Monday, December 31, 2007

เวียตนาม (Part VI)

6 ธ.ค. 50
วันนี้พวกเราซื้อทัวร์ไปฮาลองเบย์ เลยต้องตื่นเช้า แล้วพากันเดินไปซื้อเบเกอรี่และบั้นหมี่เจ้าโปรดของจุ๋ย จากนั้นก็นั่งรอรถตู้มารับตอน 8.00 น. รถมาเลยเวลาเล็กน้อย หลังจากรับพวกเราก็เวียนไปรับนักท่องเที่ยวที่โรงแรมอื่นๆ อีก 11 คนจนเต็มรถ ไกด์ที่มารับพูดภาษาอังกฤษค่อนข้างแย่ แนะนำตัวว่าชื่อ Mr. Xing จากนั้นแทนที่จะบอกกำหนดการเดินทางกลับกลายเป็นว่าแนะนำตัวเสร็จสรรพว่าอายุ 25 และยังโสด คนอื่นๆ ภายในรถพากันยิ้มขำไปตามๆ กัน กว่าจะออกจากฮานอยได้ก็ 9โมงกว่า เนื่องจากคนขับโดนตำรวจจราจรเรียกไปคุยอยู่พักใหญ่ และเราต้องรอสาวๆ ชาวอิสราเอลอีก 2 คนที่มาสาย นั่งรถออกนอกเมืองไปเรื่อยๆ 3.5 ชั่วโมง ก็ถึงฮาลองซิตี้ มีเวลาแวะพักครึ่งทางที่ร้านขายเซรามิกจำพวกแจกันใบใหญ่ๆ ของที่ระลึกต่างๆ รวมทั้งผ้าปักสวยๆ ด้วยมือเป็นรูปวิวและสัตว์ ราคาของของที่นี่แพงกว่าในฮานอยมาก เลยได้แต่เก็บภาพมาแทนที่จะแบกของราคาแพงมาฝากคนอื่นๆ

ท่าเรือฮาลองซิตี้เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว มีคนไทยเยอะเหมือนกัน แต่แยกกันไปคนละลำตามทัวร์ที่ซื้อไว้ ซึ่งเรือแต่ละลำรับผู้โดยสารแค่ 10 – 15 คน ลูกเรืออีก 5 – 6 คน เพราะฉะนั้นลำที่พวกเราจะไปก็เลยมีเฉพาะกลุ่มที่นั่งรถตู้มาด้วยกันเท่านั้นเอง หลังจากขึ้นเรือ Canh Buom2 เรียบร้อยแล้ว เราก็พากันดูโน่นดูนี่ไปตามประสา เรือที่รับนักท่องเที่ยวแบบค้างคืนบนเรือจะมี 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นห้องนอนของนักท่องเที่ยว ลำของพวกเรามีห้องด้านซ้ายขวาของเรือข้างละ 3 ห้อง ตัวห้องนอนกว้างตลอดความกว้างของลำเรือ มีแอร์ เครื่องทำน้ำอุ่นในห้องน้ำ และเตียงคู่อยู่ชิดผนังข้างละเตียง แต่ไฟฟ้าจะเปิดเป็นเวลา ประมาณ 18.00 – 24.00 น. ที่ไฟปั่นจากเรือจะทำงาน ส่วนเรือสำหรับผู้โดยสารที่ไม่ได้ค้างบนเรือก็จะมีหลายแบบ ทั้งลำใหญ่ที่จุได้ 20 คนขึ้นไป หรือลำขนาดเดียวกับของพวกเราที่ไม่มีห้องนอน

ส่วนชั้นบนของเรือเป็นโซฟาและโต๊ะกินข้าว นั่งได้โต๊ะละ 6 คน หลังจากพวกเรากินข้าวเที่ยงบนเรือเสร็จแล้ว เรือก็ออกจากท่า ช่วงนี้แต่ละคนก็ขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ ซึ่งมีเก้าอี้อาบแดดตั้งไว้เป็นแถว ให้นั่งมองทิวทัศน์ของเกาะเล็กเกาะน้อยหรือกุ้ยหลินเวียตนามระหว่างทางที่ผ่านอย่างเพลิดเพลิน

หลังจากทำความรู้จักคนอื่นๆ ในโต๊ะอาหาร (จุ๋ยพูดคนเดียว) ก็เลยได้รู้ว่าสมาชิกที่ลงเรือลำเดียวกัน ประกอบด้วยกระเหรี่ยงไทย คือ พวกเรา 3 คน 2 สาวอิสราเอลที่กินข้าวเสร็จและเรือออกจากท่าไปแล้วก็ทำท่าจะมีปัญหาเพราะเห็นคุยกับไกด์อยู่เป็นนาน ในที่สุดก็มีเรืออีกลำมาเทียบและรับไป มีคู่สามีภรรยาชาวอเมริกันอายุประมาณ 40 ปลายๆ 2 คน ที่ตอนหลังจุ๋ยตั้งฉายาให้ว่าเจ๊ช่างเม้าท์ เพราะถ้าไม่มีแก พวกเราก็คงไม่รู้จักกัน นอกจากนั้นเป็นชาวออสเตเรียมากันเป็นคู่ 2 คู่ และ 3 คนแม่ ลูกชายและลูกสะใภ้

เรือพาพวกเรามาแวะที่ถ้ำเทียนกุง (Thien Cung) ภาษาจีนแปลว่า heaven palace หรือพระราชวังสวรรค์ ซึ่งเป็นคนละถ้ำกับที่พวกจุ๋ยมากันครั้งก่อน แต่ก็เป็นถ้ำที่กว้างขวางและประดับประดาด้วยแสงไฟสีต่างๆ ไกด์อธิบายว่าฮาลอง หรือ แห่เล้ง หรือ เซี่ยหลง แปลว่า มังกรที่จุติลงมาจากฟ้า (descending dragon) อ่าวฮาลอง หรือฮาลองเบย์ ได้รับการสถาปนาเป็นมรดกโลกในปี 1994 ประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่ประมาณ 3000 เกาะ และเกาะที่เราแวะกันก็มีตำนานเล่าว่ามังกร (king dragon) ที่จุติลงมาเพื่อช่วยกอบกู้แผ่นดินของเวียตนามหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจแล้วก็อาศัยอยู่ที่ถ้ำแห่งนี้ ต่อมาลูกชายของมังกรได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวมนุษย์และมีลูกหลานต่อๆ กันมา แสดงให้เห็นว่าชาวเวียตนามก็เป็นอีกชาติหนึ่งที่ให้ความนับถือมังกร

กลับขึ้นเรือกันอีกครั้ง คราวนี้อุตส่าห์หาทำเลดีๆ บนดาดฟ้าได้ แต่ไม่น่าเชื่อว่าบ่ายแก่ๆ แบบนี้จะมีหมอกลงเยอะมากจนมองแทบไม่เห็นเกาะ และอากาศก็เริ่มเย็นลงด้วย ทุกคนเลยลงไปนั่งกันอยู่ที่โต๊ะอาหารอีกครั้ง ก่อนที่ไกด์จะบอกว่าจะมีพักให้พายคายักกันที่ floating village เมื่อมาถึงเราก็พบหมู่บ้านประมง เป็นเรือนแพลอยน้ำ ชาวบ้านอยู่กันอย่างง่ายๆ มีกระชังเลี้ยงปลาอยู่ตามแนวสะพานเป็นระยะ ไว้ขายนักท่องเที่ยวหรือเรือที่เข้ามาจอด อุตส่าห์ดีใจที่ลูกเรือของเราลงไปช้อนซื้อปลากับเขาด้วย แต่ปรากฏว่าเย็นนั้นเฉพาะวงอาหารของลูกเรือที่มีปลากิน...แป่ว

พวกเราเดินไปตามสะพานที่จะพาไปถึงคายัก แล้วก็มีปัญหาใหม่คือ เรือคายักลำนึงพายได้ 2 คน แต่พวกเรามากัน 3 คน (ฉันคนหนึ่ง เธอคนหนึ่ง เขาคนหนึ่ง...คงต้องมีใครเป็นฝ่ายไป) แล้วมติ 2 ใน 3 ก็ทำให้จุ๋ยไป.....ฝากหมอปุ้มไว้กับไกด์ พร้อมทั้งเล่าให้หมอปุ้มฟังเป็นการปลอบใจว่าคราวก่อนที่มา เพื่อนคนหนึ่งไปกับไกด์ ปรากฏว่าไกด์พายลิ่ว ไม่ต้องเหนื่อยเลย สบายสุดๆ แล้วก็ยกกรณีอ๋อยที่อ่าวท่าเลนมาเสริมเพื่อเพิ่มน้ำหนักความน่าเชื่อถือ

แต่ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ใครจะรู้ว่าตาซิงจะชิ่ง คือให้หมอปุ้มไปกับกลุ่ม 3 แม่ลูกชาวออสเตเรีย มองเห็นอยู่ไกลๆ (เพราะเราลงน้ำไปแล้ว) เห็นคนแม่ส่ายหัวดิกตอนให้ไปกับหมอปุ้ม เลยเป็นโอกาสอันดีที่หมอปุ้มจะได้พายเรือไปกับ baby rice เอ๊ย ลูกชายของเค้า หลังจากทิ้ง.. ไม่ใช่ ..ปล่อยให้หมอปุ้มพายเรือไปกับหนุ่มๆ แล้ว เรากับจุ๋ยก็พายเรืออ้อมเกาะไปเรื่อยๆ ทีแรกกะว่าจะไปให้ถึงโพรงที่คล้ายๆ ถ้ำลอด แต่เวลาที่เหลือน้อยทำเอาต้องตัดใจรีบพายกลับ มาถึงก็พอดีกับที่หมอปุ้มขึ้นจากเรือ เลยได้รู้ว่าพ่อหนุ่มที่พายไปด้วยชื่อเช ส่วนเชก็เรียกหมอปุ้มว่า “ปุ่มปุ๊ม” แถมยังนึกว่าเราเป็นพี่น้องกับหมอปุ้มซะอีก เตรียมเดาชื่อไว้ว่า “ปอมปอม” แหม่...

ถึงเวลาที่ไกด์ซิงนัดแล้ว พวกเรากลับมากันเกือบครบ เหลือคู่ชาวอเมริกันที่ยังมาไม่ถึง เราเลยต้องรอกันที่หมู่บ้านชาวประมงกันต่อไป จนฟ้าเริ่มมืดและนานผิดสังเกต ในที่สุดตาซิงก็ต้องเอาเรือคายักออกพายตามหาจนได้

ถึงแม้ว่าพวกเราจะกังวลกันอยู่หน่อยๆ เพราะเกาะเล็กเกาะน้อยแถวนี้ก็หน้าตาเหมือนๆ กัน ถ้าพายเข้าซอยผิดก็จะหลงอ้อมไปไกล แถมยังมีเรือทอดสมอจอดเพื่อพักนอนอยู่ใกล้ๆ เกาะต่างๆ อีกหลายลำ แต่ท่ามกลางความมืด เราก็ทำได้แต่เฝ้าคอยว่าทั้ง 2 คนจะกลับมากันได้หรือเปล่า ที่จริงไหนๆ ก็ทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับมรดกโลก น่าจะมีเรือนแพของศูนย์ท่องเที่ยว ทำหน้าที่ประสานงานและช่วยเหลือผู้ที่อาจจะประสบภัยอีกอย่างก็น่าจะดี

หลังจากกลับจากอาบน้ำ ก็เป็นที่น่ายินดีที่อเมริกัน 2 คนกลับมากันได้อย่างปลอดภัย โดยอาศัยถามทางจากเรือที่จอดอยู่ ส่วนรายละเอียดนั้นเจ๊ช่างเม้าท์ผู้ประสบภัยมาสดๆ ร้อนๆ กำลังเล่าให้เพื่อนร่วมโต๊ะฟังอย่างออกรส (ก็นับว่าเป็นโชคดีอีกเหมือนกันที่พวกเราไม่ได้ร่วมโต๊ะด้วย) หลังจากผิดหวังจากดินเนอร์อาหารทะเลครบสูตร (มีแค่กุ้งตัวเล็กๆ) พวกเราก็ขึ้นไปยึดดาดฟ้านั่งคุยกันจนเข้านอน

เวียตนาม (Part V)

5 ธ.ค. 50
รถไฟมาถึงสถานีฮานอย 4.30 น. จากนั้นเราก็เรียกแท็กซี่กลับโรงแรม ช่วงเช้ามืดนี่ทำให้ฮานอยดูไม่เหมือนฮานอยเลย เพราะรถน้อยมาก ไม่มีเสียงแตรให้หนวกหูรำคาญ พอมาถึงโรงแรมปรากฏว่าประตูล๊อคสนิท ลุงกับป้าที่ขายของอยู่ฝั่งตรงข้ามใจดีมาก อุตส่าห์ถือไฟฉายมาฉายปลุกคนที่นอนเฝ้าเคาน์เตอร์ แต่พวกเราก็ยังเช็คอินไม่ได้อยู่ดี ได้แต่นั่งคุย และคงจะเสียงดังไปหน่อย พนักงานโรงแรมเลยมาเปิด internet ให้เล่นแล้วกลับไปนอนต่อ จน 6 โมงเช้าถึงได้เปิดประตู ให้พวกเราเดินออกไปหาของกิน ยังทันได้เห็นฮานอยที่ไร้ยานยนต์อีกชั่วครู่ แต่ร้านรวงส่วนใหญ่ยังไม่เปิด พวกเราเลยได้แต่เดินกันไปเรื่อยๆ แวะกินซาลาเปาที่ขายอยู่ข้างทาง พอหมดก็ย้ายที่ต่อ จนไปเจอร้านเฝอ อุตส่าห์สั่งบุ๋นจ๊ะที่ยังติดใจเมื่อมาถึงฮานอยครั้งก่อน แต่ที่ร้านนี้ไม่มีขาย
เลยต้องกล้ำกลืนกินเฝอหมูยอชามพิเศษไปพลางๆ หลังจากนั้นพลพรรคชูชกก็แวะซื้อส้ม บั้นหมี่ (ขนมปังบาแกตแบบมีไส้) ไปนั่งกินกันริมทะเลสาบคืนดาบ เพื่อรอเวลาจะมีห้องว่าง ซึ่งกว่าจะเช็คอินได้ก็ 9.30 น. เนิ่นนานให้หลังเมื่อพวกเราอาบน้ำอาบท่ากันเรียบร้อยแล้วถึงได้ออกไปหาข้าวเที่ยงกินกัน ร้านที่เลือกวันนี้ชื่อร้าน Little Hanoi ที่ตอนแรกนึกว่าเป็นอาหารพื้นเมืองของเวียตนาม ที่ไหนได้กลายเป็นอาหารตามสั่งสไตล์ฝรั่งไปซะอีก หลังจากอิ่มหนำกันดีแล้ว วันนี้เราจะเที่ยวกันในฮานอย โดยนั่งแท็กซี่ไปที่จตุรัสดาบิง ไม่น่าเชื่อว่าเราต้องเสียค่าแท็กซี่ตามมิเตอร์ไปเกือบ 140,000 ด่อง (สามร้อยกว่าบาท) ทั้งๆ ที่นั่งไปไม่นาน ทำเอาผู้จัดการทริปบ่นพึมว่าสงสัยจะเสียท่าแท็กซี่ซะแล้ว

จตุรัสดาบิงเป็นลานกว้างคล้ายลานพระรูป ร.5 มองเห็นสุสานโฮจิมินห์ซึ่งเป็นอาคารหลังใหญ่มหึมาอยู่ด้านหน้า น่าเสียดายที่เปิดเฉพาะช่วงเช้า พวกเราก็เลยได้แต่เมียงมองและถ่ายรูปกันอยู่ด้านหน้าเขตที่กั้นไว้ โดยมีทหารคอยยืนรักษาการอยู่หน้าประตูและตามจุดอื่นๆ เป็นระยะ สถานที่อยู่ติดกันเป็นทำเนียบประธานาธิบดีและบ้านพักของท่านโฮจิมินห์ ซึ่งก็ปิดเหมือนกัน เราเดินอ้อมกลับมาที่พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ด้านหลังสุสานก็ปิดอีก ยืนเซ็งกันพักนึง ก่อนที่จะไปที่วัดเจดีย์เสาเดียว หรือ One Pillar Pagoda
ซึ่งเป็นวัดที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการขอลูก (แต่เราดันอธิษฐานขอแฟนไปอ้ะ) เห็นร้านค้าแถววัดมีป้ายเป็นภาษาไทยด้วยก็รู้แน่แล้วว่าคนไทยมากันเยอะ ซึ่งก็จริงดังคาด ร้านขายของฝากแถวนั้นถึงกับเรียกลูกค้าเป็นภาษาไทยให้พวกเราสนใจเดินเข้าไป จนได้เสื้อยืดตัวละ 50 บาท กลับมาคนละหลายตัว เสียดายที่ไม่ได้ซื้อเสื้อพื้นแดงสกรีนรูปดาวสีเหลือง (แต่ทำไมเราเรียกดาวแดงก็ไม่รู้แฮะ) แบบธงชาติของเวียตนามมาด้วย เพราะตอนจับๆ รู้สึกรักชาติ (ไทย) ขึ้นมาซะงั้น เจ้าของร้านรีบบอกเลยว่าเนี่ย 50 บาทราคาคนไทยเลย (รับเงินไทยอีกต่างหาก) ซึ่งเราไปถามที่อื่นก็รู้สึกว่าจะแพงกว่าตรงนี้โขอยู่...ดีใจได้ของถูกอีกแระ

ซื้อของเสร็จสรรพ เดินกลับมาที่พิพิธภัณฑ์อีกครั้ง คราวนี้มองไปที่ฝั่งตรงข้ามที่คาดว่าน่าจะเป็นบ้านพักของลุงโฮ เห็นคนเดินออกมาหลายคนอยู่ พวกเราก็เลยเดินไปดูมั่ง ปรากฎว่าแค่เข้าไปถามที่ตู้ยามกลับถูกไล่อย่างไม่ใยดีแถมยังชี้ให้ดูป้ายว่านี่ทางออกเฟ้ย...แหม แค่อยากจะถามว่าทางเข้ามันอยู่ทางไหนแค่นั้นแหละย่ะ ดีที่อาหารเมื่อเที่ยงยังมีฤทธิ์ยับยั้งไม่ให้ถลกผ้าถุง เอ๊ย กางเกง ด่าคนเวียตเป็นภาษาไทยให้หายมะโห...ชิ

เราเสียเวลาเดินผ่านสุสานอีกครั้ง เพื่อเข้าไปเยี่ยมชมบ้านพักของลุงโฮ ถึงได้รู้ว่าช่วงบ่ายจะเปิดให้เข้าชมตั้งแต่บ่าย 2 โมง เสียดายที่คราวนี้น่าจะมีการเตรียมต้อนรับใครซักคน (ที่ไม่ใช่พจนารถ) ที่ทำเนียบประธานาธิบดี เราเลยได้แต่ถ่ายรูปอยู่ไกลๆ จากทำเนียบเดินผ่านถนนต้นมะม่วง 100 ปี
ซึ่งมีมะม่วงต้นสูงใหญ่มากปลูกเป็นแนว ก็ถึงบ้านพักของลุงโฮ ซึ่งเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น สร้างแบบเรียบง่ายมีแค่ห้องอาหาร ห้องทำงานและห้องนอน มีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่หน้าบ้านพอดี ถ่ายรูปกันคนละนิดหน่อยเพราะนักท่องเที่ยวชักจะเยอะ รวมถึงแก้งค์คนไทยด้วย พวกเราก็พากันเดินจากจตุรัสดาบิง ไปที่วิหารวรรณกรรมซึ่งไกลโขอยู่ ผ่านทำเนียบเอกอัครราชทูตไทยประจำเวียตนามที่ไกด์จุ๋ยกำชับให้จำไว้เผื่อพลัดหลงกันหรือพาสปอร์ตหาย จะได้ไปเจอกันที่เมืองไทย..ฮ่วย

เดินกันไกลโข เพราะชะรอยว่าไกด์ยังเข็ดกับแท็กซี่มิเตอร์อยู่ ก็ถึงวิหารวรรณกรรม ที่ด้านหน้ามีเสาจารึกตัวอักษร (ว่าอย่างไรก็ไม่รู้) อยู่ 4 เสา มองเห็นเป็นเอกลักษณ์ หลังจากที่เสียค่าเข้าชมทางด้านหน้าแล้วเราก็ได้เดินเข้าไปเห็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของเวียตนามกันอย่างเต็มตา ถัดจากซุ้มประตูสีแดงเข้าไปก็เจอสระน้ำสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ให้ต้องนึกถึงบารายในศิลปะเขมร ด้านข้างมีหินแกะสลักเป็นรูปเต่าแบกป้ายชื่อบัณฑิตที่สอบผ่าน (Doctor Laureates) ถ้าเป็นคนจีนคงจะเรียกว่าจอหงวน เห็นวัยรุ่นเวียตนามบางคนเดินไปลูบที่หัวเต่า (ซึ่งมันแผล็บ) แล้วพึมพำอะไรเบาๆ ท่าทางจะเป็นเคล็ดให้สอบผ่านหรืออะไรเทือกๆ นั้น ส่วนวัยรุ่นไทยอย่างเรากลับนึกอยากให้มีชอล์กหรือปากกาเมจิก จะได้เขียนชื่อตัวเองไว้บนแผ่นป้ายต่อจากชื่อชาวบ้านเขาบ้างตามประสาคนมือบอน

วิหารด้านในสุดมีรูปปั้นของกษัตริย์องค์ก่อนๆ มีเครื่องสักการบูชาคล้ายกับศาลเจ้าของไทย ด้านข้างเป็นรูปปั้นนกกระสาขี่เต่า ซึ่งน่าจะหมายถึงความรู้ ปัญญา หรืออะไรทำนองนี้ ด้านล่างของวิหารเป็นร้านขายของที่ระลึก มีสาวๆ ใส่ชุดประจำชาติร้องเพลงและเล่นเครื่องดนตรีอยู่ ว่าจะเดินเข้าไปฟังใกล้ๆ แล้ว แต่ไม่อยากเสียค่าทิปนักร้อง (ที่ไม่นุ่งน้อยห่มน้อย) ก็เลยยืนแอบฟังอยู่ข้างประตูแป๊บเดียว

จนได้เวลากลับ เพราะจองตั๋วดูละครหุ่นกระบอกน้ำไว้ พวกเราเลยเรียกแท็กซี่แถวนั้น โดยคราวนี้เราไม่ใช้ระบบมิเตอร์และใช้ต่อรองราคากับคนขับเอาเองได้ในราคา 40,000 ด่อง (คนขับเปิดมิเตอร์ไว้ด้วย พอไปถึงที่หมาย มิเตอร์บอกราคา 31,000 กว่าๆ)

โรงละครหุ่นกระบอกน้ำอยู่ริมถนนเลียบทะเลสาบคืนดาบ เป็นโรงเล็กๆ 2 ชั้น เหมือนโรงหนังรุ่นเก่าของเมืองไทย ตอนที่เราไปถึงนั้นเริ่มมีคนมารอกันแล้ว และส่วนมากเป็นคนไทยเสียด้วย ชั้นล่างเป็นห้องโถงให้นั่งรอโดยที่เราถือโอกาสหลับรอ ส่วนชั้น 2 เป็นสถานที่แสดง หน้าห้องมีลังใส่พัดกระดาษแจกเป็นที่ระลึกให้ผู้ชม สำหรับคนที่จะถ่ายรูปตอนแสดงจะต้องซื้อตั๋วสำหรับกล้องเพิ่มด้วย

การแสดงจะแบ่งออกเป็น 17 ชุดด้วยกัน มีคนบรรยาย คนร้องเพลง นักดนตรี และผู้เชิดหุ่น เวทีแสดงเป็นอ่างน้ำขนาดใหญ่ น้ำสีเขียวอื๋อ พอเริ่มแสดงก็จะมีหุ่นหลากหลายลอดผ่านผ้าม่านฉากหลังออกมา ถึงตัวหุ่นจะไม่ถึงกับสวยงามน่ารัก แต่ถ้ามองไปถึงเทคนิคที่ต้องขบคิดไปจนจบว่ามันชักยังไงฟะ ก็ถือว่าดีมาก โดยเฉพาะการบังคับหุ่นอย่างเช่นกบ กระโดดไปบนผิวน้ำ โดยอาศัยการชักอยู่ใต้น้ำ เพราะส่วนใหญ่เราจะคุ้นเคยกับการเชิดหุ่นหรือชักใยหุ่นจากทางด้านล่างหรือด้านบน ไม่ใช่ด้านหลังแบบนี้ ส่วนการบรรยาย หรือเพลงที่เป็นภาษาเวียตนามก็ไม่เป็นอุปสรรคในการทำความเข้าใจแต่อย่างใด

ผ่านไปเกือบชั่วโมง หลังจากออกจากโรงละคร ฟ้าก็มืดแล้ว ต่างคนต่างก็หิว แต่ก็ยังเดินหาของกินที่เหมาะๆ กันอยู่ ถือโอกาสแวะถามข้อมูลเรื่องร้านอาหารที่ศูนย์ข้อมูลแล้วก็เดินหากันอยู่พักใหญ่ ทีแรกจะแวะร้านปิ้งย่างอาหารทะเลแบบหมูกระทะ มีม้านั่งให้นั่งยองๆ แต่คนเยอะมาก พวกเราเลยได้ร้านที่คนเข้าเยอะอีกร้านแทน ชื่อร้าน new day หลังจากนั้นการสั่งด้วยความหิวก็เริ่มขึ้น ทั้งหม้อร้อน เป็ดย่างราดครีมมะนาว ผัดผัก ผัดหมู ฯลฯ จนคนขายต้องเตือนว่ามันมากพอสำหรับ 3 คนแล้ว พวกเราคิดว่าไอ้หม้อร้อนหรือ hot pot จะเป็นแบบหมูกระทะที่คิดจะกินกันในตอนแรก แต่กลายเป็นว่ามันคล้ายกับพวกสุกี้หรือชาบูชาบูแทน ซึ่งทางร้านต้องต่อหม้อไฟฟ้าให้ จากนั้นก็คอยแวะเวียนมาดูหม้อร้อนที่พวกเรากินกัน แล้วก็คงตะลึงว่าไอ้พวกนี้นอกจากจะกินกันหมดแล้ว ยังหมดในเวลาอันรวดเร็วอีกต่างหาก (ถ้ามากันทั้งทีมมีหวังร้านนี้คงจะถ่ายรูปพวกเราไว้เป็นแน่แท้) ที่จริงร้านก็อยู่ใกล้กับโรงแรมนี่เอง ขากลับจึงโชคดีไม่ต้องแบกท้องอืดกลับอย่างลำบาก

เวียตนาม (Part IV)

4 ธ.ค. 50
วันนี้เราต้องออกเช้ากว่าเดิมคือ 9.00 น. ไปหมู่บ้าน Ta Phin ทีแรกนึกว่าต้องเดินเหมือนทุกวัน แต่มอบอกว่ามีรถมารับไปที่หมู่บ้าน พวกเราแค่เดินกันภายในหมู่บ้านก็พอ เลยมีเสียงไชโยกัน 2 เสียง คือ พจกับจุ๋ย ปล่อยให้หมอปุ้มทำสีหน้าไม่ค่อยดีเวลารถวิ่งเข้าโค้งไปยังหมู่บ้าน

หมู่บ้านตาฟินเป็นหมู่บ้านของพวกเย้าแดง สภาพทั่วๆไปก็เหมือนๆกับหมู่บ้านทาวานหรือแคทแคทที่พวกเราผ่านมาแล้ว จะผิดกันก็แต่ที่นี่มีชาวเย้าที่เดินตามจนเรียกได้ว่า “รุม” นักท่องเที่ยวอย่างเอาจริงเอาจังเลยทีเดียว แต่ที่เจ๋งกว่าคือ พจนารถพูดภาษาอังกฤษแค่ประโยคเดียว ชาวเย้ากระเจิง ไม่มาวอแวขายของให้อีกเลย คือ “I have no money” จากนั้นเราก็เดินกันไปอย่างปลอดโปร่ง ผิดกับฝรั่งกลุ่มอื่น

นอกจากดูวิถีชีวิตของชาวเขาแล้ว ที่หมู่บ้านนี้ยังมีถ้ำตาฟินให้เดินเข้าไปชมได้อีกด้วย มอถามพวกเราก่อนว่าจะเข้าไปหรือเปล่าเพราะต้องเสียค่าเข้าเพิ่ม ซึ่งอ่านจากหนังสือนำเที่ยวแล้วไม่ค่อยน่าเข้าเท่าไหร่เพราะไม่มีอะไรเลย แต่อย่างไรก็ดี จุ๋ยให้เหตุผลว่าหนังสือก็บอกไปตามความเห็นของผู้เขียน อย่าเอาประสบการณ์ของคนอื่นมาตัดโอกาสที่จะมีประสบการณ์ของตัวเอง แหม ไหนๆ ให้แง่คิดได้ขนาดนี้แล้วก็เอาก็เอา เข้าก็เข้า

ข้างในถ้ำมีไฟติดเป็นแนว ทางเดินค่อนข้างแคบ บางครั้งต้องก้มตัวลอดเข้าไป หรือไม่ก็ไต่บันไดขึ้นไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้เหนื่อย พวกเราเดินเข้าไปจนสุดทางโดยมีจุ๋ยรั้งท้ายและคอยพูดเรื่องภูตผีทำลายความเงียบเป็นระยะ สังเกตว่าไกด์มอของพวกเราไม่ค่อยชอบฟังซักเท่าไหร่ เรากับหมอปุ้มก็เลยเปลี่ยนเรื่องมาอำไกด์ว่าเนี่ยที่มากัน 3 คนเพราะจุ๋ยเป็นเพื่อนสาวของพวกเรา และ he have a boyfriend ด้วย ทำเอาไกด์มอตาโต เชื่อเข้าไปแล้ว 80% ถึงจุ๋ยจะแก้เกมกลับด้วยการบอกว่า 2 สาวถึกที่มาด้วยเคยเป็นผู้ชายมาก่อนก็ลบล้างอะไรไม่ได้ ...ฮ่า

หมู่บ้านนี้มีการนำเส้นใยจากต้นพืชที่เรียกว่า Hemp ที่ต้นคล้ายกัญชา ใบหยักๆ มาทอเป็นผ้า ซึ่งดูจากขั้นตอนแล้วยุ่งยากมาก ไม่แปลกเลยที่ผ้าทอที่วางขายอยู่ตรงร้านแสดงสินค้าจะมีราคาค่อนข้างแพง และไม่แปลกอีกนั่นแหละที่พวกเราก็ไม่ซื้อเหมือนเคย

รถกลับมาส่งที่โรงแรม ทันกินข้าวเที่ยง รู้สึกใจหายเหมือนกันที่ต้องบอกลามอซะแล้ว เพราะวันนี้เริ่มคุยกันอย่างเป็นกันเองได้นานขึ้น และไม่รู้ว่าทำไม ก่อนจาก มอมากระซิบกับเราว่าขอให้ได้แต่งงานเร็วๆ แล้วก็หัวเราะหุ หุ

จากนั้นพวกเราต้องรอจนถึง 6 โมงเย็น เพื่อกลับไปที่สถานีรถไฟเลาไก ดังนั้นกิจกรรมที่ทำได้ก็คือเดินเที่ยวรอบเมืองอีกครั้ง เพราะคืนห้องไปเรียบร้อยแล้ว อากาศในวันนี้หนาวกว่าทุกวัน ทำให้เราไม่ลังเลเลยที่จะกินมันเผาหลังอาหารกลางวัน จากนั้นจุ๋ยก็มองหาร้านนวดเท้า และพากันเดินหากันอยู่พักใหญ่ท่ามกลางลมหนาว จนกระทั่งทั้งเมื่อยและหนาวสุดๆ จึงได้เลิกล้มความตั้งใจ เตรียมกลับไปนั่งที่ห้องรับแขกของโรงแรมกันต่อ แต่แล้วก็มีเด็กหนุ่มมายื่นใบปลิวร้านนวดเท้าให้ที่หน้าโรงแรมนั่นเอง สถานที่นวดก็อยู่ชั้นใต้ดินด้านล่างของห้องอาหาร เสียค่านวดเท้ากันไป 3 คน 2 แสนกว่าด่อง แต่ก็ถือว่าเป็นการหลบหนาวที่ไม่เลว เพราะมีแถมนวดตัวให้นิดหน่อยพอจั๊กจี้ ไม่ซาดิสม์เหมือนกับหมอนวดที่ รพ.ห้วยพลู และวิธีการนวดก็ต่างกัน แต่ยังไงก็เชื่อมือหมอนวดไทยที่ได้รับการอบรมตามหลักการมากกว่าอยู่ดี นอกจากนวดเท้าแล้ว ที่นี่ยังมีบริการนวดตัว แต่จากบรรยากาศที่ทึบทึม และไม่มีการตกแต่งอย่างอื่นนอกจากรูปภาพ 2 – 3 ภาพ มีห้องอบสมุนไพรที่มีอ่างไม้คล้ายถังเบียร์ให้ลงไปแช่ในน้ำสมุนไพรข้นคลั่กเหมือนน้ำคลองแสนแสบ ส่วนห้องนวดตัวเป็นประตูเลื่อนเหมือนห้องญี่ปุ่นที่อยู่ในมุมมืดด้านข้าง เห็นครั้งแรกจุ๋ยที่เริ่มรู้ตัวว่าจะถูกปล่อยให้นวดอยู่คนเดียว ถึงกับขอร้องเสียงอ่อยว่าให้นวดเป็นเพื่อนด้วยนะ

เวลาที่ยังเหลืออยู่ หมดไปกับการส่งอีเมล์ไปป่วนชาวบ้าน กินอาหารค่ำแบบเดิมๆ สั่งลาโรงแรมครั้งสุดท้าย ก่อนที่รถตู้จะพาพวกเราไปสถานีรถไฟ ไม่นึกว่ารถจะรับคนจนเต็ม ทั้งสัมภาระและฝรั่งตัวโตๆ เบียดกันในรถตู้เป็นปลากระป๋อง แถมอากาศที่ไม่ระบายและยังมีกลิ่นน้ำหอมผสมกับเหงื่อรอบๆ ตัว ทำเอาพจนารถอ้วกจนได้เมื่อเข้าโค้งที่ 100 ส่วนหมอปุ้มกินยาเข้าไปเลยรู้สึกดีกว่า (แค่นิดเดียว) เรื่องอ้วกเนี่ยทำเอาเสีย self เพราะทุกทีจะถึก ดีที่ถือถุงใส่ส้มและน้ำไว้ที่ตัว เลยไม่ต้องหันไปอ้วกใส่จุ๋ยหรือหมอปุ้มที่ด้านข้าง แต่กระนั้นก็ทำเอากางเกงเปื้อนตรงขาไปนิดนึง ส่วนส้มกับน้ำ(ฟักมีของจุ๋ย) ก็เลยต้องทิ้งอย่างไม่ต้องรอถามความเห็นคนอื่นว่าจะให้เอาไปล้างให้มั๊ย?

สถานีรถไฟของที่นี่แปลกมาก มีเวลาเปิดประตูให้เข้าอย่างกับอิมแพคตอนมีคอนเสิร์ต ตอนที่เราไปถึงนั้นต้องรออีกประมาณครึ่งชั่วโมงถึงจะเข้าไปได้ รถตู้เลยเอาคนมาปล่อยไว้ที่ร้านอาหารแถวสถานี แต่ก็ดีที่ทำให้มีเวลาปรับสภาพร่างกายให้เป็นปกติเหมือนเดิม..และเปลี่ยนกางเกง หลังจากเข้าไปในตัวสถานีรถไฟแล้ว พวกเรายังต้องเอาตั๋วรถไฟไปรับตั๋วใบเล็กอีกใบหนึ่งจาก agency ก่อนขึ้นรถอีก และ agency ก็นั่งกันอยู่ตามโคนต้นไม้ ไม่แตกต่างจากผู้โดยสารคนอื่นๆ ดีที่ฝรั่งที่เราเข้าไปถามใจดี พาไปหา agency เลยไม่ต้องเสียเวลามาก

เพื่อนร่วมห้องคืนนี้เป็นหนุ่มญี่ปุ่น ท่าทางไม่ค่อยชอบคุย มาถึงได้แกก็เอาของออกมาเรียงรอบๆ เตียง คลับคล้ายจะเป็นยันต์กันหมอปุ้มที่นอนเตียงล่างเหมือนกันเข้าหา ส่วนเราเองงวดนี้ต้องนอนเตียงบน ถึงจะเคยนอนบนรถไฟไทยมาแล้ว แต่ก็รู้สึกว่าหลับไม่ค่อยสนิท

เวียตนาม (Part III)

3 ธ.ค. 50
วันนี้ไกด์มอจะมารับพวกเราตอน 9.30 น. เลยมีเวลาให้นอนเหลือเฟือ ก่อนจะกินข้าวเช้ายังมีเวลาออกไปเดินถ่ายรูปกัน เช้านี้เราได้คุยกับคนไทยอีกกลุ่มใหญ่เป็นคุณลุงเชื้อสายจีนกับลูกหลาน แกตั้งใจว่าจะเลยไปถึงเทือกเขาฟานสีผัน แต่อากาศหนาว แกเลยเปลี่ยนใจไม่ไปเพราะจะต้องนอนค้างบนเขาอีก 2 คืน

ก่อนถึงเวลานัดกับไกด์เล็กน้อย มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาเรียกพวกเราถึงห้องพัก บอกว่าพวกเราต้องไปหมู่บ้าน Lao Chai และ Ta Van พร้อมกับกลุ่มอื่นๆ อีกและเริ่มออกเดินทางเวลาเดิม เราเลยต้องลงมารอกันที่ชั้นล่างของโรงแรมก่อนเวลา ดีที่ไกด์มอมาถึงพอดี ให้เธอไปคุยกับพ่อหนุ่มคนนั้นได้ความว่าเป็นการเข้าใจผิด เพราะทัวร์ที่เราซื้อมาคราวนี้เป็นการจ้างไกด์ส่วนตัวและไกด์มอจะอยู่กับเราทั้ง 3 วัน

เช้านี้เราใช้เส้นทางด้านหลังโรงแรม แค่เห็นทางเดินลงอย่างเดียวก็ยิ้มได้แล้ว ยิ่งไกด์บอกว่าขากลับมีรถมารับยิ่ง..โอ้ สวรรค์ แต่นอกจากฝรั่งที่เดินกันล่วงหน้าไปก่อนจนดูเหมือนพวกเรามาเข้าค่ายเดินทางไกลแล้ว ก็มีชาวเขาเดินตามประกบพวกเรามาด้วย และพยายามชวนคุย ทีแรกเราก็นึกว่าเขาคงมาจ่ายตลาดกัน แต่ดูๆ ก็เหมือนไม่ใช่ เลยถามมอว่าเพื่อนเธอหรือเปล่า ก็ได้ความว่าพวกเขาตามมาขายสินค้า แต่ละคนที่เดินตามจะมีเด็กเล็กๆ อายุไม่เกิน 2 ขวบแบกติดหลังมาด้วย เดินกันไป แม่เด็กก็ป้อนลูกไป อย่างข้าวโพดคั่ว อ้อย (ทั้งแท่ง) เห็นแล้วหวาดเสียวว่าเด็กจะติดคอหรือเปล่า

วันนี้พวกเราได้เห็นนาขั้นบันไดเยอะกว่าเมื่อวาน และยังเข้าไปเดินตามคันนาอีกด้วย มีธารน้ำไหลผ่านอยู่เบื้องล่าง แต่น้ำที่ใช้ในนาซึ่งอยู่บนไหล่เขา จะมีท่อต่อลงมาตามชั้นของขั้นบันไดอีกทีหนึ่ง คาดว่าตามยอดเขาจะมีแหล่งน้ำอยู่ด้วย พอลงมาถึงพื้นราบด้านล่างก็มาเจอกับสะพานไม้ไผ่ทอดข้ามลำธารอยู่ แก้งค์บ้ากล้องอย่างพวกเราอาศัยจังหวะที่ฝรั่งหยุดพักเหนื่อยและยังตามกันมาไม่ถึงถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน หารู้ไม่ว่าภายหลังต้องจ่ายค่าถ่ายรูปบนสะพานด้วย เพราะเป็นสะพานส่วนบุคคลที่ชาวเขาแถวนั้นสร้างกันเอง ค่าถ่ายรูปกับสะพาน 5,000 ด่อง แต่เราฟอร์มเนียนๆ ว่าไม่มีแบงค์ย่อย เลยจ่ายไปแค่ 4,000 ด่อง จากนั้นเดินต่อจนเริ่มเมื่อย (แต่สีหน้าจุ๋ยเมื่อยมากๆ แถมเจ้าตัวยังเดินท่าไฮโซเหยียบทุ่งนาให้ฮากันอีก) จนได้เวลากินข้าวเที่ยงที่หมู่บ้านลาวชัย อาหารมื้อนี้เป็นบาแกตอีกแล้ว แกล้มด้วยไข่เจียวหั่นแบบลูกเต๋า แตงกวาและมะเขือเทศ มีน้ำผลไม้กระป๋องให้กินแก้น้ำตาลตก ทั้งน้ำเสาวรส น้ำมะขาม น้ำฟัก(มี – ที่จุ๋ยเรียก)

ยังต้องเดินกันต่อไปยังหมู่บ้านทาวานที่ไม่ค่อยมีอะไรแปลกใหม่ให้ดู นอกเสียจากเด็กๆ ชาวเขาที่เดินตามให้ช่วยซื้อของ อ่านในหนังสือนำเที่ยวบอกไว้ว่าเด็กๆ ชาวเขาจะมีของมาขายซึ่งราคาแพงมาก พวกเราเลยทำใจแข็งไม่ซื้อ และพอเราแกล้งเอาที่รัดผมไปขายเด็กบ้าง กลับทำท่าจะขายได้อีกต่างหาก เดินจนเกือบพ้นหมู่บ้าน หมอปุ้มเกิดใจดี เอากล้วยหอมให้เด็กไป ได้เห็นสีหน้าดีใจแล้วคิดว่าน่าจะเอากล้วยที่เหลือจากร้านกินข้าวเมื่อกลางวันติดมาเยอะๆ

หลังจากผ่านทุ่งนาขั้นบันได เข้าไปในหมู่บ้านจะเห็นการเพาะปลูกเล็กๆ น้อยๆ ทั้งพวกกะหล่ำ และผักคล้ายๆ ผักกวางตุ้ง ชาเขียว (ลองชิมชาเวียตนามที่โรงแรมดูแล้ว ขมมากๆ และไม่หอม) ที่หมู่บ้านก็มีสถานที่ราชการอย่างเช่น โรงเรียน ห้องสมุด ที่ตัวอาคารทาสีเหลืองส้ม พอให้สังเกตได้ว่าแตกต่างจากบ้านเรือน ส่วนบ้านส่วนใหญ่จะสร้างด้วยไม้ มีประตูไม้แกะสลัก หน้าต่างน้อยมาก ข้างๆ บ้านเป็นยุ้งฉางที่ปิดทึบไว้เก็บผลิตผล ส่วนบ้านที่สร้างใหม่จะมียันต์สีแดงคล้ายธงผืนใหญ่แขวนอยู่ตรงกลางบ้าน ส่วนเสาทั้ง 4 ด้านก็มียันต์สีแดงแผ่นเล็กติดอยู่เช่นเดียวกัน

มอพามาแวะร้านหัตกรรมร้านหนึ่ง บอกว่าเป็นร้านของแม่เธอเอง พวกเราเข้าไปดูๆ แต่ก็ไม่ซื้ออะไรเหมือนเคย ก่อนออกจากหมู่บ้านทาวานมีสะพานข้ามน้ำที่เป็นลักษณะเด่นคู่กัน 2 สะพาน สะพานหนึ่งเป็นสะพานใหญ่คาดว่ารถจะข้ามได้ ส่วนอีกสะพานเป็นสะพานเชือกแขวนต่อกับชั้น 2 ของโฮมสเตย์หลังหนึ่งไปยังต้นไม้ฝั่งตรงข้าม มองเห็นฝรั่งเดินข้ามไป แต่ก็ไม่ปีนต้นไม้ลง ได้แต่เดินกลับทางเดิม โชคดีเป็นของจุ๋ยที่จะเข้าไปดูสะพานต้องเสียค่าเข้าชม 5,000 ด่อง พวกเราเลยไม่ไป ไม่อย่างนั้นคงมีรายการข้ามสะพานแขวน (แบบแกว่งได้ และพื้นไม้ใต้เท้าผุเป็นบางส่วน) ให้จุ๋ยได้ phobia กันอีก ข้างๆ โฮมสเตย์มีชิงช้าเสาสูงที่เด็กๆ เล่นกันอยู่ ผู้ใหญ่ใจดีอย่างพวกเราเลยใช้ไกด์มอไล่เด็กออกไปเพื่อจะถ่ายรูปและโล้ชิงช้าเล่นเสียเอง

14.30 น. ก็มีรถมารับพวกเรากลับโรงแรม ไม่นอนพักให้เป็นการเสียเวลา เพราะเมื่อวานพี่จิตรกรรมแกมาโฆษณาไว้ว่าทะเลสาบซาปาสวยมาก มีบ้านเรือนทรงตะวันตกรอบๆ เหมือนสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งไปแล้วก็เป็นจริงดังว่า เสียอย่างเดียวที่ต้นไม้ตามสวนหย่อมรอบทะเลสาบดูจะแห้งแล้งไปหน่อย หลังจากถ่ายรูปกันจนหนาวเหน็บ พวกเราก็มาแวะกินมันเผา ข้าวโพดย่าง แถวโบสถ์คริสต์ที่เล็งไว้ตั้งแต่เมื่อวาน แต่ไม่อร่อยเท่าที่คิด ยิ่งไข่ปิ้งจิ้มเกลือที่แย่งจุ๋ยกินนิดหนึ่ง รสชาติและความหอมก็ผิดกับที่คิดไว้มาก 15 นาทีต่อมาเราก็กลับมากินข้าวเย็นกันที่โรงแรม และบอกลาพวกพี่จิตรกรรมที่จะกลับฮานอยกันคืนนี้ รู้สึกโหวงเหวงอยู่เหมือนกันว่าพรุ่งนี้พวกตูก็ต้องเดินกันต่อในขณะที่คนอื่นไปเริงร่ากันที่อื่นแล้ว

เวียตนาม (Part II)

2 ธ.ค. 50
เสียงเรียกว่าจะถึงสถานีเลาไกตั้งแต่ตี 5 แต่จริงๆ แล้วกว่าจะถึงก็อีกเกือบครึ่งชั่วโมง แต่พวกเราก็รีบตื่นขึ้นมาสัมผัสกับอากาศบนรถไฟที่เย็นขึ้นกว่าตอนหัวค่ำ เลยพอจะเดาได้ว่าเราคงจะต้องเจออากาศหนาวเมื่อลงจากรถไฟแน่นอน

ไม่คิดว่าผู้ร่วมขบวนที่มาด้วยกันจะเยอะขนาดนี้ เพราะหลังลงจากรถไฟ เราก็ต้องต่อแถวออกจากสถานี (มีตรวจตั๋วขาออกอีกต่างหาก) ดีที่ไม่นานนักเราก็เจอคนที่มารับพาไปยังรถตู้ แต่ยังต้องรอคนอื่นๆ จนเต็มรถพักหนึ่ง หลังจากนั้นรถก็ขับพาพวกเราไปตามทางขึ้นเขาที่คดโค้ง หมอปุ้มเลยต้องกินยาแก้เมารถ แต่ก็ไม่วายกางถุงพลาสติกไว้เผื่อฉุกเฉิน

พวกเรามาถึงโรงแรม Royal (แค่ชื่อคงพอรู้ว่าเราพักโรงแรมแบบไหนกัน) ประมาณ 6.50 น. อากาศค่อนข้างหนาว ถึงจะยัง check-in ไม่ได้ แต่ก็ได้คูปองอาหารเช้ามากินให้อิ่มอุ่น มื้อนี้ยังมีเฝอที่รสชาติปานกลางค่อนข้างแย่ ทีแรกดูเหมือนจะน้อยแต่ก็ยังกินเหลือ จากนั้นก็นั่งรอไกด์ที่จะพาเราไปเดินเที่ยว จนเกือบ 8.30 น. ได้น้องชนเผ่าม้งคนหนึ่ง ชื่อ มอ (ถ้าฟังไม่ผิด) มารับพวกเราพร้อมทั้งบอกโปรแกรมคร่าวๆ ว่าครึ่งวันของวันนี้จะพาไปที่หมู่บ้าน Cat Cat ส่วนของวันพรุ่งนี้จะไปหมู่บ้าน Lao Chai และ Tavan ส่วนของวันมะรืนจะไปหมู่บ้าน Ta Phin

ทีแรกฟังดูก็รู้ว่าเราจะต้องเดิน แต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นการเดินขึ้นเขา! ทั้งที่ช่วงแรกได้แต่เหลียวซ้าย แลขวา ตื่นตาตื่นใจกับตลาดนัดวันอาทิตย์ที่ชาวเขาพากันเอาสิ่งของออกมาขายและซื้อของจำเป็นกลับบ้าน แต่หลังจากหมดช่วงตลาดแล้ว โอ้...พระเจ้า มันเป็นการเดินอย่างเดียว จะถอยหลังกลับก็ไม่ได้แล้วเนี่ย เมื่อถึงปากทางหมู่บ้าน Cat Cat เห็นเป็นทางเดินลงตลอดก็เริ่มเบาใจ มองเห็นนาขั้นบันไดอยู่ตรงหน้าเต็มไปหมด จุ๋ยถึงกับบ่นเสียดายที่พวกเรามาในช่วงที่เก็บเกี่ยวข้าวไปแล้ว เลยไม่เห็นสีเขียวเหมือนกำมะหยี่ของต้นข้าวคลุมนาขั้นบันไดเอาไว้ คงเหลือให้เห็นต้นข้าวที่ถูกเกี่ยวไปเหลือแต่ตอสีเหลืองๆ มียอดอ่อนงอกออกมาเล็กน้อย ที่ไกด์เรียกมันว่า baby rice ให้พวกเราแซวหมอปุ้มอย่างเมามันว่ายูจะ eat baby rice บ้างมั๊ย

ที่หมู่บ้านมีการทำหัตถกรรมในครัวเรือน ทั้งทอผ้าจากเส้นใยของไม้ไผ่ และย้อมดำด้วยพืชต้นเล็กๆ ดอกสีม่วง มอพาเราเข้าไปที่บ้านหลังหนึ่งให้มองเห็นวิถีชีวิตที่อยู่รวมกันแบบครอบครัว มีหลุมเตาฟืนอยู่กลางบ้าน ตอนที่พวกเราเข้าไปฟืนก็มอดแล้ว รอบๆ เตาเลยกลายเป็นที่นอนของบรรดาแมวๆ จุ๋ยได้ลองหัดเป่าเครื่องดนตรีพื้นบ้าน ลักษณะคล้ายๆ แคน ทำด้วยไม้ไผ่ลำเล็กๆ ต่อกัน แต่เจ้าตัวทำหน้าแหยๆ ไม่ค่อยอยากลองซักเท่าไหร่ เพราะคิดไปถึงว่านักท่องเที่ยวทุกคนที่มอ (หรือไกด์คนอื่นด้วยก็ไม่รู้) พามา คงจะต้องอมไอ้เจ้าเครื่องนี้เข้าไปหมดนั่นแหละ 555

จากนั้นเราไปกันที่น้ำตก Cat Cat เป็นน้ำตกไม่ใหญ่นัก แต่ได้แค่ดูอย่างเดียวเพราะอยู่ห่างจากจุดชมวิวค่อนข้างมาก มีการใช้พลังน้ำมาหมุนกังหันและตำข้าวด้วย พวกเราได้โอกาสแวะกินมันเผา เกาลัดเผาที่ร้านเล็กๆ ข้างน้ำตก จากนั้นทางที่ไปต่อมีแต่เดินขึ้นเขา มีสะพานแขวนพาดเชื่อมระหว่างเขา 2 ลูกอีกต่างหาก เวลาเดินข้ามจุ๋ยถึงกับเกาะหลังเราแน่น ไม่กล้ามองลงไปที่ลำธารด้านล่างที่อยู่ใต้สะพานลงไปประมาณ 50 เมตร แซวจุ๋ยได้ไม่นาน เนินที่เดินขึ้นได้ช้าๆ ก็ชันขึ้นอีกจนต้องหยุดพักเป็นระยะ จนไปถึงด่านที่พักรถ ก็ไม่รู้ว่าอะไรเข้าสิงเราที่ดันหยิ่งไม่ยอมนั่งรถมอเตอร์ไซค์กลับตลาดซาปา ต้องเดินกันต่อไปอีก จนเห็นว่าทางค่อนข้างอ้อม เสียงส่วนใหญ่เลยบอกให้เดินตัดเขาในแนวดิ่งขึ้นไป เราก็เอาก็เอาวะ เดิน..ควรต้องเรียกว่าไต่ ขึ้นไปได้ครึ่งเดียวก็พาลจะเป็นลม พอจุ๋ยบอกให้นั่งพักเท่านั้นแหละ อาการหน้ามืดตาลายก็ตามมา จนต้องติดแหง็ก พักอยู่ตรงนั้นอีกหลายนาที จุ๋ยแสดงน้ำใจช่วยพัดแล้วก็ถือของให้ (น่าจะดีกว่าแบกมันไป) จนดีขึ้น ฟื้นคืนชีพได้ก็เดินต่อจนกลับถึงตลาด แค่เห็นของกินเท่านั้นเรี่ยวแรงเราก็กลับมา น่าเสียดายที่ได้แต่ซื้อผลไม้ พวกส้ม แอปเปิ้ล และขนมคล้ายๆ ขนมเข่ง กลับมากินที่โรงแรม ส่วนอาหารอื่นๆ ไม่ค่อยมี (เนื้อสัตว์) สำเร็จรูปให้ซื้อเท่าไหร่ มอยังชี้ให้ดูแผงขายเนื้อหมาที่ก็มีลูกค้ามาซื้อกันประปราย

หลังกินข้าวเที่ยง พวกเราก็ check-in ทีแรกได้ห้องชั้นล่างสุด ที่จุ๋ยไปดูแล้วมองไม่เห็นวิวของเทือกเขาฟานสีปัน ที่มียอดเขาสูงที่สุดในอินโดจีน แต่พอดีที่ห้องชั้น 4 ว่าง พวกเราเลยเลือกห้องนั้นที่เห็นวิวได้ทั่ว โดยแลกกับการเดินขึ้นลงโดยไม่มีลิฟต์แทน สภาพห้องที่นี่ต่างจากในเมืองฮานอยตรงที่มีเตาผิง (เป็นเครื่องประดับเฉยๆ) ส่วนเตียงมีมุ้งคลุมให้ดูโรแมนติก ทั้ง 2 เตียง จนนึกว่าเป็นห้องสวีตบนโรงแรมที่มองเห็นวิวเทือกเขาอะไรทำนองนั้น

ชื่นชมได้ไม่กี่นาที แต่ละคนก็สลบเหมือดไปตามๆ กัน จากที่คิดว่าบ่าย 2 โมง จะออกไปเดินเที่ยวและถ่ายรูปกันในเมือง กลายเป็นตื่นกันบ่าย 4 โมง หมอปุ้มกับเราเลยถือโอกาสอาบน้ำซะก่อนที่อากาศจะเย็นลงจนทำนายไม่ได้ (14 องศา และเริ่มมีหมอกลงแล้ว)

จากนั้นเราพากันไปเดินเล่นแถวโบสถ์คริสต์ ที่ประดับกระจกสีเป็นรูปเซนต์ต่างๆ สวยมาก ยามเย็นตามทางเดินจะมีร้านขายของเยอะแยะ รวมทั้งร้านขายของปิ้งเป็นแถวเป็นแนว พวกเรายังติดใจมันเผากันอยู่ ได้แต่หักห้ามใจว่าเตรียมไปกินมื้อเย็นที่โรงแรมกันจะดีกว่า

มีคนไทยมาพักที่โรงแรมนี้ 3 กลุ่มนอกจากพวกเรา กลุ่มแรกเป็นทัวร์ประมาณ 8 คนเข้าพักตอนเย็นเลยไม่ได้ทักทาย อีก 2 กลุ่มมาถึงตอนเช้าพร้อมๆ กัน เป็นคู่ของพี่จิตรกรรมศิลปากรที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างพวกเรา กับกลุ่มของน้องๆ อีก 3 คน

ไม่คิดว่าคนไทยเจอกันในต่างแดนจะรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งพี่จิตรกรรมเป็นคนคุยเก่ง ถึงแม้ตอนแรกจะให้เกียรติเรียกพวกเราว่าพี่ แถมยังทายอีกว่าพจกับหมอปุ้มมีอาชีพเป็น NGO อีกต่างหาก (ไม่รู้เอาริ้วรอยบนใบหน้ามาทายหรือเปล่า) แต่พอพจทายกลับบ้างว่าแกทำงาน decorate ดันถูกเผง แหม ก็ดูแกออกจะเซอร์ คุยไปคุยมาถึงได้รู้ว่าเรียนจบศิลปากร (เข้าปี 27 รุ่นพี่ของเภสัชรุ่น 1 อีกต่างหาก) ส่วนน้องๆ อีก 3 คน ได้ยินแว่วๆ ว่าออฟฟิตอยู่แถวสีลม นอกจากพี่จิตรกรรมและแฟนแก (มั้ง) แล้ว น้องๆ 3 คนก็คล้ายพวกเราคือมากันหญิง 2 ชาย 1 โดยน้องผู้ชายออกจะตื่นๆ หน่อย เพราะไปกับพี่จิตรกรรม พี่แกก็เรียกน้องว่าตัวเอง พอมาคุยกับกลุ่มเราก็ถึงกับต้องไปแอบหลังเพื่อนสาวเวลาหมอปุ้มคุยด้วย ...สงสัยจะได้กลิ่นโคแก่ 555

ซินจ่าว เวียตนาม 1 - 10 ธ.ค. 50 (Part I)

พวกเราเริ่มต้นทริปเมื่อวันที่ 30 พ.ย. เราเอารถไปจอดไว้ที่คอนโดจุ๋ย จากนั้นก็พากันไปกินอาหารเกาหลีกันใกล้ๆ สถานีรถไฟฟ้าอโศก เป็นการเอาฤกษ์เอาชัยด้วยอาหารดีๆ ก่อนเดินทาง เสียเวลารอ PM ที่ประชุมอยู่พักใหญ่กว่าจะได้กิน มีพี่ยี้มาแจมด้วยอีกคน ทำให้อาหารมื้อนี้มากไปด้วยปริมาณและความเฮฮา เสียอยู่อย่างที่กลิ่นเนื้อย่างติดกับเสื้อผ้า โดยเฉพาะกางเกงยีนส์ที่กะจะใส่แล้วใส่อีก อิ่มหนำกันดีแล้วก็พากันกลับคอนโดที่เจ้าของห้องเตรียมขัดห้องน้ำไว้ให้ (นอน) แต่ในที่สุดเจ้าตัวเองก็ต้องระเห็จลงไปนอนที่พื้น ปล่อยให้ 2 สาวครอบครองเตียงแบบเต็มพื้นที่แทน

1 ธ.ค. 50
นอนได้ไม่ทันไรก็ต้องรีบตื่นตอนตี 3 แล้วก็ขึ้นรถไปถึงสุวรรณภูมิตี 5 ระหว่างรอเคาน์เตอร์เปิดก็เห็นคณะทัวร์คนไทยที่จะเดินทางด้วยเที่ยวบินเดียวกันเยอะแยะไปหมด เมื่อเปรียบเทียบขนาดกระเป๋าเดินทางกันแล้ว นับว่าพวกเราสามารถไปกันได้เป็นเดือน คราวนี้เสียท่าเพราะงัวเงียไปหน่อย ดันใส่โลชั่นทาผิวขวดใหญ่ไว้ในเป้ที่เอาติดตัวขึ้นเครื่อง เลยถูกยึดไปอย่างน่าเสียดาย ส่วนจุ๋ยทำตัวเป็นชาวต่างประเทศตั้งแต่ยังไม่ขึ้นเครื่องเพราะไม่ได้ยินภาษาไทยที่เจ้าหน้าที่พูดด้วยทีแรก เขาเลยต้องพูดซ้ำด้วยภาษาอังกฤษ นั่นแหละจุ๋ยถึงเข้าใจ

เครื่องออกเวลา 7.55 น. เพิ่งรู้ว่าเครื่องบินของแอร์เอเชียไม่ได้มารับที่ gate แต่เราต้องนั่งรถบัสเพื่อไปขึ้นเครื่องอีกทีหนึ่ง และแก้งค์ทัวร์อาอึ้มทำเอาพวกเราพลัดกัน หมอปุ้มไปรถบัสคันแรก ส่วนเรากับจุ๋ยไปคันที่ 2 เลยเป็นหน้าที่ของหมอปุ้มจองที่นั่งให้บนเครื่อง

พวกเราถึงสนามบินนอยไบของเวียตนาม 9.50 น. เราได้แต่เดินวนไปเวียนมาเพื่อมองหาคนจากโรงแรม Ngoh Minh ที่จะมารับเรา แต่หลังจากรออย่างไร้วี่แววประมาณครึ่งชั่วโมงผ่านไป พวกเราเลยต้องเลิกหวัง ได้แต่เรียกแท็กซี่เข้าเมืองกันเอาเอง

จากที่อ่านหนังสือมา ค่ารถแท็กซี่เข้าฮานอยจากสนามบินราคา 10 $ แต่ตอนเราไปถาม กลายเป็น 12 $ ต่อรองแล้ว ดูเหมือนว่าคนขับ (และพวกเรา) จะไม่เข้าใจ และใช้วิธีการเปิดมิเตอร์แทน ทำเอาเราใจไม่ดีว่าจะโดนโก่งราคาอยางที่หลายๆ คนโดนมาหรือเปล่า

นอกจากจะไม่สบายใจเรื่องราคาค่ารถแล้ว นั่งๆ มารู้สึกได้เลยว่าพ่อคนขับจะบีบแตรตลอด ถึงแม้ว่ารถมอเตอร์ไซค์จะเยอะสุดๆ แต่ก็เหมือนบีบแตรพร่ำเพรื่อจนแสบแก้วหู พอมาถึงแยกที่ไม่มีไฟแดง ดูเหมือนว่ารถจากทุกแยกจะพร้อมใจกันออกมา แต่ไม่ยักชน มีแต่เสียงแตรดังต่อเนื่องยาวนาน ได้แต่บอกพรรคพวกว่าถ้าขับรถเองในฮานอยซัก 2 วัน สงสัยจะเส้นเลือกสมองแตก!!

นึกถึงหนังสือนำเที่ยวที่อ่านก่อนมา คนเขียนใช้วิธีเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขี่เที่ยวเอง แล้วก็บอกเทคนิคการขี่ไว้อย่างน่าทึ่งว่า “จำไว้ อย่าชนใคร ไม่ต้องกลัวใครจะชนเรา มองข้างหน้าลูกเดียว อย่าเหลียวซ้ายขวาหรือหลังให้เสียสมาธิเปล่า อย่าชนใคร ไม่ต้องกลัวใครจะชนเรา”

พอมาถึงโรงแรม เรื่องที่เราคิดไว้ก็เป็นจริง เมื่อมิเตอร์แท็กซี่ขึ้นมาเยอะมาก ดีที่จุ๋ยขึ้นไปต่อว่าทางโรงแรมที่ไม่ส่งคนมารับแล้วก็เลยถือโอกาสบอกให้เขาต่อราคาค่าแท็กซี่ให้จนได้ 10 $

ที่พักในโรงแรม Ngoh Minh กว้างขวางใช้ได้ ในห้องใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้แกะสลักออกแนวจีน ดูแปลกตา สำหรับวันนี้เราขอเปิดห้องแบบครึ่งวัน และจะฝากกระเป๋าไว้ส่วนหนึ่งก่อนจะเดินทางไปซาปาในตอนเย็น

พักกันครู่เดียว จุ๋ยก็พาเดินไปกินเฝอร้านอร่อยที่ต้องเดินผ่านย่านขายของจำพวกเป้ กระเป๋าเดินทาง และงานฝีมือต่างๆ ทั้งผ้าพันคอ และกระเป๋า ให้เล็งไว้ว่าขากลับจะซื้ออะไรฝากพรรคพวกดี นับว่าเลือกทำเลของโรงแรมได้ไม่เลวทีเดียว

อากาศค่อนข้างเย็นแต่ไม่ถึงกับหนาว และทิวทัศน์ข้างทะเลสาบคืนดาบหรือทะเลสาบ Hoan Kiem ตามเส้นทางที่เราเดินไป ให้ความรู้สึกที่ดีมากๆ แต่ถ้าเรายกกล้องขึ้นถ่ายรูป ก็จะมีคนเร่เข้ามาขายสินค้าเพราะแน่ใจแล้วว่าเป็นต่างด้าว ส่วนผู้นำทริปชาวสิงคโปร์ของพวกเราสงสัยจะหิวเลยเดินดุ่ยๆ ไม่เปิดโอกาสให้ถ่ายรูปมากนัก

ร้านเฝอ 24 (Pho 24) เป็นร้านอาหารที่มีบรรยากาศผิดกับร้านเฝอริมฟุตบาทที่มีม้านั่งพลาสติกวางเรียงรายให้นั่งยองๆ กินกัน ถ้าเปรียบกับเมืองไทยคงประมาณซื้อพิซซ่าในตลาดนัดกินอันละ 25 บาทกับเข้าไปกินพิซซ่าที่พิซซ่าคัมปะนีกระมัง ส่วนราคาอาหารมื้อนี้เราจ่ายกันไปแค่ 2 แสนกว่าด่อง (1 บาท ประมาณ 450 ด่อง) ซึ่งท่านผู้นำให้ความเห็นว่าความสะอาดมันต่างกัน (กะไว้แล้วเชียวว่าในใบโฆษณาทัวร์ของจุ๋ยที่บอกว่า have lunch at road-side restaurant มันเป็นอย่างนี้นี่เอง)

จากนั้นเราก็เดินกันไปเรื่อยๆ ผ่านโบสถ์ดังของเมือง (จำชื่อไม่ได้แล้ว) ถ่ายรูปได้แป๊บเดียว สายตาก็ไปปะกับร้านของทอดประเภทปอเปี๊ยะ ซาลาเปาทอด เลยได้โอกาสนั่งกินแบบยองๆ ติดดินกะเขาบ้าง นั่งมองรอบด้าน มีทั้งคนหาบผลไม้ที่หมอปุ้มเห็นแล้วน้ำลายไหล รถจักรยานที่กระจาดด้านหลังคนขี่มีสารพัดของที่ขาย อย่างผลไม้ ผัก หรือดอกไม้ ไม่กล้าถ่ายรูปจะๆ เพราะรู้มาว่า ที่เวียตนามนี่ถ่ายรูปมั่วไม่ได้ เพราะเขาอาจเรียกเงินค่านายแบบนางแบบกับเราทีหลัง มีอยู่อย่างหนึ่งที่ทำให้สาวๆ ในทริปดูต่างด้าวไปทันที ก็คือสาวเวียตนามทั้งสาวใหญ่ สาวน้อย ต่างก็มีหุ่นกระทัดรัด เอวคอดกิ่ว และใส่เสื้อผ้ารัดรูป ให้เห็นกันทั้งเมือง

หลังจากนั้นเราก็เดินทอดน่องไปถ่ายรูปในสถานที่ใกล้ๆ เช่น อนุสาวรีย์จักรพรรดิ์ Ly Thai To หรือ Le Loi เจ้าของตำนานทะเลสาบคืนดาบ อนุสาวรีย์ทหารกล้า (ทำไมมีรูปปั้นผู้หญิงรวมอยู่ด้วยก็ไม่รู้) และวัด Ngoc Son ที่อยู่ติดกับสะพานแดงที่ถือเป็น high light ที่เล็งไว้แล้วว่าจะต้องมาถ่ายรูป แต่พอมาถึงจริงก็มี wedding studio มาถ่ายบนสะพานซะอีก เราเลยต้องรอให้สะพานคนน้อยลง จากนั้นแก้งค์บ้ากล้องก็เริ่มงาน พอเริ่มเบื่อนั่นแหละถึงได้ไปสนใจวัด ซึ่งไม่แตกต่างจากศาลเจ้าจีนใหญ่ๆ ในเมืองไทย เพราะว่ามีพวกเครื่องสักการะต่างๆ ที่ต่างออกไปคงจะเป็นเต่ายักษ์สีทองหน้าเหมือนแมวน้ำ ตามตำนานของทะเลสาบคืนดาบที่ว่าสวรรค์ได้ประทานดาบกายสิทธิ์ให้แก่จักรพรรดิ์ Ly Thai To เพื่อปลดแอกเวียตนามออกจากจีนจนสำเร็จ หลังจากนั้นเมื่อจักรพรรดิ์ล่องเรือสำราญในทะเลสาบนี้ ก็มีเต่ายักษ์ทองคำ ว่ายขึ้นมาแล้วกระโดด? คาบเอาดาบกายสิทธ์หายไปในน้ำ เป็นการทวงดาบคืนสู่สวรรค์

ตอนที่เรามาถึงสนามบิน แลกเงินด่องเป็นเงินกองกลางเพียง 100 $ แต่ทั้งพจและหมอปุ้มยังจะต้องซื้อเป้ขนาดค่อนข้างใหญ่เพื่อใส่เสื้อผ้าแบ่งไปใช้ที่ซาปา ทำให้เราต้องเสียเวลาเดินหาที่แลกเงินซึ่งหาได้ยากมากในวันเสาร์เช่นนี้ แต่ในที่สุดก็แลกได้ที่ tourist center ที่มีเคาน์เตอร์แลกเงินในอัตราที่ต่ำกว่าปกติ แต่มีข้อดีตรงมี internet ให้ใช้ฟรี เลยได้ส่ง mail ให้อ๋อยโทรกลับบ้านให้

เมื่อมีเงินแล้วก็ต้องนำไปจับจ่าย ร้านขายกระเป๋าแถบนั้นเป็นอะไรที่เยอะมาก แต่ดูไปดูมาเราก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะถูกใจ จนไปถึงร้านหนึ่ง (สุดท้าย) เจ้าของร้านพูดไทยได้ แต่ต่อราคาไม่ยักได้ถึง 80% อย่างที่หนังสือเขียนไว้ ...คาดว่าถ้าต่อแบบนั้นจริงคงไม่ได้เป้ แต่จะได้รองเท้า (ของเจ้าของร้าน)แทน ในที่สุดเราก็ได้เป้ North face ขนาด 55 ลิตร มาในราคา 10 $ (ไม่ต้องใช้เงินด่องซื้ออีกต่างหาก)

กลับมาโรงแรมพอมีเวลาให้อาบน้ำและออกไปหาข้าวเย็น มื้อนี้ก็เป็น road-side restaurant อีกเช่นเคย พวกเราเลือกร้าน Bunta ที่เน้นอาหารเส้น “บุ๋น” หรือคล้ายๆ ขนมจีนบ้านเรา สั่งบุ๋นจ๊ะ ที่คนเขียนหนังสือชอบนักหนามากินก็รู้สึกอร่อยดี แต่หันไปมองโต๊ะข้างๆ โอ้..แม่เจ้า นั่นมันหอยโข่ง!?! เค้านั่งกินกันอย่างน่าอร่อย เสียดายที่กระเพาะค่อนข้างเต็มแล้ว เลยไม่ได้ยุเสี่ยจุ๋ยให้สั่งมากินบ้าง

จะว่าไปแหนมเนืองของที่นี่ (ร้านไฮโซอ่ะนะ) ที่พวกเราสั่งมากินกัน มีเครื่องน้อยกว่าที่เมืองไทย คือมีแค่ ผักกาดหอม กระเทียม กล้วยดิบ และผักพื้นเมืองอีก 2 – 3 อย่างเท่านั้น ส่วนหมูก็เป็นหมูย่างชิ้นใหญ่หั่นตามยาว ขนาดเท่าแตงกวาที่กินกับไส้กรอก ไม่ใช่หมูย่างเสียบไม้เป็นก้อนกลมๆ อย่างที่เคยกิน ส่วนแผ่นก๋วยเตี๋ยวนั้นสุดยอดคือไม่ได้ชุบน้ำเปียกหมาดๆ แบบบ้านเรา เป็นแผ่นแข็งปังเวลาเคี้ยวเหมือนกลืนถุงพลาสติกยังไงยังงั้น ยังดีที่บางส่วนของพลาสติก เอ๊ย แผ่นก๋วยเตี๋ยวถูกน้ำจิ้มหวานๆ เปียกพอนิ่มบ้าง

กลับมาที่โรงแรมอีกครั้ง คราวนี้ทางโรงแรมเรียกรถแท็กซี่พาพวกเราไปที่สถานีรถไฟ โชคดีที่คนของโรงแรมพาพวกเราไปส่งถึงตู้รถเลย เพราะการเดินทางด้วยรถไฟที่เวียตนามนี้ยุ่งยากกว่าเมืองไทยโขอยู่ ทั้งการตรวจตั๋วที่สถานี อาคารหลายอาคาร และชานชาลาที่มีรถจอดอยู่หลายขบวน มองดูแล้วก็งงๆ แต่การเดินตามไปอย่างเร่งรีบทำให้หมดโอกาสถ่ายรูปสถานีรถไฟอย่างที่นึก

ตู้นอนบนรถไฟ (ชั้น1 ประสาไฮโซ) แบ่งเป็นห้องๆ ห้องละ 4 เตียง มีเตียงบน – ล่าง ฟูกเนื้อหนาและผ้านวม ดีกว่ารถไฟตู้นอนชั้น 2 (ที่เราเดินทางประจำ) ของเมืองไทยมาก ส่วนตู้นอนอื่นๆ ในขบวนก็มีเตียงต่างกันไปตามราคา อย่างเช่น ห้องที่มีเตียง 6 เตียง (3 ชั้น) จุ๋ยมองเห็นแล้วถึงกับค่อนว่าเหมือนห้องเก็บศพ

ให้เวลาหมอปุ้มกับจุ๋ยตื่นเต้นกับรถไฟตู้นอนกันพักหนึ่ง (ไม่เคยขึ้นรถนอนกันทั้งคู่) ปัญหาก็มาถึงว่าอีกเตียงบนที่ว่างใครจะ(กล้า)มานอนกับพวกเรา ก่อน 21.30 น.เวลารถไฟจะออกแป๊บเดียว คุณลุงชาวเวียตนามก็เข้ามาในห้อง เลยเป็นหน้าที่ไกด์และล่ามของเราที่จะเจรจาต้าอ่วย ได้ความว่า คุณลุงเป็นข้าราชการ ดูจากโหงวเฮ้งและอายุน่าจะเป็นข้าราชการชั้นสูงอยู่ แกจะไปบรรยายเกี่ยวกับเรื่องของ WTO ในจังหวัดที่เลยซาปาไป แถมลุงยังมีภรรยาเป็นเภสัชกรด้วย เลยคุยกันได้เป็นนาน จุ๋ยได้โอกาสทับถมว่าที่เวียตนามมีชายหาดสวยๆ เหมือนเมืองไทยบ้างหรือเปล่า เราต้องเอามือ (ก่อนที่จะเป็นเท้าของลุง) สะกิดว่าเปลี่ยนเรื่องเหอะ พอเปลี่ยนเป็นถามว่าลุงคงไปต่างประเทศบ่อย เลยได้คำตอบว่าแกไปมา 50 กว่าประเทศแล้ว ทำเอาพ่อหนุ่มนักเดินทางของเราถึงกับอึ้ง แต่อย่างไรก็ดี ลุงอุตส่าห์ให้กำลังใจว่า so young ไม่รู้ว่ายังมีเวลาที่จะไปอีกเยอะ หรือจะแปลแบบเราที่บอกจุ๋ยว่า 20 กว่าประเทศแบบเอ็งอ่ะ ...เด็กๆ เฟ้ย จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเรื่องอาหารการกินบ้าง คุณลุงบอกว่า ถ้าจะกินเฝอ รสชาติของฮานอย ให้ไปกินที่ร้าน square pho ส่วน pho 24 ที่เราไปกินกัน รสชาติจะออกไปทางใต้ เหมือนทางกรุงโฮจิมินห์มากกว่า

พอรถออกพวกเราเริ่มแยกย้ายกันนอน ได้ที่นอนหนา ค่อนข้างแข็ง แถมมีผ้านวมให้แบบนี้ แป๊บเดียวเราก็หลับแบบไม่ใส่ใจเสียงกรนรอบข้าง มาตื่นอีกทีก็เกือบถึง แต่พอเห็นห้องน้ำแล้วแทบร้องไห้ เพราะตู้หนึ่งจะมีห้องน้ำ 2 ห้อง ที่หัวตู้และท้ายตู้ ห้องนึงก็เต็มไปด้วยกระดาษทิชชูในชักโครก ส่วนอีกห้องหนึ่งก็น้ำไม่ไหล ต้องกลั้นใจฉี่ทับไปแบบเซ็งๆ