เนื่องจากสายใต้เพิ่งเปิดใช้เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 50 และเป็นครั้งแรกของพวกเราที่ได้ใช้บริการ เลยเริ่มงงเล็กน้อยเกี่ยวกันสถานที่อันใหญ่โตกว้างขวาง คราวนี้เราใช้บริการลิกไนต์ทัวร์ 24 ที่นั่ง รถออก 19.00 น. เบาะนั่งกว้างมาก แต่ระบบนวดหลังไม่ยักทำงานอย่างที่โฆษณาไว้ เอาเข้าจริงนั่งไป 11 ชั่วโมงก็ยังเมื่อยสุดๆ อยู่ดี

ไปถึงสถานีขนส่งกระบี่ประมาณ 6.00 น. ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสถานีขนส่งของเมืองท่องเที่ยวอย่างกระบี่จะเล็กและทรุดโทรมได้ขนาดนี้ แวะซื้อตั๋วรถขากลับแล้วก็พากันนั่งรถ 2 แถวไปโรงแรม เดอะกรีนเนอรี่ในตัวเมืองกระบี่
งวดนี้อ๋อยจองที่พักได้เหมาะเจาะมาก เพราะหลังจากไปถึง เราก็เดินไปกินอาหารเช้า เป็นติ๋มซำร้านที่อยู่ถัดไปไม่กี่เมตรได้ทันที หมดติ๋มซำไป 17 เข่ง บักกุ๊ดเต๋ หมี่ซั่ว ไปเรียบร้อย

ฝรั่งที่ขึ้นหลังสุดเห็นหมวก shotover jet ของจุ๋ยก็เลยทักทายและแนะนำตัวว่าเค้ามาจากนิวซีแลนด์ ส่วนพ่อหนุ่ม go-inter ประจำทีมก็ส่งภาษาตอบอย่างดี แต่ไม่รู้มีมั่วบ้างหรือเปล่า เพราะได้ยินแว่วๆ ว่าเมืองไทยก็มี artificial snow คล้ายๆ Antarctic center บ้านยูเหมือนกัน แถมยังหยอดตบท้ายอีกว่าลุงฝรั่งคนนั้นยังดูไม่แก่เลย....มีเสียงหมอปุ้มแซวว่านี่พวกเรากำลังฟังรายการแหลแต่เช้ากันอยู่หรือเปล่า
ไปถึงอ่าวนาง ทัวร์ก็แบ่งคนตามแพคเกจที่จองไว้ สำหรับพวกเราเป็น one day trip คือทัวร์ 4 เกาะและทะเลแหวก (speed boat) กลุ่มที่ไปด้วยกันส่วนใหญ่เป็นฝรั่ง มีคนไทยนอกจากพวกเราก็เป็นน้องๆ ทันตแพทย์ที่มาไกลจาก จ.น่าน อีก 3 สาว หน้าตาน่ารัก ได้ยินเอ๋กับจุ๋ยคุยกันว่าถ้าเปลี่ยน 3 อ้วนกับ น้อง 3 คนนี้ได้คงดี

ส่วนคนบนเรือคนอื่นก็เห็นมีฝรั่งคู่เกย์หน้าตาดี 1 คู่ คู่กิ๊ก 1 คู่ แล้วก็ลุงๆป้าๆ อีก 4 คน
เรือพาไปทะเลแหวก (unseen) ก่อนในช่วงเช้า แต่น่าเสียดายที่เราไม่ได้ไปในช่วงขึ้น 15 ค่ำ ตอนน้ำลงเต็มที่เลยไม่ได้เห็นน้ำทะเลที่ลดต่ำจนสันทรายที่เชื่อมระหว่าง 3 เกาะ คือ เกาะทับ เกาะไก่ และเกาะหม้อ ผุดขึ้นมา ได้แต่เดินตามแนวสันทรายที่มองเห็นอยู่ใต้ระดับเข่าแทน
ส่วนอ๋อยหลังจากได้ยินคนเรือพูดว่าเดินข้ามจากเกาะทับไปเกาะไก่ได้ แต่ขากลับน้ำอาจจะขึ้นจนเดินกลับมาไม่ไหว อ๋อยเลยนั่งรอที่เกาะหม้อ เปิดโอกาสให้พวกเราฝากของแล้วเดินลุยน้ำกันไป กลับมาเลยได้ยินเสียงฟ้องว่ามีฝรั่งมาแก้ผ้าเปลี่ยนกางเกงว่ายน้ำให้ดูด้วย

กลับมาถ่ายรูปที่ที่หาดเกาะทับได้ซักพัก เรือก็พาพวกเราไปดำน้ำที่เกาะสี่ อ๋อยยังรับเป็นช่างภาพที่ไม่ยอมลงน้ำเหมือนเดิม ส่วนเราว่ายไปทางด้านหัวเรือที่คนเรือโยนขนมปังลงน้ำให้ปลามารวมเป็นฝูง กำลังคิดว่าจะกระโดดขึ้นมาฮุบขนมปังบ้างดีหรือไม่ อ๋อยก็ตะโกนบอกให้ช่วยลากเอ๋ที่โดนน้ำพัดไปติดหัวเรือที ไม่น่าเชื่อว่าเอ๋จะตัวหนักขนาดลากทวนน้ำออกมาไม่ได้ แต่เห็นเอ๋ยังยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เลยเบาใจ เลิกช่วยแล้วว่ายไปทางอื่นแทน ขึ้นมาบนเรือแล้วถึงได้รู้ว่า อ๋อยต้องให้คนเรือโยนเชือกให้ผู้ประสบภัยเพื่อลากเอ๋ขึ้นเรือ....เฮ้อ
ปะการังที่นี่ไม่ค่อยสวยและมีน้อย ส่วนปลาถึงจะมีจำนวนค่อนข้างมาก แต่ก็น้อยชนิด เป็นปลาลายเสือที่แย่งเรากินขนมปังซะส่วนใหญ่ หลังจากดำผิวน้ำไปได้ซักพักก็ไปเจอกับเป้า..เอ๊ย กางเกงว่ายน้ำลายคุ้นๆ โผล่ขึ้นมาดูเลยเห็นว่าเป็นจุ๋ยที่เจ้าตัวภูมิอกภูมิใจเหลือเกินกับกางเกงว่ายน้ำตัวใหม่ พอมารวมกันได้ ตากล้องบนเรือก็เริ่มทำงาน หมอปุ้มอยู่อีกทางหนึ่งเลยรีบว่ายเข้ามาจะถ่ายรูปด้วย แต่ท่าว่ายแบบจะจมมิจมแหล่กับสีหน้าอยากถ่ายรูปมั่งให้รอด้วย ทำเอาคนเรือนึกว่ามีผู้ประสบภัยอีกเลยโยนเชือกให้...แป่ว

ขึ้นมาบนเรือได้อ๋อยก็เล่าถึงเบื้องหลังกางเกงว่ายน้ำว่า จุ๋ยรอจนคนลงน้ำกันไปหมดก็ไปที่หัวเรือ บอกอ๋อยว่าจะเปลี่ยนกางเกง พร้อมโชว์ผ้าเช็ดตัวที่จะใช้เปลี่ยนซึ่งผืนใหญ่กว่าผ้าเช็ดหน้านิดนึง กะว่าจะอาศัยหุ่นอันกว้างใหญ่ของอ๋อยบังอีกชั้น ดีที่อ๋อยดูหนุ่มฝรั่งบนเกาะหม้อมาเยอะแล้วเลยไม่สนใจ ไปเป็นห่วงทางเอ๋ที่ติดอยู่หัวเรือแทน จุ๋ยเลยได้เปลี่ยนกางเกงโดยไม่มีรูปมาให้ขึ้นเวป แต่ก็ไม่วายโดนประณามว่า ทำไมไม่เปลี่ยนมาตั้งแต่ที่โรงแรม (วะ) คำตอบที่ได้คือ ก็กางเกงมันตัวเล็ก ขี้เกียจใส่ให้มันบีบ....นานๆ
หลังจากนั้นเราก็แวะกินข้าวกันที่เกาะปอดะ โดยทุกคนหลีกเลี่ยงการนั่งกินแบบล้อมวง แต่ใช้วิธีหันหน้าไปทางเดียวกันแทน เพื่อหลีกเลี่ยงอาการเบื่ออาหารจากการกินข้าวประจันหน้ากับบุรุษในชุดว่ายน้ำ (กับข้าวมีไส้กรอกอย่างสั้นอีกต่างหาก)

จากนั้นการถ่ายรูป on the beach โดยมีตากล้องเดิมๆ นายแบบเดิมๆ กับกางเกงว่ายน้ำตัวใหม่ก็เริ่มขึ้น ที่เกาะนี้ 90% เป็นฝรั่งในชุดว่ายน้ำ เลยดูไม่แปลกแยก และแดดเปรี้ยงกับน้ำทะเลสีเขียวสดก็พอจะทำให้รูปออกมาดูดีได้เหมือนกัน ส่วนนายแบบที่ใช้เวลาเดินตากแดดเกิน 1 ชั่วโมงก็รู้ฤทธิ์ของการโดนแดดเผาในเวลาต่อมา

ฝนตกลงมาประปรายหลังจากออกจากเกาะปอดะ เรือพาไปแวะหาดพระนาง จุ๋ยยังอุตส่าห์ตาไวเห็นฝรั่งคู่เกย์ทาครีมกันแดดให้กัน พร้อมทั้งชี้ชวนให้ดูอย่างอิจฉา
หาดพระนางอยู่ในอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี มีถ้ำพระนางอยู่ด้านชิดหน้าผา แต่ฝรั่งกลุ่มใหญ่ขวางอยู่หน้าถ้ำ พวกเราก็เลยเดินไปอีกฟากของเกาะที่เป็นหาดไร่เลย์ มีคนปีนหน้าผากันอยู่ด้วยกลุ่มหนึ่ง แต่ฝนที่เริ่มตกหนาเม็ดทำให้หมดความสนใจรีบเดินกลับกันไปที่เรือ
เมื่อถึงฝั่ง ลงจากเรือก็เห็นอ๋อยบ่นพึมว่ากระเป๋าตกน้ำ ในนั้นมีกล้อง มือถือ เงินกองกลาง มือถืออ๋อยที่เปิดทิ้งไว้ช๊อตไปเครื่องนึง เจ้าตัวเดินไปได้หน่อยก็มีเลือดไหลจากหัวเข่า เลยรู้ว่าอ๋อยลื่นตกบันไดเรือตอนขึ้นฝั่ง พวกเราหัวเราะตั้งสติกันพักใหญ่พร้อมๆกับการห้ามเลือด ดีที่ทางทัวร์มีชุดทำแผลให้
คิดว่าทีมเราคงเป็นที่ประทับใจของ บ.ทัวร์นี้อีกนาน เพราะมี 2 คนประสบภัย คนหนึ่งตกเรือ อีกคนก็แก้ผ้าเปลี่ยนกางเกงบนเรือหน้าตาเฉย ส่วนพจนารถทำเป็นไม่ได้มาด้วยโดยการเดินไปหาซื้อผ้าก๊อซ และน้องทันตแพทย์อีก 3 คน ก็แยกไปหาของกินแล้วหายจ้อยไปเลย

กลับมาถึงโรงแรมเกือบ 5 โมงเย็น อ๋อยต้องใช้ไดร์เป่ามือถือ เลยหมดโอกาสไปช้อปที่ร้านเสื้อผ้าไซต์ใหญ่ติดกับโรงแรม ชื่อร้านอ้วนสวย ตามที่ได้ตั้งใจไว้ อาบน้ำเสร็จกันครบทุกคนก็พากันไปเดินริมเขื่อนกั้นแม่น้ำที่มองเห็นเขาขนาบน้ำ เป็นภูเขา 2 ลูกสูงประมาณ 100 เมตร ตั้งขนาบแม่น้ำกระบี่ด้านหน้าตัวเมือง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองกระบี่ ถ่ายรูปกันได้สักพัก เป้าหมายก็เปลี่ยนเป็นกินโรตี

อาหารอิสลามก็คล้ายอาหารไทยทั่วไป พวกเราสั่งซุปเนื้อ ผัดผักบุ้งไฟแดง ไข่เจียวกุ้ง แต่พอเค้าบอกว่ากุ้งไม่มี เอ๋เลยเปลี่ยนเป็นไข่เจียวหมูสับแทน คนรับ order ได้แต่ทำตาปริบๆ บอกร้านนี้ไม่มีหมูครับเพ่ สั่งไปสั่งมาก็สั่งแกงจืดเต้าหู้ที่เรารีบต่อว่าหมูสับให้ฮากันอีก ถึงจะไม่ค่อยหิวเพราะกินโรตีกันมา 5 ชิ้น แต่ทุกอย่างก็หมดในเวลาไม่นานนัก
พวกเราเดินไปเดินมาผ่านตลาดที่ค่อนข้างเงียบเหงา ผิดกับที่อ่าวนางตอนนั่งรถผ่าน จนไม่มีอะไรจะทำแล้วก็กลับไปคุยกันต่อในห้องพัก
No comments:
Post a Comment