Friday, April 11, 2008

ทริปสังขละบุรี 5 - 7 เม.ย. 51

พวกเราประกอบด้วยเรา จุ๋ย อ๋อย พี่ยี้ และหมอปุ้ม ออกเดินทางด้วยรถเบนซ์ E220 ของจุ๋ยโดยมีเจ้าของรถเป็นคนขับทั้งไปและกลับ ค่าใช้จ่ายต่อคน 3,145 บาท

งวดนี้คนขับขอออกไม่เช้ามากโดยให้เหตุผลว่าขอพักผ่อนให้เต็มที่ ดังนั้น 7 โมงเช้ากว่าๆ เลยได้มาเก็บ เรากับพี่ยี้ที่เอารถมาจอดไว้บ้านเรา จากนั้นก็แวะรับหมอปุ้มและอ๋อย แต่ยังไม่ทันได้ออกนอกเขตจังหวัดนครปฐม ก็ได้เวลาอาหารเช้าที่เป็นข้าวหมูแดง ข้าวมันไก่เจ้าเก่าหน้า รร. สาธิตทับแก้ว รายการถัดมาเป็นการแวะรายทางเพื่อซื้อขนม โดยตลอดทางมีอ๋อยทำหน้าที่เป็นตุ๊กตาหน้ารถ จากการแบ่งกลุ่มตามหลักสรีระวิทยา สรุปได้ว่าไม่ควรให้อ๋อยมานั่งเบียดกับสาวๆ หุ่นใกล้เคียงกันทางด้านหลัง

เมื่อเข้าเขต จ. กาญจนบุรีได้ พี่ยี้ก็เริ่มหลับ ขณะที่หมอปุ้มทำหน้าที่ไกด์ อธิบายเส้นทางและสถานที่ต่างๆ (ที่พวกเราจะไม่แวะ) ทั้งในอดีต จนปัจจุบันตามประสาคนทำงานอยู่หลายอำเภอในเมืองกาญจนบุรีเป็นเวลา 3 ปี จากนั้นเราแวะกินข้าวเที่ยงที่ร้านบงตง อ. ทองผาภูมิ ซึ่งรสชาติของปลาคังลวก ยำผักกูด และอื่นๆ พอจะทำให้ลืมเรื่องอากาศหน้าร้อนของเมืองกาญจน์ไปได้บ้าง หลังกินข้าวเที่ยงแป๊บเดียว ฝนก็ตกลงมาอีก ทำเอาใจไม่ดีเพราะเส้นทางเริ่มจะเป็นการขึ้นเขากันแล้ว ก่อนจะถึงสังขละฯแค่ไม่กี่กิโลเมตร พวกเราก็มาเจอทางขึ้น-ลงเขาที่ค่อนข้างชันและคดโค้ง โดยมีแผ่นปูนกั้นกลางถนนไม่ให้เจอกับรถสวน ทุกคนในรถพากันเงียบไปหมด (เพราะหมอปุ้มหลับไปแล้ว) พอคนขับถามขึ้นว่า “ต้องเบรกป่าวเนี่ย?” พวกเราเลยพร้อมใจกันตอบอย่างเอกฉันท์ว่า “เบรก..(ซีโว้ย)” ถึงกระนั้น สภาพรถที่ไถลลงอย่างรวดเร็ว (70 กม./ชม.ได้) ทำเอาใจไม่ดี มองเห็นพระที่แขวนกับกระจกหน้ารถจุ๋ยแกว่งไปมาตามการเคลื่อนที่ของรถแล้วต้องออกปากว่า “หลวงพ่อจะลงแล้วจุ๋ย” ทุกคนเลยหัวเราะกันได้ จากนั้นก็ค่อยโล่งอกเมื่อผ่านช่วงทางลงสุดหินที่ทั้งความเร็ว ความแรง และกระแสน้ำ (ที่ไหลเป็นแนวตามทางรถวิ่ง) เทียบได้กับการล่องแก่ง ระดับ 3 – 4 เลยทีเดียว

พวกเรามาถึงที่พัก “สังขละการ์เด้นโฮม” เอาตอนบ่าย 3 โมงกว่า ยังไม่ทันไปดูห้องพัก ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก นับว่าโชคดีซ้ำ 2 หลังจากรอดชีวิตกันมาได้ที่โค้งอันตราย เพราะฝนฟ้าคะนองครั้งนี้ถ้าหากเกิดตอนเข้าโค้งนั้นแล้วจะเป็นการล่องแก่งระดับ 7 – 8 ซึ่งไม่อยากจะเดาเลยว่าแพของเราจะแตกหรือไม่

หลังฝนซา หลานตัวเล็กๆ ของลุงกับป้า เจ้าของที่พักก็พาพวกเราไปดูบ้านพัก ที่มี 2 ห้องแอร์ จากสภาพบ้านค่อนข้างเก่า (รวมทั้งแอร์) ทำให้จุ๋ยที่เดินสำรวจทุกซอกทุกมุมของห้องน้ำ เดินหน้าเมื่อยออกมา ให้พวกเรารู้ว่าหลังนี้ไม่ผ่าน ราวกับเขียนแปะไว้บนใบหน้า

โชคดีซ้ำซ้อนของพวกเรายังไม่หมดแค่นั้น เมื่อจุ๋ยเหลือบไปมองเห็นบ้านพักรุ่นใหม่ที่ค่อนข้างกว้างขวาง และถามป้าว่ามีคนเช่าหรือยัง ก็ได้รับคำตอบจากป้าว่ายังว่างอยู่ แต่เป็นห้องพัดลม ซึ่งป้าก็ใจดียอมให้เปลี่ยนห้องตามคำขอหลังจากที่พวกเราดูห้องกันแล้ว แต่พอป้ายื่นกุญแจให้ปุ๊บ หมอปุ้มก็ทักปั๊บว่ามีตุ๊กแกอยู่บนฝ้าเพดานหน้าบ้าน ทำเอาจุ๋ยถึงกับผวา ดังนั้นการแบ่งห้องนอนงวดนี้ (ตามระดับเดซิเบลของการกรนร่วมด้วย) เลยแบ่งได้เป็น พจ(กันตุ๊กแกได้) พี่ยี้ และจุ๋ย ส่วนอ๋อยและหมอปุ้มไปเปิดโรงสีกันอีกห้องหนึ่ง

หลังจากนั้นพวกเราไปติดต่อแพคเกจ สำหรับเที่ยวในวันพรุ่งนี้กันที่สามประสบรีสอร์ท ข้างสะพานมอญ ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 แบบคือ นั่งเรือ+เดินป่า และ นั่งเรือ+ขี่ช้าง+ล่องแพ เมื่อสอบถามรายละเอียดปรากฏว่าเดินป่าเป็นการเดินขึ้นเขา ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ผลการโหวตของทีมAF (Actually Fat) พวกเราก็เลือกนั่งเรือ+ขี่ช้าง+ล่องแพ ราคา 800 บาท/คน และถามไปถามมา สามประสบรีสอร์ทก็จองแพคเกจที่พีเกสต์เฮ้าท์ซึ่งอยู่ข้างที่พักของเราให้อีกต่อนึง...ฮ่วย

สะพานมอญเป็นสะพานไม้อยู่ติดกับสามประสบรีสอร์ท กว้างประมาณ 4 เมตร ยาว 900 เมตร ทอดข้ามแม่น้ำซองกาเรีย ไปยังหมู่บ้านมอญ ซึ่งแม่น้ำที่ไหลผ่าน อ. สังขละบุรี มี 3 สายด้วยกัน คือ แม่น้ำรันตี แม่น้ำบีคลี่ และแม่น้ำซองกาเรีย กว่าพวกเราจะจองแพคเกจเสร็จและมาถ่ายรูปกันที่สะพานมอญได้ก็เย็นย่ำแล้ว อย่างไรก็ดี แก้งค์บ้ากล้องก็ยังกระหน่ำถ่ายรูปกันไปถึงครึ่งสะพาน ส่วนสะพานที่เหลือคงต้องฝากไว้ก่อน เพราะมองไปเห็นหมู่อาคารชมวิวฝั่งตรงข้าม สร้างไว้อย่างตระการตา คราวนี้จุ๋ยเลยถือโอกาสเรียนรู้เกียร์ที่เหลือของรถ คือ เกียร์ 3 และ 2 ว่ามันเป็นเกียร์ขึ้นเขาจริงหรือไม่ ซึ่งพอขับดูแล้ว ขึ้นเนินลงเนินดีกว่าเก่ามาก (ถึงจะต้องจอดเพื่อเปลี่ยนเกียร์ก็เถอะ) อา..แปดปีที่ใช้รถมา ในที่สุดจุ๋ยก็ได้รู้ว่าเกียร์ที่ไม่เคยใช้พวกนี้ ฝรั่งไม่ได้ทำเกิน 55555

ค่ำนี้เรากินข้าวเย็นเป็นอาหารสไตล์พม่าที่ร้าน “เบอมิซ อินน์” ประกอบด้วยข้าวซอย ยำสารพัดถั่วทอด ฯลฯ ถึงรสชาติจะแปลกๆ แต่ก็กินกันจนหมด อ๋อยยังอุตส่าห์จำได้ว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มากางมุ้งนอน (เพราะหาที่พักไม่ได้) กันที่นี่ หลังกินข้าวเสร็จจุ๋ยไม่ร้องจะไปตะลึงตึงๆ เหมือนเคย คงเกี่ยวเนื่องกับสถานที่และขับรถเหนื่อยมาทั้งวัน แต่ไปถึงที่พักพวกเราก็ไปกวนลุงกับป้าอีกครั้ง เพราะมดบิน และมดเฉยๆ แห่เข้าไปกันเต็มห้องเรา (ทำไมห้องอ๋อยไม่มีก็ไม่รู้) ครั้นป้าเอายาฆ่าแมลงมาฉีดให้ก็ไม่อยากให้ตกค้างบนที่นอนให้สูดกันเข้าไปอีก ป้าต้องกลับไปเอาไม้กวาดมากวาดให้อีกครั้ง ก่อนจะถูกรบเร้าขอที่นอนเพิ่ม เมื่อเห็นว่ายังมีห้องว่างอื่นๆ อีก ด้วยความเกรงใจ เรากับจุ๋ยก็เลยอาสายกที่นอนมาเสริมกันเอง โดยมีป้ามองตามตาปริบๆ ความซวยของป้ายังมีอยู่เมื่อประตูที่เปิดออกไปยังระเบียงนอกห้องเกิดติด เปิดไม่ออก ทำให้ไปเอาหนังสือที่วางทิ้งไว้ไม่ได้ คราวนี้พี่ยี้ต้องเป็นคนไปบอก แต่ก็กลับมามือเปล่า เพราะพี่ยี้บอกว่าตอนจะเปิดประตูออกไปที่บ้านป้ายังเปิดไฟอยู่ แต่พอออกไปทั้งตัว ป้าก็ปิดไฟซะแล้ว.....แป่ว

ถึงไม่ได้ไปตะลึงตึงๆ ก่อนนอนพวกเรายังมีสัมมนาเรื่องโค้งสุดเสียว พอให้คนขับและคนนั่งได้เปิดใจ ซึ่งหลังจากทบทวนวิธีการใช้เกียร์อย่างดิบดีแล้ว เรายังบอกว่าการดูแลรถได้เองก็จำเป็นเหมือนกัน อย่างการเติมลมยาง (ที่พจต้องเติมให้) การเปลี่ยนยางล้อรถ (ที่พ่อพจสอนลูกสาวให้ทำเป็น) แล้วพอย้อนกลับไปถามจุ๋ยว่า ไม่คิดจะทำให้เป็นบ้างเหรอ พ่อคนขับก็บอกหน้าตาเฉยว่า คิดว่าดีจังที่มีเพื่อนทำเป็น....-_-‘

เช้าวันใหม่ พวกเราใส่เสื้อทีม “กินมาก ปากหมา บ้ากล้อง” สีฟ้าตัวเก่ง ทีแรกอ๋อยชวนไปถ่ายรูปที่สะพานมอญกันแต่เช้า แต่กว่าจะตื่น กว่าจะอาบน้ำกันเสร็จก็สายโด่ง เนื่องจากแพคเกจทัวร์ที่พวกเราจองไว้เริ่ม 9.00 น. ดังนั้นออกจากบ้านพักได้ก็ต้องรีบตะลีตะลานไปตลาดกันเพื่อกินข้าวเช้า ยังทันได้เจอป้าเจ้าของบ้านพัก มาขายข้าวเหนียวหมูปิ้ง ซึ่งพวกเราก็อุดหนุนกันไป 10 กว่าไม้ ด้วยความหิว แล้วก็ต่อด้วยข้าวต้มเครื่อง พอท้องอิ่มจึงเริ่มสังเกตได้ว่าพวกเราเป็นจุดสนใจของคนท้องถิ่นไม่น้อย ทั้งเสื้อทีม ทั้งคนใส่(หุ่นระดับ AF) และเพิ่งรู้สึกว่าแถวนี้มีรถเบนซ์อยู่แค่คันเดียว

เราไปทันเวลานัดอย่างฉิวเฉียด ได้เจอกับน้องๆ อีก 3 คน บนเรือลำเดียวกัน อ๋อยยังโดนไกด์แซวว่าเนี่ยมีคู่นั่งช้างแล้ว เรือแล่นออกจากท่าพีเกสต์เฮ้าท์ วกกลับไปทางด้านสามประสบรีสอร์ทเพื่อเข้าไปดูสะพานมอญใกล้ๆ มองเห็นไม้ไผ่ที่ใช้กั้นไม่ให้เรือนแพล่องผ่าน มีเพียงช่องเล็กๆ แค่พอให้เรือวิ่งผ่านเท่านั้น จากแม่น้ำซองกาเรีย มองเห็นเจดีย์พุทธคยาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับบ้านพักของพวกเรา ไม่ไกลจากนั้นก็ถึงวัดวังก์วิเวการามเก่า ที่หลงเหลือโบสถ์และหอระฆังโผล่พ้นน้ำขึ้นมาให้เห็นตอนน้ำลงในหน้าแล้ง

โบสถ์ของวัดเก่าที่ยังเหลือนี้ ไม่มีหลังคา น้ำลงพอจะให้คนเดินเข้าไปถ่ายรูปกันด้านใน ซึ่งพวกเราก็เจอกับนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ อีกหลายคน ไกด์บอกว่าถ้าเป็นช่วงหน้าฝน น้ำจะขึ้นมามากจนไม่สามารถลงไปเดินถ่ายรูปในโบสถ์กันได้เหมือนตอนนี้ จากนั้นเรือพาพวกเราแยกออกไปยังแม่น้ำรันตี เพื่อไปนั่งช้างกันต่อ ซึ่งเราต้องนั่งรถ 2 แถวเข้าไปยังหมู่บ้านช้างอีกที ความเขียวชอุ่มไม่แห้งแล้งของไร่ฟักทองและข้าวโพดระหว่างทางที่ไปทำเอาเพลิดเพลินจนลืมหลุมบ่อที่รถต้องพาลุยโคลนเข้าไป

ลงจากรถได้พักเดียว บรรดาช้างทั้งหลายก็ลุยน้ำจากฝั่งหมู่บ้านข้ามมาหาพวกเรา มีอ้อยเป็นมัดๆ ไว้ให้นักท่องเที่ยวซื้อเลี้ยงช้าง ช่วงนี้ค่อนข้างชุลมุนแต่บรรดาตากล้องทั้งหลายก็ไวพอจะถ่ายรูปเลี้ยงช้าง ช้างขี่ช้าง ฯลฯ

พวกเราแบ่งกลุ่มตามขนาดสะโพก เฉลี่ยให้ช้าง และแหย่ง (ที่นั่งบนหลังช้าง) รับน้ำหนักเท่าๆ กันตัวละ 2 เชือก เอ๊ย เชือกละ 2 คน คือ เรากับจุ๋ย หมอปุ้มกับพี่ยี้ (ถึงจะตัวเล็กแต่เจ้าตัวคุยว่าสะโพกใหญ่ประมาณเจ๊เจโล) ส่วนอ๋อย พวกเราพร้อมใจกันปล่อยให้ไปเป็นภาระของน้องๆ ที่เพิ่งรู้จักกัน ก็เลยได้รู้จักกับน้องกุ๊ก ทีมงานของหนังสือ Health&Cuisine

ออกตัวได้แป๊บเดียว ช้างที่เรานั่งก็เข้าเกียร์ต่ำขึ้นที่สูง เลียบริมแม่น้ำ ทำเอาจุ๋ยที่กลัวความสูงหันมาถามว่าจะเป็นอย่างนี้ตลอดทางหรือเปล่า เพราะเจ้าตัวก็ดั๊นไปนั่งแถบที่ชิดกับตลิ่งสูง เราได้แต่แสดงน้ำใจว่าจุ๋ยจะเปลี่ยนที่นั่งกันไหมล่ะ (ถ้าจุ๋ยกล้าปล่อยมือจากที่เกาะแล้วลุกยืนให้เรากระเถิบแลกที่กันอ่ะนะ) แต่โชคดีเป็นของจุ๋ยที่ชั่วแป๊บเดียว ช้างก็กลับมาเดินบนที่ราบเหมือนเดิม มีข้ามแม่น้ำไปเป็นระยะ

ตอนนี้หน้าที่ถ่ายรูปเป็นของไกด์ ที่เอากล้องของแต่ละกลุ่มไปคอยถ่ายรูปพวกเราอย่างตั้งอกตั้งใจ ทั้งลุยน้ำ ปีนต้นไม้ มาดักหน้าคอยถ่ายรูปให้ จนช้างตัวสุดท้ายผ่านไปหมด ก็ต้องวิ่งออกหน้ามาเพื่อถ่ายรูปมุมต่อไป..เห็นแล้วเหนื่อยแทน แต่รูปที่ถ่ายออกมาใช้ได้ทีเดียว ช้างเดินเรื่อยๆ ผ่านหมู่บ้าน มีแวะกินหญ้าเป็นพักๆ เท่าที่เห็นมีช้างงาแค่ตัวเดียว ซึ่งเป็นตัวที่ฝรั่งนั่ง ส่วนตัวอื่นๆ ก็อายุต่างๆ กันออกไป ช้างที่เรานั่งกับจุ๋ยตัวขนาดปานกลางค่อนข้างเชื่อฟังควาญช้าง ไม่เดินแตกแถว แต่ช่วงที่ควาญช้างโดดลงจากคอ หายไปเป็นนาน 2 นาน ก็ทำให้คอยผวาเหมือนกันว่าอยู่ดีๆ มันจะวิ่งเตลิดเข้าป่าไปหรือเปล่า ช่วงสุดท้ายก่อนหมดระยะ บรรดาช้างพากันเดินลงจากตลิ่ง จนต้องยึดที่นั่งไว้แน่น กลัวว่าตัวจะพุ่งลงน้ำไปก่อนช้าง จากนั้นก็เดินลุยน้ำถึงระดับตา (ของช้าง) ข้ามแม่น้ำไปยังอีกฝั่งหนึ่งให้เราได้พักกินข้าว ยังลงจากช้างกันไม่ทันไร เราก็ได้ยินเสียงดังตุ้บใหญ่ๆ เสียงจากคนอื่น หรือจากระบบประสาทอัตโนมัติของเราก็ไม่รู้แหละ ฟังได้ความว่า “พี่อ๋อยตกช้างงงงงงง” เราในฐานะผู้จัดการทริปเลยต้องไปดูแลช้าง เอ๊ย อ๋อย ว่ายังดีอยู่หรือเปล่า กระดูกสะโพกหรือขาหลังมีหักมีร้าวบ้างหรือไม่ แต่ก็ยังทันได้ยินพ่อหนุ่มที่นั่งช้างมาด้วยกันพึมพำว่า “กรูว่าแล้ว” หลังจากนั้นก็หัวเราะตั้งสติ หึ หึ ไปตามประสา

ข้าวกลางวันที่ทางทัวร์นำมาเลี้ยงเป็นข้าวผัดไข่...เค็มโครต ดีที่ลุงควาญช้างเอ็นดูพวกเรา เก็บผักกูดริมตลิ่งมาให้กินแกล้มกับข้าว จากนั้นก็เป็นการเดินระยะสั้นเพื่อลงแพไม้ไผ่กลับไปยังจุดจอดรถ ถึงไม่ได้ปีนเขา แต่ก็ต้องลุยน้ำที่บางช่วงสูงถึงอก (อ๋อย) ข้ามไป แพไม้ไผ่ที่เราจะต้องลงนี้ กว้างแค่เมตรเดียว อ๋อยเห็นเข้าถึงกับส่ายหัวดิก หวั่นใจกับสวัสดิภาพของตัวเอง จนเราต้องสละจุ๋ยให้ไปดูแลอ๋อยที่ว่ายน้ำไม่เป็น ส่วนเราก็ไปดูแลสาวๆ คือน้องกุ๊ก ที่ว่ายน้ำไม่เป็นเช่นเดียวกัน

แพของเราเริ่มออกเป็นแพต้นๆ ทำเอาครึ้มใจบอกกุ๊กว่าเรารีบถ่อให้ไปถึงก่อน เอาถ้วย(รางวัล) กันดีกว่า แต่หลังจากพุ่งเข้าชนโค้งแบบเต็มๆ (จนต้องร้องบอกกุ๊กว่า ทิ้งแพ ระวังหน้าแหก ก่อนดีกว่า) แพลำอื่นๆ ก็พากันแซงไปหมด ปล่อยให้เรากับกุ๊กมองหน้ากันไปมา ครั้นหันไปมองคนถ่อท้องถิ่นประจำแพ ก็เห็นมันยืนยิ้มเผล่ ถือถ่อไว้เฉยๆ ได้แต่กัดฟันใช้ถ่อไม้ไผ่ยันข้างซ้ายบ้าง ขวาบ้าง ไปตามประสามือใหม่ ที่หลังจากนั้นก็แหกโค้งมันทุกโค้งน้ำ

หลังจากมองไม่เห็นแม้แต่เงาของแพลำอื่นแล้ว เจ้าคนถ่อตัวดีก็เริ่มชวนคุย (หลังจากที่ออกตัวครั้งแรก ได้แต่พูดสั้นๆ ครั้งเดียวว่าพี่จะไปทิศทางไหนก็ตามสบายเลยนะครับ) เริ่มจากถามว่ามาจากไหนกัน จากนั้นพวกเราก็ถามมันบ้าง ได้ความว่า ตอนนี้เรียนอยู่ชั้น ม.6 ใน อ. เมือง ปิดเทอมเลยกลับมาอยู่บ้าน พอถามว่าวันนึงต้องถ่อแพกี่ครั้ง กลับได้ความว่า “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” คำตอบนี้ยังไม่เหวอเท่ากับถามว่าถ่อแพมานานหรือยัง โดยคำตอบที่ได้ก็คือ “ก็เหมือนๆ กับพวกพี่อ่ะแหละ” อ้าว...ยังงี้มันก็มือใหม่นี่หว่า มิน่าเห็นถือถ่อเฉยๆ ไม่ออกแรงช่วยซักกะติ๊ด

บ่ายคล้อยแล้ว พวกเราก็ยังไม่ถึงไหน ร่ำๆ จะเดินลุยน้ำไปเองซะแล้ว ดีอยู่หน่อยที่ถึงซะที ไม่รู้ว่าหมอปุ้มที่รอถ่ายรูปอยู่ เงื้อกล้องมานานแค่ไหนแล้ว เพราะยังไม่ทันเดินขึ้นตลิ่ง ก็ได้ยินแต่เสียงกดชัตเตอร์จนเกือบลืมตัวยกมือปิดบังหน้าตา ร้องว่า “ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมให้สัมภาษณ์คร๊าบ” ส่วนคนอื่นๆ ที่มาด้วยกันนั่งรออยู่ในรถ เปิดโอกาสให้เรากับกุ๊ก เล่าเหตุประสบภัยกันอย่างเมามัน

ฟังจากคนอื่นบ้าง ปรากฎว่าแพของจุ๋ยและอ๋อย ซึ่งน่าจะหนักกว่าลำอื่น กลับมาถึงอย่างรวดเร็ว โดยที่จุ๋ยแทบไม่ต้องออกแรงด้วยซ้ำ เพราะฝีมือระดับโปรของคุณลุงคนที่เก็บผักกูดให้พวกเรากิน ถึงลุงจะพูดภาษาไทยไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ แต่ก็บอกให้จุ๋ยช่วยค้ำด้านที่ถูก ส่วนอ๋อยได้แต่นั่งเฉยๆ เอาตูดแช่น้ำ ไม่กล้าลุกยืนเหมือนคนอื่นๆ ด้วยกลัวตกน้ำ แล้วจะจม (น้ำแค่เข่า) อ๋อยเล่าให้ฟังว่าก่อนจะลงร้องบอกเสียงลั่นว่าว่ายน้ำไม่เป็น ลุงก็เลยให้ลงมากะลุงเนี่ยแหละ พอหันไปถามจุ๋ยว่าจะรับน้ำหนักไหวเหรอ ก็ได้คำตอบว่า ทีพระพุทธสิหิงค์ เค้ายังอัญเชิญลงแพได้ แค่พระสังกัจจายณ์องค์เดียว ไม่เท่าไหร่หรอก 555

ส่วนแพลำพี่ยี้กับหมอปุ้ม ได้ไกด์เด็กพอๆ กับลำเรา แต่กระตือรือร้นผิดกัน ตอนช่วงที่แพติด หรือเกยตื้น ก็ลงน้ำไปเข็นแพ จนพี่ยี้กับหมอปุ้มกระโดดลงไปช่วยกันบ้าง ทำให้ไปได้เร็ว ผิดกับลำของเราที่พอเกยตื้นก็ได้แต่เอาถ่อเขี่ยๆ ให้แพถอยออกมา........

รถ 2 แถวพาพวกเรากลับทางเส้นทางหลวงมายังพีเกสต์เฮ้าท์ ซึ่งเรี่ยวแรงของทุกคน (ยกเว้นเรา) ยังพอมีให้ถ่ายรูปกันในรีสอร์ท (ที่ไม่ได้เข้าพัก) กันอีกครั้ง จากนั้นเอาแวะอาบน้ำอาบท่าพักผ่อนกันชั่วครู่ก่อนจะไปวัดวังก์วิเวการาม

เราแวะถ่ายรูปกันที่เจดีย์พุทธคยาก่อน ศิลปะแบบเจดีย์พุทธคยาองค์จริง ทำเอาพวกเราถ่ายรูปกันอย่างเพลิดเพลิน ส่วนวัดวังก์วิเวการาม เป็นวัดใหญ่ สร้างใหม่โดยหลวงพ่ออุตตมะ เจ้าอาวาสองค์ก่อน โดยสังขารของหลวงพ่ออุตตมะถูกเก็บรักษาไว้ในปราสาทหลวงพ่ออุตตมะ ที่เป็นไม้แกะสลักสวยงามครอบโลงแก้วเอาไว้ จุ๋ยถือโอกาสแวะเช่าพระจำลองหลวงพ่อที่ทำจากผงนิลในวิหารพระหยกที่สั่งทำและอัญเชิญจากพม่า

ทัวร์วัดของพวกเรายังไม่หมดแค่นี้ ขากลับจุ๋ยขับรถเลยแยกเข้า อ. สังขละมาเล็กน้อย ริมถนนหลวงเป็นวัดที่มีวิหารพระองค์โตหลายองค์ ชื่อวัดสมเด็จ พระแต่ละองค์ริมถนนเป็นศิลปะมอญ ปางต่างๆ ไม่เคยเห็นที่ไหน ที่เด่นที่สุดเห็นจะเป็นปาง OK ซึ่งพวกเราผลัดกันถ่ายรูปและถามหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อขา หนูจะได้แต่งงานไหมคะ” แล้วก็สรุปเอาเองว่า “หลวงพ่อบอกว่า OK ว่ะ”

ข้าวเย็นวันนี้ เราแวะกันที่ครัวสามประสบ ในสามประสบรีสอร์ท ด้วยความที่กินข้าวเที่ยงกันคนละนิดหน่อย มื้อเย็นเราจึงมาถึงร้านก่อนคนอื่น พลอยทำให้ได้โต๊ะกินข้าววิวดีๆ มองเห็นแม่น้ำตลอดแนวและสะพานมอญ

อาหารเย็นมื้อนี้ อร่อยใช้ได้ทีเดียว ขนาดพี่ยี้ที่บอกเสมอว่าไม่เน้นอาหารมื้ออื่นนอกจากมื้อเช้า ยังเจริญอาหาร ส่วนพวกเราก็เรียกได้ว่าสูตรจำนวนอาหาร = n + 1 แทบจะน้อยไปด้วยซ้ำ จนต้องเรียกของหวานที่จุ๋ยใช้แซวน้องคนเสริฟว่า รัมลูกเกดกะรัมเรซิ่นมันไม่เหมือนกันเหรอ จนน้องอายม้วน

เช้าวันรุ่งขึ้น อ๋อยก็ได้ไปถ่ายรูปสะพานมอญยามเช้าอย่างที่ตั้งใจไว้ ถึงจะไม่เช้าตรู่จนเห็นหมอกเต็มสะพานดังคาด ก็ยังดีที่มีคนอื่นๆ เดินตามมาเป็นเหยื่อให้ใช้ถ่ายรูปหมู่ ซึ่งคนกลุ่มนั้นถึงกับแซวเมื่อพวกเราตั้งท่าหัวใจถ่ายรูป ว่า “ขอซื้อได้มั๊ย...ท่าเนี้ย” แล้วก็หัวเราะกันคิกคัก

จากที่คิดจะไปกินข้าวเช้าที่ตลาดกันอีกครั้ง เมื่อเดินไปสุดทางของสะพาน ก็เจอร้านข้าวของหมู่บ้านมอญ ที่มีคนนั่งกินกันอยู่ พวกเราก็ไม่รอช้า สั่งโจ๊ก ปาท่องโก๋ และก๋วยเตี๋ยวมากิน จนมีแรงก็เดินข้ามสะพานกลับมากินโรตีอีกฝั่งกันต่อ

จุดหมายต่อไปเป็นด่านเจดีย์สามองค์ สุดเขตแดนตะวันตก ที่ช่วงนี้ด่านปิด เราจึงไม่สามารถข้ามไปฝั่งพม่า ได้แต่เดินดูสินค้าที่วางขายอยู่ อย่างเช่นกล้วยไม้ เครื่องประดับที่ทำจากหิน พลอย และนิล ไปพลางๆ

ออกจากด่านเจดีย์สามองค์ก็ได้เวลากลับซะที คราวนี้จุ๋ยเข้าโค้งที่ว่าอย่างนุ่มนวล หลวงพ่อหน้ารถ (และเพื่อนๆ ที่นั่งมาด้วย) ไม่มีทีท่าว่าจะลงจากรถอีก มาแวะอีกครั้งที่น้ำตกเกริงกระเวีย ให้สมาชิกได้เข้าห้องน้ำ จากนั้นก็เป็นซาฟารีทัวร์ คือ นั่งชมสถานที่จากในรถ เช่น วัดสุนันวนาราม ของอาจารย์มิตสุโอะ ถ้ำดาวดึงส์ หลังจากแวะดูกล้วยไม้แถวไทรโยคแล้ว ก็เป็นการช้อปปิ้งรายทาง คือ ไส้อั่วเจ้าดังตรงข้ามน้ำตกไทรโยคน้อย ผักกูด ผักหวานริมทาง และของฝากที่ร้านวิมลวุ้นมะพร้าว กลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ 18.00 น.