Tuesday, November 20, 2007

ทริปกระบี่ (Part III)

มาถึงวันสุดท้ายของการเที่ยวจนได้ ตอนเช้าหลังจากที่จุ๋ยเสนอว่าจะไปกินอาหารพื้นเมืองกัน แต่เดินไปแล้วร้านยังไม่เปิด มาเจอร้านน้ำชาที่มีติ๋มซำท่าทางน่าอร่อยและคนกินเพียบแทน เลยได้กินข้าวยำ หมี่ซั่ว และสารพัดติ๋มซำกันอีกครั้ง ร้านนี้อร่อยกว่าร้านที่เรากินกันในวันแรก แต่ไม่มีเข่งติ๋มซำเพราะเขาใส่ในถ้วยน้ำจิ้มใบเล็ก ส่วนปาท่องโก๋จิ้มสังขยาก็อร่อยจนต้องสั่งมาเป็นจานที่ 3
โปรแกรมเช้านี้คือไปวัดถ้ำเสือ ทีแรกไม่ค่อยเชื่อน้องที่นั่งรถทัวร์มาด้วยกันเท่าไหร่ว่าต้องไต่บันไดขึ้นไปพันกว่าขั้น พอไปถึงเข้าจริงๆ ก็เจอป้ายบอกว่า 1,237 ขั้น มองเห็นเจดีย์อยู่บนยอดเขาลิบๆ เลยตกลงกับอ๋อยว่าพวกเราขึ้นไปกันแค่พอเหนื่อยละกัน (60 ขั้นเห็นจะได้) ไปได้ซักพักก็ได้จุ๋ยที่เป็นโรคกลัวความสูงมาเป็นแนวร่วมอีกคนนึง ถ่ายรูปกันพอประมาณก็เดินเล่นกันอยู่ข้างล่าง ปล่อยให้เอ๋กับหมอปุ้มขึ้นไปเป็นผู้พิชิตยอดเขากัน 2 คน
วัดถ้ำเสือเดิมเป็นสำนักปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์สายวิปัสนา เป็นวัดที่อยู่ริมเพิงผา มีถ้ำอยู่มากมาย และมีเสืออยู่ในถ้ำ มีพระพุทธรูปหยกขาวศิลปะพม่าที่นำมาจากกรุงมัณฑะเลย์ และพระโพธิสัตว์กวนอิม
หลังจากหมอปุ้มกับเอ๋กลับลงมาแล้ว เราก็ไปต่อกันที่สระมรกต (unseen) ที่มองเห็นน้ำใสเหมือนมรกตและเปลี่ยนสีได้ตามช่วงเวลาของวัน ว่ากันว่าน้ำที่ไหลลงสระเป็นน้ำกระด้าง ซึ่งมีผลต่อการตกตะกอนของเกลือหลายชนิด และมีผลยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชน้ำ ทำให้น้ำในสระใสและไม่มีต้นพืชขึ้นอยู่เลย โชคดีที่คนไม่เยอะมากเพราะเป็นสระขนาดไม่ใหญ่ พอมีที่ให้ว่ายไปมาได้ เรากับอ๋อยที่ไม่ลงน้ำเลยทำหน้าที่เป็นตากล้องอีกครั้ง ที่เที่ยวสุดท้ายของทริปนี้คือน้ำตกร้อน (unseen) ที่ทุกคนพร้อมใจกันลงรวมทั้งอ๋อย เพราะเป็นโอกาสจะได้อาบน้ำก่อนกลับบ้าน น้ำตกร้อนเป็นน้ำตกสูงประมาณ 3 เมตร มี 3 ชั้น มีลักษณะพิเศษคือแต่ละชั้นมีแอ่งให้แช่ตัวได้ คล้ายอ่างอาบน้ำ มีแร่กำมะถันเจือจางเป็นส่วนประกอบ แช่ไปทีแรกก็ร้อน แต่พอชินเข้าก็ลงแช่ได้ทั้งตัว รู้สึกสบายจนไม่อยากขึ้น แต่ก็เชื่อฟังป้ายที่บอกว่าไม่ควรแช่นานเกิน 20 นาที
หลังจากนั้นพวกเราก็ให้พี่มาหมาดพาไปซื้อของฝาก ได้เป็นเต้าส้อและผลิตภัณฑ์กุ้งต่างๆ เวลามีฉิวเฉียดก่อนรถจะออกตอน 17.00 น. เลยทำได้แค่กินบะหมี่คนละชาม แล้วเราก็ขึ้นรถกรุงเทพฯ – พังงา? กลับ สงสัยว่าขากลับคนคงจะเยอะ รถที่ออกก็เลยกลายเป็นรถพังงาด้วยอีกคัน มาถึงสายใต้ใหม่ 4.30 น. แวะเข้าห้องน้ำก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงาน หรือ นอน(อย่างเรา) ต่อไป
กลับถึงบ้าน 6.30 น. ค่าใช้จ่าย 5,983 บาท/คน 16-18 พ.ย. 50

ทริปกระบี่ (Part II)

เริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยการตื่นก่อนและทยอยปลุกเรียงตัว วันนี้พวกเราออกไปกินข้าวกันที่ตลาดสดไม่ไกลจากโรงแรมอีกเหมือนกัน ในตลาดมีร้านขนมจีน ข้าวแกง ข้าวหมกไก่ ไก่ทอด ฯลฯ ให้เลือกซื้อกันตามสบายแล้วเอามานั่งกินกันตรงโต๊ะที่เขาจัดไว้ให้ ร้านชา กาแฟที่นี่ขายตั้งแต่เช้ายันดึก ตอนเช้ามีปาท่องโก๋ ข้าวเหนียวไส้กุ้ง และข้าวเหนียวหน้าต่างๆ ห่อใบตองใส่ตะกร้าไว้ให้กินกับกาแฟอีกด้วย
กะไว้แล้วเชียวว่าทัวร์ต้องแจ้งคนขับรถตู้ที่เราเช่าไว้ว่าออก 9.00 น. เลยโทรตาม ซึ่งกว่ารถตู้ที่มีคุณมาหมาดเป็นคนขับจะมารับก็เกือบ 8.30 น. เลยต้องบอกเวลากันใหม่ว่าพรุ่งนี้ขอเป็นออก 8.00 น.เพราะพวกเราจะต้องกลับกันเวลา 17.00 น.
ความจริงพวกเรากะว่าจะเช่ารถและขับกันเอง แต่ติดปัญหาที่ว่าสมาชิกแต่ละคนตัวไม่ใช่เล็ก รถจึงต้องใหญ่ขนาด Toyota altis ขึ้นไป แต่ปรากฏว่ารถที่ว่างให้เช่ากลับเป็นพวกรถเล็ก เช่น Jass Civic และ Vios ส่วนรถรุ่นใหญ่ๆ เช่น camry หรือ fortuner ก็ราคาพอๆ กับรถตู้ที่มีคนขับให้ เราก็เลยเลือกรถตู้พร้อมคนขับที่เช่ารวมกับน้ำมันรถด้วย แต่ต้องระบุเส้นทางที่จะไปแทน

พี่มาหมาดออกตัวว่าเพิ่งจะมารับพาทัวร์ที่กระบี่ไม่นาน เลยไม่รู้จะแนะนำที่เที่ยวตรงไหน แต่พาไปถูกเพราะเป็นคนกระบี่ ซึ่งตามโปรแกรมของเราที่แรกที่จะไปคือ คลองสองน้ำ (unseen) แต่ไปถึงก็ต้องผิดหวังเพราะเป็นช่วงน้ำลง ไม่สามารถพายคายัคในคลองได้ เลยได้แต่เดินตามเส้นทางป่าพรุธรรมชาติ ดูต้นไม้พลาง ทำท่าเป็นนักนิเวศวิทยาไปพลาง
คลองสองน้ำมีลักษณะพิเศษคือ ถ้าน้ำทะเลลดก็จะเป็นน้ำจืด เมื่อน้ำทะเลขึ้นก็จะเป็นคลองน้ำเค็ม
หลังจากนั้นเราก็ไปอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี อ.อ่าวลึก มีสระโบกขรณีซึ่งเป็นสระขนาดใหญ่ และต่างระดับกันทำให้มองเห็นคล้ายน้ำตกเตี้ยๆ น่าเสียดายที่น้ำเป็นสีโคลน เวลาถ่ายรูปเลยดูไม่ค่อยเหมือนพวกกินนอน 5 ตัว อยู่ข้างสระ
เราไปกันต่อที่ถ้ำลอดและถ้ำผีหัวโต โดยต้องนั่งเรือไป มีเรือหางยาวที่จุคนได้เป็นสิบกับเรือคายัคที่ต้องพายไปกันเอง พวกเราเลือกเรือหางยาวที่ถูกกว่าเป็นเท่าตัวเพื่อไปดูภาพเขียนก่อนประวัติศาสตร์ที่ถ้ำผีหัวโต ผ่านถ้ำลอดที่เป็นหินงอกหินย้อยเป็นโพรงให้เรือลอดผ่าน หลังจากเดินและปีนป่ายดูรูปในถ้ำผีหัวโตพอประมาณก็พักกินข้าว พี่คนขับแนะนำร้านให้ ชื่อร้าน แหลมสักซีฟู้ด บรรยากาศดีทีเดียว แถมพวกเรายังได้กินอาหารทะเล โดยเฉพาะหอยชักตีน ที่มีในไม่กี่จังหวัด เช่น กระบี่ พังงา ภูเก็ต
มื้อเที่ยงนี้ทำเอาพวกเรามีแรงเที่ยวกันอีกครั้ง หลังจากพลาดหวังจากพายคายัคตอนเช้า โปรแกรมตอนบ่ายที่จะไปน้ำตกห้วยโต้ที่อุทยานแห่งชาติเขาพนมเบญจา เลยเปลี่ยนเป็นพายคายัคที่อ่าวท่าเลนแทน
ไปถึงเรือคายัคจำนวนมากมายรอพวกเราอยู่ ซึ่งเจ้าของก็อธิบายเส้นทางพาย ดูๆ ไปก็ไม่น่ายาก แต่คิดถูกจริงๆ ที่จ้างไกด์ไปด้วย พวกเราเช่าเรือ 3 ลำ คนที่พายเรือเป็นอย่างเรากับจุ๋ยแยกกัน มีหมอปุ้มไปกับจุ๋ย และเราไปกับเอ๋ ส่วนอ๋อยไปกับไกด์
งานนี้อ๋อยได้แต่นั่งนิ่งๆ ไม่กล้าขยับตัวเพราะว่ายน้ำไม่เป็น เอ๋มีพักถ่ายรูปเป็นระยะ ทำให้ลำของเรารั้งท้าย พวกเราพายผ่านหน้าผาหินเข้าไปใน lagoon ที่ร่มรื่น ลมเย็นๆ กับทิวทัศน์รอบด้านทำเอาลืมเมื่อย แวะพักหาดทรายที่เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ไกด์บอกว่าโดนซึนามิกับเค้าด้วย เหลือแต่โครงไม้เอาไว้
จากนั้นพายต่อไปตรงที่ห้อมล้อมด้วยผาหินที่เรียก canyon ช่วงหลังนี่เอ๋พักถ่ายรูปบ่อยเลยชักเมื่อยมือที่ต้องจ้ำคนเดียวตามลำอื่น มีอ๋อยหันมาแซวบางครั้ง แต่ก็ถูกแซวกลับว่าเป็นขบวนแห่ที่มีพระสังกัจจายน์นั่งหน้า ทำเอาอ๋อยค้อนทำปากหมุบหมิบสรรเสริญเพื่อนๆ

ที่ป่าข้างทางมีฝูงลิงให้เห็นบ้าง แล้วก็มีปลาปักเป้าขึ้นมาหายใจด้วยท่าทางแปลกๆ ทำเอานักท่องเที่ยวอย่างพวกเราสรุปว่ามันจะตาย แต่ไกด์บอกว่าขึ้นมาหายใจ (แบบเอียงๆ และพะงาบๆ) จากนั้นเราพายผ่านรูปปลาโบราณริมหน้าผา เข้าคลองเล็กคลองน้อย จนกลัวว่าคอเอ๋จะไปเกี่ยวกับต้นแสมริมน้ำต้นใดต้นหนึ่ง สักพักลำของอ๋อยที่นำหน้าก็สั่งให้ถอยเพราะไปเจอน้ำตื้น ลำอื่นๆ ได้แต่หัวเราะกันหึๆ ที่เห็นอ๋อยเกยตื้น แต่ก็ถอยคายัคกลับกันด้วยความยากลำบาก
ผ่านไปเกือบ 3 ชั่วโมงที่บากบั่นพายกันไป จากทีแรกเราคิดว่าค่าเช่าเรือแพงโคตร คือ ลำละ 500 คราวนี้เรียกได้ว่าคุ้มจริงๆ แต่ก็สนุกมากจนลืมเรื่องแขนที่ยกแทบไม่ขึ้นหลังจากนั้น
ร้านอาหารเป้าหมายเย็นนี้ชื่อร้านเรือนไม้ ที่คนรู้จักของหมอปุ้มแนะนำมาอีกที ตัวร้านอยู่ค่อนข้างไกลจากที่พัก ดีที่ว่าเราให้รถตู้มาส่งก่อนโดยยอมกินข้าวกันทั้งที่ตัวเปียกๆ เมนูหอยชักตีนกลับมาอีกครั้งโดยคราวนี้สั่งเป็น 1 กิโลกรัม และก็เหมือนเดิมคือ ไม่ค่อยหิวกันเท่าไหร่ แต่อาหารก็หมดลงอย่างรวดเร็ว
เดินกลับที่พักและอาบน้ำกันแล้ว จุ๋ยก็ชวนไปตะลุยราตรีต่อ มีเอ๋กับอ๋อยที่เหนื่อยจากการพายเรือ !?! ขอนอนเฝ้าห้อง ส่วนเราถึงแขนจะยกแทบไม่ขึ้นแต่ก็ (จำใจ) ไปด้วย ผับหรือคาราโอเกะแถวนั้นดูมืดๆ ไม่ค่อยปลอดภัย (กับจุ๋ย) เท่าไหร่ จุ๋ยเลยได้แต่ชวนเดินดูตลาดยาม 3 ทุ่มกันไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็แวะร้านน้ำชา สั่งโรตีมากินกับน้ำชากันก่อนนอน

ทริปกระบี่ 16 - 18 พ.ย. 50 (Part I)

พวกเราประกอบด้วย เรา อ๋อย หมอปุ้ม จุ๋ย และเอ๋ ออกเดินทางจากสายใต้ใหม่ล่าสุด จุดหมายปลายทางครั้งนี้คือ 4 unseen ที่กระบี่

เนื่องจากสายใต้เพิ่งเปิดใช้เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 50 และเป็นครั้งแรกของพวกเราที่ได้ใช้บริการ เลยเริ่มงงเล็กน้อยเกี่ยวกันสถานที่อันใหญ่โตกว้างขวาง คราวนี้เราใช้บริการลิกไนต์ทัวร์ 24 ที่นั่ง รถออก 19.00 น. เบาะนั่งกว้างมาก แต่ระบบนวดหลังไม่ยักทำงานอย่างที่โฆษณาไว้ เอาเข้าจริงนั่งไป 11 ชั่วโมงก็ยังเมื่อยสุดๆ อยู่ดี

ไปถึงสถานีขนส่งกระบี่ประมาณ 6.00 น. ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสถานีขนส่งของเมืองท่องเที่ยวอย่างกระบี่จะเล็กและทรุดโทรมได้ขนาดนี้ แวะซื้อตั๋วรถขากลับแล้วก็พากันนั่งรถ 2 แถวไปโรงแรม เดอะกรีนเนอรี่ในตัวเมืองกระบี่

งวดนี้อ๋อยจองที่พักได้เหมาะเจาะมาก เพราะหลังจากไปถึง เราก็เดินไปกินอาหารเช้า เป็นติ๋มซำร้านที่อยู่ถัดไปไม่กี่เมตรได้ทันที หมดติ๋มซำไป 17 เข่ง บักกุ๊ดเต๋ หมี่ซั่ว ไปเรียบร้อย ทัวร์ที่จองไว้ คือ กระบี่ดอทคอมก็นำรถ 2 แถวมารับ โดยมีฝรั่งนั่งอยู่ก่อนแล้วจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็วนไปรับคนอีกหลายที่จนแน่น

ฝรั่งที่ขึ้นหลังสุดเห็นหมวก shotover jet ของจุ๋ยก็เลยทักทายและแนะนำตัวว่าเค้ามาจากนิวซีแลนด์ ส่วนพ่อหนุ่ม go-inter ประจำทีมก็ส่งภาษาตอบอย่างดี แต่ไม่รู้มีมั่วบ้างหรือเปล่า เพราะได้ยินแว่วๆ ว่าเมืองไทยก็มี artificial snow คล้ายๆ Antarctic center บ้านยูเหมือนกัน แถมยังหยอดตบท้ายอีกว่าลุงฝรั่งคนนั้นยังดูไม่แก่เลย....มีเสียงหมอปุ้มแซวว่านี่พวกเรากำลังฟังรายการแหลแต่เช้ากันอยู่หรือเปล่า

ไปถึงอ่าวนาง ทัวร์ก็แบ่งคนตามแพคเกจที่จองไว้ สำหรับพวกเราเป็น one day trip คือทัวร์ 4 เกาะและทะเลแหวก (speed boat) กลุ่มที่ไปด้วยกันส่วนใหญ่เป็นฝรั่ง มีคนไทยนอกจากพวกเราก็เป็นน้องๆ ทันตแพทย์ที่มาไกลจาก จ.น่าน อีก 3 สาว หน้าตาน่ารัก ได้ยินเอ๋กับจุ๋ยคุยกันว่าถ้าเปลี่ยน 3 อ้วนกับ น้อง 3 คนนี้ได้คงดี
ส่วนคนบนเรือคนอื่นก็เห็นมีฝรั่งคู่เกย์หน้าตาดี 1 คู่ คู่กิ๊ก 1 คู่ แล้วก็ลุงๆป้าๆ อีก 4 คน

เรือพาไปทะเลแหวก (unseen) ก่อนในช่วงเช้า แต่น่าเสียดายที่เราไม่ได้ไปในช่วงขึ้น 15 ค่ำ ตอนน้ำลงเต็มที่เลยไม่ได้เห็นน้ำทะเลที่ลดต่ำจนสันทรายที่เชื่อมระหว่าง 3 เกาะ คือ เกาะทับ เกาะไก่ และเกาะหม้อ ผุดขึ้นมา ได้แต่เดินตามแนวสันทรายที่มองเห็นอยู่ใต้ระดับเข่าแทน

ส่วนอ๋อยหลังจากได้ยินคนเรือพูดว่าเดินข้ามจากเกาะทับไปเกาะไก่ได้ แต่ขากลับน้ำอาจจะขึ้นจนเดินกลับมาไม่ไหว อ๋อยเลยนั่งรอที่เกาะหม้อ เปิดโอกาสให้พวกเราฝากของแล้วเดินลุยน้ำกันไป กลับมาเลยได้ยินเสียงฟ้องว่ามีฝรั่งมาแก้ผ้าเปลี่ยนกางเกงว่ายน้ำให้ดูด้วย

กลับมาถ่ายรูปที่ที่หาดเกาะทับได้ซักพัก เรือก็พาพวกเราไปดำน้ำที่เกาะสี่ อ๋อยยังรับเป็นช่างภาพที่ไม่ยอมลงน้ำเหมือนเดิม ส่วนเราว่ายไปทางด้านหัวเรือที่คนเรือโยนขนมปังลงน้ำให้ปลามารวมเป็นฝูง กำลังคิดว่าจะกระโดดขึ้นมาฮุบขนมปังบ้างดีหรือไม่ อ๋อยก็ตะโกนบอกให้ช่วยลากเอ๋ที่โดนน้ำพัดไปติดหัวเรือที ไม่น่าเชื่อว่าเอ๋จะตัวหนักขนาดลากทวนน้ำออกมาไม่ได้ แต่เห็นเอ๋ยังยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เลยเบาใจ เลิกช่วยแล้วว่ายไปทางอื่นแทน ขึ้นมาบนเรือแล้วถึงได้รู้ว่า อ๋อยต้องให้คนเรือโยนเชือกให้ผู้ประสบภัยเพื่อลากเอ๋ขึ้นเรือ....เฮ้อ

ปะการังที่นี่ไม่ค่อยสวยและมีน้อย ส่วนปลาถึงจะมีจำนวนค่อนข้างมาก แต่ก็น้อยชนิด เป็นปลาลายเสือที่แย่งเรากินขนมปังซะส่วนใหญ่ หลังจากดำผิวน้ำไปได้ซักพักก็ไปเจอกับเป้า..เอ๊ย กางเกงว่ายน้ำลายคุ้นๆ โผล่ขึ้นมาดูเลยเห็นว่าเป็นจุ๋ยที่เจ้าตัวภูมิอกภูมิใจเหลือเกินกับกางเกงว่ายน้ำตัวใหม่ พอมารวมกันได้ ตากล้องบนเรือก็เริ่มทำงาน หมอปุ้มอยู่อีกทางหนึ่งเลยรีบว่ายเข้ามาจะถ่ายรูปด้วย แต่ท่าว่ายแบบจะจมมิจมแหล่กับสีหน้าอยากถ่ายรูปมั่งให้รอด้วย ทำเอาคนเรือนึกว่ามีผู้ประสบภัยอีกเลยโยนเชือกให้...แป่ว

ขึ้นมาบนเรือได้อ๋อยก็เล่าถึงเบื้องหลังกางเกงว่ายน้ำว่า จุ๋ยรอจนคนลงน้ำกันไปหมดก็ไปที่หัวเรือ บอกอ๋อยว่าจะเปลี่ยนกางเกง พร้อมโชว์ผ้าเช็ดตัวที่จะใช้เปลี่ยนซึ่งผืนใหญ่กว่าผ้าเช็ดหน้านิดนึง กะว่าจะอาศัยหุ่นอันกว้างใหญ่ของอ๋อยบังอีกชั้น ดีที่อ๋อยดูหนุ่มฝรั่งบนเกาะหม้อมาเยอะแล้วเลยไม่สนใจ ไปเป็นห่วงทางเอ๋ที่ติดอยู่หัวเรือแทน จุ๋ยเลยได้เปลี่ยนกางเกงโดยไม่มีรูปมาให้ขึ้นเวป แต่ก็ไม่วายโดนประณามว่า ทำไมไม่เปลี่ยนมาตั้งแต่ที่โรงแรม (วะ) คำตอบที่ได้คือ ก็กางเกงมันตัวเล็ก ขี้เกียจใส่ให้มันบีบ....นานๆ

หลังจากนั้นเราก็แวะกินข้าวกันที่เกาะปอดะ โดยทุกคนหลีกเลี่ยงการนั่งกินแบบล้อมวง แต่ใช้วิธีหันหน้าไปทางเดียวกันแทน เพื่อหลีกเลี่ยงอาการเบื่ออาหารจากการกินข้าวประจันหน้ากับบุรุษในชุดว่ายน้ำ (กับข้าวมีไส้กรอกอย่างสั้นอีกต่างหาก)

จากนั้นการถ่ายรูป on the beach โดยมีตากล้องเดิมๆ นายแบบเดิมๆ กับกางเกงว่ายน้ำตัวใหม่ก็เริ่มขึ้น ที่เกาะนี้ 90% เป็นฝรั่งในชุดว่ายน้ำ เลยดูไม่แปลกแยก และแดดเปรี้ยงกับน้ำทะเลสีเขียวสดก็พอจะทำให้รูปออกมาดูดีได้เหมือนกัน ส่วนนายแบบที่ใช้เวลาเดินตากแดดเกิน 1 ชั่วโมงก็รู้ฤทธิ์ของการโดนแดดเผาในเวลาต่อมา

ฝนตกลงมาประปรายหลังจากออกจากเกาะปอดะ เรือพาไปแวะหาดพระนาง จุ๋ยยังอุตส่าห์ตาไวเห็นฝรั่งคู่เกย์ทาครีมกันแดดให้กัน พร้อมทั้งชี้ชวนให้ดูอย่างอิจฉา

หาดพระนางอยู่ในอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี มีถ้ำพระนางอยู่ด้านชิดหน้าผา แต่ฝรั่งกลุ่มใหญ่ขวางอยู่หน้าถ้ำ พวกเราก็เลยเดินไปอีกฟากของเกาะที่เป็นหาดไร่เลย์ มีคนปีนหน้าผากันอยู่ด้วยกลุ่มหนึ่ง แต่ฝนที่เริ่มตกหนาเม็ดทำให้หมดความสนใจรีบเดินกลับกันไปที่เรือ

เมื่อถึงฝั่ง ลงจากเรือก็เห็นอ๋อยบ่นพึมว่ากระเป๋าตกน้ำ ในนั้นมีกล้อง มือถือ เงินกองกลาง มือถืออ๋อยที่เปิดทิ้งไว้ช๊อตไปเครื่องนึง เจ้าตัวเดินไปได้หน่อยก็มีเลือดไหลจากหัวเข่า เลยรู้ว่าอ๋อยลื่นตกบันไดเรือตอนขึ้นฝั่ง พวกเราหัวเราะตั้งสติกันพักใหญ่พร้อมๆกับการห้ามเลือด ดีที่ทางทัวร์มีชุดทำแผลให้

คิดว่าทีมเราคงเป็นที่ประทับใจของ บ.ทัวร์นี้อีกนาน เพราะมี 2 คนประสบภัย คนหนึ่งตกเรือ อีกคนก็แก้ผ้าเปลี่ยนกางเกงบนเรือหน้าตาเฉย ส่วนพจนารถทำเป็นไม่ได้มาด้วยโดยการเดินไปหาซื้อผ้าก๊อซ และน้องทันตแพทย์อีก 3 คน ก็แยกไปหาของกินแล้วหายจ้อยไปเลย

กลับมาถึงโรงแรมเกือบ 5 โมงเย็น อ๋อยต้องใช้ไดร์เป่ามือถือ เลยหมดโอกาสไปช้อปที่ร้านเสื้อผ้าไซต์ใหญ่ติดกับโรงแรม ชื่อร้านอ้วนสวย ตามที่ได้ตั้งใจไว้ อาบน้ำเสร็จกันครบทุกคนก็พากันไปเดินริมเขื่อนกั้นแม่น้ำที่มองเห็นเขาขนาบน้ำ เป็นภูเขา 2 ลูกสูงประมาณ 100 เมตร ตั้งขนาบแม่น้ำกระบี่ด้านหน้าตัวเมือง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองกระบี่ ถ่ายรูปกันได้สักพัก เป้าหมายก็เปลี่ยนเป็นกินโรตี แล้วตามด้วยอาหารอิสลามตามสั่ง ที่ริมเขื่อนนั่นเอง

อาหารอิสลามก็คล้ายอาหารไทยทั่วไป พวกเราสั่งซุปเนื้อ ผัดผักบุ้งไฟแดง ไข่เจียวกุ้ง แต่พอเค้าบอกว่ากุ้งไม่มี เอ๋เลยเปลี่ยนเป็นไข่เจียวหมูสับแทน คนรับ order ได้แต่ทำตาปริบๆ บอกร้านนี้ไม่มีหมูครับเพ่ สั่งไปสั่งมาก็สั่งแกงจืดเต้าหู้ที่เรารีบต่อว่าหมูสับให้ฮากันอีก ถึงจะไม่ค่อยหิวเพราะกินโรตีกันมา 5 ชิ้น แต่ทุกอย่างก็หมดในเวลาไม่นานนัก

พวกเราเดินไปเดินมาผ่านตลาดที่ค่อนข้างเงียบเหงา ผิดกับที่อ่าวนางตอนนั่งรถผ่าน จนไม่มีอะไรจะทำแล้วก็กลับไปคุยกันต่อในห้องพัก