มาถึงวันสุดท้ายของการเที่ยวจนได้ ตอนเช้าหลังจากที่จุ๋ยเสนอว่าจะไปกินอาหารพื้นเมืองกัน แต่เดินไปแล้วร้านยังไม่เปิด มาเจอร้านน้ำชาที่มีติ๋มซำท่าทางน่าอร่อยและคนกินเพียบแทน เลยได้กินข้าวยำ หมี่ซั่ว และสารพัดติ๋มซำกันอีกครั้ง ร้านนี้อร่อยกว่าร้านที่เรากินกันในวันแรก แต่ไม่มีเข่งติ๋มซำเพราะเขาใส่ในถ้วยน้ำจิ้มใบเล็ก ส่วนปาท่องโก๋จิ้มสังขยาก็อร่อยจนต้องสั่งมาเป็นจานที่ 3
โปรแกรมเช้านี้คือไปวัดถ้ำเสือ ทีแรกไม่ค่อยเชื่อน้องที่นั่งรถทัวร์มาด้วยกันเท่าไหร่ว่าต้องไต่บันไดขึ้นไปพันกว่าขั้น พอไปถึงเข้าจริงๆ ก็เจอป้ายบอกว่า 1,237 ขั้น มองเห็นเจดีย์อยู่บนยอดเขาลิบๆ เลยตกลงกับอ๋อยว่าพวกเราขึ้นไปกันแค่พอเหนื่อยละกัน (60 ขั้นเห็นจะได้) ไปได้ซักพักก็ได้จุ๋ยที่เป็นโรคกลัวความสูงมาเป็นแนวร่วมอีกคนนึง ถ่ายรูปกันพอประมาณก็เดินเล่นกันอยู่ข้างล่าง ปล่อยให้เอ๋กับหมอปุ้มขึ้นไปเป็นผู้พิชิตยอดเขากัน 2 คน
วัดถ้ำเสือเดิมเป็นสำนักปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์สายวิปัสนา เป็นวัดที่อยู่ริมเพิงผา มีถ้ำอยู่มากมาย และมีเสืออยู่ในถ้ำ มีพระพุทธรูปหยกขาวศิลปะพม่าที่นำมาจากกรุงมัณฑะเลย์ และพระโพธิสัตว์กวนอิม
หลังจากหมอปุ้มกับเอ๋กลับลงมาแล้ว เราก็ไปต่อกันที่สระมรกต (unseen) ที่มองเห็นน้ำใสเหมือนมรกตและเปลี่ยนสีได้ตามช่วงเวลาของวัน ว่ากันว่าน้ำที่ไหลลงสระเป็นน้ำกระด้าง ซึ่งมีผลต่อการตกตะกอนของเกลือหลายชนิด และมีผลยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชน้ำ ทำให้น้ำในสระใสและไม่มีต้นพืชขึ้นอยู่เลย โชคดีที่คนไม่เยอะมากเพราะเป็นสระขนาดไม่ใหญ่ พอมีที่ให้ว่ายไปมาได้ เรากับอ๋อยที่ไม่ลงน้ำเลยทำหน้าที่เป็นตากล้องอีกครั้ง ที่เที่ยวสุดท้ายของทริปนี้คือน้ำตกร้อน (unseen) ที่ทุกคนพร้อมใจกันลงรวมทั้งอ๋อย เพราะเป็นโอกาสจะได้อาบน้ำก่อนกลับบ้าน น้ำตกร้อนเป็นน้ำตกสูงประมาณ 3 เมตร มี 3 ชั้น มีลักษณะพิเศษคือแต่ละชั้นมีแอ่งให้แช่ตัวได้ คล้ายอ่างอาบน้ำ มีแร่กำมะถันเจือจางเป็นส่วนประกอบ แช่ไปทีแรกก็ร้อน แต่พอชินเข้าก็ลงแช่ได้ทั้งตัว รู้สึกสบายจนไม่อยากขึ้น แต่ก็เชื่อฟังป้ายที่บอกว่าไม่ควรแช่นานเกิน 20 นาที
หลังจากนั้นพวกเราก็ให้พี่มาหมาดพาไปซื้อของฝาก ได้เป็นเต้าส้อและผลิตภัณฑ์กุ้งต่างๆ เวลามีฉิวเฉียดก่อนรถจะออกตอน 17.00 น. เลยทำได้แค่กินบะหมี่คนละชาม แล้วเราก็ขึ้นรถกรุงเทพฯ – พังงา? กลับ สงสัยว่าขากลับคนคงจะเยอะ รถที่ออกก็เลยกลายเป็นรถพังงาด้วยอีกคัน มาถึงสายใต้ใหม่ 4.30 น. แวะเข้าห้องน้ำก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงาน หรือ นอน(อย่างเรา) ต่อไป
กลับถึงบ้าน 6.30 น. ค่าใช้จ่าย 5,983 บาท/คน 16-18 พ.ย. 50
โปรแกรมเช้านี้คือไปวัดถ้ำเสือ ทีแรกไม่ค่อยเชื่อน้องที่นั่งรถทัวร์มาด้วยกันเท่าไหร่ว่าต้องไต่บันไดขึ้นไปพันกว่าขั้น พอไปถึงเข้าจริงๆ ก็เจอป้ายบอกว่า 1,237 ขั้น มองเห็นเจดีย์อยู่บนยอดเขาลิบๆ เลยตกลงกับอ๋อยว่าพวกเราขึ้นไปกันแค่พอเหนื่อยละกัน (60 ขั้นเห็นจะได้) ไปได้ซักพักก็ได้จุ๋ยที่เป็นโรคกลัวความสูงมาเป็นแนวร่วมอีกคนนึง ถ่ายรูปกันพอประมาณก็เดินเล่นกันอยู่ข้างล่าง ปล่อยให้เอ๋กับหมอปุ้มขึ้นไปเป็นผู้พิชิตยอดเขากัน 2 คน
วัดถ้ำเสือเดิมเป็นสำนักปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์สายวิปัสนา เป็นวัดที่อยู่ริมเพิงผา มีถ้ำอยู่มากมาย และมีเสืออยู่ในถ้ำ มีพระพุทธรูปหยกขาวศิลปะพม่าที่นำมาจากกรุงมัณฑะเลย์ และพระโพธิสัตว์กวนอิม
หลังจากหมอปุ้มกับเอ๋กลับลงมาแล้ว เราก็ไปต่อกันที่สระมรกต (unseen) ที่มองเห็นน้ำใสเหมือนมรกตและเปลี่ยนสีได้ตามช่วงเวลาของวัน ว่ากันว่าน้ำที่ไหลลงสระเป็นน้ำกระด้าง ซึ่งมีผลต่อการตกตะกอนของเกลือหลายชนิด และมีผลยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชน้ำ ทำให้น้ำในสระใสและไม่มีต้นพืชขึ้นอยู่เลย โชคดีที่คนไม่เยอะมากเพราะเป็นสระขนาดไม่ใหญ่ พอมีที่ให้ว่ายไปมาได้ เรากับอ๋อยที่ไม่ลงน้ำเลยทำหน้าที่เป็นตากล้องอีกครั้ง ที่เที่ยวสุดท้ายของทริปนี้คือน้ำตกร้อน (unseen) ที่ทุกคนพร้อมใจกันลงรวมทั้งอ๋อย เพราะเป็นโอกาสจะได้อาบน้ำก่อนกลับบ้าน น้ำตกร้อนเป็นน้ำตกสูงประมาณ 3 เมตร มี 3 ชั้น มีลักษณะพิเศษคือแต่ละชั้นมีแอ่งให้แช่ตัวได้ คล้ายอ่างอาบน้ำ มีแร่กำมะถันเจือจางเป็นส่วนประกอบ แช่ไปทีแรกก็ร้อน แต่พอชินเข้าก็ลงแช่ได้ทั้งตัว รู้สึกสบายจนไม่อยากขึ้น แต่ก็เชื่อฟังป้ายที่บอกว่าไม่ควรแช่นานเกิน 20 นาที
หลังจากนั้นพวกเราก็ให้พี่มาหมาดพาไปซื้อของฝาก ได้เป็นเต้าส้อและผลิตภัณฑ์กุ้งต่างๆ เวลามีฉิวเฉียดก่อนรถจะออกตอน 17.00 น. เลยทำได้แค่กินบะหมี่คนละชาม แล้วเราก็ขึ้นรถกรุงเทพฯ – พังงา? กลับ สงสัยว่าขากลับคนคงจะเยอะ รถที่ออกก็เลยกลายเป็นรถพังงาด้วยอีกคัน มาถึงสายใต้ใหม่ 4.30 น. แวะเข้าห้องน้ำก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงาน หรือ นอน(อย่างเรา) ต่อไป
กลับถึงบ้าน 6.30 น. ค่าใช้จ่าย 5,983 บาท/คน 16-18 พ.ย. 50