็ก 1 ให้แม่ครอบครองเตียงใหญ่และเปิดโรงสีตามสบาย ส่วนเรานอนดึกว่าเดิมเล็กน้อยแต่ก็หลับสนิททีเดียว

26 ส.ค. 53

ตอนเช้าลำบากกว่าทุกทีที่ต้องตื่นตี 3 ครึ่ง (เวลาไทย) แต่ก็สว่างแล้ว เสร็จแล้วก็พาแม่ไปที่ห้องอาหารที่ชั้น 2 เห็นยังไม่เปิดเลยชวนกันไปถ่ายรูปด้านล่าง ไม่มีคนเลยได้ถ่ายรูปซะเยอะ แต่ก็รูปเสียซะเยอะด้วยน้ำมือคุณหญิงแม่ กลับขึ้นไปที่ห้องอาหารอีกครั้ง ทีแรกเห็นว่าแคบๆ แต่จริงๆ แล้วเขาซอยให้เป็นห้องเล็กๆ ขนาดนั่งได้ 4 คน 6 คน ให้เข้าไปกินได้ตามสบายและเป็นส่วนตัว คนเกาหลีนี่คงไม่ค่อยเน้นอาหารเช้าเพราะบุปเฟต์มีแค่ไข่ต้ม แฮม ขนมปัง สลัด โจ๊กข้นคล้ายซุป และซีเรียลใส่นม

8 โมงกว่าเล็กน้อยพวกเราก็เคลื่อนขบวนไปที่หมู่บ้านลาโพรวองซ์ (La Provance) เป็นหมู่บ้านสไตล์ฝรั่งเศส ที่มีร้านค้า และบ้านจำลองหลังเล็กๆ สีสันสดสวย แถมยังตกแต่งน่ารักๆ ระหว่างทางยังมีพุ่มลาเวนเดอร์ที่เริ่มทยอยออกดอกอวดคนไม่เคยเห็น กลิ่นลาเวนเดอร์จากไม่กี่ช่อโชยมาให้พอผ่อนคลายแบบ aroma แต่ถ้าคิดว่าต้องเจอกันเป็นทุ่งสงสัยว่าภูมิแพ้เราจะกำเริบแหง งวดนี้หลังจากซักซ้อมถึงวิธีใช้กล้องให้แม่แล้ว ก็ได้รูปถ่าย (ดีๆ) ของตัวเองมากขึ้นอีกนิด เจ้าโทมี่ หนุ่มเกาหลีที่ไกด์แนะนำว่าเป็นนักศึกษามาหาลำไพ่พิเศษถ่ายรูปให้พวกเราเริ่มทำหน้าที่ รวมทั้งบริการอื่นๆ อย่างเช่นช่วยเสริฟอาหาร คอยพยุงแม่เราลงจากรถ ฯลฯ ด้วยความยิ้มแย้ม เสียอยู่อย่างคือคุยกันไม่รู้เรื่องต้องใช้ภาษาใบ้ลูกเดียว

พวกเราไปแวะกินข้าวเที่ยง เมนู ทัคคาลบิ เป็นไก่ผัดซอสเกาหลี ใส่กะหล่ำปลีและข้าวหยุ่นๆ เหมือนขนมโมจิแบบแท่ง ใส่ข้าวเข้าไปในกระทะแบนที่โต๊ะแล้วผัดให้ข้าวไหม้นิดๆ พอมีกลิ่นหอม อร่อยไปอีกแบบ แม่บอกไม่ค่อยอร่อยแต่ตัวลูกสาวใช้ตะหลิวแบนขูดที่กระทะกินซะเกือบหมด อิ อิ

ระหว่างขึ้นรถไปท่าเรือเกาะนามิฝนก็ตกลงมาซะหนัก ดีที่ว่าเรือที่จะพาไปเป็นเรือ 2 ชั้น ชั้นบนเป็นดาดฟ้า ส่วนชั้นล่างเป็นห้องกระจกติดแอร์ ถึงไม่ได้สูดอากาศในแม่น้ำฮันแต่ก็ไม่เปียกฝน ไกด์เจมส์คงเห็นแม่บ่นหลายรอบว่าโทรหาพ่อไม่ได้เลยใช้ pin phone กับมือถือของเขาต่อโทรศัพท์ให้ แต่ก็ได้คุยแป๊บเดียวระหว่างรอเรือ

นอกจากนักท่องเที่ยวที่ไปเกาะนามิกันแล้ว คนเกาหลีก็นิยมไป ถึงจะมีฝนตกเฉอะแฉะบ้างก็ไม่หวั่น ลุงๆ บางคนยังใส่ชุดวอร์มเหมือนจะไปเดินออกกำลังซะอีกแน่ะ แม่นั่งเรือเฉยๆ คงจะเบื่อเลยควักลูกอมที่ได้จากทัวร์มาอมเล่น สาวเกาหลีที่นั่งข้างๆ เลยเอาออกมากินบ้างแล้วก็ยื่นมาเผื่อแผ่ให้ด้วย ได้แต่บอกขอบคุณ (คัมซาฮัมนีดา) ป่าว ใช้ภาษาอังกฤษตะหาก หวังว่าพวกหล่อนคงไม่มาตกหลุมรักความหล่อเข้มของเค้าหรอกนะ

เกาะนามิเป็นเกาะที่ตั้งชื่อตามชื่อนายพลนามิที่มีชื่อเสียงมากในสมัยราชวงศ์โชซอน แต่ถูกให้ร้ายจนโดนตัดสินประหารชีวิต ต่อมามีการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้ เลยมีการนำเอาเถ้ากระดูกของนายพลนามิไปฝังไว้บนเกาะและตั้งชื่อดังกล่าว ไปถึงเกาะ ไกด์ก็ให้แผนที่ทางเดินรอบเกาะ โดยชี้จุดที่เป็นสถานที่ถ่ายทำซีรีส์เกาหลี เรื่อง Winter love song หรือ Winter sonata หรือมันจะเป็นเรื่องเดียวกันหว่า? ปกติไม่ได้ดูหนังที่จบเศร้าซะด้วย ขี้เกียจถามเด็กๆ ได้แต่บอกไกด์ว่าถ้าเดินไปไม่ครบรอบจะพาแม่เดินกลับมาที่ท่าเรือก่อน ให้ไปกันตามสบายไม่ต้องรอ โชคดีที่ผ่านประตูเข้าไปก็เจอรถกอล์ฟบริการ เลยจ่ายคนละ 5000 วอน นั่งรถกันสบายไป พวกเรานั่งหลังสุด ด้านหน้ารถมีหนุ่มสาวเกาหลีนั่งอยู่ก่อนแล้ว คนขับก็ชวนคุยเป็นภาษาเกาหลีหัวเราะฮิฮะกันตลอดทาง (แต่ตูฟังไม่รู้เรื่อง) มารู้ (เดา) เอาตอนที่คนขับมันแสดงภูมินับเลขหลายๆ ภาษา เป็น ยิซิบ ยี่ซิบหนึ่ง ยี่ซิบยี่ คุ้นๆ แต่จะหัวเราะก็ไม่ทันเพราะมัวหันหลังไปถ่ายรูปดงต้นสนอยู่ เส้นทางรถเป็นถนนดินที่เป็นหลุมเป็นบ่อพอสมควร เลียบตลิ่งผ่านแม่น้ำและมีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นตลอดทาง
โดยที่เกาะมีรูปร่างคล้ายใบไม้ ส่วนเส้นทางเดินเท้าจะอยู่ตรงแกนกลางของใบไม้ ทำให้เราพลาดโอกาสที่จะถ่ายรูปกับดงต้นสนที่เหยียดต้นตรงเรียงรายริมถนน จุดที่พระเอกนางเอกเค้าสารภาพรักกัน หรือถนนที่ปลูกต้นแป๊ะก๊วยเรียงเป็นแนว แต่ก็ช่างเถอะเพราะยังไงก็ยังไม่ใช่ฤดูที่ใบแป๊ะก๊วยเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสวยเหมือนในโปสเตอร์ แถมไม่ได้ดูหนังเลยไม่อินขนาดจะต้องเสียดาย พวกเราผ่านโรงแรมที่ทำเป็นชาเล่ย์เล็กๆ ตกแต่งน่ารักริมแม่น้ำที่พวกที่เดินคงไม่ได้เห็น เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็กลับมาที่หน้าเกาะพอให้มีเวลาถ่ายรูปกันอีก แม่ยังชอบใบเมเปิ้ลที่เริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีส้มแถมยังเขย่งเด็ดใบกลับมาบ้านซะอีกแน่ะ ได้แต่บอกว่าถ้ามันเปลี่ยนเป็นสีแดงทั้งต้นจะสวยกว่านี้เยอะ อยู่ที่ว่าแม่จะทนหนาวมาดูไหวหรือเปล่า

ที่หน้าเกาะมีรูปปั้นนางเงือกมีขา? (Namimaid) หันหน้าออกจากเกาะ และมีต้นไม้ที่ทำก้านเป็นกระเปาะสีขาว (Light house of love and peace) พอเดินไปตามสะพานไม้ที่ทอดไปด้านข้างนางเงือกก็เจอป้ายที่มีข้อความของคู่รักเต็มไปหมด บางที่ยังมีกุญแจคล้องกันไว้เป็นสัญลักษณ์ว่าจะเกี่ยวคล้องกันไปตลอด....อ้วก.... ดีที่พจนารถไม่มีปากกาเคมี ไม่งั้นคงมีข้อความภาษาไทยเป็นข้อความแรก ว่า ตูจะสาปแช่งคู่รักที่แฟนหล่อ...เคี๊ยก เคี๊ยก

ขากลับรู้สึกว่าใช้เวลานั่งเรือแป๊บเดียวถึง เรานั่งรถกลับมาในโซลอีกครั้งพร้อมโปรแกรมช้อปปิ้งห้าง Doota ที่เหมือนห้างแพลตินัมเมืองไทย มองไปตามท้องถนน เห็นแต่หนุ่มๆ สาวๆ วัยรุ่นวัยทำงาน มีคนแก่ไม่เกิน 5% แถมสาวๆ ยังตัวกะเปี๊ยก รู้เลยว่าเสื้อผ้าห้างมันต้องมีแต่ไซส์พวกผอมน่าเกลียดแน่ ขนาดเสื้อผ้าผู้ชายยังตัวเล็กๆ ว่าแล้วว่าพ่อจางกึนซอกแฟนเรามี 32 pack (ไม่ใช่กล้ามเนื้อแบบ six pack แต่เป็นซี่โครง!) เดินห้างอื่นใกล้ที่จอดรถแป๊บเดียวก็ลากแม่ออกมาเพราะดูไปก็ป่วยการ เดินต่อไปจนถึงชั้นใต้ดินในห้าง Doota ก็มีร้านขายเสื้อผ้าเยอะเหมือนกัน เห็นแก่แม่ที่ชักอยากจะได้เสื้อเกาหลี (แต่แบบมันไม่เข้ากับวัยอ้ะคุณยาย) ก็เลยชวนกันเดินจนเกือบได้เวลานัด แล้วก็ได้เสียเงินซื้อลูกชิ้นทอดจิ้มซอสบาร์บิคิวมานั่งกินกันสองคนแม่ลูกหน้าห้าง ยังมีเวลาให้สอยของฝากเพื่อนๆ ก่อนขึ้นรถอีกนิดหน่อย

6 โมงกว่าแล้วเรายังไปแวะกันที่ตลาดทงแดมุน (Dongdaemun) เพื่อซื้อเครื่องสำอางพวก Skin food, Etude house ฯลฯ ไกด์บอกว่าซื้อเครื่องสำอางที่นี่จะได้ของแถมมากที่สุด แถมยังสอนภาษาเกาหลี ว่า “เซอ วิ สึ แหม่ นี แหม่ นี จู เซ โย” ให้เขาแถมให้เยอะๆ คิดว่าน่าจะมาจาก “Service many many” แต่ขอโทษเถอะ คนขายของพวกนี้พูดไทยได้ค่อนข้างดี เพราะคนไทยมาซื้อเยอะ ไม่ต้องใช้ภาษาเกาหลี และภาษาใบ้ด้วย ส่วนใหญ่เราจะซื้อของร้าน Skin food มากกว่าร้านอื่นเพราะไกด์บอกว่าในบรรดามิสทีนเกาหลีพวกนี้ Skin food ดีสุด แต่ก็ยังพอจะขุดเอาความรู้มาเลือกสูตรที่พอจะเอามาฝากชาวบ้านเค้าได้

ที่จริงแล้วตลาดทงแดมุนเป็นตลาดที่มีมาแต่โบราณ อยู่ติดกับประตูทงแดมุนที่เป็นประตูเมือง เนื่องจากสมัยโบราณมีการเก็บภาษีร้านค้าภายในกำแพงเมือง พ่อค้าแม่ค้าจึงใช้วิธีขายของกันอยู่หน้าประตูให้คนในเมืองออกมาซื้อกัน โดยแต่ละประตูเมืองก็มีของขายไม่เหมือนกัน ให้คนในเมืองเข้าๆ ออกๆ ประตูโน้นประตูนี้ตามชอบใจ

4 สาวรุ่นราวคราวเดียวกับเราได้เครื่องสำอางมากันคนละกระเป๋าใหญ่ๆ จนต้องตะลึง แต่ไม่กล้าถามว่าเปิดร้านขายที่เมืองไทยหรือเปล่า เพราะแค่ลิปสติก คุณเธอก็ซื้อมาคนละ 20 แท่งแล้ว ไม่รวมเครื่องสำอางอื่น ส่วนวัยรุ่นกลุ่มใหญ่ 10 คนที่แยกไปนั่งท้ายรถก็ซื้อกันมาพอสมควร มี 2 คนแม่ลูกที่ดูจากหน้าแล้วไม่รู้ลูกสาวเคยเห็นเครื่องสำอางหรือเปล่าซื้อมาถุงเดียว นึกว่าจะได้กลับไปนอนซะที ปรากฏว่ายังมีโปรแกรมต่อจากกินข้าวยำ (บิบิมบับ) ที่อร่อยสูสีกับเมืองไทยกับหม้อร้อน คือไปล่องเรือตามแม่น้ำฮัน ดูน้ำพุและแสงสีที่พ่นมาจากสะพานบันโพ สถานที่ถ่ายทำหนังเรื่อง Boys over flowers (ไม่ได้ดูอีกเหมือนกัน)
จนตาเกือบปิดเราก็ถึงที่พัก R hotel เหมือนเดิม โรงแรมย่านนี้เป็นตึกติดๆ กันคาดว่าจะเป็นเจ้าของเดียว ตั้งชื่อเรียงกันเป็นอักษรเดียว นั่นคือ R - L - I – F – E ห้องดีและราคาไม่แพง ดูจากติดโฆษณาไว้ คืนละ 30,000 วอน คืนนี้เด็กๆ วัยรุ่นจะไปเที่ยวผับกันต่อ (ตอนนั้น 4 ทุ่มแล้ว) ไกด์เจมส์เลยให้ข้อมูลใหญ่ว่าผับที่เกาหลีปลอดภัยเพราะไม่เน้นดื่ม เน้นเต้นมากกว่า แถมยังสอนให้สาวๆ ไปสีหนุ่มที่ชอบด้วยการไปเต้นกระแซะ ถ้าไปใกล้ๆ แล้วไม่ถูกใจก็เต้นหลบออกมา รอสีคนอื่นต่อ แถมยังอาสาพาไปแต่ออกตัวว่าพอชินกันแล้วจะขอกลับก่อน
ส่วนเรื่องแท็กซี่ก็แบ่งเกรดเป็นแท็กซี่ธรรมดาเหมือนบ้านเราที่เป็นมิเตอร์มีราคาเริ่มต้นต่อมาก็คิดเป็นกิโลเมตร ส่วนแท็กซี่สีดำจะมีแบบเก๋ง (Deluxe taxi) และรถแวนคันใหญ่ (Jumbo taxi) จะราคาสูงกว่าแท็กซี่ธรรมดาประมาณ 2 เท่า คนขับพูดภาษาอังกฤษได้ เบาะนั่งกว้างกว่าและประกันความปลอดภัย

กลับถึงห้องได้เราก็ chat กับอ๋อยเหมือนเดิม เพราะพรุ่งนี้ไกด์เห็นใจแก๊งค์วัยรุ่นเลยยอมให้ออกเป็น 7 – 8 – 9 แทน ส่วนคุณนายสุนีย์ก็นวดยาและแปะแผ่นแก้ปวดที่ขาไปพลางก่อนเข้านอน
27 ส.ค. 53
วันนี้จากที่จะได้ออกจากโรงแรม 9 โมงเช้า ก็เป็น 9 โมงครึ่งแทน เพราะเด็กๆ ที่กลับมาเกือบตี 4 ตื่นกันไม่ไหว พอถามไกด์เจมส์ว่าเมื่อคืนไปผับกันสนุกไหม ไกด์บอกอ่อยๆ ว่าเขาเปลี่ยนใจไปบาร์เกย์กันผมเลยไม่ได้ไปด้วย

เช้านี้เราไปเริ่มต้นกันที่ทำเนียบประธานาธิบดี (Blue house) ที่ตั้งชื่อแบบนี้เพราะหลังคาของทำเนียบเป็นกระเบื้องแก้วสีฟ้า ตามโบราณนิยมที่บ้านของขุนนางชั้นสูงจะใช้กระเบื้องสีฟ้าทำหลังคา ได้แต่ถ่ายรูปไกลๆ จากบนรถ เพราะมีทหารคุ้มกันแน่นหนา ให้ถ่ายเฉพาะภาพนิ่งอย่างเดียว ห้ามอัดวีดีโอ
ด้านหน้าทำเนียบมีรูปปั้นหงส์เหยียบลูกโลก สัญลักษณ์ของประเทศเกาหลี ที่เป็นเมือง “น้อง” ของจีน (จีนใช้สัญลักษณ์เป็นมังกร) พวกเราถ่ายรูปหมู่กันท่ามกลางแดดจัด มีโอกาสหลบแดดเข้าไปเดินในร้านขายของที่ระลึกให้พอได้ซื้อแสตมป์สำหรับติดโปสการ์ดส่งให้เพื่อนๆ ก็ต้องรีบกลับขึ้นรถ ดีที่ถ่ายรูปกลองใหญ่ด้านหน้าที่เพิ่งเห็นได้ทัน

เราไปถึงพระราชวังเคียงบก หรือเคียงบ๊อกกุง ที่ละม้ายๆ ปราสาทของจีนและญี่ปุ่นสร้างในสมัยราชวงค์โชซอน แต่เนื่องจากเป็นพระราชวังที่เสียหายจากสงครามโลก และสงครามกับญี่ปุ่น ทำให้มีการบูรณะใหม่จนสีสันสดสวยอย่างทุกวันนี้โดยไม่ลืมคงไว้ซึ่งสถาปัตยกรรมเดิม และการก่อสร้างแบบการเข้าลิ่มไม้แทนตะปู ทำเลของพระราชวังนี้ ด้านหน้าเป็นแม่น้ำฮัน ด้านหลังเป็นเทือกเขารูปทรงพยัคฆ์ และมังกร โอบล้อมไว้ ไม่แน่ใจว่ามีการตกแต่งภูเขาเพิ่มเติมหรือเปล่าเพราะส่วนที่เป็นตาของมังกรนั้น กลมเกลี้ยงเป็นสีขาวเห็นได้ชัดเจน ด้านข้างของพระราชวังมีแท่งหินนักสัตว์อยู่ คณะทัวร์ของพวกเรามาถึงก่อนเลยมีเวลาถ่ายรูปก่อนทัวร์จีนกลุ่มใหญ่จะมาจับจองรูปปั้นปีเกิดของตัวเอง

ภายในพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านเกาหลีในเขตพระราชวังมีการจำลองชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเกาหลี ตั้งแต่ แผนที่เมืองเก่า เสื้อผ้า ที่นอน การรักษาอาการเจ็บป่วย ตัวอย่างสมุนไพร รวมถึงความเชื่อดั้งเดิม ออกจากพิพิธภัณฑ์มาก็ได้แต่ถ่ายรูปกับป้ายเพราะไม่มีเวลาพอจะไปเปลี่ยนชุดประจำชาติเกาหลี (Hanbok) ให้ถ่ายรูปเหมือนทัวร์อื่นๆ เด็กอนุบาลเกาหลีที่เราเจอในพิพิธภัณฑ์มีครูพามาให้เดินจับมือกันเป็นคู่ หญิง-ชาย บางคู่เด็กผู้ชายลากเพื่อนผู้หญิงซะปลิว แต่บางคู่เด็กหญิงซะอีกที่ฉุดเด็กผู้ชายจ้ำอ้าว ไม่กลัวเค้าฟ้องแม่เลยตัวเอง เด็กๆ น่ารักแต่ไม่ค่อยยอมถ่ายรูปกับคนแปลกหน้า คุณนายสุนีย์เลยใช้วิธีการไปยืนขวางหน้าแถวเด็กๆ แล้วก็ใช้ลูกสาวถ่ายรูปให้ ...เอ๊อ ทำไปได้

พวกเราเดินย้อนผ่านตำหนักพระราชินี นางสนม และเจ้าหญิงเจ้าชาย มาออกที่ตำหนักคึนจองจอน (Geun Jeong Jeon) ที่ใช้เป็นท้องพระโรงเวลามีงานราชการ ด้านหน้ามีก้อนหินระบุตำแหน่งที่ยืนของเสนาบดีตั้งแต่ชั้น 1 ไปปลายๆ แถว เราเลยไปแอ็คถ่ายรูปที่ตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายบุ๋นชั้น 1 ซึ่งอยู่ด้านขวามือของตำหนัก (ไม่แน่ใจว่าในหนังเรียกตำแหน่งนี้
ว่าเสนาบดีวังหรือเปล่า) ตำแหน่งตรงข้ามทางซ้ายมือเป็นที่ของเสนาบดีฝ่ายบู๊ ชั้น 1 ก็น่าจะเป็นเสนาบดีกลาโหม ไม่กล้าไปแอ็ค เดี๋ยวจะต้องบู๊มากกว่าปัจจุบัน
เสียดายที่ต้องรีบทำเวลาเลยไม่ได้เดินไปจนถึงศาลา เคียนโฮรึ (Gyeonghoeru) ที่สร้างอยู่กลางสระบัวใหญ่ ว่ากันว่าสวยงามมาก ระหว่างรถวิ่งเรายังได้เห็นการเปลี่ยนเวรของทหารยามในชุดโบราณประจำประตูพระราชวังอีกด้วย โดยขั้นตอนจะเริ่มจากกองทหารรักษาการกลุ่มแรกยืนประจำตำแหน่งหน้าประตูทางเข้าพระราชวัง มีผู้บัญชาการทหารถือกล่องกุญแจพระราชวังไว้ รอให้กองทหารกลุ่มที่ 2 เดินขบวนมาถึงประตู ผู้บัญชาการของทั้งสองกองจะเข้ามาตรวจสอบรหัสประจำวันกัน รหัสจะเป็นคำ 3 คำ ที่เลือกโดยหน่วยราชการทหารในแต่ละวันแล้วรายงานต่อกษัตริย์ (อาจจะเป็น ไอ-เลิฟ-ยู แล้วผู้บัญชาการทั้ง 2 ก็กอดกันกลม.....มะช่าย...) หลังจากนั้นจะมีการตีกลอง 6 ครั้ง ผู้บัญชาการกองแรก จะมอบกุญแจให้ผู้บัญชาการกองที่ 2 ตามด้วยการตีกลอง 3 ครั้ง ผู้บัญชาการทั้ง 2 คนจะตรวจสอบรหัสอีกครั้งโดยนำบูซิน (Busin) หรือแผ่นไม้ที่มีรหัสประจำวันเขียนไว้ 2 แผ่นมาต่อกันแล้วอ่านได้ข้อความเดียว สุดท้ายเป็นการตีกลอง 2 ครั้ง หลังจากส่งมอบบัตรประจำกองทหารให้ผู้มาเปลี่ยนเวร แล้วกองทหารทั้ง 2 กองก็จะตั้งแถวหันหน้าเข้าหากันเพื่ออำลา เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการ

เที่ยงนี้เราได้กินซัมเกทัง หรือไก่ตุ๋นโสมคนละตัว ทางร้านใช้ไก่อายุ 45 วัน เอาข้าวยัดใส่ในท้องแล้วตุ๋นกับโสมเกาหลีอายุ 2 ปี ได้ไก่ต้มในน้ำสีขาวขุ่นๆ กินทีแรกคาวนิดๆ ไกด์แนะนำให้แหวะท้องไก่ออกแล้วเอาเส้นขนมจีนใส่ลงไป หลังจากชิมไปเบ้หน้าไปเพราะไม่ชอบกินไก่ แต่ด้วยความหิวเลยหาจานมาแคะเอาเนื้อไก่ ข้าว และขนมจีนออกจากน้ำซุป แล้วก็ปรุงใหม่ด้วยซอสเกาหลี น้ำจิ้มแจ่วที่ไกด์เอามาให้ รวมกับซีอิ๊วขาว เลยได้ข้าวมันไก่ต้มใส่ขนมจีนรสชาติพอแหลก..ล่าย

กินเสร็จขึ้นรถได้ ไกด์ก็โฆษณาโสมเกาหลีเป็นการใหญ่เพราะจุดหมายต่อไปเป็นศูนย์โสมรัฐบาลที่ต้องต้อนให้หมูชาวไทยไปขึ้นเขียง เราไปดูต้นโสมและเหง้าโสมอายุตั้งแต่ 1 – 6 ปี โดยที่ใบโสมจะเพิ่มขึ้น 1 ใบต่อ 1 ปี ส่วนตัวโสมเกาหลีอายุ 6 ปี ถึงจะมีสรรพคุณทางยามากที่สุด ถ้าฝานดูจะเห็นเนื้อข้างในเป็นสีแดงเข้ม โดยยาที่ศูนย์โสมจำหน่ายก็มีทั้งแบบแคปซูล แบบผสมน้ำผึ้ง และแบบผงให้ชงดื่ม ไม่ว่าคนขายและไกด์จะพูด (ไทย) เชื้อเชิญยังไงเราก็ยืนยันไม่ซื้อ เพราะราคาแพงแถมเรายังเชื่อถือยาแผนปัจจุบันมากกว่า แต่ก็เสียความรู้สึกตรงทีแรกไกด์เจมส์บอกไม่ซื้อก็ไม่เป็นไร แต่พอไม่ซื้อจริงๆ กลับทำปั้นปึ่ง บริการน้อยลงเห็นๆ นี่ถ้ามีบ่นด้วยคงจะได้สั่งสอนกันให้รู้ว่าลูกทัวร์นั้นมีหลายประเภท ซึ่งประเภทเรานั้นเน้นมาเที่ยว มากิน ซื้อของที่พอใจ ของที่ไม่พอใจก็ไม่ซื้อ ไม่ได้คิดว่าไกด์เป็นคนใช้ แต่ก็ไม่ได้เกรงใจไกด์จนต้องซื้อทุกอย่างที่จูง (จมูก) ไปซื้อฮ่ะ

เราไปแวะช้อปกันต่อที่ร้านเครื่องสำอางปลอดภาษี มาเจอ Rojukiss ซึ่งเป็นเวชสำอางที่นี่เพราะไม่ได้เปิดหน้าร้านขายเฉพาะเหมือนพวก Skin food ที่มีอยู่ทั่วไป เครื่องสำอางที่จะซื้อก็ซื้อหมดแล้ว เราก็เลยชวนแม่ออกมาเดินเล่นนอกร้านจะได้ไม่ต้องโดนคนขายต้อนหน้าต้อนหลัง จนฝนเริ่มตกก็ไปรอในรถ

ต่อจากนี้พวกเราไปกันที่หอคอยโซล (Seoul Tower) ตั้งอยู่บนยอดเขานัมซาล ซึ่งเป็นหอคอยที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีทำหน้าที่กระจายคลื่นวิทยุ โทรทัศน์ ข้างในยังมีสถานที่ที่คู่รักนิยมไปคล้องกุญแจร่วมกัน และมีพิพิธภัณฑ์เท็ดดี้แบร์ ซึ่งจำลองการกำเนิดประเทศเกาหลีและอารยธรรมต่างๆ ด้วยหมีเท็ดดี้ เพราะคนเกาหลีมีความเชื่อดั้งเดิมอยู่ว่ารากเหง้าของชาวเกาหลีเกิดมาจากหมีที่บำเพ็ญเพียรจนกลายเป็นมนุษย์ เมื่อขึ้นลิฟท์ไปด้านบนจะมีจุดให้ชมวิวกรุงโซลแบบมองเห็นได้ทั้ง 360 องศา (จากในเรื่องคิมซัมซุน – เรื่องนี้ดูเพราะนางเอกเป็นคนอ้วนและพระเอกหล่อ!) รถพาเราขึ้นเขาสูงชันไปที่ลานจอด แต่ก็ยังต้องเดินขึ้นทางชันไปอีก 200 เมตร มองๆ ดูแล้วแม่เราคงเดินไม่ไหว เลยตกลงรอกันที่รถ ปล่อยให้หนุ่มๆ สาวๆ เขาไปดูหมี ส่วนเรากับแม่ไปแวะซื้อขนมขบเคี้ยวกันที่ร้านค้าข้างลานจอดรถ ระหว่างฝนลงเม็ดก็นอนรออยู่บนรถไปพลางๆ ร้อนนิดหน่อยเพราะตามกฎหมายแล้วห้ามรถที่จอดติดเครื่องไว้นานเกิน 15 นาที จนได้เวลากลับมาก็ไม่เห็นมีใครซื้อตุ๊กตาหมีมากันซักคน

เราแวะกินหม้อไฟโป๊ะแตกทะเลรสชาติจืดๆ จนต้องอาศัยน้ำจิ้มทะเลของไกด์อีกเช่นเคย มีแต่ปูกระจิริด และหอยกระจี้รี่ ในหม้อไฟก็ทำให้เซ็งไปเหมือนกัน ดีที่มีกิมจิสาหร่ายที่เคี้ยวกรุบๆ ให้กินกับข้าวจน 4 สาวเห็นเรากินแต่สาหร่ายเลยยกของโต๊ะตัวเองให้มาอีกชาม...อิ่ม

ออกจากร้านอาหารฝนก็ยังตกไปเรื่อยๆ จนไปถึงตลาดเมียงดง (Myeongdong) ก็ยังตกหนักซะต้องขอรออยู่ในรถ พอฝนเริ่มซาค่อยออกมาจากรถ อันดับแรกไม่ใช่ตามคนอื่นๆ ไปช้อปปิ้ง แต่เป็นการไปเดินหาห้องน้ำเข้าในห้าง Lotte ฝั่งตรงข้าม มองจากในรถชักจะหนักใจที่ไม่เห็นเลยว่าทางม้าลายอยู่ตรงไหน แต่พอลงจากรถถึงได้เห็นว่ามีทางข้ามใต้ดินอยู่ด้านหน้ารถนั่นเอง
ภายในทางข้ามมีร้านขายของมากพอสมควรจนนึกว่าเป็นสถานีรถไฟใต้ดินหรือเปล่า แต่ก็ไม่ใช่ เราพาแม่เดินดูเสื้อผ้านิดหน่อย กว่าจะหาห้องน้ำในห้างเจอได้แทบเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ห้าง Lotte เป็นห้างใหญ่มาก แบ่งเป็นตึกเฉพาะของวัยรุ่น ตึกที่ขายอุปกรณ์อื่น เราเดินได้แป๊บเดียวก็พาแม่ข้ามกลับมาที่ตลาดเมียงดงที่น่าจะมีของขายเยอะกว่า แต่โชคไม่ดีที่ฝนตกหนักก่อนหน้านี้ทำเอาร้านค้าเก็บของกลับบ้านไปเกือบหมด เหลือแต่ร้านขายพวกกระเป๋าเงิน กระเป๋าถือ เครื่องประดับผม ที่ยังพอมีแผงตั้งประปราย นอกจากนั้นร้านรวงก็จะมีแต่ร้านเสื้อผ้าแฟชั่น (ตัวเล็กๆ อีกแล้ว) และร้านเครื่องสำอาง ให้เก็บเรนมาฝากอ๋อยสมใจ

แม่คงกินไม่อิ่มเท่าไหร่ เลยมาหยุดที่ร้านไอติมแล้วก็ทำตัวเป็นคนใบ้ให้ลูกสาวไปซื้อให้ ได้ไอติมโคนยาว 1 ฟุต (1500 วอน) มากินแก้เบื่อที่เดินอยู่เป็นนาน ได้แค่กระเป๋าเงินใบเล็กๆ มาใบเดียว หลังจากกินไปบ่นไปว่าเยอะจังกินไม่หมด ก็ได้เวลาลูกสาวเอาไอติมที่เหลือไปทิ้ง...หมดเรื่องกัน

ค่ำนี้เราพักที่โรงแรม BenHur เป็นโรงแรมสไตล์โรมัน มีเสาโกธิค หรืออะไรเทือกๆ นี้ ในห้องนอนก็มีถาดแสตนเลสสลักลายเครือไม้เถา พื้นห้องเป็นไม้สนเปลือยไม่ลงน้ำมัน แต่ก็มี internet ให้ (มีแต่ภาษาเกาหลี กว่าจะหา font ภาษาอังกฤษได้) ด้วยความที่ง่วงสุดฤทธิ์เลยคุยกับอ๋อยแป๊บเดียวระหว่างรอแม่อาบน้ำ แล้วก็รีบนอนดีกว่า

28 ส.ค. 53

ถ้าจะบอกว่า R hotel มีห้องที่ถูกใจมากๆ โรงแรม BenHur ก็มีอาหารเช้าที่ถูกใจมากๆ เพราะมีข้าว! หลังจากกินแต่ซีเรียลมา 2 วัน ไม่รู้ว่าธรรมเนียมการกินเป็นยังไง แต่พจนารถก็ตักข้าวสวยใส่ถ้วยซุป แล้วก็เอาซุปปลาใส่ไข่เทราดจนกลายเป็นข้าวต้มปลาทอดรสชาติสุดยอด ไม่ชายตาแลซีเรียลกับสลัดอีกเลย ฝรั่งที่พักที่เดียวกันได้แต่มองๆ ว่าอีนี่ไปเอาจานนี้มาจากหนายเนี่ย ส่วนแม่เราก็กินซุปข้นๆ ที่บอกว่าอร่อย (มาหลายวัน) อีกเช่นเคย

เช้านี้เราออกสายอีกแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อคืนเด็กๆ ไปเที่ยวไหนกันต่อ ได้ยินสมาชิกหนุ่มรังสีเหนือม่วงพูดแว่วๆ ว่ามาถึงเกาหลีแระ....เฮ่อ

พวกเราไปวัดโชเกซา (Chogyesa temple) ซึ่งเป็นวัดพุทธที่ใหญ่ที่สุดในโซล เสียดายที่เราไม่ได้มาตรงกับช่วงเทศกาลในช่วงใกล้วันวิสาขบูชา ซึ่งจะมีโคมไฟสีสวยแขวนไว้เต็มลานวัดไปหมด เลยได้แต่ไหว้สิ่งสำคัญ 3 อย่างของวัด คือพระประธานองค์ใหญ่ 3 องค์ พระบรมสารีริกธาตุบรรจุในเจดีย์ 7 ชั้นทรงแปลกตา และพระพุทธรูปข้างต้นสนอายุ 100 ปี บริเวณวัดมีร้านขายเครื่องราง ทั้งลูกประคำ ถุงเครื่องราง สายคล้องโทรศัพท์นักสัตว์ และอื่นๆ อีกมากมาย แถมบางอย่างมีรูปคิตตี้อีกต่างหาก นอกนั้นก็มีหนังสือธรรมะเป็นภาษาเกาหลี และข้าวสารใส่ถุงเล็กๆ ให้ซื้อไปบริจาคให้กับพุทธศาสนิกชนที่มาปฏิบัติธรรมในวัด โดยเมื่อเราเข้าไปไหว้พระประธานจะเห็นว่าคนเกาหลีจำนวนมากนั่งเรียงกันอยู่บนเบาะผ้า สวดมนตร์โดยใช้หนังสือธรรมะ บ้างก็นับลูกประคำ ซึ่งก่อนที่เราจะไปไหว้พระ ไกด์ก็กำชับไว้แล้วว่าอย่าส่งเสียงดัง และไม่ควรถ่ายรูปเพราะจะไปรบกวนคนเหล่านี้ แต่บนเพดานในโบสถ์มีโคมไฟสีแดงอันเล็กๆ แขวนไว้เต็มไปหมด โดนสีแดงดึงดูดจนอดไม่ได้ต้องไปยืนแอบหลังประตูแล้วเก็บภาพที่เพดานมาจนได้

จากนั้นเราไปแวะที่ถนนอินซาดง (Isadong street) ถ้าเปรียบกับเมืองไทยก็ราวๆ ถนนคนเดินที่เชียงใหม่ซึ่งเป็นย่านศิลปวัฒนธรรม และมีสินค้าพื้นเมืองพวกผ้าไหม ผ้าพันคอ หน้ากากไม้ และของที่ระลึกต่างๆ วางขายอยู่ เนื่องจากเราไปถึงกันแต่เช้า บางร้านจึงยังไม่เปิด และไม่คึกคักเท่าที่ควร โดยจะคึกคักมากในวันอาทิตย์ที่จะมีร้านค้ามากมาย และมีการแสดงต่างๆ ตามถนนด้วย
ทัวร์ช้อปยังไม่หมดแค่นี้ พวกเราไปที่ Shilla duty free ซึ่งเป็นอาคารขนาดใหญ่ แต่สินค้าปลอดภาษีจะอยู่ที่ชั้น 1 และชั้นใต้ดินเท่านั้น เดินดูกันแป๊บเดียวเราก็ชวนแม่ไปหาเบเกอรี่กินกันที่ร้าน Paris Baguette ที่ไกด์เคยโฆษณาว่าเป็นร้านขนมเจ้าอร่อย นั่งรถผ่านก็เห็นมีหลายสาขา ซึ่งร้านเบเกอรี่ที่นี่มีขนมน่ากินทั้งนั้น ไม่ยักมีบาแกรตเหมือนชื่อร้านแฮะ แต่พอเอื้อมมือไปก็ต้องชะงักเพราะป้ายขนมแทนที่จะบอกราคาแบบบ้านเราอย่างเดียวยังระบุแคลอรี่ของขนมชนิดนั้นๆ ด้วย....กรรมของคนอ้วน

เราหลับหูหลับตาหยิบขนมมาชิ้น 2 ชิ้น (โชคดีที่เค้กไม่ขายเป็นชิ้นแต่ขายทีละ 2 ปอนด์ ราคา 60,000 วอน – รอดปากเราไป) พอลืมตาจะจ่ายเงินก็ดั๊นไปเจอน้ำแข็งใสตกแต่งด้วยผลไม้และถั่วแดงกวน (4,500 วอน) น่ากินสุดๆ เลยสั่งเพิ่มอีก ลืมไปว่าด้านนอกฝนตกนิดหน่อย ไม่งั้นคงสั่งแบบนั่งกินในร้านให้สบายอารมณ์ และไม่ต้องฟังแม่บ่นแระ

กว่าสาวๆ และเด็กๆ จะช้อปกันเสร็จ เราก็อิ่มพอดี แต่นั่นก็ไม่ทำให้ลดปริมาณอาหารในมื้อเที่ยงแต่อย่างใด และมื้อนี้เป็นหม้อไฟ (อีกแล้ว) ที่อร่อยกว่าทุกมื้อเป็นหมูหมักและปลาหมึกแห้ง ใส่เส้นคล้ายก๋วยเตี๋ยว ถ้านับแบบเมืองไทย คงกินเข้าไปด้วยความรวดเร็ว 2 ชามกว่า เพราะทัวร์ซื้อตั๋วดูโชว์ Nanta หรือ “ครัวกระจุย เคาะกระจาย ตี หั่น สับ” ซึ่งเป็นการแสดงโชว์ด้วยท่าทางและใช้การเคาะเครื่องครัวเช่น หม้อ เขียง ให้เป็นจังหวะ และดำเนินเรื่องไปด้วยอย่างสนุกสนาน คนดูหัวเราะกันลั่นโรง มีแต่คุณนายสุนีย์แม่เราเท่านั้นที่หลับฮ่ะ โชว์นี้มีการเลือกผู้ชมมาร่วมแสดงด้วย ไม่ว่าจะเป็นการชิมอาหาร การช่วยปรุงอาหาร และตบมือ กระทืบเท้าคล้ายๆ คอนเสิร์ตทำเอาสนุกจนลืมเวลาทีเดียว

เกือบวันสุดท้ายเพิ่งได้สังเกตว่าถนนในโซลไม่มีเกาะกลางมีรถวิ่งได้ข้างละ 4 เลน คิดจะกลับรถตรงไหนก็กลับไปเถอะ รถเมล์จะวิ่งตรงกลาง มีที่รอรถคล้ายๆ สถานีที่มีทั้งมอนิเตอร์และลำโพงบอกว่ารถเมล์สายไหนกำลังจะมาถึง ไกด์บอกว่าเป็นการสะดวกกับรถที่จะเลี้ยวซ้าย หรือเลี้ยวขวาไม่ให้ต้องมาติดคอยรถเมล์ แต่ยังไงรถที่นี่ก็ไม่ได้วิ่งเร็วเพราะมีกล้องวงจรปิดคอยจับตาดู เมื่อถึงเวลาก็จะส่งบิลมาเก็บค่าปรับถึงบ้าน ส่วนถนนก็มีทั้งทางต่างระดับและอุโมงค์ให้ดูงงเล่น
หลังจากนี้เด็กๆ ในกลุ่มขอแยกไปเที่ยว Lotte world ที่เป็นสวนสนุก ปล่อยให้พวกเราไปกันต่อที่ศูนย์พลอยสีม่วง (Amethyst) คราวนี้คุณนายสุนีย์ไม่รอด ได้ลูกสาวกตัญญูซื้อแหวนพลอยให้ 1 วง มื้อเย็นคราวนี้เป็นเมนูหมูย่างเกาหลี (คาลบิ) มีหมูเติมไม่อั้นให้ย่างในตะแกรงไฟฟ้ามีท่อดูดควันแบบยืดได้ วิธีกินให้ย่างหมูวางบนใบกะหล่ำปลีต้มตามด้วยกระเทียมและซอสแดงแล้วห่อเข้าปาก แรกๆ ก็รอว่าเมื่อไหร่เตาจะร้อนซะที แต่หลังๆ ก็เหมือนทุกทีที่กินคือกินไม่ทันจนหมูเกรียมบ้างไหม้บ้าง ส่วนตะเกียบที่ทั้งแบนทั้งเล็กก็คีบได้ลำบากกว่าทุกเมนูที่ผ่านมาจนต้องใช้ที่คีบน้ำแข็งที่ให้มาคีบกลับหมูในเตามาใช้แทน หลังๆ ห่อใบกะหล่ำบ้างไม่ห่อบ้างก็เลยใช้ช้อนตักกินกับข้าวซะงั้น
ไกด์บอกว่าวันกลับในวันพรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้าเลยให้กลับที่พักเร็วหน่อย แต่ก็ยังพาเราไปห้างโคเอ็กซ์ (Coex mall) กันต่อ ซึ่งห้างนี้เป็นห้างใหญ่มีพื้นที่กว้างขวาง มีทั้งโรงแรม ห้าง พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ (Coex aquarium โรงหนัง 3 มิติและคาสิโน อยู่ตรงข้ามกับย่านช้อปปิ้งของมหาวิทยาลัยสตรี อีวา (Ewha) ซึ่งจะคล้ายๆ กับทงแดมุนตอนที่ฝนตกเลยไม่ได้แวะ เราไปเดินๆ ได้พักเดียวก็ต้องพักขา แล้วในที่สุดก็ได้ของถูกใจ คือ การ์ตูนโคนันเล่ม 68 ที่วางจำหน่ายล่าสุด (ขณะนี้เมืองไทยเพิ่งเล่ม 64) ราคา 4,500 วอน สูสีกับราคาที่ญี่ปุ่น (ซื้อเล่ม 64 มา) กว่าจะถึงโรงแรมก็เกือบ 4 ทุ่ม
ไกด์คุยอย่างดีว่าได้อัพเกรดโรงแรมให้เป็น 5 ดาว แต่พอเข้าไปในห้อง นอกจากแอร์จะมีน้ำหยดแล้ว ห้องน้ำยังแคบและต้องอาบน้ำในอ่างที่สูงมากจนต้องให้แม่ระวังตัวสุดฤทธิ์ในการปีนเข้าไปอาบ เก็บข้าวของรอไปพลางๆ กว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปเกือบตี 1 อีกเช่นเคย ที่แย่กว่านั้นคือต้องตื่นตี 4!
29 ส.ค. 53
วันนี้มือถือดันทรยศไม่ปลุก หรือปลุกแล้วแต่เราเหนื่อยจนไม่ได้ยินก็ไม่แน่ ดีที่มีโทรศัพท์จากไกด์มาปลุก งวดนี้คุณนายอาบน้ำก่อน เลยมีเวลาลืมตาให้เต็มที่ แต่พอเวลารถจะออกคือตี 5 ไกด์ถามย้ำเรื่องพาสปอร์ต น้องเหนือม่วงคนนึงดันหาไม่เจอ รถที่วิ่งออกไปได้ซัก 5 นาทีเลยต้องวกกลับมาที่โรงแรมให้กลับไปค้นในห้องอีกครั้ง แต่ก็ยังหาไม่เจอ ไกด์ต้องหาทางออกด้วยการบอกให้อยู่ในโซลอีก 1 คืน แล้ววันจันทร์จะพาไปทำพาสปอร์ตชั่วคราวที่สถานทูต ทำเอาพวกเราที่ถึงแม้จะไม่สนิทก็พากันเป็นห่วงไปด้วย ฝนยังตกไปจนถึงร้านอาหารในเขตสนามบินที่เราได้กินอุด้งเป็นมื้อเช้าตอน 6 โมงกว่า และซื้อของฝากพวกกิมจิที่ซุปเปอร์มาร์เกตด้านล่าง เสียดายที่กิมจิสาหร่ายแบบที่กินตามร้านอาหารไม่ยักมีขาย เลยได้กิมจิปลาหมึก (อร่อยด้วย) กับกิมจิที่ทำจากสาหร่ายเถ้าแก่น้อยเส้นบางๆ มาแทน (ไม่อร่อย) แล้วก็เสื้อยืดเกาหลีมาฝากพ่อกะน้องชาย มีข่าวดีที่เด็กๆ ช่วยกันค้นกระเป๋าเดินทางหาพาสปอร์ตให้เพื่อน เจอว่าซุกอยู่ในเสื้อผ้า ซึ่งคงเป็นเพราะนอนดึกและตื่นเช้าเลยรวบๆ เสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า.....โชคดีไปที่ได้กลับเมืองไทยพร้อมกัน
ถึงสนามบินได้เราก็เอาของฝากยัดเข้าไปในกระเป๋าใหญ่ที่ยังมีที่ให้ใส่ แล้วก็พาแม่เช็คอินเข้าไปก่อน เพราะ gate ที่ 100 ขึ้นไปต้องขึ้นรถไฟใต้ดินไปอีกอาคาร เลยต้องเผื่อเวลาสำหรับผู้สูงอายุเยอะกว่าคนอื่น ทำให้ไปถึงก่อนจนแม่ (ที่ไม่ไว้ใจลูกสาวเป็นทุนเดิม) ต้องคอยถามว่ามาถูกที่แน่หรือเปล่า รออีกเป็นนานกว่าสมาชิกคนอื่นๆ จะมากันครบ ขึ้นเครื่องได้เราก็นอนต่อ มารู้ทีหลังว่าแม่นั่งเกร็งตอนเครื่องออกเพราะฝนตกหนัก เครื่องบินบินโคลงไปโคลงมา งวดนี้ที่นั่งข้างเราว่างแล้ว เลยมีที่ให้เหยียดขาไปข้างๆ เปลี่ยนท่านั่งบ้าง แต่ไม่มีสจ๊วตหนุ่มๆ ง่ะ...เฮ้อ ตื่นมาอีกครั้งมีอาหารมาเสิร์ฟ คราวนี้ของหวานเป็นเค้กวนิลาหน้ามูส...ได้กินเค้กแล้ว ตอนน้องแอร์มาเก็บถาดอาหารดันทำถาดคว่ำใส่กระเป๋าคุณนายสุนีย์อีกต่างหาก หลังจากขอโทษขอโพยช่วยเช็ดให้แล้วยังให้กระดาษทิชชู่มาอีกปึกหนึ่ง รู้งี้เปลี่ยนเป็นเค้กอีกก้อน 2 ก้อนก็ดีอ่ะ
กลับถึงเมืองไทย 11.30 น. ผ่านด่านเรียบร้อยมาแวะซื้อของกินที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้าท่ารถตู้ได้อีก ถึงบ้าน 15.00 น.

Thursday, June 10, 2010

เกาะเสม็ด 28 - 30 พ.ค. 53

พวกเราประกอบด้วยเรา อ๋อย จุ๋ย พี่ยี้ ไปเกาะเสม็ดกันเป็นเกาะที่ 4 ของปีนี้ เป็นนิมิตหมายอันดีที่อาจจะได้เป็นชาวเกาะกันในอีกไม่นาน

โชคยังดีที่มีฝนตกแค่เล็กน้อยเท่านั้น พอให้แวะกินผัดไทยคุณไกรเจ้าดังของบ้านเพในเวลาเกือบๆ บ่าย 2 โดยที่จุ๋ยที่เป็นคนขับรถพี่ยี้ไม่แปลงร่างเป็นก๊อซซิลล่าไปซะก่อน

พวกเราลงเรือที่ท่าเรือนวลทิพย์ โดยซื้อตั๋วแบบเที่ยวเดียวตามที่มีคนแนะนำว่าเวลาจะกลับถ้ามีเรือท่าอื่นออกก่อนก็จะได้ไม่ต้องรอ ใช้เวลานั่งเรือ 40 นาทีก็ถึง จากนั้นต่อรถสองแถวผ่านอุทยานแห่งชาติไปยังที่พักของเราคราวนี้..เสม็ดคาบาน่า ระหว่างนั่งรถก็ต้องสะดุ้งกับเพื่อนร่วมทางกลุ่มอื่นที่คุยกันไม่เบานักว่า "นี่ๆ รู้ป่าวว่าที่นี่มีสปาเก้งด้วย".........โอ๊วว

งวดนี้คุณชายมีของเล่นใหม่เป็น iPhone 3G ให้นั่งเล่น นอนเล่น ไม่สนใจเหล่าชะนีที่มาด้วยซักเท่าไหร่

เสม็ดคาบาน่าอยู่ที่อ่าวหวาย 1 ในอ่าวในเกาะเสม็ดที่ค่อนข้างเงียบ ชายหาดสะอาดใช้ได้แต่ไม่ถึงกับกว้างมากนัก

แต่ก็มาอีหรอบเดิมคือเข้ามาเจอไอเย็นในห้องก็นอนพักกันซักหน่อยดีกว่า.....


ตกเย็นเลยไปกินข้าวกันแถวรีสอร์ท แล้วก็ดูโชว์ไฟนิดหน่อยก่อนจะหลบฝนเข้าที่พัก

วันรุ่งขึ้นได้โอกาสนั่งรถสองแถวไปอ่าวลุงดำ ที่ค่อนข้างเงียบแต่วิวสวยใช้ได้ พวกเราเลือกร้านอาปาเช่ที่หนังสือแนะนำกินข้าวเที่ยงกันแล้วก็ถ่ายรูปจนพอสมควร


เย็นก็วางแผนไปกินกันที่เจี๊ยบบังกาโล หาดทรายแก้ว ที่มีอาหารนานาชาติและเค้กอร่อย จุ๋ยยังอยากจะไปดริ๊งต่อที่ silversand แต่ว่า โอ้ พระเจ้า นี่มันผับเก้งชัดๆ จุ๋ยยังลังเล แต่เพื่อนบอกถอยดีกว่า เลยต้องจำใจล่าถอยตามชะนีไปอย่างเสียดาย...นิดๆ

หลังจากนั้นเลยต้องพาไปดริ๊งปลอบใจแถวที่พัก บรรยากาศไม่คึกคักเท่าไหร่ ชั่วเวลาไม่นานนักพวกเราก็พากันกลับมานอนกันให้เต็มที่สมกับมาพักผ่อนและตื่นเช้ากันแบบตามสบายก่อนกลับขึ้นฝั่ง แวะกินข้าวกันที่ร้านตำนานป่า บ้านเพ และกลับถึงบ้าน 20.30 น.

เกาะพยาม จ. ระนอง 16 - 18 เม.ย. 53

พวกเราประกอบด้วย เรา จุ๋ย หมอปุ้ม ไปเกาะพยามด้วยรถตู้ไฮโซของ blue sky รีสอร์ท จากอนุเสาวรีย์ชัยฯ - ระนอง พร้อมแพคเกจแช่น้ำแร่ในเมืองระนองก่อนจะข้ามเรือไปรีสอร์ท

ไปถึงพร้อมกับแดดร้อนเปรี้ยง ดีที่มีรถกอล์ฟมารับพวกเราไปยังรีสอร์ทที่อยู่ไม่ไกลท่าเรือนัก ฆ่าเวลารอห้องว่างด้วยข้าวเที่ยงที่รีสอร์ทกันเป็นมื้อแรก แล้วต่อจากนั้นก็ได้สัมผัสห้องพักสไตล์มัลดีฟสวยๆ เหมือนกับที่ได้ข้อมูลมา

คิดว่าจะนอนหลบแดดกันซักพักแล้วไปถ่ายรูป แต่ดันนอนกันสบายยาว.....ไปจนเย็นย่ำ

วันรุ่งขึ้นเพื่อไม่ให้เป็นการ(นอน)เสียเวลาอีก พวกเราเลยไปจองจักรยานมากันคนละคัน กะว่าจะไปอ่าวเขาควายที่อยู่อีกด้านของเกาะ ถ้ามีเวลาจะไปไกลว่านั้น คือ แถวอ่าวใหญ่ที่มีรีสอร์ทอยู่กันหนาแน่น

แต่ขอโทษเถอะ ขึ้นเขาไปได้ครึ่งทางพจนารถก็ลมตะพ้านกินต้องขอพัก แล้วเข็นจักรยานขึ้นเขาแทน...เป็นภาระมั๊ยล่ะนี่ แถมใครก็ม่ะรุยังหลอกเค้าว่าจะพาไปเล่นน้ำที่อ่าวเขาควาย เลยใส่ชุดว่ายน้ำเป็นแหนมไว้ข้างใน โครตๆๆๆอบ ได้แต่กินข้าวที่รีสอร์ทญาติเจ้าของ blue sky ที่อ่าวเขาควายพักเหนื่อย

ดีที่ขากลับเป็นทางลงเขามากกว่าขึ้นเขา ทีนี้เราก็เลยใช้แรงโน้มถ่วงโลกทำความเร็วเทียบเท่ามอไซค์แล้วฟ้าวโลด...

ตอนบ่ายกลับมาถึงรีสอร์ทเลยงอแงจนต้องพาว่ายน้ำมันในคลองหลังบ้านอ่ะ (ดูรูปแรกประกอบ) เพราะหน้าบ้านน้ำลงหมดแล้ว

ยังไม่หมดกิจกรรมเพราะคุณชายจุ๋ยไม่ยอมให้นอน เลยต้องไปเดินถ่ายรูปเอาบรรยากาศที่รีสอร์ท

แล้วก็เดินไปจนถึงแหลมหินไม่ใกล้ไม่ไกล ถ่ายรูปกับพวกเดียวกัน กับหิน กับปูก้ามดาบสีสวย จนฟ้าแทบมืด และเริ่มหิว ก็กลับมากินๆๆ ตามประสาชาวแก็งค์

หมดไปอีกทริป....แฮ่.....ค่าใช้จ่ายต่อคน ค่ารถตู้ไป-กลับ 2000 + ค่าที่พัก 1600 บาท...ค่ากิน...แพง อย่ารู้มันเล้ย