Monday, September 09, 2013

ซุโค่ย! ฮอกไกโด

บันทึกการท่องเที่ยว Hokkaido Japan 16 – 23 ส.ค. 56

พวกเรา ประกอบด้วยพจ จุ๋ย หมอปุ้ม 3 คนอีกเช่นเคย ออกเดินทางตั้งแต่เย็นวันที่ 15 ส.ค. 56 ก่อนไปก็พากันไปกินจนอิ่มท้องที่ร้านครัวกรุงเทพ แถวบ้านจุ๋ย เผื่อเวลาไว้ดิบดีให้หมอปุ้มช้อปปิ้งเครื่องสำอาง และให้พจเล่นเกมผ่าน Instragram ของ King’s power แล้ว พวกเรายังมีเวลาไปนั่งพักและกินขนมกันที่ห้องพักของ King’s power ได้อีกจนถึงเวลาเครื่องออก

16 .. 56

7 ชั่วโมงผ่านไปให้พอปวดเมื่อยเล็กน้อย พวกเราก็มาถึงสนามบิน New Chitose เมืองซัปโปโร ในเวลาท้องถิ่น 8.30 น. ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเข้ามาได้อย่างราบรื่นและไม่ต้องใช้วีซ่า

การเหยียบแผ่นดินญี่ปุ่นคราวนี้นับเป็นครั้งที่ 2 ของเรา แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นคนละเกาะ เพราะคราวที่แล้วเป็นส่วนของ เกียวโต โตเกียว บนเกาะฮอนชู (ย้อนไปอ่านได้ที่ตอน Yokoso Japan ค่ะ) คราวนี้พวกเราเตรียมการมาค่อนข้างพร้อมพอสมควร ทั้งวิธีการเดินทางด้วยรถไฟ ตารางเวลา และข้อมูลอื่นๆ ทั้งสถานที่กินและเที่ยว

พวกเราพบนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มาเที่ยวเองจากเที่ยวบินเดียวกันหลายคน จึงได้แต่เดินตามๆ กันลงไปชั้น 2 ซึ่งเป็นที่ตั้ง JR office ของฮอกไกโด

รถไฟของญี่ปุ่นขึ้นชื่อในเรื่องของความตรงเวลา ดังนั้นคนจึงนิยมใช้บริการกันมากโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่มักจะซื้อตั๋วรถไฟประเภทเหมาจ่าย ในส่วนของเกาะฮอกไกโดเรียกว่า Hokkaido rail pass ซึ่งใช้ได้เฉพาะรถไฟ JR และรถบัสบางสาย

ตั๋ว JR Hokkaido นั้นแบ่งตามระยะเวลาที่เราซื้อ เช่น เหมารวม 3, 5, 7 วัน (วันที่จะใช้บัตรต้องติดต่อกัน) และแบบ 4 วันไม่ต่อเนื่องกัน ราคาก็ถูกแพงตามระยะเวลา พวกเราซื้อผ่านบริษัทในเมืองไทยและได้คูปองระบุชื่อผู้ใช้มา จากนั้นเมื่อมาถึงก็นำมาแลกเป็นตั๋วจริงที่ JR office ของสนามบิน เจ้าหน้าที่เห็นว่าเราเริ่มใช้ตั๋วเลยในวันนี้ก็ใจดีสำรองที่นั่งในขบวนรถที่เข้าเมือง Supporo ให้อีกด้วย เราเลยถือโอกาสสำรองที่นั่งไปยังฟุราโน่ในวันพรุ่งนี้ต่อไป

การสำรองที่นั่งหรือ Reserved seat นั้นสามารถจองได้ก่อนการเดินทางถ้าเรารู้กำหนดการและไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจองเพิ่ม สามารถดูตารางรถไฟล่วงหน้าจาก www.hyperdia.com ซึ่งเป็นเว็ปไซต์ที่ระบุเวลา ราคาและชื่อขบวนรถจากสถานีเริ่มต้น สถานีที่ต้องเปลี่ยนขบวน จนถึงสถานีปลายทาง เมื่อจองแล้วเราก็จะได้ตั๋วที่ระบุชื่อขบวนรถ ตู้ และเลขที่นั่งเพิ่มมาอีก 1 ใบ ไว้แสดงกับพนักงานตรวจตั๋วบนรถ แต่ถ้าไม่สำรองที่นั่งก็แสดงตั๋ว JR rail pass ถ้าพนักงานขอตรวจ ส่วนการเข้าไปยังชานชาลาของสถานี JR นั้น ใช้วิธีแสดงบัตรให้พนักงานและเดินผ่านช่องด้านข้างไปได้เลย แต่ถ้าใช้วิธีซื้อตั๋วจากเครื่องขายตั๋วก็ต้องเสียบตั๋วเข้าไปในเครื่องกั้นแล้วค่อยเดินผ่าน หรือถ้าจะใช้บัตรเติมเงินหรือ IC card เช่น Kitaca (บัตรสวย ใช้กับตู้ขายน้ำอัตโนมัติได้แต่คิดราคา JR ตามจริงไม่เหมาจ่าย) ก็ใช้วิธีแตะบัตรที่เครื่องกั้น

หลังจากขนข้าวของขึ้นรถไฟแล้ว พวกเรามีเวลาเหลือเฟือในการมองทิวทัศน์ข้างทางและจัดการอาหารที่เหลือของการบินไทยให้หมดภายใน 36 นาทีของการเดินทาง ซึ่งแต่ละตู้ขบวนจะมีป้ายระบุว่าเป็นตู้เฉพาะหรือไม่ เป็นป้ายสีเขียวเขียนว่า Reserved มีพนักงานรถไฟคอยเดินตรวจตั๋วและไม่ให้ผู้ที่ไม่ได้จองไว้มานั่ง

เมื่อถึงสถานีซัปโปโร หรือ JR Sapporo เราต้องต่อรถไฟใต้ดินเพื่อไปยังที่พักกันอีก เนื่องจากสถานีซัปโปโรเป็นสถานีชุมทางของเกาะนี้ สถานที่จึงกว้างมาก แต่ป้ายบอกทางที่ชัดเจนตลอดแนวก็พาพวกเราลงบันไดเลื่อนและเดินต่อไปตามทางใต้ดินที่มีห้างร้านเรียงเป็นแถวไปจนถึงทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดิน หรือ Sapporo Subway กันจนได้

สัญลักษณ์ของรถไฟหลักๆ ในแผนที่ มี 2 แบบนั่นก็คือ JR และ ST (subway) การเดินทางภายในเมืองซัปโปโรส่วนใหญ่นั้น พวกเราอาศัยรถไฟใต้ดิน ดังนั้นเพื่อความสะดวก เราจึงซื้อบัตรเติมเงินสำหรับรถไฟใต้ดิน หรือบัตร Sapica เพิ่มอีก 1 ใบ สามารถแตะบัตรแล้วเดินเข้าออกสถานีใต้ดินได้โดยไม่ต้องซื้อตั๋วจากเครื่องขายตั๋วทุกครั้ง

ก่อนจะได้บัตร Sapica มา พวกเราไปติดต่อเจ้าหน้าที่ประจำสถานีรถไฟใต้ดิน เขาบอกว่าซื้อบัตรจากเครื่องเติมเงินได้เลย แล้วก็ลุกขึ้นเดินหนีไป ทำเอาพวกเราคิดว่าคงต้องมางมเอากับตู้ 4 เหลี่ยมที่ตั้งเรียงกันเป็นพืดนานแน่ๆ แต่ที่ไหนได้ เขาเปิดห้องแล้วเดินออกมาสาธิตให้พวกเราดูอย่างเต็มอกเต็มใจ ถึงภาษาอังกฤษจะกระท่อนกระแท่นพอๆ กัน แต่ด้านการบริการด้วยความเต็มใจและยิ้มแย้มนั้นต้องยกให้กับคนญี่ปุ่นทุกที่ๆ พวกเราไปจริงๆ

ที่สำคัญ อย่าโดนคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ค่อนข้างประหลาดของเครื่องขายตั๋วนั้นหลอกเอาได้ เพราะพอได้บัตร Sapica ที่เป็นบัตรแข็งมา พวกเราก็ถามต่อว่าเวลาจะเติมเงิน (refill) จะทำยังไง เจ้าหน้าที่ก็งง จึงต้องเล่นใบ้คำโดยม้วนธนบัตรพันเยนไว้บนบัตรแล้วทำท่ายัดมันเข้าไป จึงได้รู้ว่า สูจะต้องกดที่ปุ่ม charge จ้ะ เพื่อจะเติมเงิน

บัตร Sapica มีค่ามัดจำ 500 เยน/ใบ ดังนั้นเมื่อเราซื้อบัตรครั้งแรกมูลค่า 2000 เยน เงินที่ใช้ได้ในบัตรก็จะมีแค่ 1500 เยน พวกเราจึงได้ charge กันอีกคนละ 1000 เยน เมื่อลงบันไดไปอีกชั้นก็จะเป็นสถานีรถไฟใต้ดิน ถ้าคนที่คุ้นเคยกับรถไฟฟ้าอยู่แล้วจะง่ายมาก เพราะรถไฟวิ่งสวนกัน 2 ด้าน มีป้ายบอกปลายทางทั้งภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษเรียบร้อย เมื่อมีแผนผังเส้นทางสายสีต่างๆ ของรถไฟใต้ดินแล้วก็ไปกันได้เลย

ที่พักของพวกเรา 3 คืนแรก และ 2 คืนก่อนกลับคือโรงแรม APA Susukino Ekimae อยู่ติดกับสถานีรถไฟใต้ดินโฮซุยซูซูกิโนะ (Hosui Susukino) ทางออกที่ 3 เรียกว่าโผล่ขึ้นมาจากสถานีก็เป็นประตูโรงแรมเลย ไม่เคยเดินใกล้ขนาดนี้มาก่อน
โรงแรมในญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเช็คอินตอนบ่าย 2 โมง เราจึงต้องฝากของแล้วไปหาอาหารเที่ยงกันก่อน แต่เมื่อหย่อนก้นลงที่โซฟารับแขกของโรงแรมแล้วแทบไม่อยากจากไป ไม่ใช่โซฟานั่งสบายจนไม่อยากลุก แต่เป็นเพราะว่าโรงแรมมี free wifi ให้ ทำเอาแต่ละคนควักโทรศัพท์ขึ้นมาเปิด line, FB ฯลฯ กันอยู่เป็นนาน จากที่วางแผนไว้ว่าจะไปหาอะไรกินกันแถวสวนโอโดริละแวกใกล้เคียง จึงได้แต่เดินไปตามถนนด้านหน้าโรงแรมและไปเจอร้านราเม็งลูกค้ากำลังกินอยู่หลายคนเข้าแทน

ราเม็งชามแนะนำของร้านนี้เป็นสูตรฮอกไกโด เส้นสีเหลืองนุ่มใส่ในน้ำซุปเต้าเจี้ยว นอกจากหมู หน่อไม้แล้วยังมีข้าวโพด และก้อนเนยเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมที่ทีแรกนึกว่าเป็นเต้าหู้ใส่ลงไปด้วย จุ๋ยเป็นคนที่ชอบกินราเม็งมาก แต่มาเจอต้นตำรับเข้าก็เหวอกับปริมาณเส้นหมี่ที่เทียบได้กับก๋วยเตี๋ยวธรรมดาขนาด 3 ชามของเมืองไทย กินไปได้พักหนึ่งก็หันมามองเพื่อนๆ ว่าจะกินกันหมดไหม ก็พบว่าชามของพจนารถว่างเปล่าซะแล้ว

จากนั้นพวกเราเดินกันต่อไปที่สวนโอโดริ สวนสาธารณที่ยาวหลายช่วงถนน ก่อนจะถึงก็แวะร้านเครื่องสำอางรายทางในย่านทานุกิ โคจิ (Tanuki Koji) ซึ่งเป็นหลังคาโค้งตลอดแนวถนนคนเดิน ให้สาวๆ ได้เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ในรายการ เช่น Biore UV SPF 50, Hada Labo ฯลฯ ขอแนะนำว่าถ้าคุณรับฝากซื้อของให้ถ่ายรูปหรือพิมพ์ภาพผลิตภัณฑ์นั้นมาด้วย เพราะของญี่ปุ่นแท้จะมีแต่ภาษาญี่ปุ่นเต็มพรืด อ่านก็ไม่ออก และแยกความแตกต่างระหว่างขวดที่คล้ายๆ กันได้ยาก

สวนโอโดริ เป็นสวนสาธารณะใจกลางเมืองซัปโปโร กว้าง 100 เมตร แต่ยาว 1.5 .. ใช้เป็นที่จัดงานเทศกาลหิมะ (Sapporo snow festival) แต่เนื่องจากพวกเรามาเที่ยวกันในช่วงหน้าร้อนจึงเห็นเพียงน้ำพุ รูปปั้นต่างๆ ร้านขายไอศรีมและร้านขายข้าวโพดย่าง ถึงแม้ข้าวโพดจะเป็นสิ่งขึ้นชื่อของฮอกไกโดสมควรที่จะลองชิม แต่ความจุกจากราเม็งทำเอาพวกเราถอยทัพ ได้แต่เดินถ่ายรูปดอกไม้สวยๆ ในสวน และมองดูผู้คนที่เดินผ่านไปมาแทน

อายุที่มากขึ้นของพวกเราคงเป็นปัจจัยหนึ่งในการวางแผนเที่ยว พอตกบ่ายของการเดินทางวันแรก เป็นต้องง่วงเหงาหาวนอน ดังนั้นจึงได้แต่ถ่ายรูปหอส่งสัญญาณทีวีซัปโปโรที่อยู่ไม่ไกลแล้วกลับที่พัก ไม่ได้ลงไปที่สถานีใต้ดินโอโดริที่เป็นชุมทางรถไฟใต้ดินของซัปโปโร และมีศูนย์การค้า Aurora town ให้ช้อปปิ้งกัน

กลับมาที่โรงแรมอีกครั้ง ห้องพักของพวกเรามี 3 เตียง ทำให้ห้องค่อนข้างแคบ แต่ห้องน้ำกว้างขวางดีมาก ดูจากข้อมูลห้องพักแล้วมีสาย lan Wifi ให้เหมือนกับหลายๆ ประเทศ ดังนั้นอุปกรณ์ที่เตรียมมาในคราวนี้และช่วยได้มากก็คือ mini router ที่แค่เสียบสาย lan เข้ากับเครื่องแล้วเสียบปลั๊ก ก็ทำหน้าที่กระจายสัญญาณ Wifi ใช้กันได้ทั้งห้องแล้ว และปลั๊กต่อพ่วงที่ขนมาด้วยก็แก้ปัญหาปลั๊กไฟปริมาณจำกัดได้ดีสุดๆ

จากเดิมที่ทุกคนต่างก็เพลียจากการเดินทาง พอมีสัญญาณให้เล่นอินเตอร์เนตได้เท่านั้นก็เหมือนปลากระดี่ได้น้ำ ไม่ยอมหลับยอมนอนกันอย่างที่ตั้งใจทีแรก

สำหรับคนที่ต้องโทรกลับเมืองไทย พจนารถยินดีนำเสนอแพคเกจโทรถูกคราวนี้ ก็คือ True Net Talk สำหรับมือถือที่ใช้ wifi ได้ ส่วนซิมโทรศัพท์นั้นจะเป็นค่ายไหนไม่สนใจ สิ่งที่ต้องทำคือไปซื้อบัตรเติมเงินทรูมันนี่ที่ 7-11 มา 50 บาท จากนั้นก็ใช้คอมพิวเตอร์เข้าเว็ปของ True Net Talk ลงทะเบียนการใช้แบบ Prepay smart domestic เราก็จะได้ username กับ password มา แล้ว log in อีกครั้งด้วย username และเติมเงินเข้าไปในบัญชี คราวนี้เราก็จะมีค่าโทรได้ 50 บาทล่ะ

มาในส่วนของมือถือก็แค่โหลด app True Net Talk สีแดงโร่ แล้วก็ log in ด้วย username กับ password เสร็จก็โทรได้เลยโดยไม่ต้องกดรหัสประเทศ (ศูนย์บริการเค้าบอกว่า server ของเราอยู่เมืองไทยค่าคุณพี่ ดังนั้นก็เหมือนคุณพี่โทรอยู่ในเมืองไทยแหละค่ะ) เสียค่าโทรนาทีละ 0.70 บาท ไม่รวม vat เสียงโทรศัพท์ชัดเจน ความหน่วงเวลาของเสียงขึ้นอยู่กับความแรงของ Wifi เปรียบเทียบดูแล้ว เสียงยังจะชัดเจนกว่าโทรด้วย Wifi ในเมืองไทยซะอีก

เงยหน้าจากโทรศัพท์ขึ้นมากันอีกครั้งก็ได้เวลาอาหารเย็น มื้อนี้พวกเรากลับไปที่สถานี JR sapporo ไปดูแสงไฟตามตึกใหญ่ๆ รอบๆ สถานี อย่างห้างไดมารู, ESTA ข้างในสถานีก็มีโซนซุปเปอร์มาเก็ต และช้อปปิ้ง หรือ stellar place ที่ด้านล่างชั้น 1 จะมีศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยว สามารถติดต่อจองทัวร์ไปที่ต่างๆ โดยมีต้นทางอยู่ที่ซัปโปโรได้

ชั้นบนของสถานีเป็น food center ที่มีร้านอาหารจำนวนมาก เรียงรายกันจนเลือกไม่ถูก แต่ละร้านมีคนรอคิวเยอะๆ ทั้งนั้น พวกเราเลือกร้านปิ้งย่างสไตล์เจงกิสข่านร้านหนึ่ง หลังจากรอเกือบ 1 ชั่วโมง เราก็ได้ย่างเนื้อวัว เนื้อหมู กินกันอย่างอร่อย มีสาวๆ มหาลัยโต๊ะข้างๆ ช่วยบอกวิธีกินให้ด้วย หลังกินเสร็จ
ถึงจะอิ่มแค่ไหน พจนารถก็ยังจะกินเค้กต่อแบบต่อรองกันว่าซื้อกลับไปกินที่โรงแรมก็ได้ ดังนั้นก่อนนอนคืนแรกในฮอกไกโด พวกเราก็นอนหลับฝันดีด้วยช็อคโกแลตบานาน่ามู้สเค้ก กับเค้กสตอเบอร์รี่

17 ส.ค. 56

เช้าวันนี้พวกเราไปหาข้าวเช้ากันที่ร้านในสถานี JR Sapporo ดูเหมือนว่าจุ๋ยจะถูกใจข้าวหน้าปลาดิบบดเอามากๆ ส่วนหมอปุ้มที่ยังกินไม่ลงจากเวลาที่ต่างกันเลยซื้อข้าวกล่องหน้าสถานีไปกินบนรถไฟ

การเดินทางไปทุ่งลาเวนเดอร์ที่ฟุราโน่ช่วงที่กำลังบานนี้ (ต้น ก.ค. – ปลาย ส.ค.) จะมีรถไฟขบวนพิเศษจาก Sapporo ตรงไปที่ Furano โดยไม่ต้องเปลี่ยนขบวน ชื่อรถด่วน Furano Lavender Express สำหรับฤดูนี้ใช้รถขบวน Crystal express ที่มี
กระจกหน้าต่างและเพดานด้านคนนั่งเป็นกระจกใสมองเห็นวิวด้านข้างและด้านบนได้สวยงาม ถ้าได้นั่งในช่วงกลางคืนที่มีฝนดาวตกคงจะสวยมากๆ อย่างไรก็ตามเมื่อไปถึงสถานีฟุราโน่แล้วต้องต่อรถไฟ Norokko ที่มีหัวรถสีเขียวแปร๊ดด้านในแต่งด้วยไม้ มีบานหน้าต่างกว้างให้ชมวิวไปที่ฟาร์มโทมิตะอีกทอด เดินข้ามแม่น้ำไปก็จะถึงฟาร์มโทมิตะ

สำหรับคนที่จะเที่ยวหลายๆ สถานที่ในฟุราโน่ แนะนำให้ซื้อบริการ twinkle bus เป็นรถบัสนำเที่ยวที่อื่นๆ ของฟุราโน่แบบเหมาจ่าย ทั้ง cheese factory, Chateau furano, wine house ฯลฯ โดยรถบัสจะหยุดให้ลงไปเดินเที่ยวและถ่ายรูปตามจุดหมายที่กำหนด

เมฆดำทะมึนในเวลาเที่ยงวันเป็นลางไม่ค่อยดีเท่าไหร่สำหรับการถ่ายรูปกับดอกไม้ พวกเราถือหลักกองทัพต้องเดินด้วยท้อง หลังจากหักใจจากเมล่อนสีส้มเย็นฉ่ำ และบรรดาขนมปังใส้ครีมเมล่อนในตู้กระจกตามทางที่เดินผ่านมาได้ เราก็เข้าคิวสั่งข้าวราดแกงกะหรี่มากินเป็นอาหารเที่ยง ส่วนหมอปุ้มยังอิ่มกับข้าวกล่องอยู่ก็แยกไปซื้อขนมปังมากินแทน

ยังกินข้าวไม่เสร็จดี ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก มีจุ๋ยคนเดียวที่ไม่ได้พกร่มมาด้วย ครั้งนี้เลยได้ร่มสีม่วงสดของฟาร์มลาเวนเดอร์มาเป็นที่ระลึก

นักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ยังคงกางร่มถ่ายรูปกันอย่างไม่ท้อถอย บางส่วนรวมทั้งพวกเราด้วยพากันเข้าไปอยู่ในเรือนกระจกที่เพาะลาเวนเดอร์ดอกตูมๆ ไว้ ช่วงเวลาที่เรามานี้เลยช่วงที่ดอกลาเวนเดอร์บานเต็มที่ไปแล้วนิดหน่อย ดังนั้นในแปลงจึงมีบางส่วนเหลือแต่ต้นที่เริ่มโรย มองเห็นเป็นพรมสีม่วงเข้มที่มีส่วนเว้าๆ แหว่งๆ เหมือนถูกหนูแทะ ส่วนแปลงดอกไม้หลายๆ ชนิดที่สลับสีตัดกันให้สีสันสดใสนั้นยังคงบานสวยไปได้อีกหลายวัน

นอกจากส่วนที่เป็นสวนดอกไม้ของโทมิตะฟาร์มแล้ว ยังมีส่วนจัดแสดงดอกไม้แห้ง ร้านขายของที่ระลึกจากดอกลาเวนเดอร์ พวกเราแวะกินไอศกรีมเมล่อนและไอศกรีมลาเวนเดอร์ก่อนเดินกลับออกมากินเมล่อนชิ้นเล็กๆ ที่ตัดแบ่งยั่วน้ำลายไว้ด้านหน้าฟาร์ม รสชาติหวานหอมอร่อยถูกใจอย่างที่คาดหวังไว้จริงๆ

พวกเราถ่ายรูปกันอย่างไม่รีบร้อน จนจุใจแล้วก็พากันเดินกลับไปที่สถานีรถไฟหน้าฟาร์ม มองเห็นรถไฟเพิ่งออกจากสถานี เลยได้แต่คิดว่าถ่ายรูปกับทุ่งนาสีเหลืองทองด้านข้างสถานีรอขบวนต่อไปก็ได้ หารู้ไม่ว่านั่นเป็นรถขบวนสุดท้ายที่จะกลับไปสถานีฟุราโน่...โธ่

ครู่ต่อมาจึงได้รู้จากตารางเวลาเล็กๆ ติดไว้ที่สถานี พวกเราเลยต้องเดินกลับมาขึ้นแท็กซี่หน้าฟาร์มอีกครั้ง รถแท็กซี่ของญี่ปุ่นเป็นระบบมิเตอร์ ประตูด้านหลังทางซ้ายเปิดรอผู้โดยสารไว้ คนขับสามารถปิดเปิดได้อัตโนมัติ อีก 15 นาทีต่อมาพวกเราก็กลับมาที่สถานีฟุราโน่ มีเวลาอีกเป็นชั่วโมงกว่าจะถึงเวลารถไฟที่จองไว้ พวกเราเดินเล่นตามร้านขายของที่ระลึกซึ่งจะมีขายเฉพาะแต่ละเมือง ดังนั้นหากใครอยากซื้อผลิตภัณฑ์ลาเวนเดอร์ที่ติดป้ายฟุราโน่แล้ว ให้รีบซื้อติดมือกลับไป อย่าหวังว่าจะได้เจอที่ซัปโปโรหรือเมืองอื่นๆ

ขากลับนี้เราเปลี่ยนขบวนรถท้องถิ่นหวานเย็นจากฟุราโน่เป็นรถด่วนคามุอิ (Super Kamui express) ที่สถานี Takikawa ใช้เวลาอีก 50 นาทีก็กลับถึง Sapporo


ถึงจะกลับมาโรงแรม 2 ทุ่มกว่า แต่ร้านอาหารเย็นเป้าหมายของคืนนี้อยู่บนถนนฝั่งตรงข้ามโรงแรมนี้เอง เป็นร้านปูเจ้าดัง ชื่อ Kani Shogun สัญลักษณ์คือปูตัวใหญ่ขยับก้ามแขวนอยู่หน้าร้าน พนักงานต้อนรับยิ้มแย้มดีมาก หลังจากให้พวกเราถอดรองเท้าแล้วก็พาขึ้นลิฟท์ไปนั่งที่โต๊ะญี่ปุ่น พวกเราสั่งชุดปู ที่รวมอาหารทำจากปูมาทั้งหมด 11 จาน เช่น ปูดิบ ก้ามปูแช่น้ำส้ม ปูจ๋า รวมทั้งสุกี้ปูด้วย ท้ายสุด ก่อนพจนารถจะอ้าปากสั่งเพิ่มเพราะไม่อิ่ม ก็มีจานรองสุดท้ายเป็นข้าวสวยเทลงในหม้อสุกี้ผสมไข่ลงไปเคี่ยวให้น้ำแห้งพอตักขึ้นมาก็โรยหน้าด้วยสาหร่ายอร่อยมั่ก ตบท้ายด้วยเมล่อนอีก 1 ชิ้น เพียงหมื่นกว่าเยนเท่านั้นสำหรับ 3 คน อิ่มคุ้ม!

เอ่อ...บอกว่าอิ่มตั้งแต่ทีแรกคงไม่ถูกเท่าไหร่ พวกเราไปเดินย่อยอาหารกันที่ทานุกิ โคจิกันต่อ หลายร้านเริ่มปิดบริการกันแล้ว แต่ยังคงมีร้านเครปผลไม้เปิดอยู่ ดังนั้นอาหารหวานที่เพิ่มขึ้นมาจึงเป็นไอติมเครปโปะด้วยผลไม้แล้วแต่จะสั่ง

เดินต่อไปจนถึงห้าง Norbesa ขึ้นไปที่ชั้น 7 ยังมีชิงช้าสวรรค์ยักษ์ติดไฟสวยงามเปิดให้บริการอยู่ มองจากชิงช้าสูง 78 เมตร เห็นหอส่งทีวีซัปโปโรที่มีนาฬิกาแปะอยู่และวิวยามค่ำคืนทั่วเมือง

18 ส.ค. 56

เช้านี้เราแวะกินอาหารร้านเดิมที่จุ๋ยติดใจในสถานีรถไฟแล้วก็ใช้ Rail pass เดินทางไปโอตารุกัน ไม่จำเป็นต้องสำรองที่นั่งในรถท้องถิ่นไปโอตารุและนอกจากนี้รถไฟยังมีทุกครึ่งชั่วโมงอีกด้วย ถ้าไม่ได้อยู่ในช่วงใช้งานของ Hokkaido rail pass 7 วัน ยังสามารถซื้อบริการ Otaru welcome pass ราคา 1500 เยน ใช้สำหรับเดินทางไปกลับโอตารุ และรถไฟใต้ดินในซัปโปโรได้ 1 วัน

รถไฟวิ่งเลียบทะเลให้ได้ชมวิวทะเลอย่างใกล้ชิด 45 นาทีต่อมาเราก็มาถึงโอตารุ จากสถานีรถไฟเดินทอดน่องตรงไปเรื่อยๆ ก็จะผ่านถนนช้อปปิ้ง Miyako Dori ยามเช้ายังไม่ค่อยมีร้านค้าเปิด จากนั้นเดินไปอีกจะเป็นทางรถไฟสายเก่าที่ขนานไปกับคลอง จนเกือบสุดถนนก็จะเป็นคลองโอตารุที่มีชื่อเสียง

คลองโอตารุเป็นคลองที่ถูกขุดเข้ามาจากชายฝั่งทะเลแล้วหักเลี้ยวขนานไปกับชายฝั่ง ใช้จอดเรือและขนส่งสินค้าเข้าโกดังที่ตั้งอยู่ข้างคลอง ปัจจุบันโกดังเหล่านี้กลายเป็นร้านค้าเกือบหมดแล้ว พวกเราถ่ายรูปเลาะคลองมาเรื่อยๆ จนเจอร้านขายของที่ระลึกและศูนย์อาหารภายในโกดังขนาดใหญ่ แต่เป้าหมายของเที่ยงนี้คือร้านซูชิเจ้าดังของโอตารุชื่อร้าน Masazushi เป็นร้านซูชิในตำนานที่คนญี่ปุ่นยกย่อง ดูจากคำว่า zushi สะกดด้วยตัว z

ร้านนี้เปิด 11 โมง พวกเราไปถึง 11.15 น. ปรากฎว่าต้องรออีก 40 นาทีสำหรับนั่งโต๊ะ ถ้าจะนั่งที่เคาน์เตอร์ดูเชฟทำซูชิไปด้วยต้องรอ 1 ชั่วโมงพระเจ้า

รอไปดูเมนูซูชิอาหารทะเลไป จากนั้นก็ไปนั่งรออาหารที่โต๊ะต่อ อย่าคิดใช้คำว่าปล่อยให้หิวแล้วกินอะไรก็อร่อยกับลูกค้ากลุ่มนี้นะยะ แต่อย่างไรก็ดี พวกเราก็ตื่นตาตื่นใจกับอาหารสดๆ รวมถึงซาซิมิปลาหมึกดิบที่แล่เนื้อปลาหมึกเป็นเส้นๆ เอาเนื้อหอยเม่นสีเหลืองเข้มใส่เข้าไปละลายในน้ำซีอิ๊วรวมกับวาซาบิ จากนั้นค่อยเอาปลาหมึกดิบจิ้มน้ำจิ้ม เข้าปากหนึบๆ กรุบๆ และก็มีแต่พจนารถคนเดียวที่ปักหลักกินจนหมด ส่วนคนอื่นๆ ยังแหยงกับปลาหมึกดิบ

รวมทั้งจุ๋ยที่โม้ไว้ตั้งแต่แรกว่าจะลองกินหนวดปลาหมึกที่ยังขยับได้ตอนเจอน้ำจิ้มด้วย...เฮอะ!

คนอื่นๆ แก้ลำด้วยการสั่งของสุก เช่น เทมปุระ มากินแก้เลี่ยนกันต่อ แต่โดยรวมแล้วทุกอย่างอร่อย จะมีก็แต่หอยเม่นที่มีกลิ่นสาบ ทำให้การกินหอยเม่นครั้งแรกไม่ค่อยประทับใจนัก

ออกจากร้านได้ก็คิดจะไปกินขนมร้าน LeTAO เจ้าดังของโอตารุต่อ แต่ระยะทางไกลมากๆ เลยต้องหลอกล่อผู้จัดการทริปว่า นอกจากมีร้านขนมอร่อยๆ แล้ว ย่าน Merchen square ที่จะไปนี้ยังเป็นจัตุรัสที่มีสถานที่เที่ยวเยอะแยะ เช่น พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี มีนาฬิกาไอน้ำตั้งอยู่ด้านหน้าคอยบอกเวลาด้วยการพ่นไอน้ำ ร้านเครื่องแก้ว Kitaichi ฯลฯ

จุ๋ยเลยยอมให้ขึ้นแท็กซี่ไปกิน เอ๊ย ไปถ่ายรูปกันต่อ


ไปถึงที่จัตุรัสมีการแสดงตีกลองของคนในพื้นที่ให้นั่งดูหลังจากไปดูกล่องดนตรีสวยๆ แต่ราคาแพงระยับเสร็จแล้ว นอกจากนี้ยังพาจุ๋ยไปเสียเงินค่าของฝากที่ถูกใจคนซื้อจนกลับมาแล้วก็ยึดเป็นของตัวเองเฉยเลยซะอีก กว่าผู้จัดการทัวร์จะร้อนจนยอมให้ลากเข้าร้านขนมได้ก็บ่ายโข

ชั้นล่างของร้าน LeTAO เป็นส่วนที่ให้ซื้อกลับบ้าน มีขนมหลายชนิด พวกเราเดินตามๆ คนอื่นขึ้นลิฟท์มาชั้น 2 ที่เป็นร้านน้ำชาและขนม สั่งเค้กกันมาคนละชิ้น อาศัยช่วงจุ๋ยเผลอกินกันหมดแล้วก็สั่งเพิ่มอีก 2 ชิ้น พอจุ๋ยเงยหน้าขึ้นมาจากมือถือ เค้กก็ยังอยู่ครบจำนวนเหมือนเก่าแฮ่

พวกเราลงมาซื้อเค้กกลับไปกินให้หลับฝันดีกันต่ออีก 1 ปอนด์ รวมทั้งไวท์ช็อคโกแลตบอลใส้สตอเบอร์รี่ทั้งลูก พอได้เวลากลับ ดูแผนที่จากบริเวณนี้ใกล้สถานีรถไฟ Minami Otaru มากกว่า เลยตัดสินใจเดินไปขึ้นรถที่นี่แทนการเรียกแท็กซี่ไปส่งสถานี Otaru แต่ก็หลงไปหลงมาจนต้องถามทางจากชาวบ้าน กว่าจะมาถึงสถานีเล่นเอาเค้กเกือบย่อยหมด

ฝนเริ่มตกอีกครั้งเมื่อมาถึงซัปโปโร พวกเราไม่ได้ออกไปไหนไกล เพียงแต่เดินช้อปปิ้งกันใต้หลังคาโค้งของทานุกิ โคจิ เราได้เครื่องสำอางจนครบ ส่วนจุ๋ยที่ยืนรออยู่หน้าร้านคงจะเหล่เสื้อผ้าร้านข้างๆ อยู่นาน เมื่อหน่วยส่งเสริมการขายว่างเลยพาไปควักกระเป๋าต่อจนได้กางเกง tomorrow trend (ตามภาพ) มา 3 ตัว และเข็มขัดอีก 1 เส้น

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกเราเดินเข้าร้านโน้นออกร้านนี้อย่างสนุกสนาน พอได้เวลาท้องหิว ก็เลยย่านที่เป็นร้านมาไกลแล้ว ยังดีที่ตามกลิ่นไปจนเจอร้านบุฟเฟ่ต์ชาบูเสริฟไม่อั้นภายในตึกเล็กๆ จนได้ พนักงานรีบออกตัวว่าอีกแค่ไม่ถึงชั่วโมงครัวจะปิดแล้วนะขอรับ

พวกญี่ปุ่นประเมินกระเพาะคนไทยผิดอีกแระ พอเติมเนื้อ 3 ครั้ง ผัก 2 ครั้ง แอบเอาข้าวปั้นกับเส้นอุด้งมาตัดกำลังอีก พนักงานร้านก็มาถามอย่างเกรงใจว่าครัวเราปิดแล้วขรั่บ แล้วก็ทำหน้าแหยงๆ เมื่อเห็นทุกจานว่างเปล่า เห็นอิอ้วนบ่นเป็นภาษาไทยฟังไม่ออก แต่พอจะเดาได้ว่ามันคงบอกว่า ไม่มีหนมเหรอ? เห็นทีวันนี้ลูกค้ากลับหมดแล้วคงต้องสาดเกลือล้างซวย พวกมันจะได้ไม่มาถล่มร้านตูอีก

กลับมาที่โรงแรมวันนี้ได้แต่จัดของใส่เป้เตรียมไปเมืองโนโบริเบทสึ ของอีกส่วนใส่กระเป๋าเดินทางฝากไว้ที่โรงแรมเตรียมมาพักต่อก่อนกลับ นึกว่าเสร็จแล้วจะได้นอน ปรากฎว่าต้องกลายเป็นคอสตูมให้คุณชายคนเดียวในทริปอีก ไม่น่ายุให้มันซื้อเสื้อผ้าแปลกๆ เล้ยตู

19 .. 56

วันนี้ดูเหมือนจะพ้นช่วงหยุดยาวของคนญี่ปุ่น ตอนเช้าวันจันทร์อย่างนี้รถไฟใต้ดินจึงคนแน่นมาก พวกเราแทรกร่างกายอันใหญ่โตพร้อมเป้ขึ้นไปได้ก็อดทนอีก 2 สถานี เนื่องจากไปรถไฟเที่ยวเช้า วันนี้พวกเราเลยลองเลือกข้าวกล่องไปกินบนรถไฟกันบ้าง


มาถึงสถานีโนโบริเบทสึเกือบ 10 โมง จุ๋ยทำหน้าห่อเหี่ยวบอกว่าข้าวกล่องเย็นชืดไม่อร่อยเลย อันที่จริงมีบางร้านที่อุ่นข้าวด้วยไมโครเวฟให้ได้ อยากจะแก้ตัวในคราวหน้า แต่ผู้จัดการบอกไม่เอาแล้ว ข้าวหน้าปลาบดอาหารเช้าร้านประจำอร่อยที่ซู้ดดด ที่ต้องเหี่ยวอีกเรื่องก็คือพวกเราจะสำรองที่นั่งไปฮาโกดาเตะวันพรุ่งนี้ แต่เจ้าหน้าที่รถไฟบอกว่ามีรถไฟตกราง รถไม่วิ่งมา 3 วันแล้ว ให้ติดตามข่าวอีกทีว่าพรุ่งนี้รถไฟจะวิ่งหรือไม่

จากสถานีโนโบริเบทสึ ปราสาทที่มองเห็นด้านขวามือก็คือมารีนปาร์คนิกซ์ (Marine park nixe) พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่เลียนแบบปราสาทนิกซ์ของเดนมาร์ก มีโชว์ปลาโลมา แมวน้ำ แต่พวกเราไม่ได้ดูเนื่องจากเวลาจำกัด ได้แต่เดินดูสัตว์ทะเลสวยๆ จนครบ หย่อนก้นกินไอติมกะน้ำแข็งไสแล้วก็กลับมาสถานี JR เรียกแท็กซี่ไปดาเตะจิไดมุระ (Date Jidaimura)
เมืองเอโดะที่ผู้คนแต่งตัวย้อนยุค บ้านเรือนสร้างเลียนแบบสมัยก่อน มีการแสดงหลายๆ อย่างให้ชม พวกเราไปดูนางรำ มีผู้ชมแสดงเป็นโชกุนรับเชิญ และนินจาที่สู้กันไม่มันเท่ามวยไทย แต่หน้าตาดีเลยอภัยให้

ก่อนเรียกแท็กซี่พาไปโรงแรม พวกเรากินราเม็งเอโดะกันเป็นมื้อเที่ยง มองโต๊ะพ่อแม่ลูก ที่เด็กๆ ก็กินราเม็งชามใหญ่เท่าพวกเราจนหมดแล้วต้องยกนิ้วให้

โรงแรมไดอิจิ ทาคิโมโตะคัง ที่พักของพวกเราคืนนี้เป็นโรงแรมออนเซ็นที่มีชนิดของน้ำแร่มากที่สุด และอยู่ใกล้กับหุบเขานรก หรือจิโกคุดานิ ที่เป็นแหล่งน้ำพุร้อน พวกเราเลือกห้องพักแบบญี่ปุ่น มีโต๊ะนั่งกับพื้น ตอนเย็นพนักงานก็จะมาปูฟูกนอนให้ ราคาห้องรวมอาหารค่ำและอาหารเช้า เรียกได้ว่าไม่แพงเลย นอกจากนี้ยังมีน้ำพุร้อนอีก 5 สาย แต่ละสายมีแร่ธาตุต่างๆ กันให้แช่ได้เกือบ 24 ชั่วโมง

เก็บของเข้าที่แล้ว พวกเราก็เดินขึ้นเขาไปถ่ายรูปกับปล่องภูเขาไฟที่จิโกคุดานิ ได้กลิ่นกำมะถันระเหยขึ้นมาพร้อมกับฟองน้ำที่เดือดปุดๆ อยู่ในบ่อ หมอปุ้มแยกตัวเดินขึ้นเขาต่อไปเพื่อจะได้แช่เท้าที่แม่น้ำโอยุนุมะ ซึ่งมีทางน้ำร้อนเชื่อมต่อกับบ่อโอยุนุมะ พจกับจุ๋ยเลยไปช้อปปิ้งของฝากรอแถวๆ โรงแรม สภาพตอนหมอปุ้มกลับมาน่าจะไปเพื่อปวดเท้ามากกว่าจะไปเพื่อผ่อนคลายเท้าซะอีก

ได้เวลาแช่ออนเซ็นก่อนกินมื้อค่ำแล้ว ที่โรงแรมนี้มีบ่อออนเซ็นขนาดใหญ่ที่สุดในโนโบริเบทสึ แยกเป็นชายและหญิง บ่อน้ำร้อนนั้นมีทั้งในอาคารและนอกอาคารให้ชมวิวธรรมชาติ พวกเราสวมยูกาตะของโรงแรมเข้าไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน พจนารถอาศัยความหน้าด้านและแก้ผ้าเร็วเดินไปห้องอาบน้ำเพื่อล้างตัวให้สะอาดก่อนลงแช่แบบไม่คิดจะรอหมอปุ้ม ที่ก๊อกน้ำมีสบู่เหลว แชมพู ครีมนวดผมขวดใหญ่ให้พร้อมสรรพ ปรับอุณหภูมิของน้ำจนใกล้ๆ 40 องศา ใกล้เคียงกับในบ่อแล้วก็เดินไปแช่ตัวได้

ถึงจะมาญี่ปุ่นเป็นครั้งที่ 2 แต่คราวนี้เป็นหนแรกที่พจนารถได้ลงแช่ในออนเซ็น หลังจากเหลือบมองปทุมาน้อยใหญ่จนเลือดกำเดาใกล้จะไหล ก็เดินไปดูป้ายแต่ละบ่อและเริ่มลงแช่ที่บ่อ 38 องศาก่อน นั่งจนเริ่มสบายตัว ก็ไปแช่บ่ออื่นที่ร้อนกว่านั้น ป้าๆ บางคนหน้าตาเหมือนผู้ชายมาก โผล่จากน้ำมาครึ่งตัวแล้วยังไม่เห็นหน้าอก ต้องงงอยู่ว่าตูหลงเข้าไปห้องผู้ชาย หรือมีลุงแก่ๆ มั่วเข้ามาหรือเปล่า

นั่งมองวิวป่าไม้ด้านนอกผ่านกระจกใสตลอดแนวอยู่จนครบ 15 นาทีก็ขึ้น (ปล. ห้ามถ่ายภาพในห้องอาบน้ำ ภาพนี้มาจากกูเกิ้ลค่ะ) เพราะตามหลักไม่ควรแช่น้ำร้อนนานเกินไป ลงไปดูบ่อ out door นิดหน่อย แต่มานึกได้ว่าหมอปุ้มบอกจะมาแช่ เลยไม่อยากไปเสียสายตา เอ๊ย ไม่ไปตอนนี้จะดีกว่า สู้เลือกมองน้องๆ ขาวๆ ข้างในห้องต่อ ก็เป็นวิวที่ดีเหมือนกัน

กลับมาเมืองไทยมีคนถามว่าไปแก้ผ้าให้คนอื่นเห็น ไม่อายหรือ? ที่จริงแล้วคนที่แช่ในบ่อน้ำร้อนจะเอาผ้าขนหนูผืนเล็กๆ ไปขัดตัวด้วยก็ได้ บางคนขี้อายหน่อยก็จะใช้ผ้าขนหนูปิดยาวตั้งแต่ช่วงบนลงมา แต่คำถามต่อไปว่าใบบัว เอ๊ย ไอ้ผ้าขนหนูนั่น พจนารถใช้ปิดตรงไหน? มิดหรือ? บางคนบอกว่าจะให้ดีก็ปิดหน้าจะได้ไม่มีใครรู้ว่าอวัยวะของใคร...จะบ้าป่าว? ปิดหน้าก็ไม่เห็นของคนอื่นน่ะสิ

พจนารถใช้ผ้าขนหนูคล้องคอ ปิดช่วงบนได้ ส่วนช่วงล่าง...พุงห้อยลงมาปิดมิดด้วยล่ะ สองตาก็เลยสอดส่ายพิสูจน์ทฤษฎีของรุ่นน้องที่ว่า มนุษย์ตรูดลายทุกคนแหล่ะ...ไม่จริงว่ะแค้มป์ เจ๊คอนเฟิร์ม ก้นขาวกว่าหน้าตูเยอะแยะเลยอ้ะ ฮือๆๆ

คนที่รันทดจากการที่จะไปแก้ผ้าให้คนอื่นรู้ว่าไผเป็นไผ น่าจะเป็นจุ๋ยซะมากกว่า เพราะก่อนไปกระดี๊กระด๊าว่าเจอแต่พวกญี่ปุ่น...(ยักไหล่) ยังไงตูก็ต้องเป็น King of the Onsen

พอกลับมาได้แต่บอกเสียงอ่อยๆ ว่าเข้ามาตรฐานญี่ปุ่น...อ่ะเด่อ...

แต่ทุกคนก็ติดใจกับการแช่น้ำร้อน จุ๋ยไปอีกครั้งก่อนนอน และเช้าวันรุ่งขึ้น ส่วนพจรู้สึกว่าตัวเองคายความร้อนออกมาไม่หมดได้แต่นอนเกลือกกลิ้งไปกับฟูกนุ่มๆ จนตอนเช้าถึงได้เคล็ดลับว่าขึ้นมาจากบ่อก็ใช้ฝักบัวล้างตัวด้วยน้ำเย็นจัดไปเลย สดชื่นมาก

อาหารเย็นเป็นบุฟเฟ่ต์สไตล์ญี่ปุ่น มีให้เลือกตักกันไม่หวาดไม่ไหว ยังคุยกันอยู่ว่าถ้าไปฮาโกดาเตะไม่ได้ ก็พักที่นี่ต่อกันอีกซักคืนดีไหม เพื่อนๆ ก็เห็นดีเห็นงาม

น่าแปลกที่ไม่เห็นคนไทยพักที่นี่ ทั้งที่โรงแรมน่าจะรองรับทัวร์ได้อย่างดี น้องๆ คนไทยที่หมอปุ้มเจอตอนหลงทางที่ไปแช่เท้าบนเขาพักกันอีกโรงแรมหนึ่ง ตอนที่จองผ่าน Agoda ราคาของแต่ละที่ก็ต่างกันไม่มากเลย

หลังแช่น้ำตอนเช้า สอบถามกับทางโรงแรมก็รู้ว่าเปิดทางรถไฟวิ่งไปถึงฮาโกดาเตะได้แล้ว...เฮ

20 ส.ค. 56

เช้าวันนี้หมอปุ้มตื่นมาตาปิด สงสัยจะโดนคำสาปของยูคิจิน หรือยักษ์ที่อาศัยอยู่ในจิโกคุดานิซะแล้ว หรือไม่ก็เป็นตากุ้งยิงเพราะไปแอบมองคนอื่นในออนเซ็นมากไป


พวกเราอำลาเมืองบ่อน้ำร้อนชื่อดังของเกาะฮอกไกโด พลางคิดในใจว่า ถ้ามีโอกาสคงได้มาแช่กันอีก พวกเรานั่งรถไฟ Super Hokuto เกือบ 2 ชั่วโมงกว่าจะถึงฮาโกดาเตะ เพลิดเพลินกับทิวทัศน์ที่เป็นต้นไม้ในภูเขา บางทีก็เป็นทะเลที่อยู่ไม่ไกลนัก ผ่านจุดรถไฟตกรางที่ยังซ่อมกันอยู่

อาคารในเมืองฮาโกดาเตะเป็นตึกที่ได้รับอารยะธรรมตะวันตกมาไม่น้อย ดูจากตึกเก่าแก่ที่มีโครงสร้างเทอะทะแข็งแรง ออกมาจากสถานีรถไฟได้พวกเราก็มองเห็นโรงแรมที่จะค้างในคืนนี้มีโลโก้หัวกลมๆ ยิ้มแป้นสีเหลืองเด่นสมชื่อ Smile hotel

Mini router ที่เอามาเป็นหมันไปหมดทั้งที่โนโบริเบทสึและฮาโกดาเตะ ที่เมืองออนเซ็นนั้นไม่มีสาย lan wifi ให้ เลยเล่นอินเตอร์เนตได้เฉพาะที่ล็อบบี้ แต่ในฮาโกดาเตะนี้มีสัญญาณ wifi ทั้งชั้น ไม่ต้องต่อกับสาย lan เลย มาถึงโรงแรมได้ทุกคนก็จองเตียงนั่งเล่นโทรศัพท์กันอยู่บนที่นอนตามเคย

ท้องเริ่มร้องหาอาหารเที่ยง เราก็ออกเดินมาไปตลาดปลาอาซาอิชิ (Asaichi morning market) ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นตลาดเช้า แต่ก็มีอาหารทะเลสดๆ ให้กินทั้งวัน พวกเราเลือกร้านตามที่หนังสือแนะนำ ชื่อร้าน Tabiji เราสั่งอาหารชื่อดังของร้านเป็นข้าวหน้าปลาหมึกสดโรยไข่ปลาแซลม่อนและหอยเม่น ส่วนคนอื่นยังแหยงกับปลาหมึกดิบอยู่เลยสั่งของที่พอกินได้กันตามอัธยาศัย เหลือบไปเห็นโต๊ะข้างๆ สั่งปลาย่างตัวใหญ่น่ากิน พวกเราก็ยังสั่งตามเขาไปอีก 1 ตัว มื้อนี้เลยได้อิ่มอร่อยกับของทะเลสดๆ และหอยเม่นที่ไม่มีกลิ่นสาบเหมือนกับที่โอตารุ

การเดินทางในเมืองส่วนใหญ่ใช้รถเมล์กับรถราง พวกเราซื้อตั๋วรถรางแบบเหมา 2 วัน ใช้ได้กับรถรางและรถเมล์ในเมือง หลังกินข้าวเสร็จก็พากันไปขึ้นรถรางสำรวจเมือง

รถรางของฮาโกดาเตะมี 2 สาย ได้แก่ สาย 2 และสาย 5 วิ่งกันคนละเส้นทาง ตามสถานีรถรางมีแผนผังเขียนบอกว่าแต่ละสายวิ่งจากไหนไปไหน เมื่อขึ้นไปบนรถก็ต้องหยิบตั๋วรถจะเครื่องอัตโนมัติที่ประตูทางขึ้น (ตรงกลางรถ) คล้ายๆ บัตรคิว จากนั้นพอถึงจุดหมายก็เดินไปลงประตูหน้าข้างคนขับ แต่ละคนก็จะนำตั๋วที่หยิบมาใส่ลงในกล่องพร้อมหยอดค่าโดยสารตามระยะทาง ส่วนพวกเราที่เป็นตั๋วเหมาจ่ายก็เสียบบัตรลงในช่องอ่านบัตร คนขับจะจอดรถนิ่งมากบางครั้งก็ดับเครื่องเลย เพราะต้องคอยอธิบายให้ผู้โดยสารฟังและตรวจสอบดูว่าหยอดเหรียญถูกต้องหรือเปล่า เครื่องนี้รับเฉพาะเหรียญเท่านั้น มีการอำนวยความสะดวกด้วยเครื่องแลกเหรียญอยู่ด้านข้างอีกต่างหาก


พวกเราลงสถานี Jujigai แล้วเดินตรงไปทางทะเลก็จะพบท่าเรือและโกดังอิฐแดง เป็นโกดังเก่าแก่ภายในเป็นร้านขายของที่ระลึก เราเดินผ่านไปก่อนเพื่อไปล่องเรือ Blue moon ในอ่าวฮาโกดาเตะ แดดจัดในช่วงเวลาบ่ายเหมาะกับการถ่ายรูปบนเรือมาก แต่อากาศร้อนก็ทำให้พวกเราหิวเร็วขึ้น หลังจากเวลาล่องเรือ 20 นาทีผ่านไป ทุกคนก็ไม่ลังเลที่จะเข้าไปหลบร้อนรับแอร์ในโกดัง 1 ใน 5 ของโกดังอิฐแดง แล้วก็พบกับร้านขนมเจ้าดัง Snaffle 

เรายังคงเดินหาร้านขายแสตมป์ต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ เพราะเป็นภารกิจสำคัญของทุกทริปที่จะร่อนโปสการ์ดจากต่างแดนกลับมาถึงเพื่อนๆ พอซื้อได้ก็ยังไม่ถูกใจกับโปสการ์ดอีก เลือกไปเลือกมาทริปนี้เลยไม่ได้ส่ง...เฮ้อ

หลังจากเดินชมโกดังและสินค้าจนทั่วแล้ว เราก็เดินผ่านร้านปลาหมึกบด ที่ใช้เนื้อปลาหมึกสดๆ วางลงบนเครื่องทับออกมากรอบแบนหอมน่ากิน ไม่ต้องเดาก็ทายถูกว่า แก๊งค์นี้มาลองชิมแล้วอีกเช่นเคย

ยังเหลือเวลามากพอก่อนจะขึ้นกระเช้าไปชมวิวยามค่ำคืนบนภูเขาฮาโกดาเตะ พวกเราเดินกันไปเรื่อยๆ จนถึงบริเวณเนินเขาที่มีบ้านหลังน่ารักปลูกเรียงรา ผ่านวัด Higashi Honganji เป็นวัดพุทธที่เงียบมาก จากนั้นเดินต่อไปจนถึงโบสถ์รัสเซีย (Russian Orthodox Church) ที่มียอดโดมสวยงาม ค่อยพบนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ถ่ายรูปแล้วก็เดินต่อกันไปที่สถานีรถกระเช้า (Mt. Hakodate Ropeway) เพื่อซื้อตั๋วขึ้นกระเช้าไปชมวิวที่มองลงมาเห็นท่าเรือและตัวเมืองที่โอบล้อมด้วยทะเลทั้ง 2 ด้าน ที่จริงแล้วการขึ้นไปที่จุดชมวิวบนภูเขามีเส้นทางรถด้วย สามารถเรียกแท็กซี่หรือว่านั่งรถบัสขึ้นมาได้ แต่การขึ้นกระเช้าดูจะสนุกสนานกว่าเพราะได้ชมวิวจากมุมสูงไปตลอดทาง

พวกเรามาถึงจุดชมวิวตอนที่ยังมีแสงแดดยามเย็นส่องอยู่ เลยได้แต่เข้าไปเดินดูสินค้าภายในสถานีรถกระเช้าบนภูเขาเพื่อรอเวลา พอเริ่มมืดทุกคนก็ไปจับจองที่ถ่ายภาพชั้นบนสุดของสถานีกันหมดแล้ว นอกจากนี้ อากาศบนยอดเขายังมีลมพัดหนาวเย็น เราเลยลงมาที่ห้องกระจกชั้นล่าง มองหาที่นั่งดูตัวเมืองที่ค่อยๆ เริ่มเปิดไฟ จนความมืดคลอบคลุมไปทั่ว ภาพวิวกลางคืนของตัวเมืองแต่งแต้มไปด้วยแสงสีระยิบระยับราวกับอัญมณีที่สวยงามก็ปรากฎออกมา กลุ่มทัวร์คนจีนเริ่มเดินจากชั้นบนเตรียมกลับกันแล้ว พวกเราเลยได้โอกาสถ่ายรูปแบบไม่ต้องผ่านบานกระจกกันอีกครั้ง

ดูวิวกันจนจุใจแล้วก็พากันขึ้นกระเช้ากลับมาที่สถานีรถกระเช้าด้านล่าง นั่งแท็กซี่กลับไปย่านโรงแรมเพื่อพบว่าร้านอาหารส่วนใหญ่พากันปิดเกือบหมด เราแวะเข้าร้านอาหารจีนที่คนค่อนข้างเยอะให้จุ๋ยได้ชื่นชมหมูผัดพริกหยวกราดข้าว ส่วนคนอื่นๆ ได้อาหารอร่อยน้อยที่สุดในทริปมากินกันคนละอย่าง

พวกเราเดินหาร้านขายยาเพื่อจะซื้อยาหยอดตาให้หมอปุ้มที่ตอนนี้ตาบวมปูดขึ้นมาก แต่ก็ไม่เจอ หลังจากนั้นพอกลับโรงแรมได้ ทุกคนก็ on line กันอย่างเพลิดเพลินอีกครั้ง

21 .. 56

เช้าวันนี้พวกเราไม่รีบร้อนนัก หลังจากกินอาหารของโรงแรมกันจนอิ่มหนำก็พากันตามหาร้านขายยาหยอดตากันต่อ ในที่สุดก็ได้รับคำแนะนำให้ไปร้านขายยาร้านใหญ่ที่ต้องขึ้นรถรางไป

ระบบการขายยาของญี่ปุ่นเป็นอย่างไรไม่ทราบได้ เราเข้าไปสอบถามกับคนขาย ที่ใส่เสื้อกาวน์ขาวและเป็นแคชเชียร์ด้วย ใช้ภาษาใบ้อย่างทุกวันโดยชี้ไปที่ตาบวมปิดของหมอปุ้มและบอกว่า eye drop เขาก็พาไปหยิบยาหยอดตากล่องหนึ่งจากชั้นขึ้นมา รูปการ์ตูนคนป่วยข้างป้ายราคาก็บอกให้รู้ว่าน่าจะโรคเดียวกันจึงได้ซื้อมา หมอปุ้มแกะกล่องเตรียมจะหยอดอยู่แล้วก็เหลือบไปเห็นภาษาอังกฤษคำเดียวท่ามกลางภาษาญี่ปุ่นเป็นพรืดว่า Sulfa drop เลยถามกับเภสัชอีก 2 คนว่าแพ้ซัลฟาหยอดได้หรือเปล่า

เราจึงต้องเข้าไปในร้านกันใหม่แล้วสอบถามว่าใช่ยาซัลฟาหรือเปล่า แต่คราวนี้คนขายเล่นใบ้คำไม่เก่งซะแล้ว และท่าทางจะไม่ใช่เภสัชกร เพราะอ่านที่เราเขียนว่า sulfa allergy แล้วไม่เข้าใจ แต่คิดว่าเขาพยายามจะบอกว่าอาการแบบนี้ที่ร้านมียาหยอดตาชนิดเดียว

วิธีอื่นที่จะรู้ได้ว่ายาหยอดตาที่ซื้อมาแล้วนั้นเป็นยาซัลฟาหรือเปล่าก็คือใช้ line ถ่ายรูป ส่งมาให้เพื่อนที่อ่านภาษาญี่ปุ่นออกแปลให้ วิธีนี้ใช้ได้ผลดีมาก เมื่อเพื่อนจุ๋ยตอบกลับมาได้เร็วทันใจว่า ส่วนประกอบในนั้นคือ Sulfamethoxazole …แม่เจ้า ชื่อภาษาอังกฤษทั้งดุ้น พี่ยุ่นยังอุตส่าห์จะเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นทับศัพท์เข้าไปอี๊ก

สรุปว่าหมอปุ้มก็เลยต้องใช้ทิชชู่สะอาดเช็ดตาต่อไปจนกว่าจะได้กลับบ้าน

พวกเรานั่งรถรางต่อเพื่อไปยังป้อม Goryokaku ที่มีลักษณะเป็นรูปดาว 5 แฉก ที่นี่เป็นแหล่งชมซากุระที่บานช้าที่สุดในญี่ปุ่นจากสภาพอากาศที่เย็นกว่าเกาะอื่น เดินจากสถานีรถรางไกลพอสมควรกว่าจะถึงหอคอย Goryokaku ซึ่งเป็นหอคอยสูง 90 เมตร ใช้เป็นจุดชมวิวของป้อมดาว 5 แฉกจากบานกระจกใสรอบด้าน จากนั้นพวกเราค่อยเดินฝ่าแสงแดดเข้าไปในสวน อันเป็นอาณาเขตหนึ่งของตัวป้อม

มาถึงอาคารกลางป้อม เดิมใช้เป็นที่ทำการรัฐบาลในช่วงสงครามกลางเมืองแต่ถูกรื้อทิ้งแล้วสร้างใหม่ตามแบบเดิม ภายในมีแปลน 3 มิติของอาคารสร้างด้วยไม้ และเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ต่างๆ ให้ดูตามจอมอนิเตอร์

พวกเราออกมานั่งชมต้นสนสวยๆ ด้านนอกต่ออีกพักใหญ่ ก่อนออกมากินราเม็งร้านAjisai กันต่อ ถึงแม้จะต้องเข้าคิวรอกันอีกเกือบชั่วโมง แต่รสชาติราเม็งที่นี่ก็เข้มข้นใช้ได้ทีเดียว โดยเฉพาะราเม็งทะเล ใส่ปลาหมึกและหอยเชลล์ด้วย

ขากลับพวกเรานั่งรถรางต่อไปยังสวนโมโตมาชิบริเวณเนินเขาแถบเดียวกับสถานีรถกระเช้าอีกครั้ง หลังจากแวะชมสวนสไตล์อังกฤษในสถานกงศุลอังกฤษที่เปลี่ยนเป็นร้านน้ำชาอยู่พักใหญ่ เราก็เดินต่อไปถึงจุดหมายหลักคือที่ทำการรัฐบาลเก่าของฮอกไกโดและศาลาประชาคมอาคารสีฟ้าขลิบทองที่ตั้งเด่นเป็นสง่า ภายในเป็นห้องจัดแสดงต่างๆ มีเสื้อผ้ากรุยกรายย้อนยุคให้เช่าถ่ายรูปอีกด้วย

เผื่อเวลาไว้พอสมควรให้พวกเรากลับมารับกระเป๋าที่โรงแรม กินขนมเค้กรองท้องก่อนจะต้องนั่งรถไฟอีก 3 ชั่วโมงครึ่งกลับซัปโปโร พจยังได้ปลาหมึกยัดไส้ข้าวญี่ปุ่นตัวอ้วนกลมเป็นของฝากกลับบ้านให้คิดถึงฮาโกดาเตะอีกต่างหาก

ก่อนกลับที่พักคืนนี้ พวกเราก็ได้อิ่มมื้อค่ำกับข้าวหน้าปลาไหลร้านประจำที่จุ๋ยคิดถึงกันคนละชาม

22 ส.ค. 56

วันนี้เป็นวันเก็บตกสถานที่ที่พวกเรายังไม่ได้ไปในซัปโปโร หลังจากติดใจกับตลาดปลาของฮาโกดาเตะ เช้านี้เราก็เริ่มกันที่ตลาดปลานิโจ
ใกล้ๆ โรงแรม พวกเราเดินวนๆ ผ่านร้านขายอาหารทะเล เข้าไปในเขตที่เป็นร้านอาหารก็เจอร้านตกแต่งดี เจ้าของเป็นกันเอง ออกมาเชื้อเชิญให้เข้าไปชิม พวกเราได้กินปูขนกันในที่สุด ถึงจะไม่ทั้งตัวแต่ก็รสชาติอร่อย สดใหม่ จนอยากจะด่าตัวเองที่น่าจะมากินตรงนี้กันตั้งแต่วันแรกๆ แล้ว ที่ข้างฝาของร้านยังเปิดให้ลูกค้าเขียนข้อความติชมได้อีก มีลายมือคนไทยมากินที่ร้านนี้หลายกลุ่มทีเดียว กลับออกมาพวกเราก็ยังถ่ายรูปหน้าร้านกันต่ออีกเป็นนาน

จากนั้นหัวหน้าทัวร์เห็นว่าสมควรต้องทำบุญไหว้พระกันบ้าง พวกเราก็เลยไปกันที่ Hokkaido shrine ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมา หากต้องการประหยัดเวลาไม่ต้องเดินงมหาทางไปหลังจากออกมาจากสถานีรถไฟใต้ดินแล้วละก็ภาษาใบ้แบบมีภาพประกอบจะได้ผลที่สุดกับคนญี่ปุ่นที่ไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษด้วย

พวกเราเดินผ่านสวนสาธารณะเข้าไปในเขตศาลเจ้าที่ต้องมีซุ้มประตูขนาดใหญ่แล้วเดินผ่านต้นไม้ร่มรื่นต่อไปอีกจึงจะถึงตัวศาลเจ้า ก่อนเข้าไปในอารามนั้นจะมีบ่อน้ำให้ตักล้างมือและบ้วนปากเพื่อชำระสิ่งสกปรกออกก่อน ที่วัดอาซากุสะในโตเกียวจะใช้วิธีโยนเหรียญอธิษฐานเข้าไปในตะแกรงของตู้บริจาคด้านหน้าแท่นบูชา ดังนั้นพจนารถเลยล้วงเอาเหรียญ 50 เยนที่มีรูตรงกลางมาโยนใส่ดังแคร้งแล้วก็ตบมือแปะๆ เป็นการขอพร มารู้ทีหลังว่าที่นี่เขาใช้วิธีเดินไปหยอดที่หน้าตู้กันอย่างนุ่มนวลตะหาก

ออกมาที่ร้านขายของในวัดเพื่อซื้อถุงเครื่องรางเป็นของฝากให้เพื่อนๆ พวกเราแวะเสี่ยงเซียมซีแบบใช้วิธีล้วงเอาคำทำนายในกล่องกันแทน แล้วประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอยเมื่อหมอปุ้มต้องเอาใบเซียมซีไม่ดีไปผูกไว้ที่วัด (อีกแล้ว อิอิอิ)
คราวนี้เราซื้อแผ่นกระดานมาเขียนคำอธิษฐานแขวนไว้ที่วัดอีกด้วย หลังจากเลือกไม่ถูกกับลวดลายสวยงามของกระดานแต่ละแบบ เราก็ได้ลายหมีน่ารักมาให้แถไปได้ว่าเพราะหมีเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของฮอกไกโดอ่ะ

ออกจากวัดเราก็ไปต่อกันที่โรงงานช็อกโกแลตของบริษัท อิชิยะ ที่สินค้าดังเป็นช็อกโกแลตชิโรอิ โคบิโตะ (Shiroi Koibito) ตามแผนที่ของรถไฟใต้ดินมีทางเดินจากสถานีรถไฟเข้าไปในห้างจนเกือบถึงโรงงาน พวกเราเดินอยู่ในห้องแอร์อย่างร่มเย็นแล้วค่อยออกไปถ่ายรูปกับสวนสวยๆ ของโรงงาน จากนั้นก็ซื้อบัตรเข้าชมชั้น 2 ซึ่งเป็นส่วนจัดแสดงและห้องกระจกให้ชมการทำงานของโรงงาน สุดท้ายก็มาลองชิมไอศกรีมพาเฟ่ต์สูง 30 ซม. หวานอร่อย จนไม่ต้องกินมื้อเที่ยงกันเลยทีเดียว

กลับมาที่โรงแรมอีกครั้งเพื่อเก็บขนมของฝาก ในคืนนี้พวกเรากะจะกินปูแสนอร่อยเป็นมื้อค่ำก่อนอำลาซัปโปโรวันพรุ่งนี้ ถึงแม้จะติดใจร้านคานิโชกุนหน้าโรงแรม แต่ก็อยากลองกินปูเจ้าดังร้านอื่นดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง พวกเราเลือกร้านคานิฮอนเกะ (Kani Honke) สาขาสถานี JR ซัปโปโร ระหว่างที่ยังไม่ค่ำก็เลยพากันไปถ่ายรูปกับตึกที่ทำการรัฐบาลเก่าของฮอกไกโดซึ่งเป็นอีกแห่งที่ต้องมาเยือนเมื่อมาถึงซัปโปโร
แต่ขนมหวานดูจะแทนข้าวเที่ยงไม่ได้ก็ทำเอาพจขี้เกียจเดินซะแล้ว ถ่ายรูปกันอย่างเซ็งๆ แล้วก็เดินหาร้านปูกันอยู่นาน ค่อยได้คิวสั่งอาหารอีก 1 ชั่วโมงต่อมาเฮ้อ

สำหรับคนที่หิวมากๆ ร้านคานิฮอนเกะเป็นอะไรที่แย่สุดๆ เพราะอาหารชุดที่เป็นปูหลายๆ อย่างนั้นต้องรอกินให้เสร็จเป็นอย่างๆ ไป ไม่ลำเลียงมาทีเดียวเหมือนร้านคานิโชกุน ดังนั้นพวกเราจึงต้องรีบเขมือบจานเก่าให้เสร็จเพื่อจะรอให้จานอื่นๆ มาเสิร์ฟต่อ

หมดเวลาไปกับการรอปูและกินปู จุ๋ยเลยไม่ได้กลับไปช้อปปิ้งต่อที่ร้านเดิมอย่างที่ตั้งใจไว้ นายแบบแฟชั่นญี่ปุ่นล้ำสมัยจึงไม่มีเสื้อผ้าเพิ่มด้วยประการฉะนี้

23 ส.ค. 56

เช้านี้พวกเรารีบตื่นและจัดสัมภาระเตรียมเดินทางกลับ ตั๋วรถไฟขากลับซื้อล่วงหน้าจากสถานี JR ตั้งแต่เมื่อวาน ช่วยลดเวลางมกับการซื้อจากเครื่องอัตโนมัติได้ดี เรามาถึงสนามบิน New Chitose อีกครั้งแล้วก็เดินไปเรื่อยๆ เพื่อโหลดกระเป๋า ระหว่างทางผ่านแหล่งรวมร้านค้าขนาดใหญ่กว้างเทียบเท่าห้างสรรพสินค้าเลยทีเดียว แต่ก็ทำได้แค่ซื้อช็อกโกแลตชิโรอิ โคบิโตะในราคาเดียวกับที่โรงงาน ส่วนของอื่นๆ ไม่กล้าเสียเวลาเดินดูเพราะไม่รู้ว่าจะต้องเดินไปอีกไกลแค่ไหนกว่าจะถึงเคาน์เตอร์ของการบินไทย

พจใส่ขนมที่ซื้อในสนามบินทั้งหมดไว้ในเป้สะพายหลัง พอผ่านเครื่องแสกนกลับถูกยึดเยลลี่เมล่อนไป 1 ถุง ไม่แน่ใจว่าต้องใช้วิธีไหนในการเปลี่ยนเยลลี่เป็นระเบิดได้ อุตส่าห์ทำท่าน่าสงสารว่าปล่อยเยลลี่ของเค้ามาเถอะ เจ้าหน้าที่ก็ไม่ยอมใจอ่อน (อย่างไรก็ตาม เป้สารพัดนึกของเรายังแอบซ่อนเยลลี่ไว้ในหลืบ รอดหูรอดตามาได้อีก 1 ถุง)

ถ้าจะให้แนะนำการซื้อสินค้าที่สนามบินที่มีร้านค้ามากขนาดนี้ เราควรเสียค่าตั๋วรถไฟมาที่สนามบินก่อนเดินทางกลับ 1 วัน เลือกซื้อสินค้าตามใจชอบแบบไม่จำกัดเวลา แล้วกลับไปแพคสินค้าให้เรียบร้อยเพื่อโหลดลงใต้ท้องเครื่อง เท่านี้ก็จะได้ของฝากเท่าที่อยากได้และนำกลับไปได้ทั้งหมด

พวกเรายังมีเวลาเหลือกินข้าวเช้ากันที่ศูนย์อาหารหน้าเกทของการบินไทยนั่นเอง มีร้านขายเครื่องไฟฟ้าและร้านขนมล่อตาให้ใช้เงินเยนที่เหลือจนหมดอยู่แถวๆ นั้นด้วย คนญี่ปุ่นนี่ช่างรู้ใจคนไทยเสียจริง

อาหารการบินไทยขากลับอร่อยมากๆ กินเสร็จก็นั่งดูหนังฟังเพลง เวลา 7 ชั่วโมงไม่นานเลย พวกเรากลับถึงเมืองไทยโดยสวัสดิภาพเวลา 15.30 น.