Friday, March 07, 2008

เกาะทะลุ 21 - 24 ก.พ. 51

บันทึกการท่องเที่ยว เกาะทะลุ 21 – 24 ก.พ. 51
พวกเราประกอบด้วยเรา จุ๋ย อ๋อย พี่ยี้ และเพชร ออกเดินทางจากนครปฐมตั้งแต่ 5.30 น. มีพี่ยี้และเพชรมาค้างที่บ้านเราตั้งแต่กลางคืน พอรุ่งเช้าออกจากบ้านได้ก็ไปเก็บจุ๋ยที่บ้านมาอีกคน อ๋อยทำหน้าที่เป็นคนขับตลอดเส้นทาง ทั้งขาไป ขากลับ ค่าใช้จ่ายต่อคน 7,785.40 บาท

จากคติที่ว่า กองทัพต้องเดินด้วยท้อง หลังจากแวะซื้อขนมกันที่ปั๊มเจ๊ทจะ...กันเป็นเสบียงระหว่างทางแล้ว พวกเราก็แวะกินข้าวเช้ากันที่ตลาดหัวหินตอน 8 โมง โดยอ๋อยใช้เรดาร์ส่วนตัวหาร้านโจ๊กเจ้าอร่อยมีหมึกแดงรับประกันมาให้เรากินกันอย่างไม่ยากเย็น มื้อแรกนี้คงต้องให้เพชรัตน์ใช้เวลาปรับตัวพอสมควรกับปฏิบัติการกินแหลกโดยกลุ่มคน 5 คน และฝ่ายตรงข้ามที่ประกอบด้วยโจ๊ก 5 ชาม เกาเหลา 3 ชาม ปาท่องโก๋ 2 จาน และสังขยา 1 ถ้วย ภายในเวลา 20 นาที

พวกเราออกเดินทางต่อ พอออกนอกเมืองมาได้ก็เจอกับถนนที่มีต้นชมพูพรรณทิพย์ที่กำลังออกดอกเต็มต้น ให้ดูกันอย่างเต็มๆ ตา เข้ากับหัวข้อที่เราชวนคนอื่นๆ ไปดูซากุระกันที่ญี่ปุ่น ทำเอาหัวข้อของจุ๋ยที่อยากไปอินเดียตกประเด็นไปอย่างไม่ต้องสงสัย (ยิ่งสาวๆ โดนเราขู่ว่าจะไปแก้ผ้าฉี่ข้างทางกันอีท่าไหน ทำเอาพ่อหนุ่มได้แต่บอกว่าถึงเป็นผู้ชายก็นั่งฉี่เป็นเหมือนกันนะ)

เรามาถึงท่าเรือเกาะทะลุ ของบ้านมะพร้าวรีสอร์ท อ. บางสะพานน้อย ประจวบฯ ตอน 10.30 น. ทั้งที่แต่เดิมแจ้งกับรีสอร์ทไว้ว่าจะมาถึง 11.30 น. เพราะรู้ว่า speed boat ของรีสอร์ทจะออกไปที่เกาะตั้งแต่ 10.00 น. แล้ว จะได้ไม่ต้องกดดันคนขับมากนัก แต่ทางรีสอร์ทก็โทรติดต่ออยู่ตลอดว่ามาถึงไหนแล้ว โดยให้เหตุผลตั้งแต่เย็นวานก่อนเดินทางว่า ตามพยากรณ์อากาศ จะมีคลื่นสูง ถ้าไม่ได้ไปพร้อมกับเรือลำใหญ่จะกระเทือนมาก แต่เราก็แบ่งรับแบ่งสู้ว่า ถ้ามาไม่ทันจะยังมีเรือรับเราอยู่แน่ๆ ใช่มั๊ย ก็เลยไม่ได้บอกเพื่อนๆ ให้กังวล เพราะยังไงก็ยังมีเรือไปส่ง และไม่อยากให้อ๋อยขับรถเร็วมากนัก

เรือลำที่ส่งเราไปเกาะเป็น speed boat ลำเล็ก นั่งได้ประมาณ 15 คน นอกจากพวกเรา 5 คนแล้วก็ยังมีคนอื่นอีกประมาณ 4 – 5 คนที่ไปพร้อมกัน เรือแล่นโต้คลื่นสูงที่สาดเข้ามาด้านในจนเปียกกันไปหมดประมาณ 20 นาที แต่สำหรับเราที่กำลังท้องเสียแล้วแทบจะเป็น 5 ปีกว่าจะถึงเกาะ พอเรือเข้าเทียบท่า เราก็จำต้องแสดงความไร้น้ำใจไม่รอดูอาการพี่ยี้ที่อ้วกอยู่ท้ายเรือ พอขึ้นไปได้ก็วิ่งจู๊ดไปเข้าห้องน้ำของทางรีสอร์ท ปล่อยให้คนอื่นทำตาปริบๆ งงว่ามันเป็นอะไรของมันฟะ? หลังจากนั้นก็เดินมารวมกลุ่มกับคนอื่นๆ ที่ฟังครูเล็ก ผู้ดูแลรีสอร์ทแนะนำรีสอร์ทอย่างคร่าวๆ

บ้านเรือนไทยที่เราเข้าพักกันเป็นบ้านหลังใหญ่ริมหาด ขนาด 2 ห้อง แต่ละห้องมีแอร์ ทีวี ตู้เย็น ห้องน้ำและนอนได้ 3 คนขึ้นไป ทั้ง 4 สาว เลยเลือกห้องที่มี 1 เตียงใหญ่ และ 2 เตียงเล็ก ให้นอนกันพอดี 4 คน ยกอีกห้องหนึ่งให้จุ๋ยนอนอย่างราชา? เราเองไปเดินดูห้องของจุ๋ยได้พักหนึ่งก็บอกเจ้าของห้องอย่างใจดีว่า ถ้าไงก็ขนที่นอนมานอนรวมกันได้นะตัวเอง ซึ่งจุ๋ยก็ปฏิเสธอย่างนุ่มนวลว่าขอนอนดูคืนนึงก่อน

พวกเรานับว่ามาช้ากว่าคนอื่นๆ ที่มากับเรือลำใหญ่ กว่าจะเก็บของเข้าที่พักและมาที่ร้านอาหารได้ก็ต้องรอให้ทางรีสอร์ทเอาอาหารมาเติมแล้วเติมอีก โดยตอนแรกก็กินกันด้วยความหิว ก่อนจะสังเกตได้ว่ามันไม่ค่อยมีอาหารทะเลเอาซะเลย แถมยังมีกล้วยแขก (อร่อยด้วย) เป็นอาหารหวานซะอีก แต่ก็ต้องทำใจสำหรับภาวะน้ำมันแพง และอยู่ในช่วงงดจับปลาของ จ. ประจวบฯ กิจกรรมยามบ่ายหลังอาหารเที่ยงก็คือแยกย้ายกันไปนอนผึ่งแอร์ ที่ตั้งเวลาตื่นได้ เพราะพอ 15.00 น. ปุ๊บ ไฟฟ้าก็ดับปั๊บ ทำเอาต้องเปิดประตูออกมารับลมเย็นจากชายทะเลหน้าบ้าน แต่แดดที่ร้อนเปรี้ยงก็คร้านที่จะพาตัวเองออกไปเดินสำรวจรอบเกาะ ได้แต่แกะขนมที่ซื้อมากินกันแก้เบื่อ

แดดร่มก่อนเวลาอาหารเย็นไม่มากนัก แต่ก็นานพอที่แก้งค์บ้ากล้องจะออกไปเดินถ่ายรูปและทำท่าประหลาดๆ ตามแต่จะคิดได้ ที่จริงแล้วถ้าคลื่นไม่แรงนัก ตอนบ่ายก็จะมีเรือพาออกไปดำน้ำดูปะการังรอบเกาะ แต่วันนี้พวกเราได้แต่มองเรือที่จอดเทียบท่าอยู่ แล้วก็ไปเล็งๆ บาร์ เรือคายัคและเรือใบที่จอดอยู่อีกด้านหนึ่งของหาด หวังว่าในอีก 30 กว่าชั่วโมงข้างหน้าจะได้ทำกิจกรรมอื่นๆ นอกจากนอน

อาหารเย็นยังคงเป็นบุพเฟ่ห์ระหว่างอาหารทะเลกับอื่นๆ (ที่จำไม่ได้แล้ว) แต่ทุกคนก็ไม่ได้ผิดหวังมากนักเพราะบรรยากาศทะเลยามเย็น มีเสียงคลื่น (ที่ยังแรงอยู่) กับเสียงพูดคุยหัวเราะกันในหมู่เพื่อนฝูงก็ถือว่าได้มาพักผ่อนกันอย่างแท้จริง หลังอาหาร จุ๋ยชวนไปนั่งกันที่บาร์ แต่คนอื่นๆ ยังมีท่าทางอิดโรยกันอยู่ ทั้งที่ได้นอนกันคนละนิดละหน่อยแล้ว เลยได้รับคำปฏิเสธอย่างเนียนๆ ว่า วันนี้วันมาฆบูชา ไว้ไปกันพรุ่งนี้ดีกว่า เมื่อกลับถึงบ้านก็เลยต้องไปช่วยกันยกที่นอนของจุ๋ยมาไว้ในห้องของพวกเรา ไม่รอให้เจ้าตัวได้นอนวังเวงคนเดียวคืนนึงก่อน..ฮี่ ฮี่

ในตอนเช้าทุกคนลงความเห็นร่วมกันว่านอนหลับไม่ค่อยสนิท ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพวกเรานอนเร็วเกินไป หรือมีหนูมาแทะไม้เสียงดังกรอบแกรบ (เราต้องบอกคนอื่นว่าเป็นเสียงหนู เพราะชินกับหนูๆ ที่บ้าน ที่ทำงาน....เดี๋ยวจะมีคนเกิดอาการปอดแหกให้เห็นกันอีก) หรือว่าเสียงดังตุ้บ..ใหญ่ ที่เกิดจากพจและอ๋อยเดินไปเข้าห้องน้ำและตกจากพื้นห้องที่ต่างระดับกัน ที่จริงมันก็ควรจะตุ้บเดียวที่พจตกไปครั้งแรก แต่ไหนๆ ก็เป็นผู้บุกเบิกแล้ว พจก็เลยงับประตูห้องน้ำให้แสงลอดออกมาน้อยกว่าเดิมเพื่อหาเหยื่อคนต่อไป....นั่นก็คือ อ๋อย ทำเอาพ่อหนุ่มที่นอนพื้นตื่นมาด้วยแต่ไม่กล้าลืมตามองว่าใครเป็นตัวต้นเสียง 555

เช้าวันใหม่ หลังจากกินอาหารเช้าแบบอเมริกัน (ที่ไม่อิ่มเล้ย) กันแล้ว ครูเล็กก็มาสอบถามพวกเราอีกครั้งว่าจะไปดำน้ำกันหรือเปล่า พี่ยี้ อ๋อย และเพชร ซึ่งเป็นแก้งค์กลัวน้ำ รู้สึกไม่ค่อยอยากเท่าไหร่ พวกเราเลยเลือกไปเดินรอบเกาะกันแทน โดยมีพนักงาน 1 คน และหมาอีก 1 ตัว พาเราเดินจากอ่าวใหญ่ที่พัก ผ่านอ่าวมุก ที่พักริมหาดอีกด้านไปยังภูเขาด้านหลัง ดูด้วยตาเปล่าก็ไม่สูงเท่าไหร่ อาศัยว่าได้วอร์มด้วยการเดินที่ราบมาพักนึง เราก็ฉวยโอกาสเดินดุ่มๆ ตามเขาไป หันไปมองด้านหลังก็เห็นว่าอ๋อยกับเพชรเริ่มทำท่าจะลำบาก เลยได้แต่ปลอบใจว่าเห็นยอดอยู่ลิบๆ แล้ว (คนนำทางก็พูดไม่ค่อยจะชัด ถามว่าไกลหรือเปล่า แกดันบอกว่าไม่ใกล้...ซะงั้น) หยุดพักกันเป็นระยะก็ถึงจุดชมวิวกันจนได้ คราวนี้ก็ถึงตา จุ๋ยที่กลัวๆ กล้าๆ กับความสูงของหน้าผา ค่อยๆ ย่องออกไปถ่ายรูป (หลายรูปมาก) จากจุดชมวิวมองเห็นช่องหินที่เกิดจากคลื่นเซาะผ่าน ที่มาของชื่อ เกาะทะลุ ถ้าหากว่าทะเลเรียบก็สามารถพายเรือคายักอ้อมเกาะมาดูช่องทะลุนี้ได้เหมือนกัน

ถ่ายรูปกันจนสะใจแล้วก็ได้เวลากลับ คนนำทางบอกว่าจะพาไปทางใหม่ที่ชันนิดนึงแต่มีเชือกให้จับ อ๋อยทำท่าจะกลับทางเดิมเมื่อเห็นเส้นทางเข้า จนเราต้องเกลี้ยกล่อมโดยลงไปเป็นตัวอย่างและรอช่วยเหลืออยู่ด้านล่างด้วย เมื่อทุกคนลงมาถึงเบื้องล่าง เลยได้รู้ว่าถูกพามาชมหาดอีกด้านที่เป็นหาดที่มีก้อนหินกลมๆ เต็มไปหมด จากนั้นเราต้องใต่เชือกกลับขึ้นไปทางเดิม......ฮ่วย

จุ๋ยถึงกับเงียบเสียงหลังจากที่แซวตอนขาลงว่า เข็นครกขึ้นเขายังไม่เหนื่อยเท่าเข็นอ๋อยลงเขา เพราะกลัวจะให้เปรียบเทียบว่า แล้วเข็นอ๋อยขึ้นเขากับลงเขา อย่างไหนเหนื่อยกว่ากันล่ะ? เลยต้องเป็นภาระของเชือก (เพราะเพื่อนๆ ต่างแสดงน้ำใจ มองให้กำลังใจอ๋อยแต่อย่างเดียว) ที่ทำหน้าที่พยุงตัวอ๋อยขึ้นไปตามทาง คนนำทางยังชี้ให้ดูรูของปูไก่ ที่ตัวมันจะออกมาตอนกลางคืนให้ดูอีกด้วย แต่หลังจากนั้นมาถามครูเล็กว่าปูไก่มันร้องเสียงเหมือนไก่เหรอ? ก็ได้คำตอบเป็นเสียงหัวเราะ แถมแกยังถามกลับอีกว่า แล้วปูม้าร้องฮี้ ฮี้ หรือเปล่า?

พวกเราแวะพักกันที่อ่าวมุกกันก่อน น้ำทะเลสีสวยและหาดสะอาดน่าเล่นน้ำทำให้ต้องพักนาน เพราะพจกับจุ๋ยวิ่งลงทะเลไปโน่นแล้ว จุ๋ยถือโอกาสไปปล่อยกระแสน้ำอุ่นส่วนตัว แล้วก็ว่ายน้ำได้พักเดียวก็เรียกตากล้องสำรอง (เพราะพจอยู่ในน้ำไม่ยอมขึ้นง่ายๆ) คืออ๋อย มาถ่ายรูป on the beach ให้ ก่อนจะรวมตัวกันกลับที่พักเพื่อกินอาหารเที่ยง

กิจกรรมยามเย็นหลังจากนอนหลังอาหารเที่ยง (อีกแล้ว) ที่ทีแรกเราจะไปเดินดูสุสานปะการังท้ายเกาะกัน แต่พอผ่านเรือใบที่เจ้าหน้าที่เริ่มมากางใบออกและเข็นลงทะเลก็ทำเอาพวกเราเริ่มไขว้เขว สุดท้ายเราก็เลยไปต่อคิวเล่นเรือต่อจากฝรั่งคนอื่น

ประสบการณ์แล่นเรือใบครั้งแรกไม่เลวเลยทีเดียว ทั้งพจ เพชร และจุ๋ยนั่งรวมกันไปบนเรือ 2 ใบที่แล่นกินลมออกห่างจากหาด มีคนบังคับเรือนั่งไปด้วยคนนึง คอยคัดท้ายและบังคับ ใบเรือมี 2 ใบ คือ ใบหลัก และใบเสริมคอยต้านลม นำพาเรือให้วิ่งลิ่ว ถึงแม้จะเร็วน้อยกว่าอีกลำที่มีครูเล็กเป็นคนบังคับก็เถอะ วนได้ 2 รอบก็กลับเข้าฝั่ง และไหนๆ ก็เปียกกันแล้วก็พายคายัคกันต่อ ปล่อยให้พี่ยี้และอ๋อยนั่งคุยกันริมหาดต่อไป

เวลายังมีเหลือก่อนเวลาข้าวเย็นให้พวกเราได้เดินไปที่สุสานปะการังกันต่อ ครูเล็กบอกกับพวกเราว่ามีของให้เก็บไปฝากเพื่อนได้ นั่นก็คือ ฝักหมามุ่ยริมทาง ที่ทีแรกกะจะเก็บไปฝากเอ๋ แต่ด้วยความดีที่พวกเรามีติดตัวกันอยู่ ประกอบกับไม่มีอาสาสมัครที่จะเป็นคนไปเก็บ ก็เลยไม่มีของฝากที่เคอทะยัน (คันทะเยอ) มาฝากเอ๋

อาหารเย็นวันนี้ดีทีเดียว อาจจะเนื่องจากเป็นคืนวันศุกร์ ที่แขกเข้ามาหนาตา พวกเราได้กิน บาร์บีคิว กุ้งนึ่ง ปลากะพงย่าง และอย่างอื่นจนพุงกาง กินเสร็จจุ๋ยเริ่มทวงสัญญาว่าจะไปที่บาร์กัน เลยต้องพากันไปโดยมีเพชรเฝ้าบ้าน เพราะเจ้าตัวยืนยันหนักแน่นว่าขี้เกียจไป หลังจากออกกำลังกันตอนเช้าและมีแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดคนละนิดหน่อย แต่ละคนก็ดูเหมือนจะหลับดีกว่าคืนที่ผ่านมา ถ้าไม่มีฝูงหนูวิ่งกันบนเพดานกันให้ครึ่ดกลางดึก

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วในที่สุดก็ถึงวันจากเกาะ ตอนเช้าพี่ยี้เริ่มกำจัดขนมด้วยการแบ่งให้เจ้าแจ๊กกี้ หมาดำที่ไปวิ่งเล่นกับพวกเราบนเขาเมื่อวาน จากนั้นเมื่อเห็นว่าคนเริ่มสนิทกับหมา หรือหมาเริ่มสนิทกับคนก็ไม่รู้ล่ะ เราก็เล่นเตะลูกมะพร้าวกับแจ๊กกี้ริมหาดกันจน (คน) เหนื่อย อาหารเช้าวันนี้นอกจากอเมริกันสไตล์ ก็มีอาหารที่พวกเราร้องขอคือข้าวต้มรวมมิตร ให้ได้หนักท้องกัน ก่อนที่จุ๋ยจะครองทั้งหม้อข้าวต้มทั้งหมด ก็มีเสียงเรียกให้ไปดูแมงกะพรุนไฟที่ลอยมาแถวร้านอาหารที่พวกเรากินกันอยู่ ดูๆ ไปสักพักก็มีปลาหมึกว่ายน้ำมาให้ดูอีก นอกจากฝูงปลาที่กระโดดขึ้นเหนือน้ำที่เป็นเจ้าประจำให้ดูกันบ่อยๆ กลับมาที่โต๊ะอาหารกับอีกครั้ง ฝูงแมลงวันก็เข้าครอบครองหม้อข้าวต้มแทนจุ๋ยซะแล้ว

พวกเราออกจากเกาะกัน 10.00 น. ด้วยเรือเล็กลำเดิม แต่คราวนี้ทะเลเรียบจนไม่รู้สึกว่าอยู่ในทะเล แค่ 15 นาทีก็ถึงฝั่ง เสียเวลาล้างทรายที่ติดมากับรองเท้า จนนึกได้ว่าอ๋อยไม่ได้รวมอยู่ในหมู่เพื่อน เพราะมีหนุ่มน้อยขับรถไปส่งให้ที่รถเรียบร้อยแล้ว สอบถามพ่อหนุ่มที่คาดว่าเป็นลูกชายเจ้าของรีสอร์ท (เปล่าถามนะว่านึกไงรับอ๋อยไปน่ะ?) ว่าร้านอาหารแถวบ้านกรูดมีร้านไหนที่แนะนำ ก็ได้ความว่ามีร้าน บ้านเขียว กับ รุ่งสมุทรที่รสชาติใช้ได้ พวกเราเลยบ่ายหน้ากันไปที่ร้านบ้านเขียว ถึงโต๊ะในร้านจะมีคนจองซะส่วนใหญ่ พวกเราก็ออกมากินกันชายหาดอย่างอร่อย

จากนั้นอ๋อยพาไปที่มหาเจดีย์ภักดีประกาศ ทีแรกฟังชื่อไม่คุ้นว่าเคยไปแล้ว แต่พอเห็นป้ายวัดทางสายเลยร้องอ๋อ แต่แดดร้อนยามเที่ยง ทำเอาอยากจะรีบๆ ไหว้พระ รีบๆ เผ่นเข้าไปในเจดีย์ ให้ลมเย็นๆ พัดผ่านซะก่อนจะสุก

เป้าหมายอาหารเย็นวันนี้เป็นร้านเจ๊เขียว หัวหิน ทีแรกพวกเราจะพักบังกะโลกันที่ชะอำ แต่ถ้าวิ่งย้อนไปย้อนมาคงไม่ดี เลยต้องเสียเวลาหาที่พัก ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะหายากกันที่หัวหิน พักยกการหาที่พักด้วยการกินก่อน เพราะร้านเจ๊เขียวเป็นร้านดังที่ถ้ามาหลัง 6 โมงเย็นอาจจะคนเต็มจนไม่ได้กิน สั่งอาหารกันจนลืมไปว่าเมื่อตอนกลางวันยังย่อยไม่หมดดีนัก ในตอนเย็นเลยต้องแข็งใจกินกันไปจนเกือบหมด

จุ๋ยโฆษณาร้านเจ๊เขียวเอาไว้ตามประสาคนมาบ่อย ว่าเจ๊เขียวจะนั่งเป็นสัญลักษณ์อยู่หน้าร้านน่ะแหละ ซึ่งพวกเราไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่ เพราะคนนะไม่ใช่รูปปั้น จะได้อยู่มันหน้าร้านให้เจอตลอด แต่พอไปถึงก็จริงตามที่จุ๋ยบอก ตัวเจ๊เขียวอายุประมาณ 70 ได้ ตัวอ้วนกลมและนั่งๆ นอนๆ อยู่หน้าร้าน คร้านที่จะเคลื่อนไหว พอถามจุ๋ยว่ารู้ได้งัยว่าเนี่ยคือเจ๊เขียว เพราะแกใส่เสื้อผ้าธรรมดามาก เป็นเสื้อคอกระเช้า และผ้าถุงเก่าๆ จุ๋ยก็ชี้ให้ดูรูปถ่ายคู่กับดาราและคนดังต่างๆ ของเจ๊เขียวที่ติดอยู่ที่ผนังเหนือที่นั่งประจำของแกนั่นเอง

ทุกคนยังกังวลกันเรื่องหาที่พักอยู่ด้วยเหตุผลต่างๆ กันไป สาวๆ เกรงว่าจะไม่มีที่พักจนมืดค่ำ ถึงแม้ว่าเราจะปลอบใจว่าถ้าหาไม่ได้ก็ไปนอนกันที่ชะอำ ซึ่งที่พักมากกว่าตามโปรแกรมเดิม ส่วนจุ๋ย ก็กังวลว่าถ้าหาที่พักไม่ได้ ก็อดตะลึงตึงๆ ยามค่ำคืนที่หัวหิน ต้องไปหง่าวอยู่ที่ชะอำ แต่ในที่สุดคำปลอบที่ว่ามากับพจ..โชคดีเสมอ ก็ยังศักดิ์สิทธิอยู่ เราหาที่พักได้เป็นโรงแรมในเมือง เปิดห้องไว้ 2 ห้อง ห้องหนึ่งมี 2 เตียง ส่วนอีกห้องมี 3 เตียง ราวกับจะรอให้พวกเราไปเช่า แบ่งคนเข้าห้องตามเดซิเบลของการกรนก็ได้เป็น จุ๋ย อ๋อย พี่ยี้ ห้องหนึ่ง อีกห้องเป็นพจ กับเพชร

จุ๋ยอยากให้พวกเราออกไปตะลึงตึงๆ ตามแบบของมันมากจนยอมเลี้ยงไอติมพวกเราทั้งหมดที่ห้างใกล้โรงแรม แต่รู้สึกว่าโชคไม่เข้าข้าง (เพราะพจอิ่มจนอยากนอน) พวกเราอุตส่าห์ถ่อไปฟังเพลงกันถึงโรงแรมไฮแอตหัวหิน แต่บังเอิญว่าเป็นคืนก่อนเลือกตั้ง ส.ว. ล่วงหน้า บาร์ในนั้นก็เลยปิด รวมไปจนถึงบาร์และคาราโอเกะที่อื่นๆ ด้วย เราก็เลยได้นอนกันไม่ดึกฉะนี้

เช้าวันใหม่เพชรถึงกับบ่นนอนไม่หลับ เพราะเริ่มเคยกับการนอนรวมๆ กัน และเสียงกรนรอบข้าง พอมาเจอห้องเงียบ และแอร์เย็นเลยหลับๆ ตื่นๆ ส่วนสมาชิกอีกห้องก็หลับไม่เต็มที่เหมือนกัน บ้างก็คันเพราะผ้าห่ม บ้างก็วังเวงที่คนเหลือน้อย สรุปแล้วทริปอื่นต่อจากนี้คงเป็นรายการนอนรวมกันจะดีกว่า

เราไปกินข้าวเช้ากันที่ร้านโจ๊ก “เจ๊แอน” เจ้าเดิม นั่งไปสักพักจุ๋ยก็เจอ อ.หมอโรงพยาบาลหัวหินมาให้ทัก ต่อมาก็เจอ อ. มานี ที่คณะเภสัชฯ ให้เรา จุ๋ย และเพชร เข้าไปทัก ทุกคนเลยตั้งใจกินกันโดยเร็วก่อนที่จะมีคนรู้จักโผล่เข้ามาอีก เป้าหมายหลักของสาวๆ ในวันนี้คือช้อปปิ้งที่ platinum outlet ชะอำ แต่เวลาที่ยังเช้าอยู่ อ๋อยเลยพาไปไหว้พระที่วัดห้วยมงคล เขาหินเหล็กไฟกันก่อน โชคไม่ดีที่ไปเจอกับทัวร์หลายคันรถบัส คนเลยเยอะจนเข้าไปปิดทองแทบไม่ถึง หลังจากแวะช้อปปิ้งแบบไม่ได้อะไรเลยกันแล้ว ข้าวเที่ยงที่รออยู่ เป็นเย็นตาโฟชามเท่าอ่างข้าวหมาที่บ้าน ที่ร้านมิสเตอร์บัน ริมถนนเพชรเกษม จากนั้นทุกคนก็พร้อมใจกันกลับบ้าน ไม่ลืมแวะซื้อของฝากจากเมืองเพชร ไปกันคนละถุง 2 ถุง กลับถึงบ้าน 16.00 น.