Thursday, August 11, 2011

Hello UK 14 - 2 4 ก.ค. 54

บันทึกการท่องเที่ยวสหราชอาณาจักร 14 – 24 ก.ค. 54

14 ก.ค. 54




พวกเรา ประกอบด้วย เรา หมอปุ้ม และแมว ไปเที่ยวสหราชอาณาจักรกันแบบลัดคิวประเทศอื่นมากมายเนื่องจาก ย้งที่ดันหลวมตัวชวนให้ไปเที่ยวกำลังจะสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ และยังมีปุ๊กไปเรียนปริญญาเอกอยู่สก๊อตแลนด์อีกคนนึง คิดกันง่ายๆ ว่ามีไกด์และเจ้าของที่พักรอเรากันอยู่แล้ว ไหนเลยจะทิ้งโอกาสดีๆ เช่นนี้ไปได้

แต่ไม่คิดเลยว่าการขอวีซ่าจะยุ่งยากตั้งแต่การเตรียมเอกสารส่วนตัว รวมถึงจดหมายเชิญจากย้งที่ต้องส่งทาง air mail ใช้เวลาตั้ง 10 วันกว่าจะถึงเมืองไทย พอเอกสารพร้อม เราก็ต้องกรอกแบบฟอร์มขอวีซ่ากันทางอินเตอร์เน็ต แล้วขอนัดวันยื่นเอกสารกับทางตัวแทนสถานทูต จากนั้นก็รอเวลาอีก 10 วันทำการถึงจะรู้ผลทางอินเตอร์เน็ตว่าวีซ่าผ่านหรือเปล่า ซึ่งหวาดเสียวเป็นอย่างยิ่งเพราะทุกคนจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินเรียบร้อยแล้ว แถมยังได้วีซ่าก่อนไปแค่ 15 วันเท่านั้น ดังนั้นข้อมูลหรือการบ้านที่เตรียมไปงวดนี้จึงน้อยซะยิ่งกว่าน้อยเพราะไม่รู้จะได้ไปหรือเปล่า แต่ย้งก็รับคำเป็นมั่นเหมาะว่าอยากไปที่ไหนให้บอกแล้วก็จัดโปรแกรมมาให้อย่างดี

เย็นๆ ของวันที่ 14 หลังเลิกงานแล้วเรากับหมอปุ้มก็ตัวปลิวเข้ากรุงเทพฯ โดยฝากกระเป๋าเดินทางมากับจุ๋ยเหมือนทุกที และพากันไปกินเมนูปลา ที่ใกล้เคียงกับ fish & chip กันเอาฤกษ์เอาชัยก่อนเดินทาง

พวกเรานัดเจอแมวตอนเกือบ 5 ทุ่ม ไม่นานก็ได้ check-in ปลดภาระกระเป๋าเดินทางขนาด 28 นิ้วไปได้ หลังจากพากันไปเดินซื้อของปลอดภาษีจนครบถ้วนแล้ว แมวก็พาเราไปพักที่เล้าจ์ของ king’s power ก่อนเวลาเครื่องออก โดยที่สมาชิกบัตร 1 คน พาเพื่อนอีก 2 คนเข้าไปพักด้านในได้ นับเป็นความรู้ใหม่ แถมห้องด้านในยังมีโซฟายาวพอจะนอนได้ มีทีวี อินเตอร์เนต และที่สำคัญ ชา กาแฟ ขนมเค้กหลายอย่าง ไว้บริการ เสียตรงที่เราชักจะปวดท้องจนต้องรีดไถยาจากหมอปุ้มเพราะของตัวเองอยู่ในกระเป๋าใหญ่ เลยได้แต่มองเค้กตาละห้อย

15 ก.ค. 54





2.15 น. ตรง พวกเราก็โดยสารเครื่องบินสายการบินกาตาร์ แบบอุตส่าห์คาดหวังว่าสายการบินที่ได้รางวัลดีเด่นจะมีแอร์ สจ๊วต หน้าตาดีแบบตะวันออกกลางคอยให้บริการ แต่ที่ผ่านมา 4 เที่ยวบิน รู้สึกจะเป็นรองสายการบินเอมิเรตต์อยู่หลายขุม แต่เรื่องอาหารนั้นไม่มีบกพร่อง เพราะพอใกล้ๆ จะหลับ ก็จะมีโน่นนี่มาเสริฟอยู่ไม่ขาด งัวเงียตอบเป็นภาษาไทยว่า “เหมือนมัน” ก็ยังเสริฟให้กินได้

6 ชั่วโมงต่อมาเราก็แวะเปลี่ยนเครื่องกันที่โดฮา (Doha) เมืองหลวงของกาตาร์ โดยลงจอดกันที่สนามบินกลางทะเลทราย ออกมาจากเครื่องให้ลมร้อนพัดวูบผ่านหน้าไป แล้วก็ขึ้นรถบัสเข้าไปที่ตัวสนามบิน เรากับหมอปุ้มเดินนำไปก่อนเลยได้ขึ้นรถคนละคันกับแมว ฟังเสียงประชาสัมพันธ์ในรถบอกให้รู้ว่าป้ายที่รถจะจอดป้ายแรกเป็นเข้าเมืองโดฮา ป้ายที่ 2 ถึงจะเป็นป้ายที่ผู้โดยสารแวะเปลี่ยนเครื่องต้องลง ดีที่ได้ยินแมวพูดให้ฟังก่อนแล้วเลยไม่ค่อยสับสนเท่าไหร่ แต่รอแล้วรอเล่าแมวก็ไม่มาซะที เลยหาเหยื่อคนไทยถามอีกทีให้แน่ใจ สุดท้ายแมวจึงค่อยมาถึงอย่างอ่อนใจว่ารถคันที่มาด้วยขับช้าเหลือเกิน

พวกเรามีเวลาที่โดฮา 2 ชั่วโมงกว่า ไปเดินดูของที่ระลึกที่ส่วนใหญ่จะทำเป็นรูปอูฐ และขนมขบเคี้ยว ส่วนด้านสินค้าปลอดภาษีมีชิงโชคเป็นรถเบ็นซ์สปอร์ตอีกต่างหาก จนได้เวลา ขาช้อปทั้งหลายก็กลับมาขึ้นเครื่องโดยไม่สูญเงินในกระเป๋า

งวดนี้ที่นั่งแบ่งเป็น 2 ที่ เราเลยต้องแยกกับสาวๆ ไปนั่งกับหนุ่มฝรั่งที่พวกสเป็คต่ำทั้งหลายที่มาด้วยบอกว่าหน้าตาดี แล้วก็หลับยาวไปอีก 6 ชั่วโมง มีตื่นมากินอาหารมื้อเล็กๆ ก่อนถึงที่หมายนิดหน่อย เวลา 13.15 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือ 19.15 น. ตามเวลาไทย เราก็มาถึงสนามบินแมนเชสเตอร์โดยสวัสดิภาพ

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสนามบินนี้มีช่องตรวจคนเข้าเมืองแค่ 2 ช่อง รองรับผู้โดยสารจากเครื่องบิน 2 ลำ (ถึงจะแยกพาสปอร์ต EU ไปต่างหากก็เถอะ) พวกเราต้องยืนรอกันขาแข็งตั้งชั่วโมงกว่าจึงจะผ่านออกมาได้ และด้วยความเซ็งบวกกับมึนงงสำเนียงอังกฤษแท้ หลังจากที่บอกกับ ตม. ว่ามาหาเพื่อนที่นี่แล้ว ก็เลยบอกซะว่าเพื่อนชั้นกำลังเรียนอยู่ที่ Manchester United ฮ่วย....

ย้งยืนรอเงกอยู่ตรงผู้โดยสารขาออกแล้ว พอเจอหน้าก็ทักทายกันตามประสาคิดถึงว่า “หิวว่ะ” ส่วนคุณเพื่อนก็ทักกลับอย่างสนิทสนมว่า “เนี่ยรอตั้งนาน อดข้าวเที่ยงรีบมารอเหมือนกัน” แล้วก็พากันไปเข้ามินิมาร์ทในสนามบิน ย้งเหมือนจะรู้ใจเมื่อพวกเราไปวนๆ ดูแซนวิชที่ราคาค่อนข้างแพง เลยบอกให้กลับบ้านกันก่อนแล้วจะทำอาหารให้กิน พอมีอาหารมาล่อ สาวๆ ก็เลยซื้อน้ำกินกันแค่คนละขวดแล้วเดินตามเจ้าบ้านไปต้อยๆ

ย้งผลัดลากกระเป๋าใบยักษ์ให้พจกับแมวไปจนถึงป้ายรถเมล์หน้าสนามบิน แล้วก็วางแผนใหม่ให้พวกเราไปรอที่ union สำหรับนักศึกษากันก่อนเพราะมีนัดถ่ายรูปกับรุ่นพี่ที่จะรับปริญญา ถ้าพวกเรากลับไปถึงบ้านแล้วออกมาอีกทีอาจจะไม่ทัน ดังนั้นพวกเราก็เลยต้องเอาขนมที่เตรียมเผื่อไว้และจิ๊กจากเครื่องบินมากินประทังความหิวกันไปพลางๆ ก่อนจะออกไปเดินเตร็ดเตร่ตามถนนแถวนั้นรับอากาศเย็นกำลังดี มองจากบนรถเมล์ที่แล่นผ่านอาคารบ้านเรือนทรงแปลกตา แถมมีต้นไม้สีสดประดับดูสวยดี แต่พอได้ออกมาเดินริมถนน เราก็พบว่าถนนหนทางไม่ได้สะอาดซักเท่าไหร่เลย มีเศษขยะ บุหรี่ทิ้งเต็มไปหมด ดีหน่อยที่ไม่มีฝุ่นและน้ำสกปรกขัง ในความเป็นอิฐทำให้ดูดีขึ้นได้ไม่น้อย ย้งเล่าให้ฟังว่ามหาวิทยาลัยนี้มี 3 วิทยาเขต ที่ย้งเรียนอยู่เป็นส่วนกลางและกว้างขวางที่สุด

รอย้งแป๊บเดียวจนไม่แน่ใจว่าไปแสดงความยินดีกับรุ่นพี่หรือเอาหน้าไปเข้ากล้องเขาแล้วก็เสร็จภารกิจ มันก็พาเดินต่อไปจนถึงบ้าน โชคดีที่เป็นช่วงปิดเทอม ย้งเลยอาศัยไมตรีหรืออิทธิพลก็ไม่รู้ ขอยืมใช้ห้องที่ว่างอยู่เพราะน้องเจ้าของห้องกลับบ้านตอนปิดเทอมได้ 2 ห้อง อยู่ในยูนิตเดียวกับย้งที่ชั้น 3 ห้องนึง กับชั้น 7 ที่ห้องกว้างกว่าหน่อยเป็นห้องนอนของพจกับแมวอีกห้องนึง โดยแต่ละยูนิตจะมี 3 ห้องนอน 1 ห้องครัว 1 ห้องอาบน้ำและ 1 ห้องส้วม ย้งอยู่กับน้องคนจีน (ที่ไม่เคยเห็นตัว แต่ย้งบอกว่าอยู่) กับน้องคนไทยที่หมอปุ้มยึดห้องอีกคน ส่วนที่ชั้น 7 เป็นอาณานิคมของคนไทยทั้ง 3 ห้อง น้องและพี่คนไทยน่ารักทั้งคู่ ยังชวนพวกเรากินส้มตำกันด้วยแต่ไม่พอ เอ๊ย แอ็บเป็นคนมีมารยาทเลยได้แต่ขอบคุณ มึนงงกับประตูกันไฟที่กั้นระหว่างทางเดินไปห้องกันพอสมควรถึงได้กลับไปค้นครัวของย้ง ที่เจ้าตัวอวดต้มกระดูกหมูผักกาดจอให้ดูด้วยความภาคภูมิใจ แต่เสียใจด้วยที่แขกทำหน้าประมาณว่ามีให้กินแค่เนี้ย? ผู้เหย้าก็เลยพาแขกไปเดินซื้อของเพิ่มเติมด้วยการขึ้นรถเมล์ที่พวกเราซื้อตั๋ววันเดย์ราคา 3.2 ปอนด์ ขึ้นๆลงๆ ได้จนถึงตี 4 วันรุ่งขึ้น ไปที่ Traford center โดยให้ขึ้นไปชมวิวที่ชั้น 2 ของรถ จะได้ถ่ายรูปกันสะดวก ระหว่างทางผ่านสนาม Old Traford ของทีม Manchester United แบบที่ย้งถามว่าจะลงไปถ่ายรูปไหม ทุกคนได้แต่ส่ายหน้า

Traford center เป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ มีกว่า 300 ร้านค้าในหลังคาเดียวกัน แถมยังปิด 4 ทุ่ม ดึกกว่าร้านค้าทั่วไปที่ปิดประมาณ 2 ทุ่ม เดินกันซะง่วง (และหิว) แต่ก็ได้ขนม M & S ที่จะเอามาเป็นของฝาก กับนมรสกล้วยกับช็อคโกแลตที่หมดก่อนจะกลับซะอีก ตามทางเดินของห้างตกแต่งแบบยุโรปอย่างสวยงามทั้งภาพฝาผนังและรูปปั้น ฝรั่งแถวนั้นเลยไม่แปลกใจที่กระเหรี่ยงไทยทั้งหลายถ่ายรูปกันตรงโน้นทีตรงนี้ที แต่ต้องมาแตกตื่นกับท่ากระโดดถ่ายรูปหมู่และเสียงเอะอะเบื้องหลัง shot โอ๊ว ทำปายได้

ย้งให้เหตุผลในการพาเราไปต่อเพื่อให้เหนื่อยจะได้หลับกันอย่างสนิท แทนที่จะพักหลังจากเหนื่อยจากการเดินทาง เราเลยไปต่อกันที่ห้าง Asda เจ้าประจำของย้ง (คล้ายๆ Big C) เลือกซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร ขนม และผลไม้ ย้งยังแนะนำลูกเชอร์รี่ และแนคทารีน ที่อร่อยมากหน้านี้ แถมยังบอกวิธีเลือกซื้อให้เสร็จสรรพ ก่อนจะพากันกลับบ้านมากินต้มจืด ไก่ผัดขิง+สารพัดผัก ไข่เจียว รอบดึกกันอย่างเอร็ดอร่อย ไม่ลืมโทรกลับบ้านด้วยซิมโทรศัพท์ที่ย้งซื้อไว้ให้ในราคาโทรกลับไทยแค่นาทีละ 4 บาทเท่านั้น

16 ก.ค. 54




คนอื่นจะ jet lac ยังไงไม่สนใจ แต่พจนารถก็ยังตื่นมา 5.30 น. จัดการธุระส่วนตัวแล้วก็โทรไปจิกย้งจากที่นอนให้มาทำข้าวเช้าให้กินโดยเสนอตัวเป็นลูกมือ นั่งมองไปพลางแทะขนมไปพลาง ก่อนแมวและหมอปุ้มจะมาช่วยกันชิมต่อ เช้าวันนี้เราได้กินแฮมเบอร์เกอร์อันใหญ่มาก ส่วนอาหารของพ่อครัวเป็นอ้วก เอ๊ย ข้าวโอ๊ตต้มเละๆ ที่ทำไว้เป็นมื้อเที่ยงตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้พวกเราต้องแบ่งเสื้อผ้าบางส่วนเพื่อไปค้างที่เอดินเบอระ (Edinburgh) หลังกินข้าวเช้าแล้ว พวกเราก็หอบผ้าตามย้งไปเอารถที่เช่าไว้ที่ศูนย์ Hertz หลังสถานีรถไฟแมนเชสเตอร์ แต่เดินวนไปวนมาท่ามกลางสายฝนอยู่นานก็หาไม่เจอซะที ย้งเลยพาเรากลับมาตั้งต้นใหม่ที่สถานีรถไฟแล้วถามทางคนแถวนั้นก็ปรากฎว่าศูนย์เช่ารถอยู่ด้านหลังสถานีรถไฟที่ทางออกอีกทางนั่นเอง

ฝรั่งพนักงานให้เช่ารถพูดภาษาอังกฤษฟังยากมาก รวมถึงชาวอังกฤษทุกคนที่เจอด้วย ไม่รู้เรียนภาษาอังกฤษกันมายังไงเนอะ อย่างไรก็ตาม 4 คำก็เที่ยวได้ ง่ายนิดเดียวของเรา (yes, no, ok, thank you) ก็ยังใช้ได้อยู่เสมอ เมื่อให้พจนารถเป็นคนขับที่ 1 พวกเราจึงตกลงทำประกันรถเพิ่มอีก เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและเพื่อนร่วมทาง นายฝรั่งคนนั้นชี้นิ้วกูลีกูลูออกมาด้านนอกแล้วก็หายหัวไปเลย ปล่อยให้ย้งเอารีโมตที่ได้มาไปจ่อรถสีบรอนซ์เงินคันที่จอดด้านหน้าสำนักงานแล้วเปิดไม่ได้อยู่เป็นนาน กว่าเราจะได้ Ford focus สีดำสนิทที่จอดห่างออกไปเป็นพาหนะตลอด 3 วันต่อมา

ระบบรถในอังกฤษนอกจากที่ปัดน้ำฝนและไฟเลี้ยวจะอยู่ด้านตรงข้ามกับเมืองไทยแล้ว ยังมีระบบเสริมอีก เช่น เนวิเกเตอร์ที่ต้องใส่รหัสไปรษณีย์ของต้นทาง (home) และปลายทาง จากนั้นลูกศรที่จอภาพตรงกลางคอนโซลรถและหน้าปัดความเร็วที่คนขับก็จะแสดงออกมาให้เห็นพร้อมชื่อถนน โดยจะเปิดเสียงบอกทางด้วยหรือไม่ก็ได้ ส่วนไฟหน้าและที่ปัดน้ำฝนจะทำงานอัตโนมัติ การปัดน้ำฝนที่กระจกหลังก็แค่ดึงก้านปัดน้ำฝนเข้าหาตัว (เป็นความรู้ใหม่เพราะรถตูไม่มี) เราอุตส่าห์ทำ CD เพลงมาไว้ฟังกันระหว่างเดินทาง เครื่องเล่นก็อ่านไม่ได้ซะอีก

ออกจากเมืองได้แบบพึ่งเนวิเกเตอร์ของรถและแผนที่ที่ย้งโหลดมา เราขับเอายางไปถูฟุตบาทข้างซ้าย 1 ครั้ง ให้ตกใจกันเล็กๆ พอเข้าทางด่วนได้ก็ไม่ค่อยมีทางแยกให้หลง มีแต่แยกที่พักริมทางและปั้มน้ำมันให้พักรถเป็นระยะ (ใช้คำว่า service) เราแวะพัก service เอาตอนเกือบบ่าย ยังไม่มีใครหิวก็เลยซื้อกาแฟกินไปก่อน เป็นสาขาของยี่ห้อคู่แข่งสตาร์บัค ชื่อ costa ซึ่งทั้ง 2 เจ้าไม่มีขั้นตอนการสั่งจุกจิกเหมือนในเมืองไทย เพราะสั่งแล้วเราจะได้แค่กาแฟผสมน้ำร้อนมา ส่วนน้ำตาล นม มาเติมเอาเองที่เคาน์เตอร์อีกด้าน ด้วยความที่ยังไม่หิว เรา แมวและย้ง เลยตกลงกันว่าสั่งมาชิมแก้วเดียวก็คงพอ ได้กาแฟมาแล้วเราก็ฉีกน้ำตาลทรายเติมลงไปซองนึง แมวที่อยู่ใกล้ๆ บอกว่ามี syrup ให้เติมด้วย (Brown sugar) แล้วก็หยิบซองมาอวด เราก็เลยคว้ามาเติมเพิ่มอีกซอง เติมเรียบร้อยแล้ว แมวคงกะจะจิ๊กอีกซักซองถึงได้เห็นว่า นี่มันเป็นซอสบาร์บิคิว (Brown sauce สำหรับเติมแฮมเบอร์เกอร์) นี่หว่า..... จากนั้นก็เป็นการผลัดกันชิมกาแฟสูตรพิเศษ ที่เติมนมสดตามเข้าไปกลบกลิ่น แล้วก็กลับมาทำเนียนๆ ที่รถ คะยั้นคะยอให้ย้งกินโดยอ้างว่ายังร้อนเลยให้ย้งกินก่อน ย้งผู้น่าสงสารเลยได้กินกาแฟรสชาติแปลกๆ (เจ้าตัวก็รู้สึกแหม่งๆ) ก่อนที่เพื่อนๆ จะเฉลยและช่วยกันกินจนหมด

ย้งคงเบื่อจะเตือนเรื่องลากเกียร์และชิดซ้ายมากไปเลยขอเปลี่ยนขับเอง ทำให้ทุกคนเบาใจขึ้นถ้าไม่คิดถึงความเร็วที่เจ้าตัวบอกต้องทำเวลาหน่อย (160 km/h ขณะที่พจขับก็ 130 km/h แล้วนะยะ) แล้วมันก็พารถไปถูข้างขวาอีก 1 ครั้ง สมดุลกัน แต่ให้ตายเหอะพอเราละจากที่นั่งคนขับปุ๊บ ฝนก็หยุดตก แดดทำท่าจะออกขึ้นมาทันที เราไปถึงเอดินเบอระจุดหมายก็บ่ายคล้อยแล้ว เสียเวลาวนหาที่พักเพราะถ้าเข้าเมืองแล้ว เนวิเกเตอร์ของรถก็กลายเป็นส่วนเกินหมดประโยชน์ทันที จากย่าน old town มรดกโลกของเอดินเบอระที่เป็นอาคารสวยรูปทรงโบราณสมัยศตวรรษที่ 16 - 17 ที่พร้อมจะมีสาวกระโปรงสุ่มเดินกรุยกรายออกมาทุกเมื่อ ไปจนถึงย่าน new town ที่เป็นตัวอย่างผังเมืองที่ยอดเยี่ยมในสมัยศตวรรษที่ 18 เนวิเกเตอร์ย้งต้องคอยบอกทางไปพลาง ดูแผนที่ไปพลาง ที่สำคัญไม่ว่าจะบอกให้ไปทางไหน พจนารถ (ที่เปลี่ยนมาขับหลังเข้าเมืองและฝนก็ตกอีกครั้ง) ก็จะเลี้ยวซ้ายผ่านตลอด....เสมอ

ในที่สุดเราก็มาถึงที่พักจนได้ แบบต้องจอดรถไว้เมื่อเข้าเขตบ้านเลขที่ที่มีในใบจอง แล้วพากันเดินหา ดูจากภายนอกแล้วที่พักของเราขนาดเท่าบ้านขนาดกลาง 2 ชั้นแค่นั้น แต่พอเดินไปตามห้องพักที่วนไปเวียนมา พบว่ามี 20 กว่าห้อง (แคบๆ) เลยทีเดียว เราเดินกลับมาเอารถระหว่างที่ย้ง check-in แล้วเอาข้าวของไปวางไว้ในห้องอีกที เพื่อจะกลับมารอปุ๊กเจ้าของพื้นที่ที่ล็อบบี้ เดินไปเดินมาผ่านประตูกันไฟนับไม่ถ้วน เราก็พบว่าหลงทางเรียบร้อยแล้ว ไปเจอประตูที่เปิดไปชั้นใต้ดิน สวนหย่อม ฯลฯ จะกลับห้องไปกินข้าวเที่ยง (ที่ไม่ได้กินจนเย็นย่ำ) ตั้งหลักที่ห้องพักก็ดูท่าจะกลับไม่ถูกอีกเหมือนกัน แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ เดินไปเรื่อยๆ จนเจอประตูหนีไฟที่เปิดออกถนนทางเข้าที่จอดรถจนได้ หลังจากนั้นเพื่อนๆ ก็ไม่ปล่อยให้เดินในอาคารคนเดียวอีกเลย

ปุ๊กก็ต้องถามทางมาที่พักของพวกเราเหมือนกัน แต่ใช้เวลาน้อยกว่ากันเยอะ เจอกันได้ก็พากันใช้ ตั๋วรถเมล์แบบวันเดย์ไปยังถนนสายหลัก คือ Princes street ที่อยู่กลางเมือง ก่อนจะลงรถไปถ่ายรูปกันที่ Scott monument กลางฝนปรอยๆ (แล้วข้าวเค้าล่ะ....ฮือ) แล้วก็เดินไปเรื่อยๆ ตามทางมีผู้ชายใส่กระโปรงลายสก็อตมาเป่าปี่สก็อตหาลำไพ่ แต่ด้วยความหิวจึงไม่เห็นว่าจะแตกต่างกะพี่อี๊ดโปงลางที่นุ่งผ้าขาวม้าเป่าแคนที่ตรงไหน ดีที่มีแวะเข้าห้างให้ได้แว้บกินพุดดิ้งผลไม้รองท้องนิดหน่อย ได้ขนมของฝากเพิ่มมาอีก (แต่อาจจะไม่ฝ่งไม่ฝากมันแล้ว) ปุ๊กก็ชักชวนให้ไปที่วัดไทยแห่งเดียวของเอดินเบอระกันต่อ คราวนี้ฝนตกหนักจนน้ำท่วมถนน (สงสัยจะอนุโมทนากับจิตอันเป็นกุศลของเรา) วิ่งแน่บฝ่าฝนเข้าวัดได้ทันเวลาทำวัตรเย็นซะอีกแน่ะ

วันนี้เป็นวันเข้าพรรษาพอดี เหมาะกับการประกอบบุญเป็นอันมาก ฝนถึงได้ตกไม่ให้เราได้ไปเหยียบต้นหญ้าต้นข้าวที่ชาวนาปลูกเอาไว้ (ว่าเข้านั่น) นั่งขัดสมาธิสวดมนตร์ไปกับเขา (อ้างได้ว่าหลังผ่าตัดยังนั่งพับเพียบไม่ได้ ไม่เกี่ยวกับกางเกงคับแต่อย่างใด) ปีนี้มีพระสงฆ์มาปวารณาตนจำพรรษาที่วัดนี้กับหลวงพ่ออีก 2 รูป หลังทำวัตรเสร็จพวกเราก็ถวายปัจจัยร่วมกัน หมอปุ้มกับแมวมีพระเครื่อง พระธาตุ หนังสือสวดมนตร์เตรียมมาถวายพร้อมอยู่แล้ว หลังจากนั้นปุ๊กก็พาพวกเราไปที่ชั้น 2 ซึ่งเป็นห้องพักของพระสงฆ์ ห้องพักแขก และห้องครัว หาข้าวก้นบาตรให้เพื่อนๆ กินกัน

พวกเรามีกันหลายคน เลยกินกันคนละนิดหน่อย จะได้ไม่เบียดเบียนพระสงฆ์มาก แล้วก็กลับเข้าเมือง ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ฝนก็ยังตกอยู่ตลอด ต้องต่อรถเมล์ 2 ทอด และเดินกันอีกกว่าจะถึงที่พัก โชคดีที่คนขับรถเห็นว่ามืดแล้ว เลยใจดีขับเลยป้ายไปจอดให้พวกเราเดินใกล้หน่อย และก็เป็นธรรมเนียมของอังกฤษที่ผู้โดยสารเป็นฝ่ายขอบคุณคนขับเวลาจะลง คราวนี้เลยไม่ได้แค่พึมพำขอบคุณเบาๆ อยากจะร้องต่ออีกต่างหากว่า loving you too much, so much, very much right now ด้วย อิ อิ ปุ๊กก็ยังอุตส่าห์มาส่งเพื่อนถึงป้ายรถเมล์ แถมยังรับปากทำข้าวกล่องสำหรับพรุ่งนี้ให้พวกเราอีกด้วย ถึงจะดึกดื่นแค่ไหนอาหารก็ยังสำคัญสำหรับพวกเรา ข้าวผัดที่ย้งทำไว้ตอนเช้ายังกินได้อยู่โดยไม่ต้องแช่เย็น อิ่มได้พวกเราก็แยกย้ายกันเข้านอน

17 ก.ค. 54




เช้าวันนี้ตื่นขึ้นมาฝนก็ยังคงตกอยู่ จากข้อมูลที่พัก แมวบอกว่ามีครัวให้ใช้ด้วย เรากับย้งเลยเตรียมแฮมไปอุ่น ที่ไหนได้ เขาบอกว่าใช้เฉพาะพนักงาน เลยเอากลับมาลวกน้ำร้อนกันเองที่ห้องพัก เท่านี้ก็ได้ขนมปังแฮม ใส่เนยแผ่น และยังมีสลัดผักราดด้วยโยเกิร์ตอีกคนละชามใหญ่ สังเกตได้ว่าพ่อครัวจะเสริมผักเพื่อสุขภาพให้ด้วยทุกครั้ง ส่วนย้งก็สังเกตได้ว่าเพื่อนๆ ไม่มีอาการเจ็ทแล็ค คือ ง่วงเหงาหาวนอน กินน้อยหรือกินไม่ลงกันเลย มีแต่อาการ เจ๊แหลก...ม่ายเลิก กันซะมากกว่า

เช้านี้เรานั่งรถเข้าเมืองกันอีกครั้ง ไกด์ปุ๊กชี้เป้าห้างที่ลดราคาเตรียมไว้ช้อปซะส่วนใหญ่ พวกเราเดินขึ้นเนินไปยังปราสาทเอดินเบอระก่อนจะแยกทางกับย้งและปุ๊กที่เคยเข้าไปแล้ว ให้ 2 คนไปทำบุญที่วัดกันต่อ

รอคิวซื้อบัตรเข้าปราสาทกันท่ามกลางสายฝนอยู่เป็นนาน เรา แมว และหมอปุ้มก็คลำทางกันเดินเที่ยว (เพราะไม่ได้ซื้อแผนที่ที่ต้องจ่ายเงินต่างหากนอกจากบัตรผ่านประตู) แต่ตามทางเดินจะมีป้ายบอกชื่อสถานที่และรายละเอียดของอาคารแต่ละอาคารตลอดทางอยู่แล้ว

ปราสาทเอดินเบอระ ประกอบด้วยตึกรามและหอคอยทำด้วยหินทั้งหมด ภายในปราสาทมีสิ่งก่อสร้างเก่าแก่ที่สุดในเอดินเบอระ คือ Saint Margaret’s chapel เป็นโบสถ์หลังเล็กๆ อุทิศแด่มเหสีของกษัตริย์มัลคอล์ม แคนมอร์ ในตัวปราสาทมีห้องที่พระราชินีแมรี่ สจ๊วต แห่งสก็อตทรงมีพระประสูติกาลพระเจ้าเจมส์ที่ 4 แห่งสก็อตแลนด์ (หรือพระเจ้าเจมส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ ผู้ผนวกดินแดนทั้ง 2 เข้าด้วยกัน) ที่ชั้นบนสุดยังมีพระมหาพิชัยมงกุฎ พระคทา และพระแสงดาบแห่งสก็อตซึ่งเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์เก่าแก่ที่สุดในยุโรปอีกด้วย

แดดมาออกเอาตอนเกือบเที่ยง ให้ได้ถ่ายรูปกันมากหน่อยเมื่อใกล้เวลานัดพบกับย้งและปุ๊ก แมวถึงกับบอกว่าไม่เคยชอบแดดขนาดนี้มาก่อนเลย เกือบจะออกมาด้านนอกอยู่แล้ว ย้งก็โทรมาบอกว่าจะมาช้าสักหน่อย คะเนว่า 2 คนคงจะกินข้าววัดกันมา เราเลยชวนเพื่อนๆ กินข้าวกันในปราสาทซะเรย ตัวข้าวกล่องที่ปุ๊กเตรียมมาให้นั้นอยู่ที่พวกเรา แต่ช้อนส้อมดันไปอยู่ที่ย้ง ดีที่หมอปุ้มพกช้อนส้อมพลาสติกไว้เลยไม่ต้องถึงกับเปิบข้าวอย่างไทยแท้กลางปราสาทยุโรป

ออกมาถ่ายรูปหมู่กันก่อนจะเดินดูข้าวของตามร้านรวงที่อยู่ระหว่างทางเดินด้านหน้าปราสาท ย้งพาเข้าร้านที่มีเครื่องทอผ้าลายสก็อต และมีบริการถ่ายรูปในชุดพื้นเมืองให้ด้วย แต่ไม่ว่าจะชวนยังไง ย้งก็ยังยืนยันไม่ยอมนุ่งกระโปรงลายสก็อตของผู้ชายหรือที่เรียกว่าคิลต์ (Kilt) ถ่ายรูปกับเพื่อนๆ เดินเข้าออกร้านขายของที่ระลึกอื่นๆ ที่เรียงรายต่อกันไปยาวเหยียดตามถนนรอยัลไมล์ ที่ยิ่งห่างจากปราสาท ราคาก็ยิ่งถูกลง เราเดินไปเรื่อยๆ ผ่านบ้านของข้าราชสำนักเก่าที่สวยงามแทรกอยู่ทั้ง 2 ข้างทาง จนสุดถนนก็ถึง Palace of Holyroodhouse ซึ่งเป็นพระราชวังที่ประทับแปรพระราชฐานของสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 สร้างในปี 1498 โดยพระเจ้าเจมส์ที่ 4 ในพระราชวังมีจุดเด่นคือพรมประดับผนังแบบฝรั่งเศสแขวนไว้เกือบทุกห้อง ติดกับ Palace of Holyroodhouse เป็น Holyrood Abbey ซากวิหารเก่าอยู่ติดกับสวนสวยปูหญ้าเขียวขจีราวกับพรม ที่เห็นอยู่ไกลๆ จากวิหารเป็น Holyrood park ที่มีทางเดินลาดชันนำไปยัง Arthur’s seat เป็นยอดเนินลาดตัด ให้คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวได้เดินขึ้นไปในวันที่อากาศดี

ย้งต้องตัดใจเลิกเกณฑ์เพื่อนๆ เดินขึ้นเขา เพราะเสียเวลามานานโข เปลี่ยนเป็นขึ้นรถเมล์ไปที่ Calton hill แทน ปุ๊กยังได้โอกาสพาสาวๆ ขาช้อปไปซื้อรองเท้า fitflop ที่ลดราคาวันสุดท้าย (บางรุ่น) ในห้างแถวๆ รถเมล์จอดจนได้

พวกเราต้องเดินขึ้นเขา (ที่ไม่ชันนัก) กันอยู่ดีที่ Calton hill ซึ่งมีบันไดขึ้นเขา ถ่ายรูปกันโดยมีฉากหลังเป็นเสาหินโรมันส่วนหนึ่งของ National monument ที่สร้างเลียนแบบวิหารพาร์เธนอน แบบสบายๆ ไปจนแบบกระโดดหมู่ ให้ฝรั่งแตกตื่นกันอีก ก่อนจะไปปีนเสาหินโรมันเพื่อถ่ายรูประยะใกล้ มีพจกับปุ๊กคอยเป็นกำลังใจให้อยู่ด้านล่าง
แล้วค่อยย้ายไปถ่ายรูปกับจุดชมวิวที่มองเห็นเมืองเอดินเบอระทั้งเมืองอยู่เบื้องล่าง ไม่นานนักเราก็สำนึกได้ว่าแว่นตาตูหายไปไหนหว่า จนต้องเดินกลับทางเก่ามาพบกับเศษแว่นแถวๆ เสาหินโรมันนั่นเอง โชคยังดีที่ชำรุดไม่มาก พอจะประกอบกลับเข้าเป็นเหมือนเดิมได้

ลงจาก Calton hill ก็ถึงเวลาต้องแยกทางกับปุ๊กกลับแมนเชสเตอร์ซะแล้ว พวกเราแวะถ่ายรูปกับสถานีรถไฟ Waverley และวิวบนสะพานที่มองเห็นเมืองและปราสาทเอดินเบอระ แล้วขึ้นรถเมล์กลับไปเอารถที่โรงแรมเดิมก่อนอำลาเอดินเบอระเอาตอนย่ำค่ำ
เนวิเกเตอร์ของรถคงพาเราออกจากเมืองไปตามเส้นทางลัด เพราะเราผ่านทุ่งข้าวสาลี มีแกะ วัว ให้เห็นอยู่ตามท้องทุ่งในตอนเกือบ 2 ทุ่ม และฝนตกปรอยๆ มีต้นไม้ 2 ข้างทางโค้งเข้าหากันเป็นอุโมงค์ต้นไม้ให้ตื่นตาตื่นใจเป็นระยะๆ กว่าจะเข้าทางด่วนได้ก็มืดสนิทแล้ว พวกเราถึงที่พักกันอย่างง่วงสุดๆ เอาเกือบเที่ยงคืน

18 ก.ค. 54




วันนี้พวกเราขับรถไปที่เมืองบาธ (Bath) กันต่อ เราขับออกมานอกเมืองให้ย้งได้นอนพักแป๊บนึงเพราะต้องดาวน์โหลดเส้นทางจนดึก ตอนเช้ายังต้องเตรียมอาหารเช้าและข้าวกล่องตอนเที่ยงอีก ผ่านเส้นทางที่สวยงามเหมือนเมื่อคืนวาน (และฝนตก) ก่อนจะแวะเปลี่ยนขับกันกลางทาง เราแวะกันที่สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) หมู่ก้อนหินโบราณกลางท้องทุ่งกว้างใหญ่ ซึ่งเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของยุคโบราณ ประกอบด้วยหินเรียงเป็น 2 ชั้น ชั้นนอกเป็นรูปวงแหวน ส่วนชั้นในเป็นรูปเกือกม้า ก่อด้วยหินเนื้อสีฟ้าลักษณะเหมือนหินขุดจากเนินเขาพรีเซลี (Prescelly) ที่เพ็มโบรกเชอร์ (Pembrokeshire) ในเวลส์ (อยู่ไกลมากสำหรับยุคโบราณ) ก้อนหินขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่มสูง 6 เมตร ส่วนที่ฝังในดินยาวกว่า 2.5 เมตร สโตนเฮนจ์สร้างขึ้นเพื่ออะไรไม่มีใครทราบ แต่สันนิษฐานกันว่าเกี่ยวข้องกับดาราศาสตร์และพิธีกรรมบางอย่าง

พวกเราจอดรถในที่จอดรถ แล้วก็เดินไปเกาะรั้วตาข่ายเหล็กเพื่อหาทางเข้าแต่ก็ไม่เจอ เลยกลับมาตั้งต้นที่ลานจอดรถกันใหม่ถึงได้เห็นว่าทางลาดลงไปใต้ดินมีช่องขายบัตรผ่านประตูอยู่ ให้ซื้อบัตรแล้วเดินลอดทางใต้ดินไปโผล่ข้างในตาข่าย
ถ่ายรูปกันท่ามกลางฝนตกและลมแรง (อีกแล้ว) เป้าหมายต่อไปก็คือเมืองบาธ ที่ย้งยังรับหน้าที่คนขับต่อไป ในขณะที่ผู้โดยสารเปิดกล่องข้าว กินข้าวผัดน้ำพริกใส่หอยลายกระป๋องกันอย่างอร่อย

ใกล้จะถึงตัวเมือง คนมีใบขับขี่อย่างเราก็เปลี่ยนมาขับ และพาเลี้ยวซ้ายอีกเช่นเคย วนไปวนมาจนชักหงุดหงิด ย้งเลยเปลี่ยนขับแล้วหาที่จอดรถ แบบต้องเสียค่าจอดโดยให้หยอดเหรียญตามเวลาที่จะจอด ก่อนจะเหยียบเมืองน้ำแร่ที่มีชื่อที่สุดของอังกฤษ ซึ่งในยุคที่อาณาจักรโรมันแผ่อิทธิพลมาถึง นักรบโรมันเป็นผู้พบบ่อน้ำแร่อุ่นๆ บริเวณนี้เข้า จึงสร้างโรงอาบน้ำและก่อสร้างเมืองสไตล์โรมันขึ้นจนได้รับการยกย่องเป็นเมืองมรดกโลกอีกแห่งหนึ่ง สิ่งที่น่าดึงดูดที่สุดของบาธก็คือโรงอาบน้ำในยุคโรมัน หรือ Roman Baths ที่อยู่ใจกลางเมือง ประกอบด้วยพิพิธภัณฑ์และบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่ยังคงมีไออุ่นและควันจางๆ ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ น่าลงไปแช่อย่างยิ่ง ถึงแม้จะมีป้ายห้ามลงไปในน้ำ แต่พจนารถก็ยังแอบๆ เอามือจุ่มและยังแถกับเพื่อนๆ ได้อีกว่าในรูปห้ามเอาเท้าแช่ ไม่ได้ห้ามเอามือแช่ซะหน่อย....แฮ่


เราเดินเที่ยวกันไปจนถึงเซอร์คัส (The Circus) อาคารเก่าแก่ที่เรียงต่อกันเป็นรูปทรงกลม แล้วเลยไปจนถึงรอยัลเครสเซนต์ (Royal creacent) อาคารรูปทรงสวยงามสร้างเป็นครึ่งวงกลม ถ่ายรูปกันจนพอใจแล้วค่อยเดินย้อนกลับมาริมแม่น้ำเอวอน ผ่านมหาวิหารแห่งบาธ (Bath Abbey) ที่ดูยิ่งใหญ่ตามแบบสถาปัตยกรรมโกธิค แวะซื้อขนมขบเคี้ยวกินไปพลางๆ จนมาถ่ายรูปกันใกล้ๆ สะพานพัลทินีย์ (Pulteney bridge) ที่มีร้านค้าสร้างเป็นส่วนหนึ่งของสะพาน ฝนที่ยังคงตกอยู่ตลอดทางทำให้เราได้เห็นรุ้งกินน้ำตัวใหญ่เกิดคู่กันอย่างสวยงามระหว่างรถวิ่งผ่านตอนเกือบ 3 ทุ่ม


19 ก.ค. 54



วันนี้เราออกเดินทางสายกว่าทุกทีเพราะจุดหมายคือ ยอร์ก (York) นั้นห่างจากแมนเชสเตอร์เพียงชั่วโมงกว่าๆ เท่านั้น ย้งยังมีเวลาชงชาชัก (มีถุงกาแฟอีกต่างหาก) กับกาแฟผงของสตาร์บัคให้พวกเรากินอีกต่างหาก เราวนหาที่จอดรถในร่มแล้วหยอดเหรียญเช่าเป็นเวลา 4 ชั่วโมง จากนั้นก็เริ่มต้นเดินไปที่ Clifford tower อันเป็นหอคอยแบบนอร์มัน มีนักเรียนเดินขึ้นไปชมป้อมปราการนี้กันเป็นแถว ขึ้นบันไดเดินตามเขาไปแบบไม่รู้เรื่อง ในที่สุดก็ถูกเรียกให้ไปซื้อบัตรผ่านประตูก่อน รอคิวอยู่นานจนขี้เกียจเข้า พวกเราเลยไปกันต่อที่พิพิธภัณฑ์รถไฟ (National railway museum) เนื่องจากยอร์กเป็นชุมทางรถไฟของอังกฤษมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เมื่อเดินเข้าไปได้ ย้งก็กลายร่างเป็นเด็กชายตัวโต เดินดูรถไฟทั้งของจริงทั้งแบบจำลองอย่างร่าเริง

ออกมาถ่ายรูปกับกำแพงเมืองเก่าแก่ที่ทอดตัวเหยียดยาวออกไปสุดสายตาแล้ว เราก็ต้องหยุดหลบฝนที่ป้ายรถเมล์กันพักใหญ่ ให้ย้งได้เปรยว่าตั้งแต่เพื่อนมาไม่มีวันไหนฝนไม่ตก ก่อนจะไปยังสถานที่โดดเด่นที่สุดในยอร์ก คือ ยอร์กมินสเตอร์ (York Minster) สถาปัตยกรรมผสมระหว่างศิลปะคลาสสิก นอร์มันแซกซัน และอังกฤษ วิหารนี้ใช้เวลาสร้างกว่า 250 ปี ผ่านยุคสมัยมามากมาย ดูได้จากชั้นของเสาหินหลักของตัววิหาร นอกจากนั้นศิลปะการวาดภาพประดับกระจก และหน้าต่างกระจกสียังเป็นจุดเด่นอีกอย่างของวิหารแห่งนี้ ด้วยความที่พวกเราไม่ได้หาข้อมูลอย่างละเอียดแต่อาศัยโชคช่วยเลยพลอยได้รูปกระจกหน้าต่างด้านตะวันตกที่วาดในปี 1338 ที่รู้จักกันในชื่อ “หัวใจแห่งยอร์กเชอร์” และหน้าต่าง “ไฟว์ ซิสเตอร์ (Five sisters)” ที่เก่าแก่ที่สุดของวิหาร สร้างด้วยกระจกกริซาย สีเขียวและเทา เป็นรูปเรขาคณิต รวมทั้งหน้าต่างกระจกสีบานเดี่ยว บานใหญ่ที่สุดในโลก ทางทิศตะวันออก หรือ Great East window ซึ่งภาพบนกระจกจะแสดงถึงกำเนิดและอวสานของโลกตามคัมภีร์ไบเบิ้ล นอกจากนี้ยังถ่ายรูปมั่วๆ ไปติด “หน้าต่างกุหลาบ (Rose window)” ที่แสดงถึงการยุติ “สงครามกุหลาบ” ระหว่างราชสกุลแลงคาสเตอร์ (กุหลาบแดงแห่งแลงคาสเตอร์) และยอร์ก (กุหลาบขาว) และเป็นจุดเริ่มต้นของราชวงค์ทิวดอร์อีกด้วย



The great east window




Heart of Yorkshire




Five sisters window




Rose Window



เราแวะกินขนมสโคน (scone) ขนมประจำชาติอังกฤษ กับน้ำชาในร้านดังของยอร์ก ชื่อร้าน Bettys ซึ่งมีเคล็ดลับพิเศษในการชงชาที่คนทั่วไปยกย่องว่าอร่อย เช่น ระดับความร้อนของน้ำชา การกำหนดเวลา และส่วนผสมของใบชา เรากินชาอังกฤษสูตรดั้งเดิมของร้าน ชาเอิร์ลเกรย์ แต่ที่สุดแล้วกลับถูกใจชาซีลอน (น่าจะดังแถบศรีลังกา) กันซะนี่ ส่วนขนมสโคนที่เนื้อแน่นหนานุ่ม ถ้าได้กินอีกซัก 4 – 8 ชิ้น คงจะดีไม่น้อย อิอิ


หลังจากนั้นย้งก็ปล่อยให้มองกระเป๋าลดราคาของร้าน Cath Kidston กันตาละห้อย ก่อนจะพาเดินจ้ำอ้าวกลับไปที่รถ เนื่องจากใกล้จะหมดเวลาที่เสียค่าเช่าที่จอดไว้เต็มที เราต้องเปลี่ยนแผนกันใหม่โดยกลับให้ถึงแมนเชสเตอร์ก่อน 5 โมงเย็นเพื่อคืนรถในวันนี้แทนที่จะเป็นวันพรุ่งนี้ เพราะย้งต้องรีบไปพบ อ.ที่ปรึกษา ตอนเช้า จะไม่ว่างเอารถไปคืนตามเวลาที่กำหนด แต่ที่สุดแล้วฝนตก รถติด ก็ยังมีที่อังกฤษ เราเลยกลับมาถึงในเวลา 6 โมงเย็น ยังสว่างพอที่ย้งจะติวเส้นทางให้พจขับรถไปคืนที่ศูนย์ Hertz

เมนูวันนี้เป็นแกงเขียวหวานไก่ และปลาทอด เราไปหาวัตถุดิบกันที่ Asda กันอีกเช่นเคย ส่วนปลานั้นย้งได้เตรียมไว้ให้พวกเราตั้งแต่แรก (แปลว่าอย่างน้อย 3 วัน) แล้ว นอกจากนี้ยังมีเมนูมูสสตอเบอร์รี่เป็นของหวานอีกต่างหาก แต่ก่อนจะได้กิน เราต้องไปรับตั๋วรถไฟที่จองไว้ที่สถานีรถไฟก่อน ย้งแยกไปซื้อของอีกที่หนึ่ง ปล่อยให้ 3 สาว เดินตามทางที่จะต้องเอารถไปคืนในวันพรุ่งนี้เพื่อย้ำให้จำได้ ก่อนจะมาเจอกันอีกทีที่สถานีรถไฟแมนเชสเตอร์

ย้งบอกว่าพวกเราโชคดีมากที่ซื้อตั๋วไปลอนดอนได้ในราคาถูกสุดๆ คือในราคาคนละ 17 ปอนด์ ในขณะที่ซื้อตามปกติราคาจะอยู่ที่ประมาณ 30 ปอนด์ จากนั้นเราก็ไปเดินเที่ยวกันในเมืองแมนเชสเตอร์โดยไกด์ย้งคอยชี้เป้าให้ว่าวันพรุ่งนี้ตอนที่ย้งคุยกับ อ. ที่ปรึกษา เพื่อนๆ จะมาเดินเที่ยวกันที่ไหนได้บ้าง ก่อนจะทำหน้าที่ตากล้องถ่ายรูปพวกเรากับ Manchester wheel, Manchester cathedral และสถานที่ใกล้เคียงจนมืด เดินขาลากผ่านไชน่าทาวน์ของแมนเชสเตอร์ แล้วก็กลับไปกินข้าว (ที่ปุ๊กให้มา) แกงเขียวหวาน ปลาทอด กันจนเกือบอิ่ม ไม่ลืมของหวานที่นึกว่าย้งจะตีวิปครีมให้ฟูก่อน เราก็เลยได้กินสตอเบอร์รี่ราดด้วยน้ำครีมข้นมันของวิปครีม จนสตอเบอร์รี่หมด ก็ได้เวลาแม่ครัวพจนารถสร้างสรรค์ผลงานขึ้นมาด้วยความเสียดายวิปครีม (อย่างน้ำ) ที่เหลือ เช่น ใส่กล้วยหอม ช็อคโกแลต และแนคทารีน

20 ก.ค. 54




เช้านี้ย้งเปิดโอกาสให้ตื่นกันตามสบาย แต่พจนารถก็ยังมาตะกายประตูขอของกินในครัวแต่เช้าเหมือนเดิมจนได้ แถมยังขอเมนูไปกินกลางวันที่ลอนดอนเป็นผัดกระเพราะไข่ดาว อิอิ ย้งรีบออกไปก่อนเอาเคล็ดว่าถ้าเพื่อนยังอยู่ในอาคาร ฝนคงยังไม่ตก จากนั้นพวกเราก็กินข้าวแล้วพากันเอารถไปคืน ชาวเมืองแมนเชสเตอร์คงต้องระวังรถเช่ากันไปอีกนานเพราะพอรู้ว่าผิดเลนปุ๊บ พจนารถก็จะปาดเข้าเลนที่ถูกต้องปั๊บ หรือไม่ก็แซงซ้ายมาเข้าขวา ในที่สุดก็ได้เยี่ยมหน้าเข้าไปคืนรถด้วยประโยคภาษาอังกฤษที่ซ้อมมาเป็นอย่างดี หลังจากฟังฝรั่งคนเดิมตอบกลับมาเป็นชุดด้วยหน้าตาว่างเปล่า เราก็ตบท้ายด้วย “Is that all? OK thank you” แล้วก็สะบัดตรูดจากมา ยังไงซะขาดเหลืออะไรมันก็ไปตัดที่บัตรเครดิตของย้งละวะ

เมื่อสาวๆ อยู่กันตามลำพังก็เป็นเวลาของการช้อป เราไปเริ่มกันที่ Market street เข้าห้าง Arndale ไม่ได้อะไรติดมือกันมา แต่ก็ยังได้ชาอังกฤษจากร้าน Whittard ที่ใส่มาในกระปุกสวยน่าซื้อลวดลายแตกต่างจากที่ซื้อจากเอดินเบอระ แอบคิดอยู่เล็กๆ ว่าไปถึงลอนดอนคงจะมีกระปุกสวยๆ รูปแบบอื่นอีกเป็นแน่ จนย้งโทรมาบอกว่าเสร็จธุระและเตรียมอาหารเที่ยงไว้ให้แล้ว เราก็เลยกลับไปกินข้าว มื้อนี้มีมักกะโรนีแกงเขียวหวานสุดอร่อย และเก็บกระเป๋าให้เรียบร้อยเตรียมพร้อมสำหรับไปลอนดอนกัน

ไม่น่าเชื่อย้งเล้ย ว่าเผื่อเวลาไว้ให้เต็มที่เพื่อจะลากกระเป๋าหนักๆ เดินราวครึ่ง กม. ไปสถานีรถไฟ เพราะในที่สุดเราก็ต้องจ้ำตามควาย เอ๊ย ตามคนเดินหน้า ฝ่าฝนไปให้ถึงสถานีภายใน 15 นาที ขึ้นรถไฟได้แป๊บเดียวก็ถึงเวลารถไฟออกให้หวาดเสียวว่ามาช้ากว่านี้หน่อยคงต้องตกรถไฟแน่ๆ ไม่ว่าจะหวาดเสียวหรือเหน็ดเหนื่อยจากการลากกระเป๋าขนาดไหน เราก็หลับสนิทตั้งแต่ต้นทางในตู้ปลอดเสียง ส่วนย้งใช้บัตรนักเรียนลดราคาเลยต้องไปนั่งอีกตู้หนึ่ง

2 ชั่วโมงกว่าๆ ต่อมาเราก็มาถึงสถานีอูสตัน (Euston) มหานครลอนดอน พวกเรายังได้รับความอนุเคราะห์บัตร Oyster card จากรุ่นน้องที่ย้งยืมมาให้เติมเงินด้วยตู้อัตโนมัติโดยไม่ต้องเสียค่ามัดจำบัตร เริ่มลำบากกับการลากกระเป๋าใบใหญ่ต่อรถไฟใต้ดินซะแล้ว เพราะลิฟท์ที่มีตามสถานีไม่เห็นจะใช้งานได้ ดีที่พวกเราไม่ได้มาในช่วงคนแน่นเวลาเลิกงาน เลยพอมีที่ให้นั่งในรถไฟ แต่แมวกับหมอปุ้มต้องแยกไปนั่งอีกด้านหนึ่ง


รถไฟใต้ดินที่นี่เป็นระบบเดียวกับประเทศอื่นๆ ที่ผ่านมา คือ มีป้ายบอกสาย สถานีที่ผ่าน และชานชาลา ต่อจากสถานีอูสตัน เราจะเอาของไปเก็บที่พักกันก่อนที่สถานีแฮมเมอร์สมิธ (Hammersmith) ซึ่งห่างออกมา 4 สถานี ในรถมีเสียงบอกชื่อแต่ละสถานีและแจ้งว่ามีการก่อสร้างที่สถานีที่ 3 รถจะไม่จอด (ด้วยสำเนียงอังกฤษแท้) เรารู้ข้อมูลเพราะยืนอยู่ใกล้แผนผังสถานีและอ่านเอา พอถึงก็เรียกหมอปุ้มที่นั่งห่างออกไปให้ลง เห็นหมอปุ้มพยักหน้าแล้วเชียว ลากกระเป๋าลงมาได้อย่างทุลักทุเล มองไปอีกประตูที่เพื่อนๆ ควรจะลงกลับพบแต่ความว่างเปล่า เลยถามย้งว่าตกลงหมอปุ้มกับแมวลงมาหรือเปล่า ย้งรีบวิ่งไปตบกระจกแรงๆตรงที่ 2 สาวยังนั่งอยู่แทนคำตอบ ให้แมวได้แสดงพลังแฝงยกกระเป๋าปลิวลงมาที่ชานชาลา ส่วนหมอปุ้มลงเป็นคนต่อมาเลยโดนประตูรถไฟหนีบเป้หลัง ดีที่ฝรั่งข้างบนรถช่วยแงะประตู กับย้งที่ง้างด้านล่างจนหลุดออกมาได้ นับว่าชาวอังกฤษเป็นสุภาพชนทีเดียวเพราะการง้างประตูให้เปิดออก น่าจะลำบากกว่าการถีบของที่ค้างอยู่ให้หลุดออกไป อิอิ

มาถึงสถานีแฮมเมอร์สมิธ แบบต้องลากกระเป๋าลงบันได ยกกระเป๋าขึ้นบันได......เฮ่อ มาได้พักตรงแถวทางออกสถานี ให้ย้งไปถามว่าที่พักของพวกเราต้องไปทางไหน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาลากกระเป๋าน้ำหนัก 20 กก. หลงทาง แล้วเราก็เจอที่พักเป็นหอพักแยกเข้าไปในซอย ห่างจากสถานีนิดเดียว แต่ดูสงบไม่พลุกพล่านเหมือนที่สถานีรถไฟ พวกเราเลือกห้องพักที่มีห้องน้ำในตัวแทนที่จะเป็นห้องนอนรวมกับคนอื่นที่ราคาถูกกว่า แต่ทั้งห้องนอนและห้องน้ำก็คับแคบสุดๆ มีดีตรงที่ผ้านวมหนานุ่ม และมีห้องครัว ห้องดูทีวี ให้ใช้รวมกับผู้เข้าพักคนอื่น

เราจัดการผัดกระเพราไข่ดาวกันก่อนจะไปเดินเที่ยวยามเย็นกัน หลังกินข้าวก็มีเรื่องให้ตื่นเต้นอีกแล้ว เพราะย้งหาบัตร Oyster ที่ในซองใส่มีตั๋วรถไฟกลับแมนเชสเตอร์ไม่เจอ พวกเราช่วยกันค้นห้องหากันก็ยังไม่เจอ จนต้องตัดใจเดินไปที่สถานีแฮมเมอร์สมิธเพื่อซื้อใหม่ ยังดีที่ถามกับพนักงานขายก่อนเลยได้ความว่ามีคนเก็บมาส่งให้แล้ว แต่โชคร้ายที่ทางสถานีระงับเงินในบัตร Oyster ไปแล้ว ย้งก็เลยต้องทำบัตรใหม่ ส่วนตั๋วรถไฟซึ่งมีมูลค่ามากกว่าได้กลับคืนมา

เราไปเดินถ่ายรูปกันที่ Big Ben กลางสายฝนอีกแล้ว เดินไปบนสะพานเวสมินสเตอร์ยังมองเห็น London eye อีกฝั่งของแม่น้ำเทมส์ได้อีกต่างหาก ถ่ายรูปกันจนได้ยินเสียงระฆังเหง่งหง่าง บอกเวลา 3 ทุ่มจากบิ๊กเบน มาถึงลอนดอนได้ก็ต้องคิดถึงของฝาก แมวสนใจร่มที่มีลวดลายธงชาติสหราชอาณาจักร ซึ่งบนผืนธงของอิงแลนด์เดิมมีเครื่องหมายกางเขนสีแดงบนพื้นสีน้ำเงิน เพิ่มเครื่องหมายกางเขนสีขาวของสก็อตแลนด์ และเครื่องหมายกากบาทสีแดงบนธงเป็นของไอร์แลนด์ เรียกว่า ธงยูเนียน หรือ ธงยูเนียนแจ็ก (Unionjack) เจ้าแรกที่เจอราคาคันละ 6 ปอนด์ แต่วันต่อๆ มาก็หาได้ในราคา 4 ปอนด์

เดินผ่านดงอาคารสถาปัตยกรรมโกธิกอายุพันปีตั้งแต่ตึกรัฐสภาที่มีประวัติงัดข้อกับกษัตริย์มายาวนาน และวิหารเวสมินสเตอร์ (Westminster Abbey) ในยามค่ำคืน (แต่ยังสว่าง) และฝนตกไปเรื่อยๆ แวะตามร้านขายของที่ระลึก มีทั้งโปสการ์ดข้อความตลกๆ ทิวทัศน์ของลอนดอน เสื้อยืด หมวก พวงกุญแจ แผ่นแม่เหล็ก ชากระปุกที่ขายแยกชิ้นให้สะสม จนเหนื่อยก็พากันกลับที่พัก

21 ก.ค. 54




วันนี้เราออกกันสายหน่อย กินข้าวเช้าที่เตรียมด้วยไมโครเวฟ ก็ยังได้ไก่อบ มาม่า ข้าวโอ๊ต ใส่ผัก กันจนอิ่มมากๆ แบบที่มากับย้งแล้วกินเผื่อไปเลยเพราะไม่รู้ว่าอนาคตจะได้กินมื้อหน้าเมื่อไหร่.....น่าสงสาร ไปจองที่เกาะรั้วแถวหน้าพระราชวังบักกิ้งแฮมเพื่อจะดูพิธีเปลี่ยนผลัดยามกันก่อน จากตอน 10 โมงเช้าที่ผู้คนเดินถ่ายรูปกันรอบๆ อย่างสบายๆ เมื่อใกล้เวลา 11 โมงกลับแออัดยัดเยียดกันข้างรั้วพระราชวัง วันนี้ไม่มีธงโบกพลิ้วเหนือพระราชวัง แปลว่าสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธไม่ได้ประทับอยู่ พวกเราดูขบวนทหารที่เข้าแถว พร้อมด้วยการประโคมของวงโยธวาทิตอย่างเพลิดเพลิน จนลืมไปเลยว่าทหารยามผลัดกลางคืน (ชุดสีดำ) เปลี่ยนเวรกับผลัดกลางวัน (ชุดสีแดง) เรียบร้อยแล้ว




เดินต่อกันไปจนถึงโบสถ์เวสมินสเตอร์ (Westminster Cathedral)ซึ่งเป็นคนละที่กับ Westminster Abbey โดยสิ่งก่อสร้างที่เป็น Abbey จะมีโบสถ์หลัก และอาคารอื่นๆ อยู่ในอาณาเขตนั้นๆ แต่เพราะเราไปเดินชมกันกลางคืนและไม่ได้เข้าไปด้านใน เลยไม่ได้เห็นโบสถ์หลวง และโบสถ์พระเจ้าเฮนรี่ที่ 7 ที่ภายในมีหลังคาทรงโค้งเป็นรูปพัดสร้างด้วยหินสีขาว รวมถึงอาคารที่เก็บรักษาพระราชอาสน์ในพระราชพิธีราชาภิเษก ซึ่ง Westminster Abbey เป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีหลายๆ อย่างของราชวงศ์

ส่วน Westminster Cathedral เป็นอาคารเดี่ยวด้านนอกก่ออิฐสีแดงสลับขาวเด่นต่างจากโบสถ์อื่นๆ ภายในตกแต่งด้วยหินหลากสี เข้าไปด้านในแป๊บเดียวเนื่องจากในโบสถ์กำลังมีพิธีสวดมนตร์อยู่ และย้งเห็นลูกทัวร์เริ่มจะงอแงขออาหาร เลยพาพวกเราไปย่านโซโห หรือไชน่าทาวน์ที่สถานีไลซ์สเตอร์สแคว (Leicester square) พวกเราก็เลยได้กินเป็ดย่าง four seasons เจ้าดังกันอย่างเอร็ดอร่อย

อุตส่าห์เรียนภาษาจีนมาเป็นปี เจอพนักงานร้านพูดภาษาจีนทัก (คงจะเห็นว่ามากะย้ง) จากรูปแบบแล้วน่าจะถามว่ามากี่ที่ เราก็ตอบไปว่าซื่อเหยิน (si ren) พลีส มองหน้ากันไปมาอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นทั้งร้านและลูกค้าก็สื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษ (แบบเอเชีย) ด้วยความราบรื่นพร้อมด้วย service charge 20%


อาหารยังไม่ทันย่อยดีเราก็ไปกันต่อที่ Piccadilly circus ที่มีจุดเด่นคือรูปปั้นสัมฤทธิ์อีรอส (Eros) โก่งหน้าไม้ เอ๊ย คันธนู เด่นอยู่กลางแยก เป็นจุดนัดพบของชาวลอนดอนอีกที่หนึ่ง มีหนุ่มๆ วัยรุ่นจอมทะเล้นคอยทำท่าถ่ายรูปเป็นฉากหลังร่วมกับนักท่องเที่ยว เดินผ่านจตุรัสทราฟัลการ์ (Trafulgar) มีรูปปั้นอีตาเนลสันเด่นเป็นสง่าพร้อมด้วยสิงโตสำริดประดับ 4 ด้าน แล้วก็เลยไปที่ National gallery หอศิลป์แห่งชาติให้ถ่ายรูปกับอาคาร (แมวก็เลยอดดูภาพของแวนโกะห์) และสัญลักษณ์โอลิมปิก 2012 ย้งพาเดินเก็บ RC กันต่อโดยผ่าน ร้านเชอร์ล๊อกโฮมส์ ไม่รู้ที่มาที่ไปแต่ก็ถ่ายรูปไว้ แล้วค่อยขึ้นรถไฟไปหอคอยลอนดอนกัน



หอคอยลอนดอน (Tower of London) เป็นพระราชวัง คุกขังนักโทษ และลานประหารสมัยโบราณ เราถ่ายรูปกับด้านหน้า และด้านข้างที่มองเห็นTower bridge สะพานที่ยังยกขึ้นได้เมื่อมีเรือลำใหญ่ผ่าน ก่อนจะไปเยือนห้างแฮร์รอดส์ (Harrods) ห้างดังของลอนดอน ใกล้สถานี Knightbridge แค่การก่อสร้างอาคารก็ยิ่งใหญ่อลังการแล้ว เดินหลายวันก็คงไม่ทั่ว การตกแต่งภายในยิ่งสุดๆ บางชั้นเหมือนเนรมิตวิหารในอิยิปต์มาเชียว ในห้องน้ำยังมีโลชั่น น้ำหอม ให้ใช้ฟรีอีก แต่อยู่นานไม่ได้เพราะเจ๊คนทำความสะอาดแกจะคอยเรียกคิวเข้าห้องน้ำขัดคออยู่ตลอด แมวเริ่มควักใบสั่งสินค้าที่ผู้มีอุปการะคุณฝากซื้อมาแล้วก็ดิ่งไปที่กระเป๋าแฮร์รอดส์ก่อนอื่น โห ไม่อยากจะเชื่อว่าถุงผ้าใส่ของพอเคลือบพลาสติกแล้วมันจะแพงได้ขนาดนี้ ชักจะนึกถึงคำพูดตัวเองก่อนมาว่าจะไปเหมากระเป๋าแฮร์รอดส์แถวประตูน้ำมาไล่แจก มันก็เป็นความคิดที่ดีเหมือนกันนะเนี่ย ปล่อยให้แมวเลือกเอาตามสะดวกส่วนเราก็มายิกๆ ให้ย้งถ่ายรูปกับอภิมหาหมีที่ตั้งโชว์ (ขายด้วย)แถวนั้น ส่วนกระเป๋า Cath Kidston นั้น ถามจากประชาสัมพันธ์ที่ยืนคล้องสายสะพายอยู่เกือบทุกชั้นก็ได้ความว่าที่นี่ไม่มีคร่า แล้วก็ควักไอแพดออกมาแสดงเป้าหมายของร้านให้ดูตามแผนที่ ไปเดินในโซนซุปเปอร์มาเก็ตกันต่อ มีดอกไม้ดอกใหญ่ๆ และผลไม้จากทั่วโลก (ทุเรียน ลำไยยังมี) จากข่าวที่ได้มา ถ้าคุณอยากจะได้ฮิปโปไปเลี้ยงซักคู่ ก็ยังหาซื้อได้ที่แฮร์รอดส์ ย้งยังพาไปดูเบเกอรี่สุดน่ากิน ให้สูดกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย แล้วก็จากไป....แง

เรานั่งรถยาวไปสถานีคิงครอส (King cross) ด้วยความเคยชิน พวกเราก็เดินกันเข้าไปที่ชานชาลา แล้วก็หา 9 ¾ อยู่นานจนต้องเดินไปถามนายสถานี ก็ได้ความว่าอยู่ด้านนอกสถานีรถไฟโน่น ยังมีฝรั่งถ่ายรูปกันอยู่ไม่กี่คน หรือเป็นเพราะเย็นแล้วก็ไม่แน่ แต่ก็โชคดีที่พวกเราไม่ต้องรอนาน และถ่ายรูปกันอย่างไม่ต้องเร่งร้อน

ด้วยความติดใจเป็ดย่าง เมื่อย้งชวนไปกินอาหารจีนกันอีกครั้ง แต่คราวนี้เปลี่ยนร้านก็เลยไม่ได้สั่งเป็ดทั้งตัว สั่งเป็นข้าวหมูแดง เป็ดย่าง และอาหารอื่นๆ แทน ก่อนจะพากันกลับที่พัก

22 ก.ค. 54






วันนี้หมอปุ้มตื่นมาแต่เช้าจะขอแยกไปถ่ายรูปกับสนามฟุตบอลของทีมอาเซนอล เราก็เลยไปบอกย้งให้กินข้าวไปพลางๆ ก่อนแล้วไปด้วยกัน ถึงจะนั่งรถไฟนาน แต่โชคดีที่มีแดด หมอปุ้มเลยได้ถ่ายรูปที่สนามเอมิเรตต์สมใจอยาก

กลับมากินข้าวเช้ากันแล้วก็ไป British museum พิพิธภัณฑ์แห่งชาติของอังกฤษ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เราฟังชื่อก็ยี้ตั้งแต่ทีแรก แต่พอได้เข้าไปชมความอลังการและได้ถ่ายรูปมุมโน้นมุมนี้อย่างเพลิดเพลินแล้ว เข้าพิพิธภัณฑ์นี่ก็สนุกดีเนอะ แถมยังเข้าฟรี ยิ่งพอเข้าไปในโซนกรีกแล้วเจอบรรดาเทพเจ้าให้ได้จ้อประวัติจนเพื่อนๆ งุนงงว่าทำไมมีความรู้ประวัติศาสตร์กะเขาด้วย เราก็ทำหน้างงตอบกลับไปว่าพวกแกไม่ได้ดูเซนต์เซย่าเหรอ? เฮ้อ เบื่อจริงพวกเด็กยุคเจ้าหนูอะตอมเนี่ย ไปขำกลิ้งต่อที่ตุ๊กตานมแบน (Moai) ของหมู่เกาะอีสเตอร์ แล้วก็ถ่ายรูปกันในรูของเสาไม้แอฟริกาใต้จนยามต้องมาไล่ จากนั้นก็ขุดเทคนิคของกล้องมาถ่ายงูสองหัว (Double-headed serpent) ด้านในตู้กระจก แบบไม่ได้ดีซักภาพ ก่อนจะขึ้นไปดูมัมมี่อิยิปต์ที่ชั้น 3 ซึ่งคนเยอะที่สุด แต่แทนที่มัมมี่คน หรือมัมมี่กษัตริย์ ราชินี จะดึงดูดเรากลับกลายเป็นมัมมี่จระเข้ ปลาไหล ลิง ฯลฯ สารพัดของแปลก (ที่อุตส่าห์ทำขึ้นมา) และตลกเท่านั้นที่เราจะเข้าไปดูนานหน่อย

ออกจากพิพิธภัณฑ์เราก็ไปเดินเก็บ RC ที่เหลือ ที่โบสถ์เซนต์ปอล (Saint Paul’s Cathedral) อาคารทรงไม้กางเขนที่มีโดมใหญ่เด่นเป็นสง่า เป็นที่ประกอบพิธีอภิเษกสมรสของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ และเจ้าหญิงไดอาน่า ถัดจากนั้นก็ไปสะพานมิลเลเนียมที่สร้างในปี 2000 และเป็นฉากหนึ่งในเรื่องแฮรี่ พอตเตอร์ 6/1 และโคเวนต์การ์เดน ที่มีผู้คนมาเดินซื้อของกัน รวมทั้งจำอวดริมถนนให้ได้ดู หลังจากนั้นก็มากินอาหารจีน (และงดเป็ด) กันอีกที่ไชน่าทาวน์ แต่แวะซื้อขนมเค้กร้านน่ากินสุดๆ ก่อนจะกลับไปหาอิรอสที่พิคัลดิลลี่ เซอร์คัส อีกครั้ง เพื่อไปดูทีวีโฆษณาจอยักษ์ของซัมซุงตลอดความยาวตึกที่แยกนั้น ร้านเหล้าหรือบาร์ระหว่างทางที่พวกเราเดินไปนั้นคึกคักมากในคืนวันศุกร์เช่นนี้ ผู้คนยืนดื่มเบียร์กันหน้าร้านแล้วก็คุยกันอย่างออกรส ส่วนข้างในร้านมีแค่โต๊ะไม่กี่โต๊ะ บางร้านก็จำกัดเฉพาะชาวเหนือม่วงเท่านั้นอีกต่างหาก เสียดายอย่างเดียวที่เราผ่านร้านเค้กสไตล์ญี่ปุ่นที่น่ากินกว่าที่ซื้อมาซะอีก มองหน้าผู้จัดการทริปแล้วเห็นทีจะไม่ได้กินเป็นแน่แท้ เพราะเฮียเห็นท่าเราเกาะกระจกน้ำลายยืดแล้วบอกว่า “ถ่ายรูปไว้ดิ” เฮ่อ แต่กลับถึงที่พักและควักขนมออกมากินได้เราก็แก้แค้น เอ๊ย ให้เกียรติหัวหน้าทริปโดยหยิบช้อนชาประจำห้องพักให้ก่อน ส่วนสาวๆ มีแค่ส้อมคันใหญ่ที่เหลือๆ จ้วงกินกันจนหมดอย่างรวดเร็ว ให้ย้งมองตามตาปริบๆ หลังจากกินได้ไม่กี่คำ.....นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าไว้ใจพวกผู้หญิง เวลาจะกินของหวาน ฮี่ฮี่

23 ก.ค. 54



เช้านี้เราตื่นก่อนคนอื่นๆ เหมือนเดิม หลังจากเก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เราก็ไปเตรียมอุ่นอาหาร และเก็บกวาดของสดของแห้งที่ซื้อมาให้หมดในวันกลับ เมนูเช้านี้เลยมีมาม่าใส่ไก่อบและผัก ไข่เจียวใส่หอยลายกระป๋อง ส่วนย้งก็มาทำข้าวโอ๊ตของโปรดกินเหมือนเคย เสร็จแล้วก็พากัน check out และฝากของไว้กับที่พัก ก่อนจะไปพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์กันต่อ บรรดาหินลาวาและภูเขาไฟทั้งหลายที่นี่ยังไม่น่าตื่นตาตื่นใจเท่า โซนสิ่งมีชีวิต ตั้งแต่แมลง นก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีปลาวาฬสีน้ำเงินจำลองเท่าขนาดจริงตัวมหึมาแขวนไว้ยาวตลอดห้องโถง แล้วก็โซนไดโนเสาร์ที่มีทั้งรูปจำลอง กระดูก และฟอสซิลต่างๆ มากมาย ชักจะเสียดายว่าเวลามีน้อยไปซะแล้ว ถ้าได้มาอีกครั้งคงต้องมีทัวร์ตะลุยพิพิธภัณฑ์ ซึ่งพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ ที่ใช้ระบบ IMAX 3 D ที่ไม่ได้ไปนั้นก็น่าสนใจไม่น้อย เรายังต้องไปกันต่อที่น๊อตติ้งฮิลล์ (Notting Hill) ย่านที่มีแต่ตึกสีขาว พร้อมสวนสวย มีตลาดนัดที่ใหญ่มากในวันเสาร์อย่างนี้ ทั้งของมือสอง งานศิลปะ ผัก ผลไม้ ต้นไม้ และร้านรวงต่างๆ หนาแน่น เราก็เลยได้ของฝากซะจนครบ





ย้งพาไปกินเป็ดย่างส่งท้ายกันที่ร้าน Four seasons สาขาใหญ่ของลอนดอน เรายังได้เจอคุณอรพรรณ พานทอง และครอบครัวอีกด้วย ซึ่งเป็ดย่างร้านนี้อร่อยสุดๆ ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์เดินหาร้านกันมาตั้งไกล ก่อนที่พวกเราจะกลับไปเอากระเป๋าหนักโครตขึ้นรถไฟไปที่สนามบินฮีทโธว และอำลาย้งก่อนจะขึ้นเครื่องข้ามเส้นเวลากลับบ้าน มีหมอปุ้มมาส่งกลับถึงบ้านวันที่ 24 ก.ค. 54 เวลา 22.00 น.