Thursday, September 14, 2006

ทีลอซู-ทีลอเร (Picture)

ทีลอเร



ห้วยหินแดง

ทีลอซู-ทีลอเร (Part V)

ค่ำคืนที่หนาวเหน็บผ่านไป พวกเราทั้ง 8 พากันไปมุงกันที่โต๊ะในโรงอาหารกันแต่เช้าตรู่ รอให้พี่แสงพาไปถ่ายรูปจุดที่ ททท. ใช้ถ่ายภาพน้ำตกลงวารสาร ซึ่งต้องปีนเขาที่อยู่ด้านตรงข้ามกับน้ำตก เราได้แต่ถอนใจเพราะเจอทางชันอีกแล้ว นอกจากนี้ยังต้องปีนหน้าผาหินขึ้นไปจึงจะมองเห็นน้ำตกฝั่งตรงข้ามอยู่ลิบๆ พี่แสงก็ช่างไม่บอกกันเลยว่าช่างภาพ ททท. เขาให้เลนซ์ซูมสุดยอด ต่างกับกล้อง x2 ของเราดั่งฟ้ากับเหว แต่อย่างไรก็ตามก็สนุกสนานกันไปกับการถ่ายรูปหมู่กันจนหายเหนื่อย

หลังจากนั้นก็เดินทางกลับรีสอร์ท ยัยหมอปุ้มจะเมารถอีกหรือเปล่าเราก็ไม่ได้สนใจเพราะหลับเกือบตลอดทาง มาถูกปลุกให้ลงไปเที่ยวถ้ำตะโค๊ะบิใกล้ๆรีสอร์ท ซึ่งมีไกด์ตัวจิ๋ว ชั้น ป. 3 – 4 พาเข้าไป ภายในถ้ำกว้างขวาง แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนบนพื้นค่อนข้างเรียบเป็นที่นั่งกรรมฐานของพระธุดงค์ ส่วนล่างว่ากันว่าเคยเป็นที่อยู่ของพวกคอมมิวนิสต์และใช้เก็บเสบียง อาวุธ เด็กๆ บอกว่าในถ้ำมีงูเจ้าที่ตัวใหญ่ 2 ตัว เลยผวาคอยมองตามซอกหินข้างทางบ่อยๆ ถ้ำด้านล่างนี่มีหินงอกหินย้อย ที่ไกด์น้อยบอกว่าเหมือนทีลอซู ทีลอเรจำลอง (ไม่เห็นจะเหมือนเลย) กลับไปกินข้าวเที่ยงที่รีสอร์ทแล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมกลับ

พี่ศรีมาส่งพวกเราเพื่อรับตั๋วรถทัวร์ที่สถานีขนส่งแม่สอด หลังจากพาแวะน้ำตกพาเจริญ จากนั้นก็ไปแวะซื้อของที่ตลาดริมเมยตอนเกือบปิดตลาด ทำให้เราได้โอกาสซื้อของฝาก (ของคล้ายๆ กับที่หาดใหญ่) กับถามหาถั่วแป๊ะยีที่แม่สั่งซื้อ ซึ่งต้องไปเถียงกับคนขายตั้งนานเพราะที่นี่เรียกว่าถั่วแป๊ะจ่อ แถมยังก็มีถั่วแป๊ะหล่อที่ชื่อเหมือนกันอีก แต่ก็ซื้อของได้ไม่นาน เพราะยัยหมอปุ้มที่นั่งรถผ่าน 1,219 โค้งอีกครั้งทำท่าจะพับอยู่ตรงนั้น เลยต้องหิ้วมานั่งพักบนรถ อาหารเย็นนี้พี่ศรีพาพวกเราไปร้านอาหารที่สมเด็จพระเทพฯ เคยเสด็จมาทรงเสวย ชื่อร้าน ข้าวเม่าข้าวฟ่าง ร้านนี้ตกแต่งแบบธรรมชาติ มีต้นไม้ใหญ่ มีกล้วยไม้ ดอกไม้ประดับทั่วร้าน ในบึงน้ำยังปลูกบัวกระด้งอีกด้วย พวกเราไปถึงสถานีขนส่ง 21.00 น. หลังจากร่ำลาพี่ๆ IBM ขึ้นรถคนละคันแล้ว ก็มุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯ อย่างสวัสดิภาพ

ทีลอซู-ทีลอเร (Part IV)

วันรุ่งขึ้นต้องปลุกตัวเองตั้งแต่ตี 5 เพราะจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ดอยหัวหมดกัน อากาศตอนเช้าเย็นนิดหน่อย และมีหมอกเต็มไปหมด ดอยหัวหมดเป็นเนินเขาหัวโล้นแทบไม่มีต้นไม้ขึ้น ท้องฟ้ามีเมฆมากจนคิดว่าไม่น่าเห็นพระอาทิตย์ ซึ่งก็จริงดังคิด แต่ทุกคนก็ไม่เสียเที่ยวงัดเอากล้องมาถ่ายรูปกันอย่างเมามัน หลังจากกลับมาที่รีสอร์ทก็ได้เวลาอาหารเช้าก่อนจะล่องแพไปที่ทีลอซู ครั้งนี้ไม่ต้องผ่านแก่งเราจึงพกกล้องไปด้วยอย่างมั่นใจว่าไม่เปียกแน่ ระหว่างทางมีน้ำตกให้เห็นประปราย ที่ใหญ่หน่อยก็เป็นน้ำตกทีลอจ่อ น้ำตกสายฝนที่ละอองน้ำสะท้อนกับแสงอาทิตย์เห็นเป็นสายรุ้งสวยมาก ส่วนที่เป็นหน้าผาริมน้ำส่วนใหญ่จะมีน้ำหยดลงมาและมีตะไคร่น้ำกับพวกกล้วยไม้เกาะอยู่จนเขียวครึ้มไปหมด ด้านบนหน้าผาก็เต็มไปด้วยต้นจันทน์ผา แหงนมองไปจึงเห็นแต่หินปูนสีขาวตัดกับท้องฟ้าสีเข้ม บางครั้งก็มีฝูงลิงมาให้เห็น พวกเราแวะขึ้นฝั่งที่บ่อน้ำพุร้อน เลยลงไปแช่หัวเข่าที่ใช้งานหนักตั้งแต่เมื่อวานจนรู้สึกดีขึ้น ผ่านผาเลือดที่เนื้อหินเป็นสีน้ำตาล พี่แสงบอกว่าบางเดือนจะมีน้ำไหลออกมาจากหน้าผาเป็นสีแดงคล้ำ เอาไปกินบำรุงร่างกายได้ ซึ่งเราคิดว่าน่าจะเป็นพวกธาตุเหล็กมากกว่า ขึ้นจากแพและกินข้าวเที่ยงกันที่เขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าผาเลือด จากนั้นรถ vego เจ้าเก่าก็พาเราลุยทางดินลูกรัง (โชคดีมากที่นั่งหน้า) ประมาณ 7 กม. คนที่นั่งด้านหลังจะได้รับแจก mask แล้วจะเอาอะไรคลุมหัวคลุมตัวกันก็ตามสะดวก พี่ศรีคนขับบอกว่ารถจะวิ่งได้หลังหน้าฝนช่วงเดือน ธค. แต่ปีนี้ฝนน้อยเลยเปิดให้รถวิ่งได้ช่วงเดือน พย. เส้นทางที่นี่นับว่าสุดยอดคือชันและแคบแถมยังฝุ่นฟุ้ง แน่นอนหมอปุ้มเจ้าเก่าก็เวียนหัวอีกเช่นเคย กว่าจะไปถึงทีลอซูพวกที่นั่งข้างหลังก็มีสภาพใกล้เคียงกับหมูชุบแป้งโกกิสีตุ่นๆ ถัวเฉลี่ยกับความลำบากของพวกผู้หญิงตอนไปฉี่ในป่าก็แล้วกัน


ทางทัวร์กางเต้นท์รอพวกเราไว้เรียบร้อยแล้ว หลังจากรอให้หมูโกกิทั้งหลายล้างเนื้อล้างตัวกันเสร็จ พวกเราก็พากันเดินไปที่น้ำตกทีลอซู โชคดีที่ทางไม่ชันและระยะทางแค่ 1.5 กม. ขนาดไม่ใช่หน้าฝนที่น้ำเยอะๆ ที่น้ำไม่ไหลลงมาพร้อมกันหมด มองเห็นแค่เป็นน้ำหลายสายเทลงมาจากหน้าผา น้ำตกทีลอซูก็ยังยิ่งใหญ่อลังการมากๆ มีป้ายบอกไว้ว่าสูงถึง 400 เมตร และกว้างขนาดสนามฟุตบอลหลายสนามต่อกัน พวกเราแวะถ่ายรูปตามชั้นต่างๆของน้ำตก กว่าจะรวมตัวกันให้พี่แสงพาปีนสูงขึ้นไปก็นานโขอยู่

ขากลับแวะถ่ายรูปบัวผุดที่ขึ้นอยู่ตามทางเดิน แล้วก็ไปอาบน้ำที่ต่อท่อมาจากน้ำตก หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ พวกเรากับพี่ๆ IBM ที่เริ่มสนิทกันมากขึ้นก็ออกมานั่งคุยกันหน้าเต้นท์ มีพี่แสงหรือพ่อรพินทร์ของพวกเรามานั่งคุยด้วย ฟังแกเล่าประสบการณ์เป็นคนนำทางกันเพลิดเพลิน จนง่วงจึงได้แยกย้ายกันไปนอน

ทีลอซู-ทีลอเร (Part III)

พวกเราทั้ง 4 คน คนนึงเดินสบายๆ พลางกินขนมที่ถือมาเป็นเสบียงไปเรื่อยๆ คนนึงก็มีเอ็นโดฟรินกับอะดรีนารีนในเลือดสูงจนน่าถีบ อีกคนใช้ไม้ค้ำพยุงร่างอย่างสุดแสนจะรันทด พลางนึกดังๆ ว่ากูไม่มาอีกแล้วว้อย ส่วนที่เหลือคือเราได้แต่ทำตาปริบๆ เหนื่อยจนพูดไม่ออก นึกถึงเพลง “ชั้นมาทำอะไรที่นี่.....” ของป๋าเบิร์ดขึ้นมาติดหมัด

ผ่านไป 2 ชั่วโมง ก็เริ่มเดินได้เรื่อยๆ เพราะทางไม่ค่อยชันแล้ว (แต่ยังเป็นทางขึ้นอยู่.......ฮ่วย) หรือว่าแรงเริ่มอยู่ตัว หรือว่าจะชินกับความเหนื่อย หรือว่าอะไรก็ช่างมันเหอะ ในที่สุดเราก็ไปสมทบกับคนอื่นๆ ที่รวมกลุ่มรออยู่ เจอหมอปุ้มนั่งหน้าแฉล้มกับแก๊งค์ IBM เลยบอกว่ากลับไป รพ. จะแฉให้หมดว่าเดินตามหนุ่มๆ ที่ไหนก็ไม่รู้ไปลิ่ว ทิ้งกันเฉยเลย แล้วก็อวดรูปที่ถ่ายระหว่างทาง หลังจากพักยัยหมอปุ้มก็เลยต้องทนเดินช้าๆ กับกลุ่มพวกเรา เดินไปได้ไม่นานก็แวะพักถ่ายรูปที่น้ำตกห้วยหินแดง ซึ่งค่อนข้างสวยและมีหลายชั้น ที่เรียกห้วยหินแดง เพราะลักษณะหินมีสีแดง แต่มองไม่ค่อยเห็นเพราะมีตะกอนและตะไคร่น้ำเกาะอยู่ พวกเรามาถึงเป็นพวกแรกๆ เลยได้ถ่ายรูปกันนานจุใจ พวกพี่ IBM ที่จ้ำตามควายกันตั้งแต่ทีแรกก็ผ่อนฝีเท้ารอๆ อยู่บ้างเพราะเห็นประโยชน์ของพวกเราที่น้ำตกห้วยหินแดง คือ ใช้พวกมันถ่ายรูปได้ ส่วนพี่แสงที่ต้องคอยดูกลุ่มพวกเราก็นั่งเหลาไม้ไผ่ เป็นไม้ค้ำ แก้วน้ำ และช้อนคนกาแฟไปพลางๆ ได้หลายสิบอัน

ต้นไม้ในป่าที่เดินกันมามีไม่ค่อยมาก ผิดกับสองฟากของแม่น้ำที่พวกเราล่องแพกันมาเมื่อวาน ส่วนใหญ่จะเป็นต้นไผ่ สาบเสือ ต้นปรงที่ขึ้นกระจัดกระจาย ต้นตะเคียนที่ถูกฝานเปลือกลำต้นออกแล้วเผาเป็นรอยไหม้ดำ ซึ่งพี่แสงบอกว่าเขาเอายางมันไปทำไต้จุดไฟ ต้นไม้อื่นๆ ก็เป็นต้นเล็กๆ สูงประมาณเอวที่ไม่ค่อยรู้จักชื่อ ต้นไม้ที่น่าสนใจที่สุดเห็นจะเป็นต้นซ่าน (น่าจะเป็นภาษาพื้นเมือง) ลักษณะเด่นของมันคือมีลำต้นสีน้ำตาลเข้มผิดกับต้นไม้อื่น ลูกสีเขียวขนาดประมาณแอปเปิ้ล พี่แสงบอกว่าผู้หญิงกินลูกของมันเข้าไปแล้วจะหน้าอกใหญ่ขึ้น แต่ต้องกินลูกที่มีขนาดเท่ากัน 2 ลูก ซึ่งพวกเราก็ตั้งชื่อให้ใหม่ว่าต้นอึ๋มเรียบร้อยแล้ว

กว่าจะพ้นเขตป่า พวกเราก็ต้องลอดดงหนามไผ่ซึ่งดันมาขึ้นเตี้ยๆ (กว่าเรา) แต่คงมีคนลอดมาเยอะแล้ว มันก็เลยมีลักษณะเป็นซุ้มโค้ง ทอดยาวไปสัก 100 เมตร สูงบ้างเตี้ยบ้าง พอพ้นออกไปก็เป็นทุ่งนา หมู่บ้านกระเหรี่ยง และไร่พริก พอตะโกนถาม(เพราะอยู่รั้งท้าย) ว่านี่พริกกะเหรี่ยงใช่มั๊ย ก็ได้ยินเสียงตะโกนตอบมาว่าให้ลองชิมดูสิ จากนั้นก็เดินกันอีกเป็นกิโลก็ถึงที่หมาย โดยมีส้มโอและโค้กเย็นๆ เตรียมไว้รอรับ ปริญญ์ซึ่งยังระรื่นอยู่นั่นเองก็กำหนดการลอยกระทงต่อไปในค่ำคืนนี้อย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย

ขากลับพวกเราแวะตลาดอุ้มผางเพื่อซื้อกระทงกัน โดยไม่รู้ว่าทางรีสอร์ทเตรียมกระทงไว้ให้ลอยในแม่น้ำด้านหลังเรียบร้อยแล้ว พวกเราตกลงใจจ่ายค่ารถเพิ่มเพื่อไปเที่ยวงานลอยกระทงใน อ. อุ้มผาง (ห่างจากรีสอร์ทประมาณ 3 กม.) หลังจากอาบน้ำอาบท่าจนรู้สึกสดชื่นแล้ว ขบวนลอยกระทงก็พากันไปยังวัดประจำอำเภอ สถานที่จัดงานลอยกระทง ภายในงานก็มีกิจกรรมการแสดงของเด็กๆ ประกวดกระทง ดึกๆ จึงจะมีประกวดนางนพมาศ หลังจากไหว้พระกันแล้วพวกเราก็ไปหาซื้อโคมลอยมาจุด โดยสถานที่ลอยโคมอยู่ห่างจากวัด ต้องเดินผ่านหมู่บ้านที่ตามทางเดินจะมีเสาไม้ไผ่ปักเทียนเป็นระยะ บางบ้านจะจุดเทียนไว้ตรงบันไดขึ้นบ้านแต่ละขั้นดูสวยมาก โคมที่พวกเราซื้อมา 12 บาท พอไปถึงสถานที่จุดมีร้านขายแค่ 10 บาท ตัวโคมเป็นถุงพลาสติกลายขวาง หลายสี ใบใหญ่ประมาณถัง 100 ลิตร ปากถุงมีลวดขึงเป็นโครงรูปวงกลม และมีลวดเกี่ยวจากโครงมาที่แกนไม้ตรงกลาง 4 ด้าน ที่รูของแกนไม้จะใส่เชื้อเพลิงไว้ อุดด้วยเชือกขาวที่ใช้จุดไฟ เมื่อจุดแล้วควันจะลอยเข้าไปในถุงทำให้มันพองออกเรื่อยๆ หลักการเดียวกับบอลลูน ต้องใช้ 2 คนจับให้ถุงกางออก พอควันเข้าไปเต็มที่แล้วจึงค่อยปล่อยให้โคมลอยขึ้นไป โคมลูกแรกๆ พวกเรายังไม่ชำนาญ พอปล่อยก็ลอยขึ้นไปนิดนึงแล้วก็หล่นลงมาอีก ต้องไปจับมาทำให้พองใหม่ ทีแรกแบ่งคนเป็น 3 พวกอยู่ดีๆ คือ คนจุดโคม คนถ่ายรูป และคนดู แต่พอโคมไม่ลอยขึ้นก็เฮกันเข้ามาช่วยจับ พอโคมลอยขึ้นไปแล้วก็ต้องวิ่งหลบเชื้อเพลิงที่หล่นลงมาใส่กันอย่างวุ่นวายอีก

ขณะที่กำลังถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน อยู่ๆ เอกกับปริญญ์ก็โวยวายขึ้นมา เพราะเอกวานปริญญ์ถ่ายรูปตอนปล่อยโคม แต่พอย้อนกลับมาดูรูปที่ถ่าย แทนที่จะมีรูปเอกคนเดียว กลับมีเงาคนอีกคนที่ค่อนข้างชัดติดมาด้วย ก่อนที่จะเข้าสู่โหมดสยองขวัญ พี่ซวงก็สรุปว่าเป็นเพราะตั้งกล้องแบบ auto และมือสั่นขณะถ่าย รูปก็เลยเป็นภาพซ้อน ส่วนกล้องคนอื่นๆ รวมทั้งเราที่ตั้ง flash อยู่แล้วจะไม่เป็น เจ้าของกล้องที่หน้าซีดอยู่เลยรู้สึกดีขึ้น หลังจากปล่อยโคมกันจนหมด แต่ความมันยังคงค้างอยู่ พวกเราเลยซื้อโคมไปจุดต่อหลังลอยกระทงที่รีสอร์ท พวกพี่ๆ IBM ที่ไม่คิดจะลอยกระทงก็แยกเข้าห้องไป ส่วนพวกเราเดินตามพี่แสงไปลอยที่แพไม้ไผ่ริมแม่น้ำหลังรีสอร์ท มองไปยังท้องฟ้าไกลๆ เห็นโคมลอยเรียงเป็นแถวสวยมาก

ทีลอซู-ทีลอเร (Part II)

ไปถึงน้ำตกทีลอเรประมาณ 16.00 น. เป็นน้ำตกที่ไม่เหมาะจะเล่นมากๆ อยู่ริมแม่น้ำที่แพล่อง ถ้าจะเล่นน้ำต้องปีนขึ้นไปบนก้อนหินใต้น้ำตกที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก ส่วนเลหรือหน้าผา เป็นก้อนหินเล็กๆ กว้างยาวประมาณ 1 x 1.5 เมตร ยื่นออกมาจากน้ำตกนิดนึง พวกเราเลยได้แต่ถ่ายรูปอยู่ในแพ คิดว่าถ้าเป็นหน้าฝนมีน้ำเยอะๆ คงสวยมาก

ที่พักของเราเป็นที่ราบริมน้ำ ก่อนถึงน้ำตกประมาณ 500 เมตร ขากลับจากน้ำตกเลยเป็นเรื่องลำบากของไกด์ เพราะต้องพายทวนน้ำ แถมยังมีตัวอ้วนๆ อยู่ในแพตั้ง 8 คน (ยัยปริญญ์หนักน้อยที่สุดคงเกือบ 50 กก.) เมื่อแพโดนน้ำพัดวนไปวนมาหนักเข้า พี่แสงเลยต้องพายไปใกล้ๆ ฝั่ง ตรงน้ำตื้น เอาเชือกผูกแพแล้วเดินลุยน้ำลากไป พอพ้นส่วนที่เป็นหน้าผาริมน้ำ ก็ปล่อยให้พวกเราเดินกลับที่พัก

พวกเรากลับถึงที่พักเป็นพวกแรกเพราะคนอื่นมัวแต่เล่นน้ำตกหรือก็ถ่ายรูปกันอยู่ เลยรีบชวนกันไปอาบน้ำที่ยังใสน่าอาบ ตอนนั้นช้างที่ใช้ขนสัมภาระมาบ้างแล้ว และที่โชคดีคือตอนล่องแพกลุ่มของเราไปกันช้าเลยไม่ทันช้าง ทำให้ต้องใช้แพเปล่าขนของมาให้ ข้าวของของพวกเราเลยมาถึงก่อนช้างที่ใช้เวลาเดิน 5 ชั่วโมง แล้วยังได้แพมาแทนลำที่รั่วไปอีกด้วย

อาบน้ำเสร็จก็กลับเข้าเต้นท์จัดข้าวของ เราได้เต้นท์ใหญ่นอนกัน 3 สาว ในเต้นท์มีถุงนอนกับหมอนเป่าลมให้คนละชุด อาหารเย็นเป็นผัดผักกูดที่พวกเราช่วยกันเก็บระหว่างพักล่องแพ เลยได้รู้ว่าผักกูดต่างกับเฟิร์นตรงที่ ผักกูดมีลำต้นสีดำก่อนจะเป็นก้านใบ (เหมือนต้นปรง) ส่วนเฟิร์นมีก้านใบโผล่ออกมาจากดินเลย ตอนเก็บก็โดนกำชับให้ดูดีๆ และเลือกเก็บใบอ่อนที่หงิกๆเป็นลานนาฬิกา เพราะถ้าเก็บได้เฟิร์นไปแทน กินแล้วจะท้องเสีย ซึ่งเราเก็บได้ต้น สองต้นก็เริ่มสยองเพราะเกือบทุกต้นจะมีแมงมุมขายาวทำรังอยู่ ถึงจะดูไม่น่ากลัว แต่เนื่องจากปริมาณมันเยอะ เลยถอดใจเดินกลับมานั่งในแพ ดูพี่ไกด์เก็บทีละเป็นหอบๆ

เสร็จจากอาหารเย็น ก่อนจะนอนก็ต้องเดินลุยป่าด้านหลังเต้นท์ ไปฉี่ แล้วก็ภาวนาว่าตอนกลางคืนอย่าได้ปวดฉี่เลย เพราะกว่าจะได้ที่เหมาะๆ ต้องเดินผ่านทุ่งหญ้าสูงท่วมหัว แต่คืนนั้นก็ผ่านไปได้ด้วยดี และถึงเต้นท์ของพวกเราจะอยู่ใกล้แม่น้ำมากที่สุดแต่ก็ไม่หนาว แถมยังมีเสียงน้ำไหลคอยกล่อมอีก ทำเอาเราหลับรวดเดียวถึงเช้า ตื่นขึ้นมาได้ยินเสียงเพื่อนร่วมเต้นท์บ่นว่าปลุกไปฉี่เป็นเพื่อนก็ไม่ยอมตื่นเลย

พูดถึงห้องน้ำธรรมชาติแล้ว คุณนายปริญญ์ของเราเนี่ยสมกับเป็นนักอนุรักษ์ เพราะเวลาเจ๊จะฉี่ต้องตักน้ำไปราดและเก็บกระดาษทิชชู่ที่ใช้แล้วกลับมาด้วยทุกครั้ง ขณะที่เราและคนอื่นๆ ทิ้งกันเกลื่อนบริเวณที่ปฏิบัติการ และในตอนเช้าที่ไปอีกครั้งถึงได้รู้ว่าทางเดินสบายๆ ก็มีให้เดิน ไม่ต้องลุยหญ้าไปอย่างเมื่อคืน

อาหารเช้าเป็นข้าวต้มที่กินเข้าไปนิดเดียวเพราะห่วงถ่ายรูป โดยที่เราไม่รู้ว่าความยากลำบากรออยู่ข้างหน้า ไปแวะถ่ายรูปกับช้างที่ขนสัมภาระมาให้อย่างลังเล เพราะเราใส่เสื้อสีแดงแปร๊ด (ไม่แน่ใจว่ามันจะมีสัญชาติญาณควาย – ขวิดของแดง หรือเปล่า) แต่เชื่อว่าช้างพวกนี้ค่อนข้างชอบแกล้งคนทีเดียว เพราะเมื่อวานตอนอาบน้ำ มันก็มายืนกินน้ำอยู่ใกล้ๆ พอขึ้นจากน้ำและเช็ดตัวจนแห้งแล้วยืนมองตากันไปมา (ระหว่างคนกับช้าง) มันก็เอางวงดูดน้ำแล้วม้วนเข้าไปในปาก ทำแก้มป่องๆ เหมือนกำลังจะพ่นน้ำใส่ จนยัยหมอปุ้มร้องหวีดว้ายพอน่ารัก เพราะหนุ่มๆ IBM อาบน้ำอยู่แถวนั้นด้วย แต่เสร็จแล้วมันก็พ่นน้ำใส่ปากตัวเอง พร้อมทั้งเหล่มองอย่างสะใจที่ได้แกล้งคน (ว่าเข้านั่น)

มาถึงกำหนดการสุดหินของทริปนี้แล้ว นั่นคือการเดินกลับหมู่บ้านเซปะหละ ระยะทาง 28 กม. (ไกลสุดในชีวิตเลยเนี่ย) แถมตอนช่วงแรกเป็นการเดินขึ้นเขาที่ค่อนข้างชัน แค่ 10 นาทีแรกเราก็หอบแฮ่ก จนอยากปลอมตัวเป็นสัมภาระติดไปกับช้าง จาก 32 คนที่ทยอยกันเดิน ก็ค่อยๆ ทิ้ง ห่างไปเรื่อยๆ บางคนหยุดนั่งพักหน้าซีดจนต้องแบ่งยาดมให้ กลุ่มเรา 8 คน ก็มีเรากับเอก ที่ท่าทางจะ BMI มากกว่าเพื่อน รั้งท้ายอยู่ เอ๋มาคอยดูแลปิดท้ายขบวน จนในที่สุดเอกต้องใช้ไม้ค้ำ ส่วนเรากลัวว่าไม้จะมาเป็นภาระมากกว่าเลยไม่เอา ก็เดินๆ หยุดๆ ไปเรื่อย ส่วนยัยหมอปุ้มพออุ่นเครื่องได้ก็เดินลิ่ว และส่งเสียงเร่งมาเป็นระยะ จนเรารำคาญต้องบอกให้เดินไปล่วงหน้าไม่ต้องรอ ยัยปริญญ์เดินไปได้ระยะนึงหันกลับมาเพื่อน พ.ป. หายหัวกันไปหมด เลยต้องเดินกลับมาตาม พร้อมทั้งร้องเพลงให้กำลังใจและวิ่งไปมาอย่างร่าเริงจนน่าหมั่นไส้ว่าคุณเธอไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนกันฟะ

ทีลอซู-ทีลอเร 24 - 29 พ.ย. 47 (Part I)

พวกเราประกอบด้วย เรา หมอปุ้ม และแก๊งค์ 6/4 มีปริญญ์ เอก (ไพศาล) เอ๋ (วีระศักดิ์) รวมเป็น 5 คน เดินทางด้วยรถทัวร์กรุงเทพฯ-แม่สอด ต่อด้วยบุญล่ำทัวร์ ค่าใช้จ่ายทั้งหมด 4,590 บาท/คน

เราออกเดินทางเย็นวันที่ 24 พ.ย. เวลา 18.00 น. นัดหมอปุ้มไว้ที่ท่ารถตู้ ก่อนจะเดินทางไปที่สถานีขนส่งหมอชิต 2 ซึ่งกว่ารถจะออกก็ 21.00 น. เลยถือโอกาสไปกินข้าว (รอบ 2) ระหว่างรอเวลา โดยหารู้ไม่ว่ารถทัวร์แวะให้กินข้าวรอบดึกด้วย พวกเราไปถึงสถานีขนส่งแม่สอดกันตอนตี 4 กว่าจะไปถึงได้ก็ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเป็นระยะ ทำให้หมอปุ้มเกิดอาการเซ็งเพราะไม่ได้พกบัตรประชาชนมาด้วย และคนนั่งข้างๆ (เราเอง) ก็คอยแซวให้ร้องเพลงชาติอยู่ร่ำไป หลังจากที่รถไปถึงสถานีขนส่งแม่สอด (ดันมี 2 แห่ง) พวกเราก็ไปลงกันที่ขนส่งเก่าซึ่งอยู่สุดสายจริงๆ และเป็นที่โล่งกว้าง แถมยังหนาวเหน็บ พวกที่ลงมาด้วยกันประมาณ 10 คน ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวก็ได้แต่มองหน้ากันว่าสงสัยจะมาผิดที่เพราะมืดมาก หลังจากโทรไปหลายเบอร์ เอ๋ก็ติดต่อให้พี่ศรีคนขับรถที่ไปรอพวกเราอยู่ที่ขนส่งใหม่ มารับจนได้

สรุปแล้วงวดนี้ทางบุญล่ำทัวร์จัดกลุ่มอื่นมารวมกับพวกเราอีก 3 คน เป็น 8 คนพอดี กว่าพวกพี่ๆ (ที่ทีแรกนึกว่าเป็นสาวเอ๊าะๆ) อีก 3 คนจะมาก็เกือบตี 5 ในกลุ่มเลยมีแต่เรา หมอปุ้มและปริญญ์เป็นผู้หญิงอยู่ 3 คน ทำให้ได้นั่ง รถไปข้างหน้า ส่วนหนุ่มๆ ทั้ง 5 คนที่เหลือ ต้องสัมผัสกับลมหนาวกันอยู่ท้ายรถ

พูดถึงผู้ชาย พ.ป. ในกลุ่มเรา ทีแรกก็หนักใจเหมือนกัน (เนื่องจากรู้จักหนุ่มๆ 6/4 แต่ละคนไม่ค่อยธรรมดาทั้งนั้น) เพราะไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่เห็นท่าทางเรียบร้อยก็เบาใจ และท่าทางจะพึ่งพาได้ (คงแบกหมอปุ้มไหว)

Toyota Vego พาพวกเราไปยังบุญล่ำรีสอร์ทที่ อ.อุ้มผาง ผ่าน 1,219 โค้ง พี่ศรีขับรถค่อนข้างเร็ว จากเส้นทางที่ลาดชัน และคดโค้งทำให้หมอปุ้มอ้วกอีกเช่นเคย ขนาดกิน dimen ไปตั้ง 2 เม็ดก็ยังสู้ไม่ไหว ดีที่ยังมีแวะพักกลางทางให้ร่างกายปรับตัวบ้าง (คนอื่นๆ เลยถือโอกาสถ่ายรูปกันอย่างหนุกหนาน) กว่าจะถึงรีสอร์ท ก็ 9.30 น. หมอปุ้มก็หมดสภาพ ทำท่าจะไปไม่ไหว แต่ด้วยเวลาที่จำกัด หลังจากที่เรากินข้าวเช้ากันแล้ว ก็ต้องเตรียมแยกเสื้อผ้าสำหรับไปค้างในเต้นท์ที่ทีลอเร โดยจะมีช้างขนตามไปให้ พอมาถึงนี่ถึงได้รู้ว่ามีกลุ่มอื่นๆ ที่จะไปพร้อมกันอีก รวมเป็น 32 คน

หลังจากพยุงหมอปุ้มโยนเข้าไปในรถอีกครั้ง พวกเราก็ไปกันที่หมู่บ้านปะหละทะเพื่อลงแพยาง หลังจากสัมภาษณ์พี่ๆ ทั้ง 3 คนแล้วก็ได้ความว่าทุกคนทำงานที่บริษัทคอมพิวเตอร์ IBM ชื่อพี่หนุ่ย พี่โจ้ และพี่ซวง
แพยางแต่ละลำนั่งได้ 10 คน มีพวกเรา 8 คนและคนพายหัว-ท้าย ซึ่งทีแรกนึกว่าจะได้พายเองเลยเอากล้องถ่ายรูปไว้กับสัมภาระ พอได้นั่งเฉยๆ เลยได้แต่มองวิวข้างทาง บ่อยเข้าก็เล่นซ่อนตาดำแทน ยัยหมอปุ้มตอนแรกนั่งด้านหน้า พอหลับไปได้ซักพักก็ฟื้นคืนชีพ ถึงแก่งที่เปียกน้ำก็ย้ายมาตรงกลางแพ

แก่งที่นี่เยอะกว่าที่ลำน้ำว้า แล้วก็มีบางแก่งที่สนุกๆ อย่างแก่งเลกะติ แก่งบันได แก่งหักศอก แก่งคนมอง ฯลฯ พี่แสงคนพายหน้า อายุ 44 แล้วแต่แข็งแรงมาก พาพวกเราผ่านแก่งได้อย่างไม่ทุลักทุเล แต่แพยางลำอื่นที่คนพายคงจะไม่ชำนาญเท่า เพราะหลังจากที่พวกเราได้ยินเสียงกรี๊ดดังมาก ก็ปรากฏว่าแพยางลำหน้าไปเกี่ยวกับต้นไคร้ (เป็นต้นไม้ใหญ่ขึ้นในน้ำได้) ส่วนสมาชิกในแพก็ยืนเกาะกันตามกิ่งต้นไคร้เป็นลิง แพของพวกเราเลยต้องรับสมาชิกเพิ่มอีก 2 คน

เมื่อถึงเวลาพักเที่ยงก็เริ่มรู้แล้วว่ากำลังจะลำบากเพราะไม่มีห้องน้ำเข้า พี่แสงที่ทำหน้าที่เป็นไกด์ด้วยบอกว่าตรงที่พักก็เป็นห้องน้ำธรรมชาติ (ซวยล่ะตู) และอาบน้ำในลำธาร กินข้าวเสร็จก็ขึ้นแพต่อ แต่ก็เหลือแก่งให้สนุกอีกไม่กี่แก่งแล้ว อย่างเช่นแก่งคนมอง จะเห็นเป็นหน้าผาที่บนยอดมีก้อนหินเป็นปุ่มๆ มองแล้วเหมือนคนนั่งมองอยู่ พอพายไปเรื่อยๆ เลยให้พี่แสงสอนภาษาพม่าให้ อย่างทีลอเร ที – น้ำ , ลอ – ไหลหรือตก , เล – หน้าผา คือมีหน้าผารองรับน้ำตก ทีลอจ่อ จ่อ – สายฝน ไหนๆ ก็ไหนๆ คนไข้พม่าเราเยอะ เลยถามว่ากินยาหลังอาหาร ต้องพูดว่าอะไร พี่แสงแกนึกอยู่นานแล้วก็บอกว่า “อ้อ-เหม่-หวี่-หลี” กินข้าว “อ้อ-เหม่-ต่า-ซี่” กินยา คือกินข้าวแล้วกินยา แต่ท่าทางแกไม่ค่อยสันทัดเท่าไหร่ เลยไม่ได้ถามอีก

แพร่-น่าน ล่องแก่งน้ำว้า (Picture)

พร้อมล่องแก่ง.........สู้โว้ยยยยยย


แพะเมืองผี
พระธาตุแช่แห้ง จ.น่าน
พระธาตุประจำปีเถาะ


พระธาตุช่อแฮ จ.แพร่
พระธาตุประจำปีขาล

Wednesday, September 13, 2006

แพร่-น่าน ล่องแก่งน้ำว้า (Part IV)

ที่สุดท้ายที่พาไปเที่ยว คือ พระธาตุช่อแฮ พระธาตุประจำปีขาล บังเอิญเราเกิดปีขาล ไกด์แนะนำว่าให้ซื้อผ้าแพร 3 สี เดินวนขวารอบพระธาตุ 3 รอบ แล้วเอาผ้าแพรพันรอบองค์พระธาตุจำลอง เป็นการบูชาพระธาตุ ไปที่ร้านขายของเขามีแบบ set เล็กใหญ่อีกต่างหาก แถมมีตุ๊กตาที่ไม่ค่อยเป็นเสือ ในฐานะเด็กศิลปากรเลยไม่ค่อยอยากอุดหนุนงานปั้นหยาบๆ ง่ะ ทัวร์เรานอกจากเราแล้วมีพี่เปิ้ลอีกคนที่เกิดปีขาล เลยมี 2 คนถือผ้าแพรวนรอบพระธาตุให้คนอื่นรู้ว่าอีนี่เกิดปีขาลกัน มันยากตอนที่เอาผ้าแพรพันพระธาตุจำลอง เพราะอยู่สูง เอื้อมก็ไม่ถึง แถมต้องพันรอบอีกต่างหาก เหน่งต้องมาช่วยจับผ้าให้ ไม่รู้ว่ากุศลของเราจะถูกแบ่งไปด้วยหรือเปล่า ที่จริงน่าจะอธิษฐานถวายเหน่งไปพร้อมผ้าแพร เผื่อพระธาตุชอบของดำๆ แล้วเหน่งก็เลยต้องยืนคอยช่วยพี่เปิ้ลผูกผ้าอีกคน แล้วก็ดั๊นมาผูกองค์เดียวกัน ทั้งที่พระธาตุจำลองมีทั้ง 4 ทิศ แต่พวกเราเริ่มเดินแล้วมาครบรอบตรงนี้ จะเลยไปอีกเดี๋ยวเป็น 3 รอบครึ่ง ย้อนกลับไปก็เวียนซ้ายผิดหลักการอีก เห็นพี่เปิ้ลถวายชุดใหญ่แล้วก็เลยทักว่านี่เราห่างกัน 12 ปีเชียวเหรอ ต้องรีบทักก่อนกลัวพี่เปิ้ลจะว่า อ้าว พจก็อายุเท่าพี่หรอกเหรอ จะแป่ว..ว

จากนั้นก็ไปเซียมซี จะว่าเซียมซีก็ไม่เชิงเพราะเป็นการควานตัวเลขเอาจากในบาตร วันนี้เสี่ยงรอบ 2 แล้ว ครั้งแรกที่พระธาตุแช่แห้ง ว่าไม่มีโชค เป็นความจะแพ้ เนื้อคู่ไม่มี....แย่มาก เลยทิ้งใบเซียมซีไว้แถวนั้นแหละ งวดนี้ดีกว่านิดนึง ว่าเนื้อคู่ยังไม่เจอ...เฮ้อ ออกมาจากโบสถ์ เขาฮือฮา 12 ไม้วัดกัน ไม้วัดก็เป็นไม้ระแนงอันเล็กๆ เนี่ยแหละ ยาวประมาณ 2.5 เมตร มีทั้งหมด 12 อัน ปลายข้างหนึ่งมียางรัดไว้ ใช้วัดผลคำอธิษฐาน ก็คือ ต้องไปอธิษฐานที่อาศรมพระเจ้าทันใจ (อยู่ติดกัน) พระเจ้าทันใจเป็นพระพุทธรูปองค์หนึ่งประมาณว่าอธิษฐานแล้วเห็นผลทันใจ ไม่เกี่ยวกับ บ. โอสถสภาเต็กเฮงหยูแต่อย่างใด ก่อนอธิษฐานต้องกางแขน 2 ข้างออก วัดความยาวจากปลายนิ้วด้านหนึ่งไปจดปลายนิ้วของแขนอีกข้างหนึ่ง โดยเลื่อนยางรัดมาตรงปลายนิ้วที่วัดได้ หลังอธิษฐานเสร็จก็มาวัดซ้ำ ถ้านิ้วมือเลยยางรัดไป หรือแขนยาวกว่าเดิม แปลว่า อธิษฐานแล้วได้สมหวัง แต่ถ้าปลายนิ้วไม่ถึงยางรัดก็ไม่สมหวัง เรากับหมอปุ้มไปเล่น เอ๊ย อธิษฐานกัน 2 คน นึกตั้งนานว่าจะอธิษฐานอะไร เพราะไม่มีอะไรที่อยากได้เป็นรูปธรรมและทันที ก็เลยมั่วนิ่มอธิษฐานว่าขอให้มีแต่ความสุขตลอดไป (มานึกดูแล้วรู้สึกว่าโง่สุดๆ น่าจะของให้ฉลาดหรือว่ารอยหยักในสมองเพิ่มขึ้น) ไปวัดใหม่อีกครั้งปรากฏว่าเท่าเดิม แสดงว่าให้หาเอาเอง (มั๊ง) ส่วนของยัยหมอปุ้มไม่รู้ขออะไรแต่วัดได้ยาวกว่าเดิม ก็คงสมหวัง หวังว่ามันคงไม่ขอให้เราขึ้นคานเป็นเพื่อนมันนะ พวกจุ๋ยยืนคอยอยู่เห็นเราหน้าบาน 5 กลีบไป เลยพากันแซวว่า ขอให้ได้แฟนแล้วสมหวังล่ะสิ เลยปล่อยให้มันเข้าใจกันไปเอง ส่วนหมอปุ้มก็คงงงว่าวัดแล้วได้เท่าเดิมทำไมระรื่นนัก ตอนที่กลับไปที่รถเดินลงบันไดชัน ปรากฎว่าไกด์ทิพย์ตกบันไดไป 2 – 3 ขั้น ก้นกระแทกเลย แถมปวดประจำเดือน ยัยหมอปุ้มเลยให้ Brufen ไปกิน เลยแซวไกด์ว่าอธิษฐานขอเตะไกด์ตกบันได เห็นผลทันตา

ออกจากวัดก็เริ่มเดินทางกลับ อาหารย่อยพอดี หลับไปได้นิดนึงแทนที่จะหลับยาว ยัยหมอปุ้มมีนอนกรนอย่างน่าหมั่นไส้ ไปแวะกินมื้อเย็นกันที่ร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลานครสวรรค์ แล้วก็ซื้อของฝากเป็นขนมโมจิ กลับถึงบ้าน 24.05 น. ส่วนเหน่งนอนค้างกับจุ๋ย แว่วๆ ว่า detail ยา จะมีการถวายตัวกับแพทย์คืนนี้ หึ หึ

แพร่-น่าน ล่องแก่งน้ำว้า (Part III)

เช้ากินข้าวแล้วก็กลับเข้าเมืองน่านอีก ไปไหว้พระธาตุแช่แห้ง ยังคิดอยู่เลยว่า ถ้าเรามาไหว้กันตั้งกะเมื่อวาน เพราะเป็นทางผ่าน แทนที่จะไปบ่อเกลือ วันนี้ยังมีเวลาเหลือไปเที่ยวที่อื่น

พระธาตุแช่แห้งเป็นพระธาตุประจำปีเถาะ แต่คณะเรารู้สึกจะไม่มีใครเกิดปีเถาะเลย ตอนไหว้พระธาตุเขาให้เดินเวียนขวา 3 รอบแล้วอธิษฐาน ตัวพระธาตุถูกฝังอยู่ใต้ดิน เลยห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าไปด้านใน (จะมีรั้วล้อมองค์พระธาตุไว้อีกชั้นหนึ่ง) ไกด์บอกว่าจะต่างกับพระธาตุภาคอื่นที่องค์พระธาตุอยู่ที่ยอดเจดีย์ ตัวเจดีย์พระธาตุแช่แห้งเป็นสีทอง ไปดูใกล้ๆ ไม่แน่ใจว่าเป็นแผ่นทองเหลืองหรือสังกะสีพ่นสีทอง ดูไกลๆ เหลืองอร่ามไปหมด แล้วก็ไม่ค่อยสกปรกด้วย (มั้ง) ไม่เหมือนเจดีย์ที่ก่อจากปูนทาสีขาว พอฝนตกแล้วจะมีคราบดำๆ เป็นทาง ก่อนถึงวัดพระธาตุมีบันไดพญานาคตัวใหญ่มาก แต่มีทางรถขึ้นอีกทางหนึ่งเลยไม่ได้ขึ้นบันไดด้านนี้ ว่าจะถ่ายรูปไว้ก็จนใจเพราะต้องลงบันได (สูงมาก) ไปถ่ายหัวพญานาค แล้วก็ไต่บันไดกลับมาที่รถ ที่ข้างนอกวัดขายน้ำมะไฟจีน ลองชิม (ของคนอื่นเพราะไม่ได้ซื้อ) ดู รู้สึกคล้ายๆ กินน้ำบ๊วย มีมะไฟแห้งขายด้วย แต่แพง เลยไม่ซื้ออีกเหมือนกัน แต่เขาบอกว่ามีขายที่นี่ที่เดียว คงเกี่ยวกับดินฟ้าอากาศที่ใช้ปลูกแหละ

ออกจากวัดพระธาตุแช่แห้งก็เข้าไปวัดในเมืองน่าน ชื่อวัดภูมินทร์ อายุประมาณ 400 ปี โบสถ์มีประตู 4 ทิศแบบจัตุรมุข แล้วก็มีพญานาคเป็นฐาน ว่ากันว่าทำเป็นพญานาค 2 ตัวพยุงโบสถ์ไว้ในมหาสมุทร เลยไม่ค่อยเข้าใจว่าพญานาคไม่ได้เป็นสัตว์น้ำจืดเรอะ ปลายหางของพญานาคทะเลเนี่ยจะต่างกับพญานาคที่เห็นๆ กัน เพราะว่าม้วนเป็นก้อนกลมเหมือนกองอึล่ะ เลยไปถ่ายรูปด้วย ถึงจะตัวไม่โตเท่าที่วัดพระธาตุก็เถอะ แล้วก็สงสัยว่า จ. น่านเป็นภูเขาซะส่วนใหญ่ทำไมต้องกลัวน้ำท่วมขนาดต้องเอาโบสถ์ไปไว้บนหลังพญานาค ที่จริงเราสนใจวัดฝั่งตรงข้ามมากกว่า ชื่อวัดช้างค้ำ มีโบสถ์ 2 หลัง หลังใหม่ก็สวย แต่หลังเก่าทำด้วยไม้แกะสลักทั้งหลังน่าดูมาก ทำไมไม่พาไปดูก็ไม่รู้ พวกจุ๋ยมันยังแซวว่า ค้ำอยู่วัดโน้นแล้วมา”ไมวัดนี้ ก็เลยไม่รู้ว่ามีช้างค้ำอยู่จริงหรือเปล่า

ออกจากวัดแล้วก็ไปแพะเมืองผี จ. แพร่ กินเวลา ชม. กว่าๆ ก็ไปถึงเนินดินทรายที่ถูกน้ำชะเป็นร่องริ้วๆ บางที่ก็ตั้งอยู่คล้ายตะปูตัวใหญ่ เขาบอกว่าแพะแปลว่าป่าละเมาะ เมืองผี คือความวังเวงเงียบสงบ พวกเราไปไต่ กองดินแล้วก็แอ็คท่าถ่ายรูปกันใหญ่ เราตะกายจนลื่นครั้งนึง เกือบทำแพะพังแน่ะ คิดว่าถ้าเจอฝนเรื่อยๆ ดินคงจะค่อยๆ พังตัว อีกหน่อยคงมีรูปร่างเปลี่ยนไป เพราะมีเนินดินเตี้ยๆ อยู่เต็มไปหมด เริ่มหิวข้าวแล้วก็เลยกลับไปที่รถ ยัยหมอปุ้มได้ไต่ไปไต่มาชักเริ่มคึก แต่แดดเริ่มร้อนแล้วกลัวดำเลยต้องจูงกลับ เดี๋ยวคุ้ยดินเขาพังหมด ที่ทางออกมี นศ. ป.โทของแม่โจ้ เขามาให้ทำแบบสอบถามเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวภาคเหนือ ให้ใส่ที่ๆ ประทับใจ จังหวัดละ 3 ที่ เลยลอกกันใหญ่ เพราะถึงเคยไปแต่มันนึกไม่ออกง่ะ แถมท้องยังหิวด้วย อ้อ เห็นคำขวัญ จ. แพร่ เขาเขียนเสื้อ “หม้อห้อม” แบบนี้ แปลว่าเราเขียนผิด เพราะเขียนเป็น “ม่อฮ่อม”
ไปกินข้าวที่ร้านบ้านฝ้าย อ. บ้านฝ้าย เป็นร้านใหญ่มาก เพราะห้องน้ำกับโต๊ะกินข้าวห่างกันเกือบร้อยเมตร กับข้าวอร่อยและมีกับข้าวพื้นเมือง เรากินเยอะมากเพราะไม่รู้จะได้กินมื้อเย็นเมื่อไหร่ แถมทัวร์ไม่ได้เลี้ยงอีกแล้ว และก็กะจะหลับยาวออมแรงไว้ขับรถกลับบ้าน

แพร่-น่าน ล่องแก่งน้ำว้า (Part II)

รถเราเป็นคันวิ่งตามคันหน้า แต่พี่คนขับแกก็ตามจริงๆ ข้างหน้าแซงก็แซงบ้าง บางทีก็เปิดไฟไล่คันที่แทรกตรงกลาง เข้าทำนองฟ้ามิอาจกั้น เล่นเอาเสียวไปทั้งคันรถ หรือว่าพี่คนขับแกไม่ค่อยรู้ทางก็ไม่รู้ ส่วนน้องไกด์...หลับไปตั้งกะแรก รถมาแวะพักอีกทีเลยนครสวรรค์ จากนั้นเราก็หลับตลอดเพราะแย่งชิงหมอนรองคอยัยหมอปุ้มมาได้เลยสบายไม่ปวดคอ และไม่หนาวเพราะมีทั้งหมวกและเสื้อกันหนาว คราวหน้าควรขนหมอนรองคอและถุงเท้ามาด้วย

ไปถึง รร.ซิตี้ พาร์ค จ. น่านตอนตี 4 กว่าๆ เข้าพักห้องละ 4 คน นัดกินข้าวตอน 7.00 น. แต่ตี 5 กว่าๆ เราก็ตื่นแล้ว จากนั้นคนอื่นๆ ก็ค่อยๆ ตื่นอาบน้ำตาม เช้ากินข้าวผัด ข้าวต้มจนอิ่ม แล้วก็โทรไปรายงานแม่ว่ามาถึง แพร่แล้ว (ตอนลงรถยังง่วงๆ เลยไม่รู้ว่านี่มันแพร่หรือน่าน) จากนั้นก็เตรียมตัวไปล่องแก่งกัน รถต้องวิ่งขึ้นเขาเป็นชั่วโมงกว่าจะไปถึงจุดให้ล่องแก่ง ยัยหมอปุ้มทนรถเหวี่ยงไม่ไหว หน้าซีดหน้าเซียวแล้วก็อ้วกซะ ไปถึงเขาก็สอนวิธีพายเรือยาง วิธีทำตามคำสั่ง แล้วก็ช่วยตัวเองตอนตกแพ ดูน้ำก็ไหลแรงเหมือนกัน เป็นสีน้ำตาลแดง แต่เขาว่าที่จะล่องตรงนี้เป็นปลายแก่ง น้ำไม่แรงเท่าตอนกลางแก่งที่ต้องใช้เวลาล่องเป็นวันๆ

พอได้พายแรกๆ น้ำก็แรงหรอก ช่วยกันพายตรงแก่งที่น้ำแรงมาก คนคุมท้ายต้องสั่งพายทวน พายตามอยู่ แต่ไปได้ไม่นานก็แผ่ว น้ำค่อนข้างอยู่ในระดับเดียวกัน จนไกด์บอกให้โดดลงไปว่ายเล่นได้ ระวังแค่ไม่เรือชนเอา แล้วก็ตอนไหลตามน้ำให้เอาเท้าไปก่อนเผื่อจะยันขอบหินที่มองไม่เห็นมากระแทก แต่ถ้าจะชนกับเรือก็ให้เอาเท้ามาด้านหัวเรือ เพื่อยันเรือไว้ เอกกับเหน่งโดดลงไปเล่นน้ำ แต่กว่าจะขึ้นมาได้ต้องใช้แรงน่าดู เลยไม่โดดตามลงไป มาแวะพักเที่ยงตรงเนินดินย่อมๆ แต่แดดร้อนน่าดู กินข้าวกล่องแล้วก็มีอาหารพื้นเมืองพวกน้ำพริกหนุ่ม ไส้อั่ว แคบหมู ยัยหมอปุ้มดีขึ้นเยอะจนจ้อไม่หยุดแล้ว หลังกินข้าวก็พายจ๋อมแจ๋มไปแป๊บนึงก็สุดทาง แวะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็จะไปดูบ่อเกลือกันต่อ

ไอ้บ่อเกลือที่ว่าเนี่ยโครตผิดหวังเลย นั่งรถขึ้นลงเขาไปตั้งนาน 2 นาน จนยัยหมอปุ้มอ้วกอีกรอบ ก็มาถึงบ่อน้ำเก่าๆ ลึกมากจนมองไม่เห็นก้นบ่อ เขาจะใช้รอกต่อกับกระป๋องตักน้ำขึ้นมา แล้วก็เอาน้ำไปเคี่ยวในกระทะใหญ่ๆ จนได้เกลือ สรุปว่าเป็นเพราะดินเค็มน่ะแหละ เกลือในดินถูกน้ำชะลงบ่อ พอระเหยเอาน้ำออกเก๊าะได้เกลือ มี รพ. บ่อเกลืออยู่ใกล้ๆ เขามาช่วยเพิ่มคุณค่าด้วยการเติมไอโอดีนในเกลือ ชาวบ้านเลยไม่เป็นเอ๋อ แต่นักท่องเที่ยวเอ๋อไปตามๆ กัน ว่าแค่เนี๊ยะ ให้ตูมาตั้งไกล ทุกคนจะดูบ่อเกลือคนละ 1 – 2 นาที จากนั้นอีก 10 กว่านาทีก็บ่นไปพลาง ดูเด็กชาวบ้านแก้ผ้าเล่นน้ำไปพลาง

พวกสมุนไพรก็มีขายอยู่เหมือนกัน นอกเหนือจากเกลือ อย่างแฮ่ม แต่ดูไม่เป็นว่าของจริงหรือเปล่า หรือมีอย่างอื่นปนมา หมอปุ้มซื้อไปถุงนึง แล้วก็มีอีกอย่างเป็นส่วนลำต้นไม่ใหญ่มาก มัดรวมกัน ท่าทางจะถูกและมีทุกร้าน กำลังนึกว่าจะซื้อให้ยายหมอปุ้มอมแก้อ้วก แล้วก็ฝากยัยเจ๊ผ่องคาบแก้งอน ก็พอดีคนขายเขาบอกว่ามันใช้ทำฟืน เลยสะบัดก้นขึ้นรถไป

ยัยหมอปุ้มย้ายไปนั่งข้างคนขับตั้งแต่หลังล่องแพแล้ว ส่วนไกด์ก็เปลี่ยนเป็นผู้ชายมาแทน สงสัยไกด์ทิพย์เขาขอเปลี่ยนเอาคนแรงเยอะๆ มาเผื่อยัยหมอปุ้มเป็นหนักจะได้จับโยนลงรถไป ตามที่พวกบนรถอีกคันบอกว่าไกด์แอ๊ด entertain น่าดู ให้เล่นเกมสารพัด แต่พอขึ้นรถคันนี้ก็หงอยเหมือนกัน เพราะหลับกันหมดไม่มีใครสนใจไกด์ ส่วนยัยหมอปุ้ม...ก็อ้วกอยู่หน้ารถ วันต่อมาไกด์ทิพย์ก็เลยมาทำหน้าที่เหมือนเดิม

เย็นนี้เราจะพักกันที่ อ. ปัว จ. น่าน ออกจากบ่อเกลือก็ยังวิ่งขึ้นเขาอีก ไปถึงยอดดอยภูคา สูงประมาณ 1600 กว่าเมตร ยังไม่ 4 โมงเย็นก็มองเห็นทะเลหมอกอยู่ด้านล่างแล้ว รู้สึกดีมากๆ ดอยนี้จะมีต้นไม่ล้านปีตระกูลปาร์ม ชื่อต้นเต่าล้าน หรือ เต่าร้างนี่แหละ ถึงยอดดอยแวะถ่ายรูปก็ยังติดมาหลายต้น แล้วก็มีต้นชมพูภูคา จะออกดอกปีละครั้ง แน่นอนว่าไม่ใช่ตอนนี้ ลักษณะดอกเป็นดอกช่อ คล้ายๆ ผักตบชวา ดอกสีชมพู ไกด์พาไปชี้ให้ดูเห็นมีแค่ 2 ต้น ตอนออกดอกคงสวยน่าดู เห็นว่าประเทศไทยมีอยู่ที่เดียว ส่วนสมาพันธ์เดี่ยวไมค์ฯ (ปรองดองกันจนน่าจะเรียกแบบนี้แล้ว) ลงความเห็นว่าคงไม่ได้สำรวจกันมากกว่าเลยเหมาว่ามีที่เดียว ช่วงนี้ถ่ายรูปไปหลายรูปเหมือนกัน แต่อากาศเย็นน่าดู หมอกลงขาวไปหมด หมอปุ้มถ่ายไม่กี่รูปก็หลบไปอยู่ในรถ ใกล้ๆ กันมีศาลเจ้าพ่อภูคา เขาไปไหว้กัน เลยแซวหมอปุ้มให้บนเรื่องยากๆ ไว้ ถ้าสมหวังจะได้ขึ้นเขามาแก้บน

หลังจากนั้นก็กลับ รร.ที่พัก ชื่อ รร.ปาปัวรีสอร์ต เขาตกแต่งแบบจาวเหนือแต๊ๆ เตียงนอนยังเป็นแหย่ง (ตั่งที่ใช้นั่งบนหลังช้าง) ปูด้วยฟูกแข็ง นอนสบายดี หลังกินข้าวไม่มีอะไรทำ เลยไปรวมหัวกันเล่นไพ่ที่ห้องเอก แต่ไม่สนุกเพราะแพ้ตลอด เลยกลับไปนอนดีกว่า ยัยหมอปุ้มยังมีแรงดูถ่ายทอดโอลิมปิกต่อ

แพร่-น่าน ล่องแก่งน้ำว้า 27 - 29 ส.ค. 47 (Part I)

พวกเรา ประกอบด้วย เรา หมอปุ้ม จุ๋ย เหน่ง เอก รวมกลุ่มกับพวกพี่ฮุ้ง (Rx 5) อีก 11 คน แต่จำชื่อไม่ค่อยได้แล้ว จำได้บางคน ชื่อ พี่เปิ้ล (ญ) พี่ตุ่ย (ช) รวมเป็น 16 คน ช 5 ญ 10 และตุ๊ดอีก 1 เดินทางด้วยบริการหนุ่มสาวทัวร์ ออกเดินทางตั้งแต่เย็นวันศุกร์ที่ 27 ส.ค. 47 จุ๋ยนัดไว้ที่คอนโดมันตอนทุ่มครึ่ง แต่ไปถึงทุ่มกว่านิดหน่อย มีพี่ฮุ้งกับเพื่อน (ชื่อพี่เล็ก) มารออยู่ก่อนแล้ว เลยนั่งเม้าท์กันไปพลางๆ ก่อน

ออกจากคอนโดจุ๋ยประมาณ 19.40 น. รถตู้ของบริษัททัวร์มารับ มีคนมาขึ้นอีก 2 คน ชื่อพี่ตุ่ยกับน้องเอ้ (จำชื่อได้อีกคนละ) มีไกด์ประจำรถชื่อน้องทิพย์ พยายาม entertain ด้วยการให้เล่นเกม อย่างทายทะเบียนรถ ยัยหมอปุ้มตอบถูกเพราะคนขับใบ้ให้ เลยได้รางวัลเป็นหมอนรองคอเป่าลม แล้วก็มีทายรอบเอวไกด์ (อะไรจะขนาดนั้น) รู้สึกพวกเราจะหมดวัยแล้วเลยค่อนข้างเซ็งกับเกม ได้แต่นั่งคุยกันเอง นานๆ พอหุบปาก ก็จะได้ยินเสียงจุ๋ย talk show เกี่ยวกับ marketing และ บ. Organon จากท้ายรถมาให้ได้ยิน

รถแวะพักรออีกคันที่ปั๊ม Jet แถวบางประอิน รอพอสมควรจนเราหิวอีกรอบ เที่ยวเดินสำรวจหาของกินตามร้านในปั๊ม ได้แซนวิชกับนม 1 ขวด รถอีกคันนึงได้ไกด์ผู้ชายชื่อ แอ๊ด (ไม่หล่อ)...มองปราดแรกเห็นว่ามีแต่สาวๆ แต่ที่จริงวันรุ่งขึ้นถึงค่อยรู้ว่ามีอีก 1 หนุ่มกับอีก 1 ตุ๊ด แอบอยู่ในเงามืด พอๆ กับเพิ่งรู้ว่าเห็นแต่เอ๊าะๆ ที่จริงก็มีอายุแล้วเหมือนกัน สายตาเราตอนกลางคืนคงไม่ค่อยดี ต้องระวังการปิ๊งหนุ่มตอนกลางคืน -_-“

จุ๋ยยังลงมาเดี่ยวไมค์โครโฟนต่อข้างรถ หลังจากแยกย้ายกันไปฉี่ มองเห็นเอกกับเหน่งยืนฟังอยู่เลยเข้าไปสมทบตามประสาไทยมุง แล้วก็คิดได้ว่าไม่ควรเลย เพราะเอกกับเหน่งทำหน้าเซ็งๆ ทั้งคู่ ....บอกแล้วว่าตอนกลางคืนสายตาไม่ค่อยดี แล้วก็เพิ่งรู้ว่าพี่โน้ตอุดม เอ๊ย นายจุ๋ย เป็นเดี่ยวฯ ประเภทเผด็จการ แค่ชวนเอกคุยนิดเดียว มันเข้ามาแทรกถามว่าเมื่อกี๊คุยกับเอกถึงไหนแล้วนะ.. ทำนองว่า ฟังกูพูดให้จบก่อนโว๊ย พอหมอปุ้มฉี่เสร็จ (ทำไมนานนักก็ไม่รู้) เลยเดินไม่รู้อีโหน่อีเหน่มาติดกาวดักหมูอีกตัว เอ๊ย อีกคน สัตว์โลกผู้น่าสงสารทั้ง 4 เลยได้แต่กรอกตาไปมา เรามองดูท่าน ท่านมองดูเราอยู่อย่างนั้น จนเสียงสวรรค์ของไกด์เรียกขึ้นรถ หมู 2 ตัวเลยหลุดจากกาวไปได้ เหลือแต่เอกกับเหน่งไปมีชะตากรรมร่วมกันต่อที่ท้ายรถ

จากนั้นรถก็ปิดไฟมืดให้ได้นอน แต่มันยังไม่ถึงเวลานานก็เลยคุยกันต่อ จนเบื่อถึงจะเริ่มหลับได้ ท้ายรถคงจะถึงเดี่ยวฯ 3 แล้วล่ะ

ศิลาอิงวารี (Picture)

บ้านพักของศิลาอิงวารี รีสอร์ท

แวะน้ำตกไทรโยคใหญ่ก่อนกลับ
อุทยานปราสาทเมืองสิงห์


ศิลาอิงวารี กาญจนบุรี (Part III)

หลังจากที่อาบน้ำกันเรียบร้อย และฟังทุกคนเล่าประสบการณ์กินน้ำกันแล้ว อาหารเย็นที่รออยู่อันประกอบด้วย น้ำพริกปลาทู ชะอมทอด ปลาแรดทอดกระเทียม เต้าหู้หมูสับ และต้มส้มปลาทู ก็ทำให้เราซึ่งดีขึ้นมากละเลียดเต้าหู้หมูสับพลางฟังคนอื่นๆ บ่นว่ากลุ่มโน้นคงครองไมค์คาราโอเกะ จนพวกเราไม่รู้จะทำอะไรกัน แต่ปรากฏว่ากว่าพวกเราจะกินอิ่ม (จนเกลี้ยง) เขาก็แยกย้ายกันไปหมดแล้ว เลยเป็นโอกาสอันดีสำหรับแก๊งค์คาราโอเกะ (เฉพาะกิจ)
ไม่อยากจะเชื่อเลย ! ว่าทุกคนจะร้องเพลงเก่งกันสุดๆ โดยเฉพาะเอกที่ร้องได้ทุกแนว ตั้งแต่ชู้ทางใจ ดั่งเม็ดทราย ไปจนถึงเจ้าตากและหลวงพ่อคูณ ส่วนเอ๋ซึ่งมาแนวพลพลในระยะแรก พอมาเจอเจ้าตากก็พากันแปลงกายเป็น เอก AF4 และ เอ๋ V3 ทางด้านบรรดาสาวๆ อ๋อย พจ ปริญญ์ (ถ้าดึกกว่านี้อาจจะเป็น แอม แหม่ม ปุ้ม) ก็ร้องกันแบบเอามัน มีดำน้ำเป็นระยะ (แล้วอ้างว่ามองไม่เห็นตัวหนังสือ) เรียกว่าเดิมทีได้แต่บ่นกันว่าพวก ธ.กรุงเทพฯ ที่เอาเหล้ามากิน คงจะสร้างความรำคาญให้ กลับกลายเป็นว่าชนกลุ่มน้อยชาว พ.ป. นั่นเองที่เป็นตัวสร้างมลภาวะทางเสียง
เช้าขึ้นมาเราก็รู้สึกดีขึ้นมาก จนคิดว่าจะลากไปมุดถ้ำไหนๆ คงไหวแล้วล่ะ หลังข้าวต้มมื้อเช้า พวกเราก็ถ่ายรูปกันต่อ ทั้งกับกระเทียมหมา PR ประจำรีสอร์ท กับกองสัมภาระ (ที่ปริญญ์ request) จนเหนื่อย (ทั้งคนและหมา) ก็ได้เวลาที่จะออกรถไปท่าเรือกัน
มาถึงท่าเรือปากแซงก็มองเห็นว่าน้ำท่วมมาจนถึงถนน แถมยังไม่มีเรือออกไปที่ถ้ำซะอีก พวกเราเลยต้องบ่ายหน้าไปท่าเรือรีโซเทล ปรากฏว่าค่าเรือแพงมาก นั่งเรือแค่ 6 นาที คิดราคา 500 บาทแน่ะ เป้าหมายจึงต้องเปลี่ยนเป็นไปที่น้ำตกไทรโยคใหญ่กัน
ถึงฝนจะเริ่มตกตลอดทางก็ไม่สามารถขัดขวางเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของปริญญ์ที่จะเล่นน้ำตกได้ หลังจากกินข้าวในแพริมน้ำข้างสะพานแขวน พวกเราเลยต้องปล่อยให้ปริญญ์ไปเล่นน้ำ โดยเอ๋ตามไปเป็นการ์ด พอได้เวลาอันสมควร (คิดว่า) เอ๋คงจะลากกลับมา ก็ถึงเวลาที่พวกเราจะกลับกันซะที
หลังจากอับเฉารถ 3 สาวด้านหลังบอกว่าจะหลับ และเนวิเกเตอร์เอ๋ก็ถามอย่างจริงจังเอากับเอกว่ากลับถูกแล้วใช่มั๊ย พร้อมทั้งขยับท่านั่งให้สบายขึ้น คนขับก็ได้แต่ทำตาปริบๆ แต่ก็เปิดเพลงแบบที่พวกเราหลับกันไม่ลง เช่น สาว สาว สาว (ของเอก) หนุ่มเสก (ของปริญญ์) และเปาบุ้นจิ้น, เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ (ของเอก) ให้ทุกคนพากันร่วมร้องประสานเสียง ทำเอาเราเริ่มสงสัยรสนิยมของเพื่อนๆ (และของตัวเอง) ขึ้นมารำไร
รถมาจอดอีกทีเพื่อแวะซื้อของฝากที่ร้านวิมล จากนั้นเอกก็เอาทุกคนไปปล่อยไว้ในรถเราที่ศิลปากร (เพราะจะรีบไปดูหมอโฮจุน) ก็ถึงตาเราบ้างที่ต้องไปส่งเอ๋ อ๋อย ส่วนปริญญ์ติดรถไปลงที่ท่านา กลับถึงบ้าน 18.30 น. ใช้เวลาท่องเที่ยวทั้งหมด 35 ชั่วโมง 30 นาที ค่าใช้จ่าย 1,464 บาท

ศิลาอิงวารี กาญจนบุรี (Part II)

ศิลาอิงวารี เป็นรีสอร์ทที่ตั้งได้สมชื่อมาก ตอนนี้ความหวังของเราที่จะเล่นน้ำและเล่นสกีปลิวหายไปกับสายน้ำที่ไหลเชี่ยวเนื่องจากเป็นช่วงหน้าฝน น้ำไหลแรงและขึ้นสูง (โธ่ๆ) เพราะตอนนี้จะเดินยังลำบาก ขืนไปว่ายน้ำมีหวังเพื่อนๆ คงได้พักที่นี่กันอีกหลายคืน (รอเราขึ้นอืด)
อาหารมื้อแรกของที่นี่ คนท้องเสียเห็นแล้วแทบอยากร้องไห้ เพราะมันมีทั้งข้าวเหนียว ส้มตำ ลาบ ขนมจีน น้ำยาและแกงเขียวหวาน ยังดีที่มีหมูทอดมาให้กินกับข้าวเหนียว แต่ก็กินได้นิดหน่อย คาดว่าในท้องปลาหางนกยูงคงไม่มีที่ให้ใส่แล้ว เลยได้ใช้ประโยคของเอกคือ “พอแล้วค่ะ อิ่มแล้วค่ะ” (ฝากไว้ก่อนเหอะ เจ็บใจ เจ็บใจ) ยังดีที่สอดส่ายสายตาไปเจอตู้ยาที่มียาธาตุน้ำแดง และคาร์มิเนทีพ แก้ท้องอืด นึกถึงรสชาติของมันแล้วก็หลับหูหลับตาเลือก คาร์มิเนทีพ (ที่หมดอายุแล้ว) จากนั้นก็ยึดครองทั้งขวดไปจนถึงเย็น ส่วนพลพรรคชูชกคนอื่นก็ตั้งหน้าตั้งตากินกันอย่างเอร็ดอร่อย จนขนมจีนหมดไป 2 จาน (30 จับเห็นจะได้) พี่โจ๊กลูกเจ้าของรีสอร์ทคนที่ติดต่อกับอ๋อยยังแซวว่ามากัน 10 คนหรือเปล่า
นอกจากกลุ่มเราแล้วก็ยังมีอีกกลุ่มที่มาพักกันแบบครอบครัวประมาณ 20 คน (รวมเด็กๆ) เห็นว่ามาจาก ธ.กรุงเทพ เจ้าหนี้เก่าของเรานั่นเอง
ฝนเริ่มตกปรอยๆ พวก ธ. กรุงเทพฯ กินเสร็จแล้วก็จะไปเที่ยวต่อ ทีแรกพวกเราก็สนใจที่จะไปนั่งช้างกับเขาบ้าง แต่คงต้องใช้เวลานาน และคนขับของเราก็เริ่มตาปรือ เลยนั่งพักกันแถวนั้น โดยเอ๋อ่านหนังสือธรรมะหลวงพ่อจรัล เอกอ่าน newsweek แนวผู้บริหาร (แต่หลังๆ รู้สึกจะใช้ปิดกันแสงเวลาหลับ) อ๋อยอ่านหนังสือสารคดี เราเองเล่นกับลูกหมาสลับกับเข้าห้องน้ำ มีปริญญ์คนเดียวที่ยังผลาญพลังงานด้วยการปาเป้าแม่เหล็ก จนเมื่อคาร์มิเนทีพหมดไปประมาณ 5 ช้อนโต๊ะ เราก็รู้สึกดีขึ้น พอดีกับที่ทุกคนเริ่มเบื่อจึงได้กลับบ้านพักรอเวลาเล่นแพเปียกและสกีน้ำ
บ้านพักของพวกเราอยู่ด้านลึกที่สุดของรีสอร์ท พักได้ 6 คน พวกผู้หญิงถือเสียง (และน้ำหนัก) ข้างมากเลือกแถบที่นอนสำหรับ 4 คน เอกกับเอ๋เลยจำใจต้องนอนที่นอน 2 คน (ค่อนข้างแคบ) ตรงซอกข้างห้องน้ำ ซึ่งงานนี้ถ้าไม่นับเราที่ท้องเสียแล้ว คนที่ซวยที่สุดน่าจะเป็นเอก เพราะไหนจะต้องเป็นเบ๊ขับรถ ที่ประสาทต้องไวเวลาเนวิเกเตอร์เอ๋บอกให้เลี้ยวในระยะ 2 เมตรก่อนแยก ไหนจะต้องทนนอนตระกองกอดเอ๋ในที่แคบแถมยังอยู่ข้างห้องน้ำ (ซึ่งตอนดึกๆ ใครเข้าห้องน้ำเป็นตื่นทุกที และยังมีปริญญ์อาบน้ำตอนตี 5 !!) ที่ร้ายที่สุดคือจูนทีวีดูหมอโฮจุนไม่ได้อีก (มันสนุกตรงไหนเนี่ย) คงต้องใช้เวลาทำใจนานพอดูทีเดียวแหละสำหรับ ทริปหน้า
15.30 น. พวกเราก็พากันไปรอแถวระเบียงริมน้ำ ปริญญ์ เอก และเอ๋ ใส่ชูชีพและชุดเตรียมพร้อมเต็มที่ ส่วนเราและอ๋อยบนฝั่งก็เตรียมกล้องพร้อมถ่ายรูปภัยพิบัติ เอ๊ย รูปเล่นสกีของเพื่อนๆ อย่างขะมักเขม้น
จากท่าน้ำ มีเรือหางยาวมารับไปขึ้นแพ แต่เพื่อนๆ เราใช้วิธีที่เก๋กว่านั้นคือว่ายน้ำไปยังแพเอง เมื่อทุกคนขึ้นแพกันครบ เรือก็ลากทวนน้ำออกไป จนฝนเริ่มตกหนาเม็ดขึ้น สุดหนทางที่จะได้ภาพที่แยกความแตกต่างระหว่างคนกับมดได้ เราก็เลยทิ้งให้อ๋อยนั่งดูอยู่คนเดียว ส่วนตัวเองก็ไปหาความรื่นรมย์ในห้องน้ำตามประสา จนอ๋อยต้องมาเรียกเพราะกล้องแบตหมด และทุกคนกลับขึ้นแพเตรียมเล่นสกีกันแล้ว
กลับมาประจำที่ตากล้องอีกครั้งเลยได้ความว่าเรือลากแพไปไม่ไกล แล้วก็ให้ทุกคนกระโดดลงน้ำ ให้น้ำพัดกลับมาที่รีสอร์ท ซึ่งคนอื่นเขาก็ลอยคอกันอยู่ใกล้ๆ ฝั่ง มีแต่พวกเราที่อยู่กันกลางแม่น้ำ กว่าจะเก็บขึ้นมาได้ก็ถูกน้ำพัดไปจนเลยบ้านพักของเราโน่น อ๋อยได้แต่บ่นเสียดายที่ไม่ได้ถ่ายหมาเน่า เอ๊ย พวกเราตอนที่ลอยน้ำกลับมา
สกีของที่นี่ทำจากไม้กระดานกว้างประมาณ 1 ม. มีเชือกผูกที่หัวไม้ไว้ให้เรือลาก และเชือกอีกเส้นสำหรับจับ คนเล่นต้องขึ้นไปนอนบนกระดานก่อน พอเรือเริ่มวิ่งก็คุกเข่า แล้วก็ค่อยๆ ชันเข่าลุกขึ้นยืน แต่กว่าจะยืนได้กันก็มีอันเป็นไปหล่นกระดานกันไปซะก่อน
ปริญญ์หญิงเหล็กของกลุ่มเราเล่นก่อน พอเธอเริ่มยืนได้ก็เริ่มปล่อยลีลาประจำตัว ทั้งโบกมือ ทั้งกางปีก (ผลคือหล่นสกี) พอแล่นผ่านตรงที่พวกเราตั้งกล้องถ่ายกันอยู่ก็โบกมือให้อย่างร่าเริง น่าเสียดายที่คนถ่ายยังไม่รู้จังหวะดี ภาพของเธอก็เลยไหว ไม่ชัดเจน หุ หุ
เอกเล่นเป็นคนถัดมา พ่อนี่เป็นประเภทหล่นสกีแล้วปล่อยมือ เลยต้องใช้เวลาว่ายไปหาสกี กว่าจะยืนบนสกีได้ท่าทางลำบากลำบนยิ่งกว่าปริญญ์ แต่ก็เป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มคือพอเห็นกล้องต้องโบกมือ (ผลคือหล่นสกี) สุดท้ายเมื่อเลิกเล่นก็แรงหมด ต้องให้คนบนแพช่วยใช้ไม้เขี่ย เอ๊ย โยนเชือกให้จับแล้วลากกลับแพ
เอ๋เล่นเป็นคนสุดท้าย ที่ยังไม่ทันไรก็ลอยคออยู่ ข้าง และใต้ สกี เพื่อให้สกีพลิกกลับมาด้านบนเหมือนเดิม ทุกคนเลยได้เห็นท่าทางสุดขำของคนที่พยายามพลิกสกี กว่าเอ๋จะซึ้งว่าวิธีที่ถูกต้องคือ เอื้อมมือไปจับสกีอีกด้านแล้วพลิกหงายเข้าหาตัว ก็หมดไปแล้วครึ่งค่อนวัน และเนื่องจากจุดศูนย์ถ่วงของการตั้งเสาโทรเลขบนกระดานสกีที่เรือลากอยู่ค่อนข้างจำกัด พวกเราเลยได้เห็นเอ๋มุดเข้าไปใต้สกีและพลิกสกีอยู่ไม่น้อยกว่า 5 ครั้ง

ศิลาอิงวารี กาญจนบุรี 26 - 27 ส.ค. 49 (Past I)

จากการที่อ๋อยจองที่พักล่วงหน้านานนับเดือน พร้อมทั้งใช้ทุกยุทธวิธีในการให้เพื่อนๆ ตกลงใจมาพักกันที่ศิลาอิงวารี (ที่อ๋อยเห็นใน net) ทั้งโน้มน้าว บังคับ ขู่เข็ญ ทำให้เราตั้งความหวังเอาไว้มาก เพราะไม่ได้ไปเที่ยวไหนมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว แต่เหมือนสวรรค์แกล้ง พอถึงวันที่ 25 สค. อันเป็นวันก่อนเดินทาง เราก็มีอันต้องท้องเสีย โดยที่อ๋อยปฏิเสธการยกเลิกทัวร์เที่ยวนี้อย่างไม่มีเยื่อใย
เช้าวันรุ่งขึ้นอันเป็นวันเดินทาง เราก็ฟื้นคืนชีพได้ราวปาฏิหาริย์ ถึงจะยังถ่ายไม่หยุดแต่ก็ยอมกินยาที่ทำให้เกิดผลข้างเคียงกับตัวเอง (ปากบวม) อย่างเต็มใจ หวังจะให้หายๆ ไปซะ หลังจากออกจากบ้านตอน 7.00 น. เราก็ขับรถไปจอดที่คณะเภสัชฯ ศิลปากร พร้อมทั้งเขียนโน้ตฝากรถกับอาจารย์ที่ปรึกษาไว้อย่างดิบดี แปดโมงกว่าๆ Toyota Fortuner ของเอก พร้อมกับเอ๋ อ๋อย และปริญญ์ก็มาแวะรับ ในขณะที่พรรคพวกพกเสบียงมากันตรึม มีเพียงแต่เราที่อาศัยสปอนเซอร์ 2 กระป๋องเป็นเครื่องประทังชีวิต
เอกขับรถค่อนข้างนิ่ง ถึงจะมีเบรกแรงบ้าง แต่พอเห็นคนขับหาวบ่อย พวกเราที่เหลือก็เลยไม่กล้าหลับกัน ได้แต่ชวนคุยและมีดีเจ (ปริญญ์) คอยเปลี่ยน CD เพลง (โบราณ) เป็นระยะๆ ส่วนลำไส้ของเราได้แต่พองลมขึ้น และก็ทั้งร้องทั้งดิ้นอยู่ภายในพุงใหญ่ๆ อย่างเมามัน
ชั่วโมงกว่าๆ ผ่านไป ที่แรกที่เรามาแวะคือพิพิธภัณฑ์บ้านเก่า ที่ดูเก่าและวังเวงมากๆ เพราะมีแต่พวกเราคณะเดียวที่มาแวะ ส่วนใหญ่จะมีพวกหม้อ ไห เครื่องประดับที่ขุดได้โชว์ไว้ในตู้กระจก (ไปขุดฮวงซุ๊ยชาวบ้านเขาแล้วยังมีหน้ามาโชว์อีก) และโลงศพโบราณที่ทำจากไม้ทั้งต้นผ่าครึ่งแล้วสกัดเอาเนื้อไม้ด้านในออกจนเป็นแอ่งคล้ายเรือ ถากหัวท้ายให้แหลม เวลาใช้ก็เอาศพใส่แล้วมัดปิดเข้าด้วยกันเหมือนข้าวต้มมัด เก็บไว้ในถ้ำ ที่จริงใช้ฝังเอาง่ายกว่าแท้ๆ แต่เราก็ไม่ได้อ่านละเอียดว่าใช้เก็บเฉพาะศพคนสำคัญหรือเปล่า เพราะส่วนที่ฝังแล้วขุดเจอก็มี ส่วนอื่นๆ ก็ดูผ่านๆ โดยเราจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการสำรวจห้องน้ำมากกว่า
มาถึงที่นี่สัญญาณโทรศัพท์ไม่ค่อยมี ตรงช่วงที่มีคลื่น ก็จะมีสายเข้ามาทักถามประมาณว่ายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าเนี่ย
เดินออกมาที่ทางออกก็เห็นปริญญ์กับอ๋อยดูพวกเครื่องประดับกันอยู่ หลังจากที่ปริญญ์ได้พลอยขาว 2 เม็ด กับสร้อยข้อมือแล้ว ก็ถึงเวลาถ่ายรูปหมู่กันอย่างเมามัน โดยอาศัยขาตั้งกล้องของเอก (ที่เจ้าของยังใช้ไม่เป็น)
ออกจากพิพิธภัณฑ์พวกเราก็มุ่งหน้าไปที่ปราสาทเมืองสิงห์ ตามกำหนดการของไกด์เอ๋ เดินถ่ายรูปได้ซักพัก เราก็เริ่มเกิดอาการ หางนกยูง syndrome (ท้องอืดเหมือนปลาหางนกยูงท้องแก่) จะเดินตามพรรคพวกไปดูหลุมฝังศพก็ไม่ไหว เลยปักหลักนั่งรออยู่ที่ปราสาท
แหล่งท่องเที่ยวแห่งที่ 2 นี่เองคุณนายนักช้อปของเราก็ได้ต้นโฮย่าลูกศรไปฝากแม่
ตอนนี้ทางรีสอร์ทเริ่มโทรหาอ๋อยแล้วว่าตกลงมาแน่หรือเปล่า และบอกทางให้คร่าวๆ ซึ่งกว่าจะรู้ว่าต้องผ่านทางลูกรัง 2 กม. ก่อนถึงรีสอร์ทก็เกือบจะถึงที่หมายกันแล้ว (โถ...ลำไส้ตู)

Tuesday, September 12, 2006

Welcome to my trip

หน้านี้เป็นข้อมูลการท่องเที่ยวของพจที่ผ่านมาค่ะ
แต่ขอ-เน้น-ว่าอย่าคาดหวังถึงสาระที่คิดว่าจะได้นะคะ
พจ