6 ธ.ค. 50
วันนี้พวกเราซื้อทัวร์ไปฮาลองเบย์ เลยต้องตื่นเช้า แล้วพากันเดินไปซื้อเบเกอรี่และบั้นหมี่เจ้าโปรดของจุ๋ย จากนั้นก็นั่งรอรถตู้มารับตอน 8.00 น. รถมาเลยเวลาเล็กน้อย หลังจากรับพวกเราก็เวียนไปรับนักท่องเที่ยวที่โรงแรมอื่นๆ อีก 11 คนจนเต็มรถ ไกด์ที่มารับพูดภาษาอังกฤษค่อนข้างแย่ แนะนำตัวว่าชื่อ Mr. Xing จากนั้นแทนที่จะบอกกำหนดการเดินทางกลับกลายเป็นว่าแนะนำตัวเสร็จสรรพว่าอายุ 25 และยังโสด คนอื่นๆ ภายในรถพากันยิ้มขำไปตามๆ กัน กว่าจะออกจากฮานอยได้ก็ 9โมงกว่า เนื่องจากคนขับโดนตำรวจจราจรเรียกไปคุยอยู่พักใหญ่ และเราต้องรอสาวๆ ชาวอิสราเอลอีก 2 คนที่มาสาย นั่งรถออกนอกเมืองไปเรื่อยๆ 3.5 ชั่วโมง ก็ถึงฮาลองซิตี้ มีเวลาแวะพักครึ่งทางที่ร้านขายเซรามิกจำพวกแจกันใบใหญ่ๆ ของที่ระลึกต่างๆ รวมทั้งผ้าปักสวยๆ ด้วยมือเป็นรูปวิวและสัตว์ ราคาของของที่นี่แพงกว่าในฮานอยมาก เลยได้แต่เก็บภาพมาแทนที่จะแบกของราคาแพงมาฝากคนอื่นๆ
ท่าเรือฮาลองซิตี้เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว มีคนไทยเยอะเหมือนกัน แต่แยกกันไปคนละลำตามทัวร์ที่ซื้อไว้ ซึ่งเรือแต่ละลำรับผู้โดยสารแค่ 10 – 15 คน ลูกเรืออีก 5 – 6 คน เพราะฉะนั้นลำที่พวกเราจะไปก็เลยมีเฉพาะกลุ่มที่นั่งรถตู้มาด้วยกันเท่านั้นเอง หลังจากขึ้นเรือ Canh Buom2 เรียบร้อยแล้ว เราก็พากันดูโน่นดูนี่ไปตามประสา เรือที่รับนักท่องเที่ยวแบบค้างคืนบนเรือจะมี 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นห้องนอนของนักท่องเที่ยว ลำของพวกเรามีห้องด้านซ้ายขวาของเรือข้างละ 3 ห้อง ตัวห้องนอนกว้างตลอดความกว้างของลำเรือ มีแอร์ เครื่องทำน้ำอุ่นในห้องน้ำ และเตียงคู่อยู่ชิดผนังข้างละเตียง แต่ไฟฟ้าจะเปิดเป็นเวลา ประมาณ 18.00 – 24.00 น. ที่ไฟปั่นจากเรือจะทำงาน ส่วนเรือสำหรับผู้โดยสารที่ไม่ได้ค้างบนเรือก็จะมีหลายแบบ ทั้งลำใหญ่ที่จุได้ 20 คนขึ้นไป หรือลำขนาดเดียวกับของพวกเราที่ไม่มีห้องนอน
ส่วนชั้นบนของเรือเป็นโซฟาและโต๊ะกินข้าว นั่งได้โต๊ะละ 6 คน หลังจากพวกเรากินข้าวเที่ยงบนเรือเสร็จแล้ว เรือก็ออกจากท่า ช่วงนี้แต่ละคนก็ขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ ซึ่งมีเก้าอี้อาบแดดตั้งไว้เป็นแถว ให้นั่งมองทิวทัศน์ของเกาะเล็กเกาะน้อยหรือกุ้ยหลินเวียตนามระหว่างทางที่ผ่านอย่างเพลิดเพลิน
หลังจากทำความรู้จักคนอื่นๆ ในโต๊ะอาหาร (จุ๋ยพูดคนเดียว) ก็เลยได้รู้ว่าสมาชิกที่ลงเรือลำเดียวกัน ประกอบด้วยกระเหรี่ยงไทย คือ พวกเรา 3 คน 2 สาวอิสราเอลที่กินข้าวเสร็จและเรือออกจากท่าไปแล้วก็ทำท่าจะมีปัญหาเพราะเห็นคุยกับไกด์อยู่เป็นนาน ในที่สุดก็มีเรืออีกลำมาเทียบและรับไป มีคู่สามีภรรยาชาวอเมริกันอายุประมาณ 40 ปลายๆ 2 คน ที่ตอนหลังจุ๋ยตั้งฉายาให้ว่าเจ๊ช่างเม้าท์ เพราะถ้าไม่มีแก พวกเราก็คงไม่รู้จักกัน นอกจากนั้นเป็นชาวออสเตเรียมากันเป็นคู่ 2 คู่ และ 3 คนแม่ ลูกชายและลูกสะใภ้
เรือพาพวกเรามาแวะที่ถ้ำเทียนกุง (Thien Cung) ภาษาจีนแปลว่า heaven palace หรือพระราชวังสวรรค์ ซึ่งเป็นคนละถ้ำกับที่พวกจุ๋ยมากันครั้งก่อน แต่ก็เป็นถ้ำที่กว้างขวางและประดับประดาด้วยแสงไฟสีต่างๆ ไกด์อธิบายว่าฮาลอง หรือ แห่เล้ง หรือ เซี่ยหลง แปลว่า มังกรที่จุติลงมาจากฟ้า (descending dragon) อ่าวฮาลอง หรือฮาลองเบย์ ได้รับการสถาปนาเป็นมรดกโลกในปี 1994 ประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่ประมาณ 3000 เกาะ และเกาะที่เราแวะกันก็มีตำนานเล่าว่ามังกร (king dragon) ที่จุติลงมาเพื่อช่วยกอบกู้แผ่นดินของเวียตนามหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจแล้วก็อาศัยอยู่ที่ถ้ำแห่งนี้ ต่อมาลูกชายของมังกรได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวมนุษย์และมีลูกหลานต่อๆ กันมา แสดงให้เห็นว่าชาวเวียตนามก็เป็นอีกชาติหนึ่งที่ให้ความนับถือมังกร
กลับขึ้นเรือกันอีกครั้ง คราวนี้อุตส่าห์หาทำเลดีๆ บนดาดฟ้าได้ แต่ไม่น่าเชื่อว่าบ่ายแก่ๆ แบบนี้จะมีหมอกลงเยอะมากจนมองแทบไม่เห็นเกาะ และอากาศก็เริ่มเย็นลงด้วย ทุกคนเลยลงไปนั่งกันอยู่ที่โต๊ะอาหารอีกครั้ง ก่อนที่ไกด์จะบอกว่าจะมีพักให้พายคายักกันที่ floating village เมื่อมาถึงเราก็พบหมู่บ้านประมง เป็นเรือนแพลอยน้ำ ชาวบ้านอยู่กันอย่างง่ายๆ มีกระชังเลี้ยงปลาอยู่ตามแนวสะพานเป็นระยะ ไว้ขายนักท่องเที่ยวหรือเรือที่เข้ามาจอด อุตส่าห์ดีใจที่ลูกเรือของเราลงไปช้อนซื้อปลากับเขาด้วย แต่ปรากฏว่าเย็นนั้นเฉพาะวงอาหารของลูกเรือที่มีปลากิน...แป่ว
พวกเราเดินไปตามสะพานที่จะพาไปถึงคายัก แล้วก็มีปัญหาใหม่คือ เรือคายักลำนึงพายได้ 2 คน แต่พวกเรามากัน 3 คน (ฉันคนหนึ่ง เธอคนหนึ่ง เขาคนหนึ่ง...คงต้องมีใครเป็นฝ่ายไป) แล้วมติ 2 ใน 3 ก็ทำให้จุ๋ยไป.....ฝากหมอปุ้มไว้กับไกด์ พร้อมทั้งเล่าให้หมอปุ้มฟังเป็นการปลอบใจว่าคราวก่อนที่มา เพื่อนคนหนึ่งไปกับไกด์ ปรากฏว่าไกด์พายลิ่ว ไม่ต้องเหนื่อยเลย สบายสุดๆ แล้วก็ยกกรณีอ๋อยที่อ่าวท่าเลนมาเสริมเพื่อเพิ่มน้ำหนักความน่าเชื่อถือ
แต่ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ใครจะรู้ว่าตาซิงจะชิ่ง คือให้หมอปุ้มไปกับกลุ่ม 3 แม่ลูกชาวออสเตเรีย มองเห็นอยู่ไกลๆ (เพราะเราลงน้ำไปแล้ว) เห็นคนแม่ส่ายหัวดิกตอนให้ไปกับหมอปุ้ม เลยเป็นโอกาสอันดีที่หมอปุ้มจะได้พายเรือไปกับ baby rice เอ๊ย ลูกชายของเค้า หลังจากทิ้ง.. ไม่ใช่ ..ปล่อยให้หมอปุ้มพายเรือไปกับหนุ่มๆ แล้ว เรากับจุ๋ยก็พายเรืออ้อมเกาะไปเรื่อยๆ ทีแรกกะว่าจะไปให้ถึงโพรงที่คล้ายๆ ถ้ำลอด แต่เวลาที่เหลือน้อยทำเอาต้องตัดใจรีบพายกลับ มาถึงก็พอดีกับที่หมอปุ้มขึ้นจากเรือ เลยได้รู้ว่าพ่อหนุ่มที่พายไปด้วยชื่อเช ส่วนเชก็เรียกหมอปุ้มว่า “ปุ่มปุ๊ม” แถมยังนึกว่าเราเป็นพี่น้องกับหมอปุ้มซะอีก เตรียมเดาชื่อไว้ว่า “ปอมปอม” แหม่...
ถึงเวลาที่ไกด์ซิงนัดแล้ว พวกเรากลับมากันเกือบครบ เหลือคู่ชาวอเมริกันที่ยังมาไม่ถึง เราเลยต้องรอกันที่หมู่บ้านชาวประมงกันต่อไป จนฟ้าเริ่มมืดและนานผิดสังเกต ในที่สุดตาซิงก็ต้องเอาเรือคายักออกพายตามหาจนได้
ถึงแม้ว่าพวกเราจะกังวลกันอยู่หน่อยๆ เพราะเกาะเล็กเกาะน้อยแถวนี้ก็หน้าตาเหมือนๆ กัน ถ้าพายเข้าซอยผิดก็จะหลงอ้อมไปไกล แถมยังมีเรือทอดสมอจอดเพื่อพักนอนอยู่ใกล้ๆ เกาะต่างๆ อีกหลายลำ แต่ท่ามกลางความมืด เราก็ทำได้แต่เฝ้าคอยว่าทั้ง 2 คนจะกลับมากันได้หรือเปล่า ที่จริงไหนๆ ก็ทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับมรดกโลก น่าจะมีเรือนแพของศูนย์ท่องเที่ยว ทำหน้าที่ประสานงานและช่วยเหลือผู้ที่อาจจะประสบภัยอีกอย่างก็น่าจะดี
หลังจากกลับจากอาบน้ำ ก็เป็นที่น่ายินดีที่อเมริกัน 2 คนกลับมากันได้อย่างปลอดภัย โดยอาศัยถามทางจากเรือที่จอดอยู่ ส่วนรายละเอียดนั้นเจ๊ช่างเม้าท์ผู้ประสบภัยมาสดๆ ร้อนๆ กำลังเล่าให้เพื่อนร่วมโต๊ะฟังอย่างออกรส (ก็นับว่าเป็นโชคดีอีกเหมือนกันที่พวกเราไม่ได้ร่วมโต๊ะด้วย) หลังจากผิดหวังจากดินเนอร์อาหารทะเลครบสูตร (มีแค่กุ้งตัวเล็กๆ) พวกเราก็ขึ้นไปยึดดาดฟ้านั่งคุยกันจนเข้านอน
วันนี้พวกเราซื้อทัวร์ไปฮาลองเบย์ เลยต้องตื่นเช้า แล้วพากันเดินไปซื้อเบเกอรี่และบั้นหมี่เจ้าโปรดของจุ๋ย จากนั้นก็นั่งรอรถตู้มารับตอน 8.00 น. รถมาเลยเวลาเล็กน้อย หลังจากรับพวกเราก็เวียนไปรับนักท่องเที่ยวที่โรงแรมอื่นๆ อีก 11 คนจนเต็มรถ ไกด์ที่มารับพูดภาษาอังกฤษค่อนข้างแย่ แนะนำตัวว่าชื่อ Mr. Xing จากนั้นแทนที่จะบอกกำหนดการเดินทางกลับกลายเป็นว่าแนะนำตัวเสร็จสรรพว่าอายุ 25 และยังโสด คนอื่นๆ ภายในรถพากันยิ้มขำไปตามๆ กัน กว่าจะออกจากฮานอยได้ก็ 9โมงกว่า เนื่องจากคนขับโดนตำรวจจราจรเรียกไปคุยอยู่พักใหญ่ และเราต้องรอสาวๆ ชาวอิสราเอลอีก 2 คนที่มาสาย นั่งรถออกนอกเมืองไปเรื่อยๆ 3.5 ชั่วโมง ก็ถึงฮาลองซิตี้ มีเวลาแวะพักครึ่งทางที่ร้านขายเซรามิกจำพวกแจกันใบใหญ่ๆ ของที่ระลึกต่างๆ รวมทั้งผ้าปักสวยๆ ด้วยมือเป็นรูปวิวและสัตว์ ราคาของของที่นี่แพงกว่าในฮานอยมาก เลยได้แต่เก็บภาพมาแทนที่จะแบกของราคาแพงมาฝากคนอื่นๆ
ท่าเรือฮาลองซิตี้เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว มีคนไทยเยอะเหมือนกัน แต่แยกกันไปคนละลำตามทัวร์ที่ซื้อไว้ ซึ่งเรือแต่ละลำรับผู้โดยสารแค่ 10 – 15 คน ลูกเรืออีก 5 – 6 คน เพราะฉะนั้นลำที่พวกเราจะไปก็เลยมีเฉพาะกลุ่มที่นั่งรถตู้มาด้วยกันเท่านั้นเอง หลังจากขึ้นเรือ Canh Buom2 เรียบร้อยแล้ว เราก็พากันดูโน่นดูนี่ไปตามประสา เรือที่รับนักท่องเที่ยวแบบค้างคืนบนเรือจะมี 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นห้องนอนของนักท่องเที่ยว ลำของพวกเรามีห้องด้านซ้ายขวาของเรือข้างละ 3 ห้อง ตัวห้องนอนกว้างตลอดความกว้างของลำเรือ มีแอร์ เครื่องทำน้ำอุ่นในห้องน้ำ และเตียงคู่อยู่ชิดผนังข้างละเตียง แต่ไฟฟ้าจะเปิดเป็นเวลา ประมาณ 18.00 – 24.00 น. ที่ไฟปั่นจากเรือจะทำงาน ส่วนเรือสำหรับผู้โดยสารที่ไม่ได้ค้างบนเรือก็จะมีหลายแบบ ทั้งลำใหญ่ที่จุได้ 20 คนขึ้นไป หรือลำขนาดเดียวกับของพวกเราที่ไม่มีห้องนอน
ส่วนชั้นบนของเรือเป็นโซฟาและโต๊ะกินข้าว นั่งได้โต๊ะละ 6 คน หลังจากพวกเรากินข้าวเที่ยงบนเรือเสร็จแล้ว เรือก็ออกจากท่า ช่วงนี้แต่ละคนก็ขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ ซึ่งมีเก้าอี้อาบแดดตั้งไว้เป็นแถว ให้นั่งมองทิวทัศน์ของเกาะเล็กเกาะน้อยหรือกุ้ยหลินเวียตนามระหว่างทางที่ผ่านอย่างเพลิดเพลิน
หลังจากทำความรู้จักคนอื่นๆ ในโต๊ะอาหาร (จุ๋ยพูดคนเดียว) ก็เลยได้รู้ว่าสมาชิกที่ลงเรือลำเดียวกัน ประกอบด้วยกระเหรี่ยงไทย คือ พวกเรา 3 คน 2 สาวอิสราเอลที่กินข้าวเสร็จและเรือออกจากท่าไปแล้วก็ทำท่าจะมีปัญหาเพราะเห็นคุยกับไกด์อยู่เป็นนาน ในที่สุดก็มีเรืออีกลำมาเทียบและรับไป มีคู่สามีภรรยาชาวอเมริกันอายุประมาณ 40 ปลายๆ 2 คน ที่ตอนหลังจุ๋ยตั้งฉายาให้ว่าเจ๊ช่างเม้าท์ เพราะถ้าไม่มีแก พวกเราก็คงไม่รู้จักกัน นอกจากนั้นเป็นชาวออสเตเรียมากันเป็นคู่ 2 คู่ และ 3 คนแม่ ลูกชายและลูกสะใภ้
เรือพาพวกเรามาแวะที่ถ้ำเทียนกุง (Thien Cung) ภาษาจีนแปลว่า heaven palace หรือพระราชวังสวรรค์ ซึ่งเป็นคนละถ้ำกับที่พวกจุ๋ยมากันครั้งก่อน แต่ก็เป็นถ้ำที่กว้างขวางและประดับประดาด้วยแสงไฟสีต่างๆ ไกด์อธิบายว่าฮาลอง หรือ แห่เล้ง หรือ เซี่ยหลง แปลว่า มังกรที่จุติลงมาจากฟ้า (descending dragon) อ่าวฮาลอง หรือฮาลองเบย์ ได้รับการสถาปนาเป็นมรดกโลกในปี 1994 ประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่ประมาณ 3000 เกาะ และเกาะที่เราแวะกันก็มีตำนานเล่าว่ามังกร (king dragon) ที่จุติลงมาเพื่อช่วยกอบกู้แผ่นดินของเวียตนามหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจแล้วก็อาศัยอยู่ที่ถ้ำแห่งนี้ ต่อมาลูกชายของมังกรได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวมนุษย์และมีลูกหลานต่อๆ กันมา แสดงให้เห็นว่าชาวเวียตนามก็เป็นอีกชาติหนึ่งที่ให้ความนับถือมังกร
กลับขึ้นเรือกันอีกครั้ง คราวนี้อุตส่าห์หาทำเลดีๆ บนดาดฟ้าได้ แต่ไม่น่าเชื่อว่าบ่ายแก่ๆ แบบนี้จะมีหมอกลงเยอะมากจนมองแทบไม่เห็นเกาะ และอากาศก็เริ่มเย็นลงด้วย ทุกคนเลยลงไปนั่งกันอยู่ที่โต๊ะอาหารอีกครั้ง ก่อนที่ไกด์จะบอกว่าจะมีพักให้พายคายักกันที่ floating village เมื่อมาถึงเราก็พบหมู่บ้านประมง เป็นเรือนแพลอยน้ำ ชาวบ้านอยู่กันอย่างง่ายๆ มีกระชังเลี้ยงปลาอยู่ตามแนวสะพานเป็นระยะ ไว้ขายนักท่องเที่ยวหรือเรือที่เข้ามาจอด อุตส่าห์ดีใจที่ลูกเรือของเราลงไปช้อนซื้อปลากับเขาด้วย แต่ปรากฏว่าเย็นนั้นเฉพาะวงอาหารของลูกเรือที่มีปลากิน...แป่ว
พวกเราเดินไปตามสะพานที่จะพาไปถึงคายัก แล้วก็มีปัญหาใหม่คือ เรือคายักลำนึงพายได้ 2 คน แต่พวกเรามากัน 3 คน (ฉันคนหนึ่ง เธอคนหนึ่ง เขาคนหนึ่ง...คงต้องมีใครเป็นฝ่ายไป) แล้วมติ 2 ใน 3 ก็ทำให้จุ๋ยไป.....ฝากหมอปุ้มไว้กับไกด์ พร้อมทั้งเล่าให้หมอปุ้มฟังเป็นการปลอบใจว่าคราวก่อนที่มา เพื่อนคนหนึ่งไปกับไกด์ ปรากฏว่าไกด์พายลิ่ว ไม่ต้องเหนื่อยเลย สบายสุดๆ แล้วก็ยกกรณีอ๋อยที่อ่าวท่าเลนมาเสริมเพื่อเพิ่มน้ำหนักความน่าเชื่อถือ
แต่ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ใครจะรู้ว่าตาซิงจะชิ่ง คือให้หมอปุ้มไปกับกลุ่ม 3 แม่ลูกชาวออสเตเรีย มองเห็นอยู่ไกลๆ (เพราะเราลงน้ำไปแล้ว) เห็นคนแม่ส่ายหัวดิกตอนให้ไปกับหมอปุ้ม เลยเป็นโอกาสอันดีที่หมอปุ้มจะได้พายเรือไปกับ baby rice เอ๊ย ลูกชายของเค้า หลังจากทิ้ง.. ไม่ใช่ ..ปล่อยให้หมอปุ้มพายเรือไปกับหนุ่มๆ แล้ว เรากับจุ๋ยก็พายเรืออ้อมเกาะไปเรื่อยๆ ทีแรกกะว่าจะไปให้ถึงโพรงที่คล้ายๆ ถ้ำลอด แต่เวลาที่เหลือน้อยทำเอาต้องตัดใจรีบพายกลับ มาถึงก็พอดีกับที่หมอปุ้มขึ้นจากเรือ เลยได้รู้ว่าพ่อหนุ่มที่พายไปด้วยชื่อเช ส่วนเชก็เรียกหมอปุ้มว่า “ปุ่มปุ๊ม” แถมยังนึกว่าเราเป็นพี่น้องกับหมอปุ้มซะอีก เตรียมเดาชื่อไว้ว่า “ปอมปอม” แหม่...
ถึงเวลาที่ไกด์ซิงนัดแล้ว พวกเรากลับมากันเกือบครบ เหลือคู่ชาวอเมริกันที่ยังมาไม่ถึง เราเลยต้องรอกันที่หมู่บ้านชาวประมงกันต่อไป จนฟ้าเริ่มมืดและนานผิดสังเกต ในที่สุดตาซิงก็ต้องเอาเรือคายักออกพายตามหาจนได้
ถึงแม้ว่าพวกเราจะกังวลกันอยู่หน่อยๆ เพราะเกาะเล็กเกาะน้อยแถวนี้ก็หน้าตาเหมือนๆ กัน ถ้าพายเข้าซอยผิดก็จะหลงอ้อมไปไกล แถมยังมีเรือทอดสมอจอดเพื่อพักนอนอยู่ใกล้ๆ เกาะต่างๆ อีกหลายลำ แต่ท่ามกลางความมืด เราก็ทำได้แต่เฝ้าคอยว่าทั้ง 2 คนจะกลับมากันได้หรือเปล่า ที่จริงไหนๆ ก็ทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับมรดกโลก น่าจะมีเรือนแพของศูนย์ท่องเที่ยว ทำหน้าที่ประสานงานและช่วยเหลือผู้ที่อาจจะประสบภัยอีกอย่างก็น่าจะดี
หลังจากกลับจากอาบน้ำ ก็เป็นที่น่ายินดีที่อเมริกัน 2 คนกลับมากันได้อย่างปลอดภัย โดยอาศัยถามทางจากเรือที่จอดอยู่ ส่วนรายละเอียดนั้นเจ๊ช่างเม้าท์ผู้ประสบภัยมาสดๆ ร้อนๆ กำลังเล่าให้เพื่อนร่วมโต๊ะฟังอย่างออกรส (ก็นับว่าเป็นโชคดีอีกเหมือนกันที่พวกเราไม่ได้ร่วมโต๊ะด้วย) หลังจากผิดหวังจากดินเนอร์อาหารทะเลครบสูตร (มีแค่กุ้งตัวเล็กๆ) พวกเราก็ขึ้นไปยึดดาดฟ้านั่งคุยกันจนเข้านอน