Sunday, July 23, 2023

Ni Hao! ฉงชิ่ง

ทริปฉงชิ่ง 7 - 10 ก.ค. 66

Member : พจ จุ๋ย แมว

หลังจากที่ไม่จุใจเอาซะเลยกับทริปญี่ปุ่น เลยเปิดทริปใหม่ภายใน 2 เดือน ลั้นลาร่าเริงเพราะมีรองเท้าใหม่และกระเป๋าเดินทางใหม่แระ😄 โอ๊ว...โดนกระเป๋าตังตบหน้าหันกลับมาว่าคราวหน้าถามกรูบ้างว่าพร้อมไหม?

ทริปนี้เคยล่มไปเมื่อปี 2020 หลังโควิดระบาดหนักทั่วโลกประมาณ 1 เดือน ดังนั้นข้อมูลเก่าเลยยังพอมี แต่ตั๋วเครื่องบินเก่า...ใช้ไม่ได้แล้ว 😭

ก่อนเดินทางต้องกรอกข้อมูล online และเตรียมเอกสารให้พร้อมยื่นที่สถานทูตจีน เท่านี้ก็ได้วีซ่าแล้ว แต่ยังไปไม่ได้ อีกขั้นตอนจำเป็นคือ ก่อนบินต้องทำ health quarantine ให้ได้ QR code ไปแสดงที่ ตม.จีนอีกที ขั้นตอนเยอะจนมองหาตั๋วไต้หวัน...555

7 ก.ค. 66

พวกเราบินด้วย Air asia  โดยเริ่มจากไปเช็คอินตั้งแต่ตี 3 รอเวลาบิน 6 โมงเช้า หน้าแตกนิดหน่อยเมื่อพนักงานบอกตั๋วของคุณลุงคุณป้าเป็นแบบ Premium Flex ใช้เคาน์เตอร์พรมแดงได้เลยค่ะ ไม่ต้องเข้าคิว 😲 ได้งีบบนเครื่องนิดหน่อยก็มากองกันอยู่ตรง ตม. นานเหมือนกันทั้งที่คนเข้าเมืองไม่ได้เยอะมาก ไกด์จุ๋ยใช้ภาษาจีนที่ร่ำเรียนมาเกือบ 10 ปี ส่งภาษากับ ตม. ต่างกับเพื่อนสาวอีก 2 คนที่จ้องเขม็งจน ตม.เหงื่อแตก ประมาณว่า "ถามมาๆ ภาษาอังกฤษ only"

ฉงชิ่งเป็นมหานคร 1 ใน 4 แห่งของจีน ดังนั้นไม่ต้องกลัวความเจริญจะมาไม่ถึง (ไม่นับส้วมที่ส่วนใหญ่ยังเป็นยองๆ สกปรกและมีกลิ่นอยู่) เรานั่งรถไฟฟ้าจากสนามบินเข้าเมือง โดยซื้อตั๋วรถไฟที่เคาน์เตอร์หน้าทางเข้าสถานี สะดวกกว่าไปงมที่ตู้อัตโนมัติและไม่ต้องรอคิวด้วย แค่บอกพนักงานว่าไปลงสถานีไหนและกี่คน ถ้าจะให้ยิ่งสะดวก แนะนำ application MetroMan China โหลดจากเมืองไทยไปได้เลย ในแอปจะให้กรอกสถานีที่เราอยู่และกำลังจะไป จากนั้นก็จะบอกเส้นทางพร้อมค่ารถที่ต้องจ่าย มีเวลารถออกและสถานีปลายทางของแต่ละสายไม่ให้เดินหลงอีกด้วย


สำหรับใครที่ชินกับ BTS หรือรถไฟฟ้าของประเทศอื่นๆ ไม่ต้องกังวลเพราะใช้ระบบเดียวกันเลยจ้า ขึ้นรถไฟที่ไปยังสถานีปลายทางให้ถูกด้าน จากนั้นภายในรถไฟจะมีเสียงแจ้ง [next station หลัก 5] ดังขึ้นมา แล้วก็มีไฟกระพริบแสดงสถานีให้ทุกสายเหมือนๆ กัน

ฉงชิ่งเป็นนครแห่งหมาล่าที่แท้ทรู ทุกอย่างตั้งแต่ก๋วยเตี๋ยวยันไอติมก็มีรสหมาล่า รวมไปถึงก๋วยเตี๋ยวเนื้อชามแรก อาหารเที่ยงมื้อแรกที่เรากินเมื่อไปถึง...แต่ก็อร่อยล่ะ


ก๋วยเตี๋ยวชามเดียว กับถนนใกล้โรงแรมที่ทั้งแถบมีร้านขายอาหารติดๆๆๆ กัน พวกเราเลยไปแวะร้านขนมหวานต่อ แวบแรกนึกว่าน้ำแข็งไส แต่ที่จริงมันคือวุ้นชนิดหนึ่งคล้ายๆ ว่านหางจระเข้ ทำจากต้นปิงเฟิ่น bing fen หรือบัวมุก เติมน้ำเชื่อมและผลไม้แห้งๆ ได้หลากหลาย มีน้ำแข็งโรยมานิดเดียว อร่อยดี แต่เลือกท้อปปิ้งยากนิดหน่อยเพราะคุยกันไม่รู้เรื่อง


การจ่ายเงินด้วย Alipay เป็นอะไรที่คล้าย true money wallet หรือ app เติมเงินอื่นๆ ร้านค้าและแผงลอยส่วนใหญ่ก็รับ ตอนนี้ Alipay ไม่ต้องผูกบัญชีกับธนาคารจีนแล้วทำให้ชาวต่างชาติใช้ได้สะดวกขึ้นมากโดยผูกบัญชีกับบัตรเครติดหรือเดบิตของตัวเองได้เลย

เดินออกไปอีกไม่กี่ก้าวพวกเราก็ใช้ Alipay แตะรัวๆ กับร้านถั่วเคลือบ (หมาล่า) เต้าหู้ดำฉางซาทอด มันฝรั่งผัด ลูกท้อเชื่อมสีแดงน่ากิน มาจบด้วยกาแฟที่ร้านสตาร์บัคส์ แบบไม่มีใครคิดจะห้ามใคร พอหนังท้องตึงก็แวะไปเอากระเป๋าเข้าห้องพักที่น่านอนสุดๆ แต่สุดท้ายต้องตัดใจออกมาเดินสำรวจพื้นที่ ได้รูปจากวิวสวยๆ มากมายและปิดท้ายวันใกล้ที่พักของเรากันด้วยหม้อไฟหรือคนจีนเรียกหั่วกัว แบบ 9 ช่อง เป็นน้ำซุปหมาล่าเดือดปุดๆ พร้อมพริกลอยฟ่องเต็มหม้อ


ดูเหมือนคนที่มีปัญหากับความเผ็ดจะมีพจนารถคนเดียว เพื่อนอีก 2 คนโกยเนื้อลงหม้อและคีบกินอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนพจแลบลิ้นออกมารับลมไล่เผ็ดไป มองโน่นมองนี่ไป ถึงได้เห็นว่าโต๊ะอื่นเขาไปเอาถ้วยเล็กๆ ที่โต๊ะอีกด้านหนึ่งใส่น้ำมันงา กระเทียม ผักชีแล้วปรุงรสกับน้ำส้ม น้ำตาล ซีอิ๊วกันตามสะดวก พอทำดูบ้างแล้วเอามาจิ้มเนื้อที่ลวกในหม้อ ปรากฎว่าลดเผ็ดลงได้ตั้งเยอะแน่ะ ได้แต่เจ็บใจที่กินน้ำจนเต็มท้องกินต่ออีกแทบไม่ไหวแล้ว

พจนารถจบวันด้วยยาลดกรดและเคลือบแผลในกระเพาะอาหาร

8 ก.ค. 66

วันนี้พวกเราซื้อ private ทัวร์ ไปเมืองอู่หลง เที่ยวมรดกโลกระดับ 5A อุทยานหลุมฟ้าสะพานสวรรค์ (Three natural bridges) กิดจากการยุบตัวของเปลือกโลก ทำให้เกิดเป็นบ่อหลุมขนาดใหญ่ที่ลึกประมาณ 300-500 เมตร และมีบางส่วนเป็นโพรงทะลุเหมือนกับสะพานทอดข้ามระหว่างภูเขา หลังกินอาหารเช้าสุดอลังการของโรงแรมยังไม่จุใจดี ก็ต้องรีบเตรียมตัวไปกับรถมิตซูบิชิ SUV รุ่นเล็กที่ไม่มีขายในบ้านเรา มีคนขับชาวจีนมารับพวกเราชื่อคุณ legend พูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก สำเนียงชัดเป๊ะ จนแอบเปรียบเทียบกับนักเรียนนอกบางคน

รถขึ้นทางด่วนและวิ่งลอดอุโมงค์หลายแห่งใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง เราก็ไปถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว Wulong Karst หรืออาคารทรงปิรามิด เป็นจุดจำหน่ายบัตรเข้าชมอุทยานโดย private ทัวร์ไม่ได้รวมตั๋วด้วย ดังนั้นเราจึงต้องเข้าไปจ่ายตั๋วเข้าคนละ 125 หยวน คุณ legend ให้เราเลือกว่าจะนั่ง shuttle bus ไปที่อุทยานเอง (จุดขึ้นรถอยู่ที่อาคารนี้) หรือจะให้แกไปส่งที่ทางเข้าเลย แต่เห็นทัวร์มากันเป็นกลุ่มกับคนที่เริ่มเยอะขึ้น พวกเราก็ไม่ลังเลที่จะให้ไปส่งที่ทางเข้า

Credit: WestChinaGo

ไปถึงทางเข้าอุทยานจริงพวกเราก็พบประชากรจีนหนาแน่นมากๆๆๆ คุณไกด์บอกว่าแถวรอขึ้นลิฟท์แก้วยาวขนาดนี้ พวกเราน่าจะต้องรอถึง 1 ชั่วโมง สู้เดินลงบันไดไปเองที่ทางเข้าอีกด้านนึงเถอะเพราะยังไงออกจากลิฟท์แล้วก็ยังต้องเดินลงเขาอยู่ดี ดังนั้นพวกเราเลยไม่ได้มีรูปถ่ายกับจุดเช็คพอยท์ที่อยู่ตรงทางเข้าด้านนี้ อันได้แก่หุ่น Bumblebee ใน Transformer 4 : Age of extinction และถ่ายรูปกับระเบียงแก้วทำจากกระจกใส ยื่นออกไปจากพื้น มองเห็นทางเดินด้านล่างอยู่ลิบๆ ให้จุ๋ยได้เสียวปากสั่น 

ภาพนี้คือฉากในหนังทรานส์ฟอร์เมอร์ส

ไม่มีใครทักท้วงที่พจนารถเรียกไกด์และพขร.ของเราว่าลุง ฟังจากคำแนะนำอย่างละเอียด และความห่วงใยประดุจพวกเราเป็นลูกหลาน คำพูดย้ำแล้วย้ำอีกว่าเวลาเดินลงบันไดให้ระมัดระวัง ฝนตกทางลื่น อย่ามัวแต่เล่นมือถือ ค่อยๆ เดินไม่ต้องรีบร้อน แกคอยรอรับอยู่ที่ทางออกแน่นอน

ผ่านทางเข้ามาได้แล้ว มีฝนตกปรอยๆ ให้เลือกระหว่างกางร่มกับใส่เสื้อกันฝน นอกนั้นพบเจอแต่บันไดเดินลง ให้เดินไปเรื่อยๆ พอมีที่หยุดพักได้เป็นระยะ จนมาถึงทางราบเสียที

พวกเราเดินย้อนกลับไปจนเกือบถึงจุดลงลิฟท์แก้วเพื่อถ่ายรูปโรงเตี๊ยมเก่า (สร้างใหม่แล้ว) จากมุมสูง และสะพานหินสะพานแรกหรือ สะพานมังกรฟ้า ซึ่งมีลักษณะเป็นโพรงทะลุ สูง 235 เมตร โรงเตี๊ยมนี้เองที่เป็นสถานที่ถ่ายทำหนังเรื่อง ศึกชิงบัลลังก์วังทอง จากประวัติเป็นโรงเตี๊ยมเก่าแก่สมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618 - 907) ใช้เป็นจุดแวะพักของนักเดินทางที่ใช้ทางลัดจากเสฉวนไปเหอหนาน

Tianlong bridge

แมวดูพยากรณ์อากาศมาอย่างดี เห็นว่าวันนี้ฝนจะตกหนัก เลยเลือกใส่รองเท้าแตะแทนที่จะใส่รองเท้าผ้าใบมาให้เปียกน้ำ แต่คนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิต พอลงมาถึงด้านล่าง ฝนก็หยุดตก ในขณะที่รองเท้าแมวขาดทั้ง 2 ข้าง! ได้แต่ใส่ถุงเท้าพจเดินไปพลางๆ และสาปแช่งจุ๋ยว่า สมาชิกรองเท้าขาดกันหมดแล้ว คราวหน้าต้องเป็นจุ๋ยรองเท้าขาดแน่ๆ 

อากาศหลังฝนตกสดชื่นและมีต้นไม้เขียวชอุ่มตลอดทาง พลอยให้พวกเรา (ไม่รู้รวมคนใส่ถุงเท้าเดินหรือเปล่า) เดินทอดน่องชมวิวไปถ่ายรูปไปกันอย่างอารมณ์ดี ฝ่านสะพานที่ 2 และ 3 คือสะพานมังกรเขียว ความสูง 281 เมตร มีลักษณะเป็นโพรงยาวรูปร่างคล้ายมีด มีลำธารเล็กไหลผ่าน และสะพานมังกรดำ สูง 223 เมตร เป็นส่วนที่แคบที่สุดจึงมีลักษณะมืดทึบ จนมาถึงน้ำตกที่มีน้ำไหลออกมาตามรอยเลื่อนของเปลือกโลก ก็เห็นแม่ลูกคู่หนึ่งกำลังถอดถุงคลุมรองเท้าออกจากรองเท้าผ้าใบ พจนารถก็ปรี่เข้าไปเจรจาว่าเพื่อนของไอรองเท้าขาดจะขอซื้อต่อถุงรองเท้านี่ได้ม๊าย

Qinglong bridge

Heilong bridge

ไม่แน่ใจว่าสองแม่ลูกตกใจคนอ้วน หรือตกใจภาษาประหลาด คนแม่ (น่าจะ 60 แล้ว) รีบโบกมือบอกไม่ให้ แต่ลูกสาว (20 กว่า) เห็นพจชี้ไปที่ถุงเท้าของแมวเลยพอเข้าใจว่าพวกเราจะขอถุงรองเท้า

เห็นพวกเขาสตั๊นกันไป พจก็เลยบอกว่าไม่เป็นไรแล้วก็เดินกันออกมาวางแผนปล้น เอ๊ย หาเหยื่อคนอื่น เอ๊ย ไม่ใช่ดิ...ฉันเป็นคนดีย์😤 จนสุดท้ายลูกสาวก็เรียกพวกเราไว้แล้วก็ส่งถุงรองเท้าให้ พอจะจ่ายเงินซื้อ เขาก็ไม่รับ ใจดีมากๆ

ผ่านสะพานสวรรค์ทั้ง 3 ไปหมดแล้วก็จะเป็นระเบียงทางเดินเลียบธารน้ำ มีน้ำตกเล็กๆ ให้ถ่ายรูป จากนั้นก็เป็นทางออก มีจุดให้รอคิวขึ้นรถกอล์ฟ ใช้เวลาเพียง 3 นาทีวิ่งขึ้นเขาไปตรงข้ามทางเข้าอุทยานที่เข้ามาทีแรก เห็นบางคนบากบั่นเดินขึ้นเขาไปเองตามบันไดที่สูงชันแล้วก็เจ็บหัวเข่าแทน พวกเราซึ่งเป็นว่าที่ สว. ยอมเสียเวลารอดีกว่า ลุงไกด์ก็เตือนแล้วว่าพวกคุณต้องนั่งรถขึ้นนะ อย่าเดินเอง

สุดท้ายลุงไกด์มายืนดักรออย่างที่บอกไว้จริงๆ จากนั้นก็พาแมวไปซื้อรองเท้าใส่แทนถุงรองเท้าแล้วค่อยกลับเข้าตัวเมืองฉงชิ่ง 

ใช้เวลาไปอีก 3 ชั่วโมงกว่าๆ พวกเราตกลงเลี้ยงข้าวเย็นไกด์ที่ห้างใหญ่ มีดาดฟ้าเปิดเป็นจุดชมวิวยามค่ำคืนของฉงชิ่ง อาหารเย็นนี้เป็นเมนูแปลกใหม่ ทั้งปลาต้มหมาล่า เนื้อกระต่ายผัดหมาล่า กบผัดพริกหมาล่า โชคดีที่มีซาลาเปาจี่หวานๆ มากินกับกับข้าวพวกนี้ เลยไม่ได้เผ็ดอะไรมากนัก พอคุ้นเคยก็คุยเล่นกับลุงไกด์นิดหน่อย ถามจนได้ความว่าอายุแก 49 😨 พอๆ กับพวกตูนี่หว่า!


หลังจากถ่ายรูปแสงไฟของบรรดาตึกระฟ้าในเมืองฉงชิ่งจนพอใจแล้ว พวกเราก็อำลาลุงไกด์ (อดเรียกไม่ได้) ที่ฝ่ารถติดมาส่งถึงโรงแรมอย่างสวัสดิภาพ


9 ก.ค. 66

วันนี้ตื่นสายหน่อย ใช้เวลาดื่มด่ำกับบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าแบบจุกๆ จากนั้นค่อยเดินทางไปที่ตลาดโบราณฉือชี่โข่ว จากทางเข้าเดินไปเรื่อยๆ กินไอติมเหล้าเหมาไถและกินขนมร้านโน้นร้านนี้ ดูร้านขายอาหารและของที่ระลึก มีทั้งร้านที่ทำอาหารโชว์ เช่น การกวนน้ำพริกหมาล่าในกระทะน้ำมันเดือดใบใหญ่ๆ การทำเส้นก๋วยเตี๋ยวมันสำปะหลัง การตอกแป้งกวนคล้ายโมจิ ถั่วเคลือบแบบต่างๆ แล้วก็ชิมขนมจาก 2 ข้างทาง ซื้อของฝากได้นิดหน่อย จากนั้นพากันกลับมาซื้อของฝากต่อที่ร้านแถวโรงแรมเพราะขี้เกียจหิ้ว




ยามเย็นพวกเราพากันเดินลัดเลาะไปเรื่อยๆ จนถึงหงหยาต้ง อาคารคอมเพล็กซ์ที่สร้างในรูปแบบสถาปัตยกรรมจีนโบราณ ประกอบด้วย อาคารแบบจีนโบราณ ถ้ำ ภูเขา น้ำตก ศาลา ทางเดิน สะพาน จุดชมวิว ทีแรกกะว่าจะอยู่จนมืดเพื่อถ่ายรูปแสงไฟจากตัวอาคาร แต่หาสะพานข้ามแม่น้ำเจียหลิงที่จะไปยังจุดถ่ายรูปตามที่ลุงไกด์บอกไม่เจอ ประจวบกับอากาศร้อนอบอ้าวมาก เลยได้แต่เดินดูร้านขายของข้างในอาคารหงหยาต้ง ซึ่งก็คล้ายๆ กับที่ฉือชี่โข่ว เดินได้ไม่นานพวกเราก็กลับไปหาร้านชาบูหมาล่ากินกัน

เขาถ่าย Credit: Lovepik.com

เราถ่าย

10 ก.ค. 66

วันสุดท้ายในมหานครฉงชิ่ง พวกเราไปสถานที่ถ่ายรูปสวยๆ เป็นคาเฟ่หนังสือชื่อ จงซูเก๋อ (Zhongshuge)  การเดินทางโดยขึ้นรถไฟฟ้าสายสีเขียว (line 2) ผ่านสถานี Liziba ซึ่งเป็นสถานีที่รถไฟวิ่งทะลุเข้าไปในอพาตเมนต์ 19 ชั้น ที่พักอาศัยของชาวบ้าน! สถานีนี้กินพื้นที่ชั้น 6 - 8 ของตึกและใช้เทคโนโลยีในการติดตั้งและออกแบบไม่ให้เสียงไปรบกวนผู้อาศัยในตึก 

พวกเรายังคงอยู่ในรถไฟไปจนถึงสถานี Yangjiaping เดินไปอีกเล็กน้อยก็จะพบห้าง Zodi plaza ขึ้นไปชั้นที่ 3 หรือ 4 ก็จะได้พบร้านหนังสือที่กินพื้นที่ถึง 2 ชั้น หาไม่ยากเพราะร้านค้าในห้างปิดร้างเกือบหมด ร้านหนังสือจงซูเก๋อ สาขาฉงชิ่ง ก่อตั้งโดย Jin Hao ผู้เป็นทั้งเจ้าของร้านหนังสือและเจ้าของสำนักพิมพ์ เขาเป็นอดีตอาจารย์ที่เลิกสอนหนังสือมากว่า 20 ปีแต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ทำให้ร้านหนังสือต้องปรับตัวเข้าสู่ยุคใหม่ มีการมอบหมายให้ Li Xiang แห่งสตูดิโอ XL Muse เป็นผู้ออกแบบร้านหนังสือจงซูเก๋อสาขาเด่น ๆ (ปัจจุบันมี 21 สาขา) ซึ่งสาขาฉงชิ่งที่พวกเราไปเยือนนั้นมีความโดดเด่นด้านการออกแบบบันไดให้ความรู้สึกถึงความน่าพิศวง เสมือนอยู่ในโลกของเวทย์มนตร์และยังมีภาพลวงตาของกระจกสะท้อนอีกด้วย


กลับจากถ่ายรูปยังพอมีเวลากินข้าวเที่ยงกันอย่างไม่รีบร้อน (ไม่ต้องกินหมาล่าแล้ว...เฮ้) ก่อนจะอำลาเมืองฉงชิ่ง หรือจะไม่ได้กลับ? เพราะเพื่อนๆ ออกจาก ตม. กันหมดแล้ว แต่พจนารถก็ยังติดแหง่กและทำหน้า "พูดภาษาอังกฤษกับตูสิ" อยู่ในช่อง ตม.ขาออก หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็เอาพาสปอร์ตไปที่คอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ อีกหลายเครื่อง เพื่อ? รออยู่เป็นนานถึงได้พาสปอร์ตคืน แล้วก็ไม่บอกว่าทำไม (เพราะไม่อยากพูดภาษาอังกฤษกะตู...แน่ๆ)

กลับถึงเมืองไทยเวลา 21.30 น.

Saturday, June 10, 2023

ไม่น่าเล้ย...Tokyo

 2 - 7 พฤษภาคม 2566 Tokyo trip

Member : พจ จุ๋ย แมว เปี่ยม นุช แบมแบม โบกี้

ทริปนี้วางแผนกันล่วงหน้าเรียบร้อย แต่พอถึงเวลาไปจริงเริ่มขลุกขลัก...ลางไม่ดีซะแล้วววว😥

เริ่มจากบัตรที่ใช้เข้าเล้าจน์ได้มีจำกัด เพื่อนๆ อยู่กับมิราเคิลเล้าจน์ ส่วนตัวเราฉายเดี่ยวนั่งรอและกินขนมในเล้าจน์กสิกร(อยู่ติดกัน)...อันนี้พอจะใช้แต้ม K bank แก้ปัญหาได้


ไปถึงโรงแรม กองกลางที่ให้จุ๋ยแลกเงินเข้าบัตร planet SCB เกิดล็อก รูดไม่ได้😰 (สอบถามแล้วดูเหมือนเจ้าของบัตรตั้งล็อกอะไรไว้สักอย่าง) ต้องใช้บัตรเครดิตของแมวรูดแทน (ดีที่ ttb ไม่ชาร์ตค่ารูด)


แยกกันเข้าห้องแล้ว จุ๋ยอาการแย่ลงจนต้องขอตัวพักอยู่ในห้อง ให้เพื่อนๆ ไปเที่ยวกันเองคืนนั้นกับอีก 1 วันต่อมา...ในใจทุกคน<<<<มันเป็นโควิดแน่ๆๆๆ>>>>

ขาดไกด์ก็ต้องวางแผนเที่ยวกันใหม่ แต่ด้วยความอยากได้นาฬิกา (กดดันด้วยการไม่ใส่มา) พจนารถก็ลากเพื่อนๆ ไปเดินหากันจนได้

กลับมาเทียบกับนาฬิกาเก่า...ไม่แตกต่าง 😰


พวกเราซื้อตั๋ว Hakone pass เพื่อนั่งรถไฟ local ชมวิวภูเขา ต่อด้วยกระเช้า Hakone ropeway ข้ามไปกินไข่ดำที่ภูเขาไฟโอวาคุดานิ จากนั้นนั่งเรือโจรสลัดล่องทะเลสาบอาชิ ถ่ายรูปกับศาลเจ้าและประตูโทริอิลอยน้ำ แล้วต่อรถบัสไปคาวาคุจิโกะ

และนี่คือสิ่งที่คิด...

แต่อากาศไม่เป็นใจ ไปถึงสถานีกระเช้าเกิดมีลมกรรโชกแรง กระเช้าปิด😰 เลยต้องนั่งรถไฟลงมาหาต่อรถบัสไปคาวาคุจิโกะ ไปถึงเรียวกังที่พักเกือบอดกินข้าวเย็นแน่ะ

วันกลับฝนตกพรำๆ พวกเราไปกินปลาดิบกันที่ตลาดปลาซึกิจิ มีข้าวหน้าปลาดิบ+ไข่หอยเม่นด้วย สั่งมากินอร่อยมาก แต่สุดท้ายพจนารถอาหารเป็นพิษ😥 ทั้งอาเจียนทั้งถ่ายท้องจนเกือบไปต่อไม่ไหว


ฝนตกหนักมาอีก เสียเวลาหาสถานีรถไฟไปสนามบิน รองเท้าผ้าใบก็มาถึงอวสานพื้นหลุด😰 แต่ยังต้องวิ่งไปเช็คอินให้ทันปิดเคาน์เตอร์ หาซื้อรองเท้าเปลี่ยนก่อนขึ้นเครื่อง ได้เป็นสลิปเปอร์แบบใส่อยู่บ้าน 55555


หัวเราะร่า น้ำตาไหลถึงส้นติว 😭

โอ๊ะ...ยังไม่จบดี

กลับมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ รับกระเป๋าได้ หูหัก ล้อแตกจ้า😰 จะโทษพนักงานขนส่งก็ไม่ได้เต็มปาก เพราะกระเป๋าเก่าเก็บ ไม่ได้ใช้นานพลาสติกมันก็กร่อนแหละ


จบทริปด้วยความระทม...เอวัง

Sunday, June 30, 2019

เยอรมัน ออสเตรีย สวิส


บันทึกการท่องเที่ยว เยอรมัน ออสเตรีย สวิสเซอร์แลนด์ 15 – 21 มิ.ย. 62

เราและน้องดาซื้อทัวร์ Windy and Sunny Europe 9 d 6 n จากบริษัท Quality express ราคาคนละ 65,900 บาท
ก่อนเดินทางทัวร์พาไปทำวีซ่าแชงเก้นที่สถานทูตเยอรมัน ราคาคนละ 2,200 บาท เตรียมเอกสารตามที่ทัวร์ระบุ อีก 3 วันทำการก็ได้วีซ่ามาคนละ 15 วัน วันทำวีซ่าได้เจอเพื่อนร่วมทริปอีก 2 คน เป็นคู่สามีภรรยาจากจังหวัดอุดรธานี ภรรยาชื่อพี่แอ๊วเป็นเภสัชกรเหมือนกันอีกด้วย

15 มิ.ย. 62

ทัวร์นัดพวกเราในวันที่ 14 มิ.ย. หลังจากพบคุณเบิร์ด ธงชัย ซึ่งเป็นไกด์ดูแลกันตลอดทริปนี้แล้ว เราก็โหลดกระเป๋าแล้วเข้าไปช้อปปิ้งกันตามสะดวก โดยนัดเวลาที่เกท 0.30 น. ของวันที่ 15 มิ.ย. น้องดาช้อปจนเกือบหมดเวลา หลังจากขึ้นเครื่องแล้วก็หลับๆ ตื่นๆ จนเกือบ 11 ชั่วโมงก็ถึงสนามบินมิวนิค ประเทศเยอรมนี ซึ่งเวลาช้ากว่าเมืองไทย 5 ชั่วโมงในฤดูร้อนเช่นนี้

เราเตรียม sim2fly มาจากเมืองไทยก็จัดแจงเปลี่ยนซิมเข้าโทรศัพท์ ขัดใจตรงรอสัญญาณนานมาก จนลองเปลี่ยนซิมใส่ในมือถือน้องดาแทน จากนั้นก็ใส่กลับ วนไปวนมาถึงใช้โทรหาแม่ได้...เฮ้อ

ผ่าน ตม. เยอรมันหน้าตาดีออกมาได้โดยไม่โดนถามไรเลย ก็มารวมกลุ่มกันรอรถบัสคนขับอิตาลีหน้าตาไม่รับแขก ทัวร์นี้มีเพื่อนร่วมเดินทาง 34 ชีวิตด้วยกัน อายุมากสุด 72 เด็กสุด 2 ขวบ รถบัสคันใหญ่ 50 ที่นั่งยังพอมีที่เหลือว่างไม่ต้องไปนั่งกับคนอื่นที่ยังไม่คุ้นเคย

แผนการเดินทางครั้งนี้เราจะไม่ค่อยได้เข้าเมือง แต่เป็นการลัดเลาะไปตามพรมแดนใกล้เทือกเขาแอลป์ จากมิวนิกที่เป็นเมืองหลวงของรัฐบาวาเรีย หรือภาษาเขาเรียก บาเยิร์น การมายุโรปครั้งนี้เป็นช่วงฤดูร้อน แต่ก็ไม่นึกว่าจะร้อนไม่ต่างจากเมืองไทย เสื้อกันหนาวที่เตรียมมาต้องถอดไว้ในรถ ควักแว่นกันแดดออกมาใส่รับแดดแทน 

ระหว่างทางแวะพระราชวังของกษัตริย์สมัยก่อนชื่อวังนิมเฟนเบิร์ก (Nymphenburg) เป็นพระราชวังฤดูร้อนสไตล์บาร๊อกของกษัตริย์แมกซิมิเลียนที่ 1 พวกเรามีเวลาไม่มากจึงได้แต่ถ่ายรูปด้านนอกอย่างเดียว ไม่ได้ขึ้นไปชมความอลังการด้านใน ที่ว่ากันว่าสะสมชุดเครื่องกระเบื้องและมีพิพิธภัณฑ์รถม้า

จากนั้นเราไปที่จัตุรัสมาเรียนพลาสท์ (Marienplatz) ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลาว่าการเมืองที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบโกธิค จุดเด่นคือมีหอระฆังสูง 85 เมตร เราไปถึงก่อนเวลานิดหน่อยให้เดินดูห้างร้านแถวนั้น พอ 11.00 น. เมื่อนาฬิกาบนหอระฆังตีบอกเวลาก็จะมีตุ๊กตาไขลานออกมาเต้นรำเป็นวงกลมหลายต่อหลายชุด สุดท้ายต่อด้วยการยิงปืนจากหอระฆังและอาคารฝั่งตรงข้าม เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ทราบว่าบริเวณนี้อยู่ไม่ไกลปืนเที่ยง...ไม่ใช่แระ!

พวกเรากินอาหารเที่ยงมื้อแรกกันที่ภัตตาคารจีน ให้ปรับสภาพลิ้นกันก่อน หลังจากขึ้นรถได้ก็กินผลไม้ที่ซื้อมาจากจัตุรัสเมื่อครู่ ส่วนใหญ่รวมทั้งเราด้วยจะซื้อเชอร์รี่ลูกใหญ่สีเกือบดำ กับสตอเบอร์รี่ลูกใหญ่กลิ่นหอม กินเสร็จก็นอนพุงอืดอยู่ในรถที่กำลังวิ่งข้ามพรมแดนไปยังประเทศออสเตรีย

ระหว่างทางผ่านทุ่งหญ้าเขียวขจีเหมือนปูพรม มีวัวสีน้ำตาลนอนประดับอยู่เป็นระยะ (คาดหวังจะได้กินสเต็กเนื้อ!) บ้านหลังใหญ่ที่ไกด์บอกว่าชั้นล่างเป็นคอกสัตว์ ชั้นกลางเป็นห้องนอน ส่วนบนสุดเป็นห้องครัวที่มีปล่องไฟ ดังนั้นในหน้าหนาวหิมะตกหนักๆ พวกวัวคงไม่หนาวมากนัก หรือหนาวมากๆ เจ้าของคงพามันไปชั้น 3  (ʘ д ʘ)

ตามกฎหมายที่นี่ระบุว่าคนขับรถที่ขับต่อเนื่องกันถึง 3 ชั่วโมงแล้วต้องได้พัก 20 นาทีก่อนเดินทางต่อ พวกเราเลยได้แวะกินกาแฟบริเวณปั้มน้ำมันและจุดพักรถ บ่ายแก่ๆ จึงมาถึงเมืองซาลส์บวร์ก (Salzburg) ประเทศออสเตรีย โดย salz = เกลือ ส่วน burg = บุรี, เมือง เมืองนี้เป็นบ้านเกิดของนักดนตรีชื่อดังคือ วูล์ฟกัง อมาดิอุส โมสาร์ท ดังนั้นในเมืองก็จะมีแต่ของที่ระลึกที่ปะโลโก้โมสาร์ทเต็มเมืองไปหมด เช่น ช็อกโกแลต กล่องดนตรี แผ่นแม่เหล็ก ว่าแต่เพลงดังของโมสาร์ทคือเพลงไรหว่า?...

ร้านค้าแถบนี้จะมีป้ายร้านยื่นออกมาแล้วแขวนแผ่นป้ายชื่อร้านตามแบบดั้งเดิม พื้นทางเดินปูด้วยอิฐ ทำให้ย่านการค้าเก่าแก่ของเมืองนี้ดูสวยงามมากๆ ต่อจากนั้นพวกเราก็เดินลัดเลาะไปจนถึงสวนดอกไม้มิราเบล (Mirabell garden) สถานที่ถ่ายหนังเรื่อง มนต์รักเพลงสวรรค์ (The sound of music) ...ไม่รู้จักหนังเรื่องนี้อีกเช่นกัน

ฤดูร้อนนี้ดอกไม้ที่ออกดอกสดใสบานสะพรั่งไปหมดเห็นจะเป็นกุหลาบดอกใหญ่ๆ ที่ปลูกเป็นซุ้มบ้าง กอบ้าง ให้คนไทยทั้งหลายไถหน้าไปอยู่กลางดงดอกไม้ถ่ายรูปไปอวดคนอื่น ถ่ายรูปไม่ทันเสร็จดีฝนก็เริ่มตกลงมาจนต้องวิ่งหลบเข้าร้านให้เสียค่าของที่ระลึก จากนั้นเราก็กินอาหารค่ำเป็นอาหารจีนรสชาติอร่อยเลยไม่ถึงกับบ่นว่ามายุโรปทั้งทียังไม่ได้ลิ้มลองอะไรที่เป็นนมเนย

16 มิ.ย. 62

ตื่นมาบนเตียงนุ่มของ ร.ร.เมอร์เคียว ฮิฮิฮิ ไฮโซมาก นอนหลับดีจนน้องดาบอกว่าพจนอนกรนดังสนั่น ถึงร่างกายจะปรับเวลาโดยตื่นมาตอนตี 2 (7 โมงเช้าเมืองไทย) แต่พอเห็นยังมืดอยู่ก็นอนต่อไปเรื่อยๆ จนได้เวลา 6-7-8 ตามประสาทัวร์
อาหารเช้าเป็น ABF เน้นขนมปัง ไส้กรอก เนื้อสัตว์เกือบทุกอย่างรสไปทางเค็ม ส่วนขนมปังแข็ง มีครัวซองอร่อยที่สุด น้ำเปล่าที่นี่เป็นน้ำประปารสชาติเฝื่อนๆ เราเลยใช้วิธีกินกาแฟแทนน้ำซะเลย ตบท้ายด้วยโยเกิร์ตที่โกยผลไม้สด แห้ง และธัญพืชต่างๆ เติมเข้าไป กินจนหมดเพิ่งนึกได้ว่าถ้าท้องเสียจะทำไงเนี่ย

เช้านี้พวกเราเดินทางไปเมืองเซนต์วูฟกัง ชื่อเต็มๆ คือ เซนต์วูฟกัง ดิม ซัลซ์คัมเมอร์กุท (St. Wolfgang im Salzkammergut) เป็นเมืองเล็กๆ เงียบสงบ (ก่อนทัวร์ไทยมา) บ้านเรือนประดับดอกไม้สวยงามมาก สองเภสัชถ่ายรูปกันเพลินจนหลงเข้าไปในโบสถ์ของนักบุญวูฟกังที่สร้างไว้ริมทะเลสาบก็ยังไม่เห็นเพื่อนร่วมทริป แต่ก็นับว่าโชคดีที่ได้เข้ามาเห็นโบสถ์ที่เป็นสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นอีกแห่งในยุโรป 

เดินเลาะทะเลสาบมาก็เจอพวกเราถ่ายรูปกันอยู่ริมทะเลสาบวูฟกัง จนได้เวลาก็ไปเมืองฮอลสตัท (Hallstatt) ที่ตั้งใจไว้อย่างยิ่งว่าจะได้มาในชาตินี้ 

ความสวยงามของหมู่บ้านนี้อยู่ที่วิวริมทะเลสาบ เมื่อเมืองมีชื่อเสียง นักท่องเที่ยวก็มากตามไปด้วย ทั้งที่พักอยู่ในเมืองและพวกที่มารถบัสอย่างพวกเรา เดินผ่านจัตุรัสกลางเมือง Marktplatz โบสถ์สวยๆ ยอดแหลม Evangelische Christuskirche อย่างไรก็ตามไกด์ให้เวลาเต็มที่ในการถ่ายรูปตรงมุมมหาชน เมื่อเสร็จก็พาไปกินปลาเทราซ์สดๆ จากทะเลสาบ

ฝนเริ่มตกมาอีกแล้วทำให้อากาศเย็นขึ้นอีกหน่อย เราไปกันต่อที่เหมืองเกลือโบราณ (Salzwalten) ที่ต้องขึ้นกระเช้าไฟฟ้าไปบนภูเขาสูง 838 เมตรจากระดับน้ำทะเล จากจุดชมวิว sky walk เป็นระเบียงปลายแหลมยื่นออกมามองเห็นวิวหมู่บ้านฮอลสตัททั้งหมด รวมถึงบริเวณอื่นๆ ที่ล้อมรอบน้ำสีเขียวใสของทะเลสาบด้วย 

ระยะทางจากทางออกกระเช้าไฟฟ้าไปยังเหมืองเกลือต้องเดินขึ้นเขาไปอีกไกลพอสมควร พวกเราเลยได้แต่ถ่ายรูปบริเวณจุดชมวิว จากนั้นก็ลงกระเช้ากลับไปดูของที่ระลึกที่ทำจากเกลือ ทั้งที่เป็นเกลือปรุงรสสำหรับผสมอาหาร และเกลือแปรรูปที่ใช้แช่ตัว สบู่กลิ่นต่างๆ

ออกจากเหมืองเกลือได้ก็ตั้งหน้าตั้งตานอนบนรถ มาตื่นอีกทีในประเทศเยอรมัน เมืองฟุสเซ่น (Fussen) แล้ว

17 มิ.ย. 62

เช้านี้เราจะเดินทางไปยังอีกหนึ่งไฮไลท์ของทริป นั่นคือ ปราสาทนอยชวานสไตน์ (Neuschwanstein) ต้นแบบปราสาทเจ้าหญิงนิทราของดีสนีย์แลนด์ จากปราสาทนอยชวานสไตน์บนเขา มองลงมายังเห็นปราสาทโฮเฮนชวานเกา (Hohenschwangau) สีเหลืองตั้งอยู่อีกยอดเขาหนึ่งซึ่งเตี้ยกว่า ปราสาทแห่งนี้เป็นของพระเจ้าแม็กซิมิเลียนที่ 2 พระบิดาของพระเจ้าลุกวิคที่ 2 นั่นเอง

มีความสุขไม่น้อยจากการงัดมาม่าคัพออกมาตัดรสเค็มเลี่ยนของบรรดาอาหารเช้า ให้เพื่อนร่วมทริปโอ้โหเล่นว่ามีเมนูนี้ตอนเช้าด้วย หลังจากกรอกน้ำร้อนจนได้ที่ก็กวาดเนื้อสัตว์ทั้งหลายที่มีในบุฟเฟ่ต์ใส่จนล้นคัพ ตอนกินทำหน้าฟินให้คนอื่นๆ อิจฉาอีกต่างหาก ยังไม่ทันโดนทุกคนเรียกลับหลังว่าเจ๊มาม่า ไกด์ก็มีกิจกรรมบนรถให้แนะนำกลุ่มของตัวเองให้คนอื่นๆ ที่เริ่มคุ้นหน้ากันแล้วบนรถเสียก่อน

นอกจากกลุ่มผู้สูงอายุ 6 ท่านแล้ว เรายังมีคู่ฮันนีมูน ครอบครัวพ่อแม่ลูกอีกหลายครอบครัว แนะนำอาชีพก็มีทำธุรกิจส่วนตัว เป็นข้าราชการ มีพยาบาล มีหมอ และมีเภสัชกร!

เรากับน้องดาเป็นคู่เพื่อนที่แนะนำตัวว่าเป็นรูมเมทกันตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัย ไม่รู้จะแนะนำตัวไงดีเลยบอกว่าตอนนี้ รพ. กำลังจะผลิตกัญชาใช้ทางการแพทย์ เรียกเสียงฮือฮามาไม่น้อย ดังนั้นแทนที่จะเป็นเจ๊มาม่า ก็เลยเป็นเจ๊กัญชาแทนด้วยประการฉะนี้

ทางไปปราสาทนอยชวานสไตน์ต้องเดินขึ้นเนินไปนิดหน่อย เป็นทางขึ้นด้านหลังที่อยู่ใกล้กับสะพานมาเรียนบรู๊ก (Marienbrücke หรือ Mary’s bridge) ด้านหลังปราสาทซึ่งเป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุด หากถ่ายรูปบริเวณสะพานนี้ก็จะเห็นวิวด้านข้างปราสาททั้งหลังสวยงามมากทีเดียว บัตรเข้าชมตัวปราสาทกำหนดให้เข้าเป็นรอบๆ เนื่องจากสถานที่ไม่ใหญ่มาก เพื่อป้องกันความแออัดของนักท่องเที่ยว เมื่อเข้าไปแล้วห้ามถ่ายรูป โดยจะแจกหูฟังบรรยายรายละเอียดของแต่ละห้อง มีภาษาไทยให้เลือกด้วย

ภายนอกปราสาทสร้างตามแบบป้อมโรมาเนสผสมไบเซนไทน์ ห้องส่วนใหญ่ภายในปราสาทบุด้วยไม้ ทั้งที่ภายนอกเป็นหิน ทำให้ดูอบอุ่น แต่ก็ค่อนข้างคับแคบ โดยเฉพาะบันไดเวียนที่ใช้ขึ้นไปแต่ละชั้น แต่ละห้องจุคนยืนได้ประมาณ 50 คน ต่างจากความมโหฬารของพระราชวังในรัสเซียที่เคยไปมา ภายในห้องส่วนใหญ่เน้นภาพวาดสีสันสวยงามตามวรรณคดีเรื่องอัศวินหงส์ (Swan knight Lohengrin) ของริชาร์ด วากเนอร์ กวีคนโปรดของพระเจ้าลุดวิคที่ 2 รวมถึงมีห้องโถงที่ใช้แสดงละครเวที แสดงให้เห็นว่าเจ้าของปราสาททรงโปรดทางด้านศิลปะและวรรณกรรมมาก ห้องที่เด่นที่สุดน่าจะเป็นท้องพระโรงเพดานโค้งที่มีภาพวาดของนักบุญทั้งหลาย รวมถึงภาพความเชื่อทางศาสนาต่างๆ ปนๆ กันไป น่าเสียดายที่ยังไม่มีบัลลังก์ที่ประทับของกษัตริย์มาวางประดับไว้ เพราะหลังจากสร้างเสร็จ พระเจ้าลุดวิคที่ 2 เสด็จประทับได้เพียง 11 วันเท่านั้น ก็โดนจับตัวไป และสวรรคตในเวลาต่อมา

ขากลับมีทางเดินลงมายังห้องใต้ดินซึ่งใช้เป็นห้องครัว มีเครื่องครัวรูปลักษณ์เดิมจัดวางไว้ให้จินตนาการบรรยากาศในสมัยนั้น ก่อนออกจากปราสาทยังมีร้านขายของที่ระลึกให้เราซื้อรูปถ่ายมุมสูงของปราสาทแบบชัดๆ มาใส่กรอบไว้ดูที่บ้าน

ชื่นชมความงามของปราสาทจนเต็มอิ่ม ขากลับไม่ต้องเดินแต่ได้นั่งรถม้าตัวใหญ่ลงเขามา พวกเราก็ได้แวะกินขาหมูเยอรมันแกล้มกับเบียร์ที่ร้านอาหารบริเวณทางขึ้นปราสาทนั่นเอง ใกล้ๆ กันยังมี outlet ให้ซื้อของฝากเรายังได้มีดปอกผลไม้คมกริบ ที่ไกด์บอกว่าหั่นแล้วไม่ดำให้ถามต่อว่าผลไม้ไม่ดำหรือมีดไม่ดำ? ส่วนน้องดาได้กระเป๋าเดินทางไปฝากน้องสาว เลยมีกระเป๋างอกเพิ่มอีก 1 ใบ ตกบ่ายไกด์เห็นว่าพอมีเวลาเลยพาพวกเราแวะเมือง Oberammergou เป็นเมืองที่แต่ละบ้านเพ้นท์ภาพคลาสสิคไว้ตามผนัง ดูสวยงามน่าอยู่มาก นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึกราคาถูกกว่าในเมืองใหญ่ ร้านที่คนแน่นมากเห็นจะเป็นร้านไอศกรีม มีให้เลือกหลายรส เราลองสั่งตามเด็กๆ คนท้องถิ่นชื่อรส after eight เป็นรสมิ้นต์ อร่อยดี

รถวิ่งต่อไปยังเมืองที่เราจะพักในคือนี้คือเมืองการ์มิซ พาร์เท่น เคียร์เช่น (Garmisch Partenkirchen) เดิมเป็น 2 เมือง แต่ไหนๆ ก็เคยเป็นเจ้าภาพร่วมในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวแล้ว ผู้คนก็เลยเรียกรวบเป็นเมืองเดียว ก่อนถึงโรงแรมมีจอดแวะให้ซื้อช้อคโกแลตเป็นของฝากที่ซุปเปอร์มาเก็ตในเมืองก่อนด้วย

18 มิ.ย. 62

เช้านี้พวกเราต้องโดยสารรถไฟเพื่อชมยอดเขาซุกสปิตเซ่ (Zugspitze) ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในเยอรมัน รถไฟที่นี่จะมีเฟืองตรงกลางรางรถไฟด้วยคาดว่าจะมีส่วนเพิ่มแรงส่งให้รถแล่นขึ้นเนินได้ง่ายขึ้น แล้วก็ยังลดโอกาสตกรางอีกด้วย (มั้ง?) นั่งรถไปดูวิวข้างทางสวยๆ ไปเรื่อยๆ เปลี่ยนขบวนรถ 1 ครั้งจนอากาศเริ่มเย็น รถก็มาจอดที่ลานหิมะให้ถ่ายรูปกับหิมะที่ยังละลายไม่หมด มองใกล้ๆ คล้ายปิงซูอยู่บ้าง ปรับความดันกันพักหนึ่งแล้วค่อยขึ้นกระเช้าเคเบิลคาร์ไปยังยอดเขาซุกสปิตเซ่ 2,950 เมตรจากระดับน้ำทะเล


พวกเราแวะกินอาหารกันบนยอดเขาจากนั้นลงกระเช้าแนวดิ่งยาวลงมาคนละเส้นทางกับตอนแรก จนมาถึงสถานีรถไฟที่ต้องเปลี่ยนขบวนก็ขึ้นรถบัสไปต่อกันที่เมืองทิทิเซ่ (Titisee) เมืองริมทะเลสาบทิทิเซ่ที่ กว้าง 700 เมตร ยาว 2 กิโลเมตร อยู่ในเขตป่าดำ (black forest) ที่มาของชื่อจากต้นสนที่ขึ้นติดๆ กันจนดำพรืดไปหมด น่าเสียดายที่กว่าจะไปถึงร้านขายของปิดกันเกือบหมดแล้ว เลยไม่ได้เข้าไปดูนาฬิกาคุ๊กคูผลิตจากไม้สนในป่าดำแหล่งผลิตใหญ่ รวมถึงอดกินขนมเค้กแบล็กฟอเรสต้นตำรับด้วย จากนั้นยังต้องเลยไปอีกเมืองเพื่อเข้าที่พักในฟรายเบิร์ก (Freiburg)

19 มิ.ย. 62

วันนี้ถึงเวลาบอกลาเยอรมันแล้ว บริเวณด่านขาออกมีศุลกากรอยู่ด้วย ไกด์ให้เราเตรียมเอกสารเพื่อประทับตราเตรียมคืนภาษีที่สนามบินสวิส ลดเวลาเข้าคิวประทับตราที่สนามบิน เจ้าหน้าที่ไม่ได้ถามอะไรก็ประทับตราผ่านให้อย่างง่ายๆ จากนั้นรถก็มุ่งหน้าเข้าสู่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ รูปทรงของบ้านเรือนเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด แต่โดยรวมก็ยังเป็นเนินเขียวชอุ่มอยู่ พวกเราแวะน้ำตกไรน์ (Rhein Fall) ของเมือง ซาฟเฮาเซ่น (Schaffausen) เป็นที่แรก น้ำตกไรน์เป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป สูง 23 เมตร กว้างกว่า 150 เมตร มีอายุเก่าแก่มากประมาณ 14,000 – 17,000 ปี บางทีอาจจะมีพวกปลาดึกดำบรรพ์ซ่อนตัวอยู่บ้างก็ได้

จุดท่องเที่ยวตรงนี้มีบริการล่องเรือชมน้ำตก โดยแบ่งเส้นทางตามสีของเรือ สีฟ้าชมรอบๆ+ข้ามฝั่ง สีชมพูพาชมรอบๆ น้ำตก สีแดงพาไปเยี่ยมชมอีกฝั่งซึ่งเป็นปราสาทเวิร์ท (Schloss Worth) อยู่ฝั่งเยอรมัน ส่วนสีเหลืองพาไปเกาะกลางน้ำที่ถูกแม่น้ำไรน์กัดเซาะผ่ากลางจนเป็นก้อนหินสูงๆ โผล่ขึ้นจากน้ำ 2 ก้อน มีบันไดชันให้นักท่องเที่ยวปีนขึ้นไปเก็บบรรยากาศกลางน้ำตกแบบเสียวๆ แต่ทัวร์ของเราไม่ได้กำหนดไว้ในโปรแกรมเลยได้แต่มองอยู่บริเวณฝั่ง

ร้านขายของที่ระลึกเริ่มมีมีดพับสวิสให้เห็นหลายๆ แบบแล้ว เราเลยถือโอกาสถ่ายรูปไปเลือกแบบที่อยากได้ จากนั้นเราไปแวะกินข้าวเที่ยงกันที่เมืองซุก (Zug) เมืองที่รวยที่สุด และอัตราการเก็บภาษีต่ำที่สุด แหล่งทำทองสมัยก่อนของสวิส ร้านอาหารจีนที่เข้ามากินมีคนไทยมาทำ parttime ด้วย น้องก็เลยถือโอกาสพาพวกเราชมเมืองหลังอาหาร เช่น ทะเลสาบซุกที่สวยงาม หอนาฬิกาเมืองซุกที่เป็น landmark สูง 52 เมตร สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 หลังคาเป็นสีฟ้าขาว นาฬิกาเป็นนาฬิกาดาราศาสตร์ บอกข้างขึ้นข้างแรมของพระจันทร์ วันในสัปดาห์ 

นอกจากนี้ยังแนะนำขนมเค้กไวน์เชอร์รี่ และเค้กกัญชาที่ร้านเบเกอรี่ หลังจากโดนพจนารถปั่นกระแส บางคนเลยอยากทดลองชิมกันดู หลังจากนั้นก็พาไปชมร้านทำทองที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรปของครอบครัวลอร์รี่ ชมร้านนาฬิกาสวิสที่รับประกันว่าถูกที่สุดในสวิส ระหว่างรอน้องดาเลือกนาฬิกา บางส่วนก็แยกไปซื้อเค้กกัญชา พอกลับมารวมกันพวกที่ชิมกันแล้วต่างบอกว่าขมมาก! เสียดายจัง ไม่ได้ลองดูบ้าง

ทุกคนที่ได้กัญชาและไม่ได้พากันหลับสนิท กว่าพวกเราจะไปถึงกรุงเบิร์น (เยอรมันอ่านว่า แบร์น) เมืองหลวงและเมืองมรดกโลกของสวิส เส้นทางบางช่วงปิดซ่อม บางช่วงปิดถนนเตรียมจัดงาน ดังนั้นพวกเราเลยไม่ได้ไปดูบ่อหมีสีน้ำตาล (bear park) ที่เป็นสัตว์สัญลักษณ์ของกรุงเบิร์น ʕ•ᴥ•ʔ

รถจอดบริเวณหน้าธนาคารแห่งชาติของสวิส ให้เราเดินไปถ่ายรูปบริเวณใกล้ๆ มีทั้งอาคารเก่าแก่ โบสถ์ หอนาฬิกา (Zytglogge clock tower) อายุ 800 ปี หอนาฬิกาหน้าปัดทำด้วยทองแดงขนาดใหญ่ และยังมีนาฬิกาหน้าปัดขนาดเล็กอีกหนึ่งเรือนอยู่ด้านล่าง ภายในหน้าปัดนาฬิกาขนาดเล็กจะแสดงเวลา วัน เดือน ปี  และจักรราศี  หอนาฬิกาแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1191 จุดประสงค์เพื่อเป็นประตูเมืองและได้มีการสร้างเพิ่มเติมในปี ค.ศ. 1530 ให้มีความสวยงามมากยิ่งขึ้น ไฮไลท์ที่ต้องรอชมทุก ๆ  5 นาที ก่อนจะครบรอบชั่วโมงจะมีตุ๊กตาออกมาเต้นระบำให้นักท่องเที่ยวได้หยุดมองหยุดชมกัน

เราเดินทางต่อไปยังเมืองกรินเดอร์วาล (Grindelwald) มองเห็นเทือกเขาแอลป์และทะเลสาบเป็นระยะ ซึ่งทะเลสาบที่ล้อมเมืองนี้ไว้มี 2 ทะเลสาบ คือ ทะเลสาบทูน (Lake Thun) และทะเลสาบเบรียนซ์ (Lake Brienz) 

พจกับดาได้ห้องพักเป็นห้องใต้หลังคาในโรงแรมบนเขา มองเห็นวิวเทือกเขาและหมู่บ้านเล็กๆ เชิงเขาคล้ายบ้านตุ๊กตา สวยงามมาก มื้อค่ำพวกเราเดินไปกินชีสฟองดูว์ที่ร้านอาหารในเมือง ไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่แต่ก็แปลกดี ทางร้านมีแตรภูเขา (Alps horn) ลำยาวเฟื้อยมาให้ทดลองเป่ากันด้วย

20 มิ.ย. 62

รถพาเราไปสถานีรถไฟไม่ไกลจากที่พักนักเพื่อขึ้นรถไฟไปยังยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau) ที่สูงที่สุดในยุโรป น่าเสียดายที่ลืมเสื้อกันหนาวไว้ในรถบัส เรากับน้องดาเลยต้องซื้อเสื้อกันหนาวใหม่กันที่ร้านขายของที่ระลึกบนยอดเขา และไหนๆ ก็เสียเงินแล้ว เราก็เลยได้มีดพับสวิส มีป้าย Top of Europe มาอีกหนึ่งเล่ม

 รถไฟเฟืองที่พาพวกเราไต่เขาไปเรื่อยๆ ถูกพัฒนามาจากนักธุรกิจชาวสวิส คือ อดอฟ กุยเยอร์-เซลเลอร์ (Mr. Adolf Guyer-Zeller) สร้างทางรถไฟโดยระเบิดภูเขาหินและขุดอุโมงค์ให้รถไฟผ่านบางช่วง จนปี 1912 ก็เจาะทะลุอุโมงค์จนถึงสถานีสุดท้ายบนยอดเขาจุงเฟรา เป็นสถานีรถไฟที่สูงที่สุดในโลกคือ 3,454 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล

ด้านบนอากาศไม่ถือว่าเบาบางมากนัก อาจเป็นเพราะภายในอาคารปรับอากาศแล้ว ไกด์คอยเตือนอยู่เสมอเพราะคงเห็นในกลุ่มเรามีผู้สูงอายุด้วยว่าให้เดินช้าๆ หายใจแรงๆ ถี่ๆ แต่พอออกไปด้านนอกที่เป็นลานสฟิงซ์ (Sphinx terrace) ซึ่งเป็นเนินเตี้ยๆ ที่ยังเต็มไปด้วยหิมะ หมอกขาวเย็นเฉียบก็กระจายตัวเต็มไปหมด จนสุดท้ายมองแทบไม่เห็นอะไรเลย ทุกคนต่างถอดใจเดินกลับเข้าไปในอาคาร มีพจนารถยังใส่เสื้อใหม่เดินท้าความหนาวต่อไป สุดทางดันเป็นวัยรุ่นสาวๆ ถอดเสื้อเปลือยท่อนบนหันหลังถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน แอบถ่ายชาวบ้านเขามารูปหนึ่ง หลังรีๆ รอๆ ว่าจะหันหน้ากลับมาไหม แต่อากาศหนาวมากและอาจถูกไล่เตะ ก็เลยต้องกลับเข้ามาในอาคารบ้าง

ภายในอาคารสถานีรถไฟ ยังมีอุโมงค์โลกอัลไพน์ เป็นห้องโถงจัดแสดงภาพการสร้างทางรถไฟ วิถีชีวิต วัฒนธรรมและธรรมชาติของสวิส ถ้ำน้ำแข็ง Ice palace มีงานแกะสลักรูปสัตว์ต่างๆ ที่ -3 องศา พวกเรายังคงกินข้าวกันบนยอดจุงเฟราก่อนกลับลงมาด้วยรถไฟเช่นเดิม

บ่ายนี้รถบัสพาพวกเราไปยังเมืองลูเซิร์น (Lucerne) เมืองที่ห้อมล้อมไปด้วยทะเลสาบและทิวเขา เย็นนี้เป็นเวลาอิสระให้เดินเล่น ช้อบปิ้ง หาข้าวเย็นกินกันเอง ไกด์พาพวกเราไปปล่อยหน้าห้างขายของที่ระลึกขนาดใหญ่ ชี้เป้าบอกร้านอาหารไทย 2 – 3 แห่ง และจุดเที่ยวชมที่สามารถเดินไปถ่ายรูปกันได้

ฝนเริ่มลงเม็ดแล้ว เรากับน้องดาเลยหยุดกันอยู่ในร้านขายของ ไม่ได้เดินไปทางสะพานใหญ่ใกล้สถานีรถไฟ ชื่อสะพาน Seebrücke ซึ่งเป็นจุดชมวิวแม่น้ำ Reuss ที่ไหลลงทะเลสาบลูเซิร์น แถวนั้นจะมีซุปเปอร์มาเก็ตขนาดใหญ่ที่คนไทยนิยมไปซื้อช้อคโกแลตสวิสกลับมาเป็นของฝากอีกด้วย

ซื้อของเสร็จเราเลือกมาเดินไปตามถนน Bahnhofstrasse เลียบริมแม่น้ำไปทางสะพานไม้เก่าแก่อายุ 670 ปี ชื่อสะพาน Kapellbrücke หรือ Chapel bridge ข้ามแม่น้ำไปแล้วก็ข้ามกลับด้วยสะพานใกล้ๆ กันคือสะพาน Rathaussteg ไม่มีหลังคาบังเหมือนสะพานไม้ เราเลยได้ถ่ายรูปโบสถ์ยอดโดมหัวหอมคู่ สีเขียวๆ ริมแม่น้ำชื่อว่า Jesuitenkirche ว่ากันว่าเป็นโบสถ์บาร๊อกที่สวยที่สุดในสวิส ด้านที่ข้ามกลับมาเป็นที่ว่าการเมืองลูเซิร์นหลังเก่า หรือ Altes Rathaus บริเวณลานด้านหน้าติดถนน มีร้านอาหารมากมาย ถ้าฝนไม่ตกปรอยๆ อยู่ก็ว่าจะแวะกินอาหารค่ำกันที่นี่

พจกับดาเดินไปเรื่อยๆ ในเขตเมืองเก่าผ่านร้านอาหารไทยที่ไกด์เบิร์ดแนะนำ ยังเห็นคุณไกด์และสมาชิกทัวร์บางคนอยู่ข้างใน ส่วนร้านอื่นๆ คนค่อนข้างเยอะ สุดท้ายพวกเราก็เลือกร้านพิซซ่าเข้าไปทดลองรสชาติพิซซ่ายุโรป

21 มิ.ย. 62

ช้านี้ไกด์พาพวกเราไปไหว้เจ้าที่ก่อนกลับ นั่นคืออนุสาวรีย์สิงโตหินแกะสลัก Löwendenkmal ในสวน Gletschergarten ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงทหารรับจ้างชาวสวิสผู้ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่จนวินาทีสุดท้าย ตัวอย่างวีรกรรมที่สำคัญของทหารสวิสที่จ้างมาเป็นองครักษ์เสียชีวิตทั้งหมดเพื่อปกป้องเจ้านาย ในเหตุการณ์กบฎและลอบปลงพระชนม์พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระนางมารีอังตัวเนตต์แห่งฝรั่งเศส

หลังจากนั้นรถมาแวะพักให้ถ่ายรูปกับทะเลสาบลูเซิร์น บริเวณจอดรถมีตลาดนัดผักผลไม้และไม้ดอก จึงมีน้อยคนที่จะไปถ่ายรูปทะเลสาบ ส่วนใหญ่จะหันมาจับจ่ายซื้อของสดกลับไปเป็นของฝากที่เมืองไทย ก่อนจะไปยังสนามบินซูริคที่ยังคงมีร้านค้าปลอดภาษีให้เสียทรัพย์ในยุโรปกันอีกครั้ง สำหรับคนที่จะรับคืนภาษีสำหรับสินค้าที่ซื้อมา หากรับคืนเป็นเงินสดจะต้องไปต่อแถวในช่องรับเงินคืน ถ้าให้โอนเข้าบัตรเครดิต ก็กรอกเอกสารให้ครบโดยไกด์เบิร์ดตรวจสอบเอกสารให้พวกเราอย่างละเอียด จากนั้นก็ปิดผนึกซองส่งตู้ไปรษณ๊ย์ในสนามบิน บริษัทก็จะโอนคืนเงินเข้ามาในบัตรภายใน 30 วัน
13.30 น. เครื่องบินโดยสารการบินไทยก็ออกจากยุโรปกลับบ้าน ถึงกรุงเทพเวลา 5.30 น. วันที่ 22 มิ.ย. 62