Sunday, November 22, 2009

Yokoso! Japan 11 - 15 พ.ย. 52

บันทึกการท่องเที่ยวญี่ปุ่น 11 – 15 พ.ย. 52

10 พ.ย. 52

เราและหมอปุ้ม ซื้อทัวร์ญี่ปุ่น Maple & Onsen 6 days (เกียวโต – นาโงย่า – โตเกียว) จากบริษัท SBA ราคา (ลดแล้ว) คนละ 42,100 บาท

ยังไม่ทันเลิกงานดี พวกเราก็ตะลีตะลานกลับบ้านไปอาบน้ำแต่งตัว ทั้งที่อากาศร้อนมากๆ จนนึกไม่ออกเลยว่าจะขนเสื้อกันหนาวมากมายไปทำบ้าอะไรเนี่ย แถมพยากรณ์อากาศที่ญี่ปุ่นตลอด 5 วันที่พวกเราจะไปเที่ยวก็ยังจะมีฝนตกตลอดซะอีก จากที่เตรียมการฝากกระเป๋าไว้ล่วงหน้าที่คอนโดจุ๋ยเพื่อจะได้ไม่ต้องแบกของหนักเข้ากรุงวันเดินทาง ก็เลยต้องมีร่มและของอื่นๆ งอกเงยมาอีกอย่างช่วยไม่ได้

เจ้าของบ้านกลับเป็นฝ่ายมาถึงทีหลังพวกเราซะอีก พี่ยี้มาร่วมแจมกินข้าวเย็นกันอย่างเฮฮา ที่ร้านส้มตำแถวนั้นให้เสี่ยงไปปล่อยออกเหนือหลังคาบ้านคนอื่น นอกจากนี้พี่ยี้ยังใจดีไปส่งพวกเราถึงสนามบินสุวรรณภูมิด้วยเวลาอันฉิวเฉียดจากรถติดบนทางด่วน ดีที่ทางบริษัทเลื่อนนัดพวกเรามาเป็น 21.00 น.แทน โดยที่เครื่องบินของการบินไทยจะออกเวลา 23.10 น. พวกเรารับเอกสารที่ประกอบด้วยรายละเอียดการเที่ยว ตั๋วเครื่องบิน แผนที่ประเทศญี่ปุ่นอย่างคร่าวๆ และแผนผังรถไฟฟ้า รวมทั้งผ้าปิดจมูกและบัตรโทรศัพท์แบบ Pin phone แล้วก็สามารถโหลดกระเป๋าและผ่าน ตม. ไปเข้าเกทได้เลย พอจะมีเวลาให้หมอปุ้มไปหาซื้อเครื่องสำอางปลอดภาษีตามคำสั่งน้องสาวได้อีก 2 – 3 อย่าง

11 พ.ย. 52

จนแล้วจนรอดหลังจากขึ้นเครื่องมา ก็ยังไม่รู้ว่ามีใครร่วมทัวร์กับเราในครั้งนี้บ้าง พวกเรางัวเงียตื่นขึ้นมากินข้าวเช้าตอน 3.30 น. ก่อนจะถึงสนามบินคันไซ (KIX) โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่นประมาณ 1 ชั่วโมง ถึงสนามบินได้เราก็ต้องปรับเวลาให้เร็วกว่าเมืองไทย 2 ชั่วโมง แล้วผ่าน ตม. โดยต้องสแกนนิ้วชี้ทั้ง 2 มือ พร้อมทั้งถ่ายรูป (ซึ่งคงหน้าตาห่วยได้สภาพเดียวกับรูปถ่ายติดพาสปอร์ต) ก่อนจะผ่านไปรับกระเป๋า พวกเรารีๆ รอๆ อยู่เป็นนาน จะย้อนกลับไปทางเดิมก็เกรงใจบรรดาเจ้าหน้าที่แถวนั้นที่มองๆ อยู่ว่ากระเหรี่ยง 2 คนนี้มารับกระเป๋าตั้งนานแล้ว ทำไมไม่ผ่าน Declaration ออกไปซะที..แต่แน่จริงก็เข้ามาถามดิ เค้ารู้หรอกว่าคนญี่ปุ่นไม่ค่อยชอบพูดภาษาอังกฤษเท่าไหร่หรอก เพราะขนาด ตม. ยังใช้ภาษาใบ้ให้เอานิ้วจิ้มๆ ไปที่เครื่องสแกนเลย...เหอะ

ในที่สุดก็เจอคุณป้าที่ผูกมิตรไว้ตั้งแต่ตอนรับของจากบริษัททัวร์ เลยได้รู้ว่าไกด์นัดให้พวกเราคอยตรงจุดรับกระเป๋านั่นแหละ (รอนานโครต) และทัวร์ที่เราซื้อกับบริษัท SBA ก็ร่วมเดินทางกับบริษัท Apple โดยมีไกด์คนเดียวกันชื่อ คุณอธิชา หรือคุณวิทย์ มีลูกทัวร์ทั้งหมดรวมพวกเราด้วย 31 คน ประกอบด้วยกลุ่มครอบครัวใหญ่มีอากง อาม่า และเด็กๆ 10 คน นอกนั้นก็มากันกลุ่ม 2 – 3 – 4 คน เราพากันมาขึ้นรถบัสตามทะเบียนรถที่ไกด์บอกไว้จากนั้นก็เช็คชื่อกันตามธรรมเนียม โดยไกด์สอนว่าต่อไปถ้าเรียกให้ขานรับว่า “ไฮ้” แบบญี่ปุ่น แทน “มาครับ/ มาค่ะ” นะตะเอง

รถพาพวกเราออกจากเมืองโอซาก้าเพื่อจะไปยังเมืองเกียวโต ที่แรกที่พวกเราไปคือปราสาทคินคาคุจิ ซึ่งในปัจจุบันเป็นวัด ฝนเริ่มตกปรอยๆ แบบที่ต้องงัดร่มออกมาใช้ในที่สุด ตัวปราสาทมีขนาดเล็กเนื่องจากเป็นแค่ที่พักตากอากาศของโชกุนอาชิคางะ โยชิมิสึ จากเรื่องอิคคิวซัง มีลักษณะเป็นอาคาร 3 ชั้น ชั้นล่างเป็นไม้ ส่วนชั้น 2 และ 3 ปิดด้วยแผ่นทองคำ บริเวณยอดปราสาทมีรูปหล่อนกฟีนิกซ์สีทอง ปราสาทนี้ไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปภายในอาคาร พวกเราเลยได้แต่ถ่ายรูปกันด้านนอกผ่านทะเลสาบที่ล้อมรอบตัวปราสาทไว้ ทางเดินรอบๆ เป็นสวนญี่ปุ่นมีต้นเมเปิ้ลและต้นไม้อื่นๆ ที่ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีเหลืองแดง ให้เราได้ถ่ายรูปต่อเป็นระยะท่ามกลางฝนที่ยังคงตก มีเหล่านักเรียนที่มาทัศนศึกษาเต็มไปหมด ทั้งหนุ่มสาวหน้าใสชั้นมัธยม และเด็กประถมตัวเล็กๆ ที่เดินตามคุณครูเป็นลูกเป็ด ไกด์ช่วยถ่ายรูปให้พวกเราแบบต่อคิวกันเป็นกลุ่มๆ โดยบอกว่าจะส่งรูปเป็นซีดีตามมาให้ทีหลัง

กลับขึ้นรถโดยไม่แวะซื้อของในร้าน ได้แต่เมียงๆ มองๆ ไว้ จากนั้นเราก็ไปกันต่อที่วัดเรียวอันจิ ซึ่งเป็นวัดที่มีสวนหินงดงามแบบนิกายเซ็น หรือ คาเรซันซุย (Karesunsui) และเนื่องจากตาไม่ค่อยมีแววเท่าไหร่จึงได้เห็นแต่ก้อนหินใหญ่ตั้งห่างๆ กัน 15 ก้อน มีต้นไม้เกาะพอเป็นกระสาย รอบๆ เป็นหินเกร็ดที่คราดเป็นรอยเล็กๆ ขนานกันเป็นแนวยาวเหยียด ส่วนที่ติดกับก้อนหินก็จะคราดเป็นรูปวงกลมล้อมรอบหินไว้ ได้แต่ชวนหมอปุ้มว่าไปเหอะ แล้วก็พากันเดินอ้อมผ่านต้นเมเปิ้ลใบเล็กๆ สีแดง รอบๆ สระน้ำกลับมาที่รถ ถึงจะเดินเมื่อยแต่มองทิวทัศน์รวมทั้งฝูงเป็ดแมนดารินในสระแล้วก็หายเหนื่อย


เราไปกินข้าวเที่ยงเป็นสุกี้ยากี้แบบหม้อดินตั้งบนเตาแก๊ส ที่ทางร้านเตรียมจัดโต๊ะไว้เรียบร้อย โดยพวกที่มา 2 คนอย่างเรากับหมอปุ้มก็ครอบครองทั้งโต๊ะและสุกี้ 1 หม้อ ส่วนกลุ่ม 10 คน ได้ประมาณ 3 หม้อ ปริมาณอาหารก็กะไว้เกินพอสำหรับจำนวนคน คราวนี้แก๊งค์ลูกยาง 2 สาวก็ยังไม่ทำให้เสียชื่อ กินกันแบบกวาดเกือบหมดหม้อ แถมยังต่อด้วยไอติมแท่งที่จัดให้กินตามสบายกันอีกต่างหาก ไกด์แนะนำแล้วว่าส้วมโถของญี่ปุ่นค่อนข้างไฮเทคมีปุ่มกดมากมายนอกจากที่กดชักโครก เช่น ปุ่มท่อฉีดน้ำล้างก้น (แบบมีที่ปรับอุณหภูมิ) ปุ่มฉีดน้ำสำหรับผู้หญิง และปุ่มหยุดฉีดน้ำ มีทั้งรูปภาพและตัวอักษรภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษช่วยอธิบายประกอบ ซึ่งบางที่แค่ยกก้นออกจากโถก็ยังจะกดชักโครกให้อัตโนมัติอีกต่างหาก แล้วพจนารถก็ไปทดลองความไฮเทคจนเกือบออกจากห้องน้ำไม่ได้(แถวทะเลสาบฮามานาโกะในวันรุ่งขึ้น) เพราะไปเห็นปุ่มที่แปลกจากห้องน้ำที่อื่นคือมีรูปตัวโน๊ตดนตรี จนคิดว่าน่าจะเป็นเพลงสำหรับให้คนท้องผูกฟังเพลินๆ ซึ่งพอกดไปดันเป็นเสียงชักโครกดังซ่าๆ (จะมีไปทำไมฟระ) และไม่มีทีท่าจะหยุดดัง ทั้งที่กดปุ่มหยุดที่ดันเป็นปุ่มหยุดฉีดน้ำ รวมทั้งกดปุ่มเดิมซ้ำๆ เข้าไปอีก รีรออยู่ครู่ใหญ่ จนคิดจะใช้คำสั่งเสียง “มรึงจะเงียบรึไม่เงียบห๊า” สุดยอดส้วมถึงได้หยุดทำงานไปซะได้

ตกบ่ายพวกเราไปยังวัดคิโยมิสึ หรือวัดน้ำใส บริเวณเนินเขาฮิงาชิยาม่า เมื่อพวกเราผ่านประตูเข้ามาก็จะมีอ่างน้ำสำหรับบ้วนปากและล้างมือก่อนเข้าไปในตัววัด แต่เนื่องจากไม่รู้ที่มาที่ไป (มารู้เอาเมื่อไปวัดหลังๆ) เราก็เลยเอากระบวยที่มีไว้ให้มาตักน้ำกินซะ...แป่ว ไกด์แนะนำให้เสี่ยงทายด้วยการยกเกี๊ยะเหล็กที่ตั้งอยู่ในอาคารด้วยมือข้างที่ไม่ถนัด (ผู้หญิงให้ยกเกี๊ยะเหล็ก ส่วนผู้ชายให้ยกหอกเหล็ก) ซึ่งตรงนี้เราก็ลืมอีกเหมือนกันเพราะมัวแต่คิดจะโชว์พาว จะยกให้ขึ้นอย่างเดียวเลยไม่ทันได้อธิษฐาน ผลก็คือยกไม่ขึ้นแถมยังมีแก้ตัวด้วยการไปยกหอกในส่วนของผู้ชาย (ที่ทำท่าจะจับและยกง่ายกว่า) อีกต่างหาก เดินไปเจอร้านขายแผ่นป้ายไม้ทรง 5 เหลี่ยมรูปวัวสำหรับอธิษฐานที่เล็งไว้ว่าจะเอากลับมาให้อ๋อยเขียน เผื่อจะได้ตามมาแก้บนงวดหน้าถ้าสมหวัง แต่ถามแล้วไกด์บอกว่าเขาให้เขียนแล้วแขวนไว้ที่วัด ไม่ควรเอากลับไปไว้บ้านเลยได้แต่ถ่ายรูปอย่างเดียว

จากนั้นเราก็เดินไปส่วนที่ใช้เสี่ยงทายด้านความรักเป็นก้อนหินสีดำ 2 ก้อนตั้งห่างกันประมาณ 10 เมตร ว่ากันว่าคู่รักที่มาอธิษฐานโดยยืนอยู่ข้างก้อนหินด้านละก้อน หลับตาแล้วเดินมาหากันจนเจอก็จะรักกันยั่งยืน แต่เราดูแล้วออกจะยากสักหน่อยเพราะบรรดานักท่องเที่ยวอยู่กันเต็มจนแทบไม่มีที่ให้เดิน ฉะนั้นมาเสี่ยงทายให้เลิกกันน่าจะเวิร์กกว่า เดินขึ้นไปเรื่อยๆ จะพบส่วนที่เป็นไฮไลท์ของวัดคืออาคารใหญ่ที่มีโครงเสาทำจากต้นซุง 139 ต้นขัดสานกันเข้าโดยไม่ใช้ตะปูยึด ด้านบนปูพื้นกระดานเป็นระเบียงไม้ยื่นออกไปกลางหุบเขา มองเห็นเมืองได้ทั่ว

จากภาพโปสการ์ด ที่นี่จะสวยงามทุกฤดูทั้งฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่พวกเราได้มาเห็น ฤดูที่ดอกซากุระบานทั่วหุบเขา รวมไปถึงฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมต้นไม้และหลังคาวัดจนขาวโพลน

เดินกลับลงมาด้านล่างอีกครั้งก็จะเจอสายน้ำศักดิ์สิทธิ์ 3 สาย ที่ไหลลงมาจากเทือกเขา ไกด์ว่าจริงๆ แล้วก็เป็นน้ำสายเดียวแหละ แต่ใช้วิธีต่อท่อแบ่งเป็น 3 สาย โดยแบ่งเป็น 3 สรรพคุณ คือสายแรก เจริญรุ่งเรือง อุดมด้วยทรัพย์สินเงินทอง สายที่สอง สุขภาพแข็งแรง มีเสน่ห์ และสายที่ 3 สติปัญญาดี เราใช้วิธีเอากระบวยอันเดียว รองน้ำทีละสายแล้วดื่มทีเดียวเพื่อประหยัดเวลา จากนั้นค่อยไปช้อปปิ้งขนมรายทางขากลับไปยังรถบัส ร้านที่ไกด์แนะนำเป็นร้านที่ให้ชิมฟรีและมีชาเขียวร้อนให้ดื่มแก้คอแห้งจากขนมแป้งห่อถั่ว ขนมยอดนิยมแถวนี้ ผลก็คือพวกเราได้ขนมกันมาคนละกล่อง 2 กล่อง แถมเรายังได้ขนมชูครีมที่คล้ายกับเอแคร์ใส้ครีมแต่อันเท่ากำปั้นและตัวแป้งผสมซินนาม่อนหอมๆ มาไว้กินบนรถอีกด้วย

จากนั้นเราเดินทางสู่นาโงย่า เมืองไอจิ โดยนั่งรถต่อไปอีกประมาณ 3 ชั่วโมง รถหยุดให้พักลงไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งเรากับหมอปุ้มก็ฉวยโอกาสทดลองใช้ Pin phone ที่ทัวร์แจกมาโทรกลับบ้าน ปรากฏว่าโทรไม่ได้ มาบ่นกับไกด์ เลยได้รับคำชี้แจง (เมื่อรถออกวิ่งแล้ว) ว่าให้กดรหัสทีละบรรทัด แล้วฟังข้อความเป็นภาษาญี่ปุ่น จนจบ แล้วค่อยกดบรรทัดถัดไป (มี 3 บรรทัด) จนกว่าจะใส่เบอร์โทรบ้านได้ เราแวะกินข้าวเย็นแบบย่างด้วยเตาแก๊ส โดยเลือกหยิบอาหารได้แบบบุปเฟต์ เพิ่งจะรู้ว่าเห็ดหอมย่างจะอร่อยแบบนี้ หรือถ้าขี้เกียจย่างก็มีอาหารสำเร็จรูปไว้บริการหลายรูปแบบ ทั้งเทมปุระ ซูชิ ปลาดิบ รวมถึงขนมที่อร่อยมากๆ แถมยังมีขนมสายไหมที่พอใส่น้ำตาลเม็ดใหญ่ๆ เข้าไปในเครื่องแล้วก็จะปั่นออกมาเป็นสายให้ได้ดูอีกด้วย คุณป้า 2 คนที่มานั่งโต๊ะเดียวกับพวกเราถึงกับชม (?) ว่ากินกับพวกเราแล้วรู้สึกเจริญอาหารดีจัง


พอถึงที่พัก Nagoya Sakae Tokyu Inn พวกเราก็ได้โทรกลับบ้านซะที ซึ่งบัตรโทรศัพท์นี้ใช้โทรได้ประมาณ 20 นาที คุ้มกว่าหลายๆ วิธีที่เราหาข้อมูลมาเช่น เปิดบริการข้ามแดนจากประเทศไทยโดยต้องใช้โทรศัพท์ที่เป็นระบบ WCDMA และ 3G นาทีละประมาณ 95 บาท หรือ เช่าโทรศัพท์ที่สนามบินญี่ปุ่นของ Softbank วันละ 250 เยน ไม่รวมค่าโทร

เก็บข้าวของเรียบร้อย เราก็มาเดินย่อยอาหารกันแถวๆ โรงแรม ร้านขายเสื้อผ้าหรือห้างต่างๆ จะปิดกันตั้งแต่ 3 ทุ่ม ที่ยังเหลือเปิดตอนที่เราออกมาเดินก็จะเป็นร้านอาหาร บาร์ ร้านเกม ปาจิงโกะและร้านสะดวกซื้อ เดินจนลมหนาวเริ่มแทรกเข้าไปในเสื้อผ้าก็ได้เวลากลับที่พัก อาบน้ำแล้วก็ใส่ยูกาตะที่โรงแรมเตรียมไว้ให้เป็นชุดนอน

12 พ.ย 52

เริ่มอาหารเช้าแบบบุปเฟ่ต์ญี่ปุ่นที่โรงแรม ประกอบด้วยข้าวต้ม ไข่หวาน ซุปเต้าเจี้ยว สลัดผักและขนมปังอีกเล็กน้อย ก็ได้เวลาเดินทางอีกครั้ง มองเห็นพนักงานชาวญี่ปุ่นเดินจ้ำอ้าวไปทำงานกันแต่เช้า บางคนก็ขี่จักรยานไปจอดทิ้งไว้ตามทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดิน ผิดกับข้าราชการไทยอย่างเราที่กว่าจะกินข้าวอิ่มแล้วออกจากบ้านก็ปาเข้าไป 8 โมงกว่า แถมยังเลิกงาน 16.30 แต่กลับถึงบ้าน 16.20 อีกต่างหาก (เป็นบางวันนะจ๊ะ ทุกทีอยู่เวรจนดึกดื่นตะหาก) เช้านี้เราไปกันที่ปราสาทนาโงย่า รถไปถึงก่อนประตูเปิด คือ 9.00 เลยได้ถ่ายรูปแถวหน้าปราสาทรอไปพลางๆ ไกด์บอกว่าพวกเราโชคดีมากที่ได้มาในวันครบรอบ 20 ปีของอะไรซักอย่าง (ลืมไปแล้ว) เท่าที่ไปสืบค้นปีนี้เป็นปีที่ครบรอบ 50 ปีที่สร้างปราสาทขึ้นมาใหม่หลังจากถูกทำลายตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นเทศกาลดอกเบญจมาศอีกด้วย

ปราสาทนาโงย่าสร้างโดยโชกุนโตกุกาว่า อิเอยาสึ ฮีโร่โชกุนในดวงใจเรา (จากการ์ตูน-รองลงมาเป็นโชกุนฮิเดโยชิ) ฐานปราสาททำด้วยหินสูงจนต้องแหงนหน้ามอง ถ้าจะบุกปราสาทยุคนั้นคงต้องใช้นินจาตัวจริง เพราะถ้าไม่ผ่านประตูเข้าไปจะต้องข้ามกำแพงชั้นนอกที่มีคูน้ำรอบปราสาทแถมยังมีจระเข้ (ในปัจจุบันน้ำแห้งขอดและเลี้ยงกวางแทน) แล้วค่อยไต่ฐานหินที่ทั้งสูงทั้งชันเข้าไปที่ตัวปราสาท ส่วนที่เป็นอาคาร (Donjon) 7 ชั้นทำด้วยไม้ หลังจากซ่อมแซมก็เพิ่มลิฟต์ไว้สำหรับนักท่องเที่ยว พวกเราถือโอกาสขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนก่อน ดูของที่ระลึกและของจัดแสดงอื่นๆ รวมทั้งปลาโลมาทองคำ 1 คู่ (Golden dolphins หรือภาษาญี่ปุ่นว่า ชาจิโฮโกะ - Shachihoko) สัญลักษณ์ของปราสาท ที่ติดอยู่บนยอดปราสาท (ของจริงเหลือตัวเดียว ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์) ภายในปราสาทยังมีรูปจำลองปลาโลมาอยู่หลายชิ้น รวมทั้งที่ให้ปีนขึ้นไปขี่ถ่ายรูปได้อีกต่างหาก นอกจากนี้ยังมีหมู่บ้าน ร้านค้าจำลอง ให้ศึกษาวิถีชีวิตชาวเมืองรอบๆ ปราสาทในสมัยนั้น ออกจากปราสาทเราก็มาเดินถ่ายรูปกับดอกเบญจมาศหลายสายพันธุ์ที่แข่งกันอวดความสวยงามด้านหน้าประตูทางเข้า

กลับมาขึ้นรถอีกครั้งเพื่อไปยังทะเลสาบฮามานะโกะ แหล่งเพาะเลี้ยงปลาไหลที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น หลังจากติดอยู่ในห้องน้ำเป็นเวลาสมควรแล้ว เราก็มาเดินดูสถานที่ท่ามกลางฟ้าครึ้มฝน จากนั้นก็หลบลมหนาวเข้าไปในร้านค้า เพื่อซื้อของดังประจำถิ่น คือ คุ้กกี้ปลาไหล ระหว่างรอหมอปุ้มเลือกขนมอยู่ก็กินไอติมเกาลัดไปพลางๆ ก่อนขึ้นรถยังชั่งใจอยู่เป็นนานว่าจะซื้อปลาไหลย่างราคาแพคละประมาณ 1,500 เยนมากินดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้อ
เรามาแวะกินข้าวเที่ยงกันในร้านอาหารริมทางที่จัดอาหารไว้ให้เรียบร้อยแล้ว อาหารส่วนใหญ่เป็นปลาทอด ปลาดิบ และปลาไหลย่าง (ในที่สุดก็ได้กิน....เย้) เนื้อปลาไหลที่ฟูนุ่ม แถมยังหนุบๆ มีแต่กลิ่นซีอิ้วหวาน ไม่มีกลิ่นคาวเลย ทำเอาเราเจริญอาหาร (เหมือนทุกทีแหละ) จนวางตะเกียบช้ากว่าชาวบ้านไปโขอยู่ (พี่ผู้ชายกลุ่มที่มา 10 คนยังเอาวีดีโอมาถ่ายไว้ เป็นหลักฐานว่ามันกินเก่งจริงๆ) ชั้นล่างของร้านอาหารเป็นร้านขายขนมและของฝากสำหรับขาช้อป ดีที่เรากินจนอิ่มจนขี้เกียจยกมือหยิบกระเป๋าตัง ทำให้รอดตัวไม่ต้องเสียเงิน ส่วนหมอปุ้มได้แอ๊ปเปิ้ลลูกใหญ่มากินระหว่างทางอีก 1 ลูก

หลังจากนั้นรถพาเราขึ้นเส้นทางที่สูงและคดเคี้ยวเพื่อเข้าไปสู่เขตภูเขาฟูจี อากาศที่มืดครึ้ม มีฝนตกและหมอกลง ทำเอาใจแป้วว่าจะได้เห็นยอดเขาฟูจีหรือเปล่า แต่หลังจากผ่านทางขึ้นชั้นที่ 3 ไป อากาศก็โปร่งขึ้น มองเห็นทะเลหมอกอยู่ในหุบเขาข้างทางอย่างสวยงาม และแล้วก่อนถึงทางขึ้นชั้นที่ 5 (ชั้นสุดท้ายที่รถบัสสามารถไปถึงได้) พวกเราก็ได้เห็นยอดเขาฟูจีที่ปกคลุมด้วยหิมะผ่านหน้าต่างรถกันอย่างชัดเจนเต็ม 2 ตา ทุกคนต่างอุทานด้วยความตื่นเต้นก่อนจะแย่งกันคว้ากล้องถ่ายรูปมาถ่ายให้ได้มากที่สุด เส้นทางถนนจะหมดลงที่ชั้นที่ 5 หรือสถานีที่ 5 ต่อจากนี้จะเป็นเส้นทางเดินสำหรับนักปีนเขา ซึ่งจะมีเทศกาลขึ้นยอดฟูจีทุกปีในเดือน ก.ค. – ส.ค. โดยที่ยอดเขาเป็นสถานีที่ 10 ระยะทางเดินประมาณ 7.8 กม. ซึ่งนักปีนเขานิยมไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน

อากาศบนชั้นที่ 5 นี้หนาวเย็นมาก หมอปุ้มที่มีเทอร์โมมิเตอร์ไปด้วยแจ้งว่าอุณหภูมิ 6 องศาเท่านั้น พวกเราถ่ายรูปกับทะเลหมอกข้างทาง แล้วก็เดินเข้าไปในศาลเจ้าเพื่อไหว้พระและถ่ายรูปโดยมีวิวด้านหลังเป็นภูเขาฟูจีจนตะวันลับขอบฟ้า จากนั้นก็เดินเข้าไปหาไออุ่นในร้านขายของที่ระลึก นอกจากได้อาศัยความร้อนจากเตาผิงแล้วยังได้กระดิ่งคนละอันจากร้านฟรีอีกด้วย (โดยไม่ซื้ออะไรเลย) พอกลับมาขึ้นรถก็ได้ความรู้ใหม่อีกอย่างคือพอเจออากาศเย็นมากๆ และลมแรง กล้องจะไม่ทำงานแบบกดชัตเตอร์ไม่ลง ทีแรกเราก็นึกว่าเป็นเพราะแบตใกล้หมด หรือถ่ายติดๆ กันเกินไปซะอีก ไม่รู้ว่ากล้อง DSLR (ที่คิดจะซื้อในอนาคตอันไกลโพ้น) จะมีปัญหาแบบนี้ด้วยหรือเปล่า

ใกล้ๆ กันยังมีไปรษณีย์ที่ยังเปิดทำการถึงแม้จะ 4 โมงกว่าแล้ว (แต่มืดราว 1 ทุ่ม) เราเลยได้โอกาสส่งไปรษณียบัตรที่เขียนเรียบร้อยแล้วถึงเพื่อนๆ แบบที่มีตราประทับเป็นรูปภูเขาฟูจี ร่วมกับตราประทับไปรษณีย์ของญี่ปุ่น ก่อนจะลาภูเขาฟูจีที่อลังการอย่างสุดแสนเสียดาย หลังจากนั่งรถต่ออีก 2 ชั่วโมง ทัวร์ก็พาเรามาแวะช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมปลอดภาษีที่โกเทมบะ พรีเมี่ยม เอ้าท์เลท ด้วยการวิ่งช้อปปิ้งกันกลางลมหนาวในเวลาอันจำกัด เรากับหมอปุ้มทีแรกก็เดินดูของกันด้วยความหนาวเหน็บ แต่พอใกล้เวลานัดต้องเดินกลับมาที่รถกลับหลงทาง ถึงแม้ว่าไกด์จะบอกแล้วว่าลักษณะของร้านค้าจะเรียงเป็นรูปตัวอินฟินีตี้ หรือเลข 8 เราก็ยังเดินอ้อมวนไปวนมาจนต้องจ้ำให้ทันเวลา กว่าจะถึงรถได้ร่างกายก็อบอุ่นกันโดยอัตโนมัติ และในที่สุดก็มีผู้ประสบภัยหนาว (เพราะหลงทาง) อยู่กลุ่มนึง จนไกด์ต้องออกไปตาม พวกเราจึงได้กลับไปหาไออุ่นที่โรงแรมกันเสียที

ที่พักคืนนี้เป็นโรงแรมที่มีห้องอาบน้ำร้อนแบบญี่ปุ่น หรือ ออนเซ็น ทีแรกไกด์กะจะให้พวกเราเข้าห้องพักแล้วเปลี่ยนชุดยูกาตะมากินข้าวเย็นและถ่ายรูปร่วมกัน แต่เนื่องจากเราเสียเวลามาโขอยู่และห้องอาหารจะปิดตอน 3 ทุ่ม เลยได้กินข้าวก่อนเป็นอันดับแรกเมื่อมาถึงโรงแรม เมนูพิเศษสำหรับวันนี้เป็นขาปูยักษ์ที่ไปตักมากินได้แบบไม่อั้น ถึงอย่างนั้นพจนารถกินเข้าไปได้ 6 ขาก็จอด (เพราะกินบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่นอย่างอื่นด้วยนา) ได้แต่มองขาปูที่เหลือวางล่อตาอยู่อย่างเสียดาย

โรงแรม Fuji Mihana ที่พักของพวกเราอยู่ริมทะเลสาบยามานากะ หนึ่งในทะเลสาบทั้ง 5 ที่ล้อมรอบภูเขาไฟฟูจี ซึ่งประกอบด้วย ยามานากะ ซาอิ โชจิ โมโตสุ และคาวากุจิ เป็นทะเลสาบที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟฟูจี เมื่อลาวาไหลลงมาแข็งตัวเป็นพื้นแอ่งตรงเชิงรอบฐานภูเขา ตอนที่หิมะบนยอดเขาละลายก็จะกลายเป็นน้ำไหลลงมาขังในแอ่งน้ำเหล่านี้ การที่อยู่ใกล้กับภูเขาไฟทำให้เกิดน้ำพุร้อนและบ่อน้ำแร่ธรรมชาติมากมาย ซึ่งน้ำแร่แต่ละอย่างก็มีสรรพคุณต่อร่างกายต่างๆ กัน ไม่รวมถึงการที่ผู้ประกอบกิจการจะเติมแร่ธาตุเข้าไปในน้ำแร่เพิ่มอีกด้วย ไกด์แนะนำให้ลูกทัวร์ทั้งหลายลงแช่ในออนเซ็นของโรงแรม โดยอธิบายอย่างละเอียดว่าก่อนอื่นให้ใส่ชุดยูกาตะที่เตรียมไว้ให้แล้วในห้อง (ไม่ต้องใส่ชั้นใน) จากนั้นก็ไปที่ห้องอาบน้ำ ถอดชุดออกในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วอาบน้ำฟอกสบู่ให้เรียบร้อยก่อนจะค่อยๆ หย่อนตัวที่สะอาดลงในบ่อน้ำร้อน ที่มีทั้งในร่มและกลางแจ้ง มารยาทที่ดีเวลาเจอคนอื่นคืออย่าไปจ้องเขาแบบจะๆ (แต่ไกด์ก็บอกเบาๆ ว่าไปอาบด้วยกันแล้วจะรู้ว่าไผเป็นไผ...ฮี่) เมื่อได้เวลาพอสมควร และไม่ควรเกินครึ่งชั่วโมงอาจทำให้หน้ามืดจากความร้อนได้ ก็ขึ้นจากบ่อแล้วอาบน้ำด้วยฝักบัวด้านนอกอีกครั้ง การอาบฝักบัวควรนั่งบนเก้าอี้ที่จัดไว้เพราะถ้ายืนอาบ น้ำอาจกระเด็นไปโดนคนข้างๆ ได้

พอพวกเราขึ้นห้องพักเรียบร้อย เราก็เร่งให้หมอปุ้มไปแก้ผ้า เอ๊ย ไปแช่น้ำร้อนตามสบาย ส่วนตัวเองจะรออยู่ในห้อง ไม่ได้ไปมีประสบการณ์กับเขาด้วยมีเหตุจำเป็น และเกรงว่าจะไปทำให้น้ำแร่เปลี่ยนเป็นสีแดงซะเปล่าๆ (ไม่ใช่แดงจากเลือดกำเดาเวลาจ้องชาวบ้านนะยะ) หมอปุ้มก็รีบไปเหมือนกันเพราะกลัวจะเจอเพื่อนร่วมทัวร์ทั้งก๊วน เวลาผ่านไปแป๊บเดียวหมอปุ้มก็กลับมาเล่าวีรกรรมว่าโชคดีไปเจอคุณป้าทัวร์เดียวกันแค่คนเดียว ส่วนคนอื่นเป็นสาวญี่ปุ่น ที่อายหลบกันวูบวาบ สงสัยจะรู้ว่าใครหย่าย...555 หมอปุ้มบอกว่าบ่อน้ำร้อนที่ว่าอุณหภูมิประมาณ 40 องศานั้นไม่ร้อนอย่างที่คิด (ไข่ยังไม่สุก) แต่ไม่ได้แช่นาน ลงไปจุ่มๆ ทั้งบ่อในร่มและกลางแจ้งที่ไปเจอคุณน้อง สาวจีนยืนเม้าท์กันจังก้าเลยต้องรีบหลบ ไม่รู้ว่าน้ำแร่ทำให้กระปรี้กระเปร่าอย่างทันตาหรือเปล่าเพราะตั้งแต่ย่างเท้ากลับเข้าห้อง หมอปุ้มก็เล่าวีรกรรมไม่หยุด นอนหลับไปแล้วก็กรนดังสนั่นยิ่งกว่าทุกคืน.....แง๊

ที่นอนวันนี้เป็นฟูกปูบนพื้นเสื่อตาตามิ เรียกว่า ฟุตอง นอนแล้วนุ่มอุ่นสบาย (ถ้าป้องกันเสียงจากโรงสีข้างๆ ได้ด้วยจะดีมาก) ส่วนผ้าห่มก็ฟูนุ่ม แต่หมอนที่ด้านบนเหมือนหมอนทั่วไป แต่ด้านล่างมีลักษณะแข็งเป็นลอนๆ คล้ายหมอนขวานบ้านเรา นอกจากชุดยูกาตะที่มีให้ห้องละ 4 ชุด (ชุดสีชมพูของผู้หญิง 2 ชุด และสีฟ้าของผู้ชาย 2 ชุด) ยังมีรองเท้าแตะสานรูปร่างเหมือนเกี๊ยะญี่ปุ่นแต่เบากว่าให้อีก 4 คู่ ซึ่งเราเองทนใส่ชุดสีชมพูได้ แต่มาถึงรองเท้า ได้แต่เลือกแบบของผู้ชายมาใส่ เพราะรองเท้าแบบผู้หญิงนั้นอย่าว่าแต่จะสอดนิ้วเข้าไปให้ได้ครบเลย แค่ความยาวของเท้าก็ไม่ได้แล้วง่ะ

13 พ.ย. 52

เมื่อวานไกด์เตือนแล้วว่าถ้าใส่ยูกาตะนอน เวลาตื่นให้ดูให้ดีซะก่อนว่าชุดยังอยู่ที่เดิมบนตัวหรือเปล่าก่อนจะทำให้เพื่อนร่วมห้องผวา (ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ นะหมอปุ้ม) เดิมทีเราใส่ชุดยูกาตะตั้งแต่โรงแรมแรกที่นาโงย่าแล้วแต่เป็นชุดแบบที่มีเชือกเล็กๆ ผูกไว้ทั้งด้านในและด้านนอกก่อนจะรัดด้วยโอบิ หรือสายคาดเอว ทำให้นอนได้เรียบร้อยกว่า ชุดยูกาตะที่ว่าสำหรับ “คนเป็น” ให้ใส่แบบซ้ายทับขวาซึ่งไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ แต่อย่างว่าเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม โดยที่เรายังอุตส่าห์จะแฟชั่น ดึงส่วนท้องเหนือโอบิให้พองๆ แล้วเอาแขนสอดเข้าไปพาดค้างไว้ (แฟชั่นยากูซ่าอ้ะ) ซึ่งตอนเช้าก็มีแต่เรากับหมอปุ้มที่ใส่ยูกาตะลากเกี๊ยะมากินอาหารเช้ากัน

หลังจากเช็คเอ๊าท์ลากกระเป๋าขึ้นรถแล้ว พวกเราก็ไปถ่ายรูปที่ทะเลสาบหน้าโรงแรม โชคไม่ดีที่มีเมฆมากจนมองไม่เห็นยอดฟูจีจากโรงแรม (หรือมองไปผิดทิศก็ไม่แน่) วันนี้ไกด์ได้โอกาสขายของฝากบนรถ โดยบอกว่าจะสั่งร้านขายส่งแพคมาให้เรา ทั้งขนม เครื่องใช้ และยา รวมถึงกอเอี๊ยะแม่เหล็กแก้ปวด ที่จริงก็ราคาไม่แพงมาก แต่ต้องซื้อในปริมาณขายส่ง เช่น ขนมชนิดละ 3 แพคใหญ่ เราเลยไม่ได้สั่ง ได้แต่ลองชิมขนม และถ่ายรูปสินค้าทะลึ่งๆ มาฝากคนอื่นแทน รถพาเราวิ่งขึ้นเขา ด้วยเส้นทางคดเคี้ยวอีกแล้ว เพื่อไปยังภูเขาโอวาคุดานิ ที่มีบ่อน้ำแร่กำมะถันเดือดสามารถต้มไข่ให้สุก ไข่ที่ได้จะมีสีดำ ซึ่งทางทัวร์จะมีแจกลูกทัวร์คนละ 1 ฟอง ว่ากันว่ากินแล้วจะมีอายุยืนยาวเพิ่มอีก 7 ปี

ลงจากรถได้พวกเราก็ไปรวมกลุ่มถ่ายรูปหมู่ท่ามกลางลมหนาวที่พัดรุนแรง มีกลุ่มทัวร์ชาวจีนมายืนต่อคิวและเร่งให้ถ่ายเสร็จเร็วๆ ทำเอาเสียอารมณ์ ไกด์นัดให้ไปรับไข่ดำก่อนที่ร้านด้านข้างที่จอดรถแต่เราก็ไม่แน่ใจซะแล้วว่าเป็นร้านไหน รีๆ รอๆ อยู่พักนึงพวกเราก็เดินไปเข้าเส้นทางที่จะขึ้นไปที่บ่อกำมะถัน โดยจะต้องเดินขึ้นเขาไปอีก 200 เมตร แต่แค่ 10 เมตรแรก พจนารถก็อ้างถึงสุขภาพ (ที่อาจจะ) ไม่สมบูรณ์แข็งแรงเต็มที่ในช่วงนี้ ยืนคอยหมอปุ้มอยู่ในร้านของที่ระลึก ปล่อยให้หมอปุ้มเดินไปตะลุยลมหนาวแต่เพียงผู้เดียว รออยู่นานโขจนหมอปุ้มกลับมาพร้อมด้วยไข่ต้มแพคละ 5 ลูก 2 แพค ที่ซื้อกลับเมืองไทย

เราไปกันต่อที่ทะเลสาบอาชิ เพื่อล่องเรือโจรสลัดชมทะเลสาบ ว่ากันว่าน้ำในทะเลสาบอาชิ (หรือทะเลสาบอื่นด้วยก็ไม่รู้) ไม่มีวันเป็นน้ำแข็ง เพราะพื้นผิวข้างใต้ทะเลสาบยังคงมีลาวาจากภูเขาไฟฟูจีคุกรุ่นอยู่ พวกเราขึ้นไปชมต้นไม้เปลี่ยนสีรอบทะเลสาบบนดาดฟ้าเรือได้ไม่นานก็ต้องพ่ายแพ้กับลมหนาวที่พัดแรงพอๆ กับบนเขาที่ผ่านมา ได้แต่พากันกลับมานั่งที่ชั้นล่าง แล้วเล่นซ่อนตาดำเพราะความอบอุ่นจนถึงท่าเรือ ก่อนที่จะหลับต่อในรถ ก็ได้เวลาอาหารเที่ยง มื้อนี้นอกจากอาหารญี่ปุ่นคล้ายๆ ของเดิมแล้ว ยังมีอุด้งอุ่นๆ ให้ได้กินอีก

รถพาพวกเราผ่านทิวเขาที่ร่มรื่นไปจนถึงสถานีรถไฟยูเมโตะ – ฮาโกเน่ เพื่อนั่งรถไฟสายโรแมนติก (Romance car) ที่วิ่งตรงไปถึงสถานีรถไฟชินจูกุ จากใบโฆษณาที่ว่าให้ชมทัศนียภาพความงามตามธรรมชาติตลอดสองข้างทางและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวญี่ปุ่นท่ามกลางธรรมชาติ มาดูจริงๆ (ด้วยตาไม่มีแววอีกแล้ว) ก็เห็นว่าทั้งทัศนียภาพ และความเร็วของรถไฟ ไม่ต่างจากรถหวานเย็นของเมืองไทยเลย นั่งปลงว่าดันหลงมาขึ้น ชิง-กัน-เซ็ง หรือ แย่ง-กัน-เบื่อ ของญี่ปุ่นได้ซัก 10 นาที เวลาที่เหลือต่อจากนั้นก็หลับตลอด

ไกด์ได้แจกแผนที่ชินจูกุที่แสดงร้านค้าแนะนำให้ไปช้อปตั้งแต่อยู่บนรถบัสแล้ว โดยบอกไว้อย่างดีว่าเมื่อถึงสถานีชินจูกุจะพาเดินวนดูสถานที่ทุกร้าน 1 รอบก่อน แล้วก็ให้พวกเราเลือกซื้อของกันเองตามอัธยาศัย แต่พอออกจากสถานีใต้ดินชินจูกุจริงๆ กลายเป็นว่าฝนตกลงมาตลอด สมาชิกรุ่นอากงอาม่าถอดใจรออยู่ในสถานีรถไฟตรงจุดนัดพบซะครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือเมื่อเดินตามไกด์ไปร้านแรกที่เป็นร้านขายเครื่องสำอางก็หยุดอยู่ในนั้นเป็นชั่วโมง ในที่สุดเรากับหมอปุ้มเริ่มทนไม่ได้ จึงได้บอกไกด์ว่าขอไปเดินเองแล้วจะไปเจอกันตรงจุดนัดพบ เรากำลังกังวลเรื่องการชาร์ตแบตกล้อง เนื่องจากไม่ได้เตรียมปลั๊กไฟแบบแบนมาเลยถือโอกาสฝากไกด์ที่ชำนาญพื้นที่ให้ซื้อมาให้ด้วย

เราไปแวะร้านกล้องถ่ายรูป Big Camera ที่อยู่ใกล้ที่สุดก่อน หลังจากเชียร์ให้หมอปุ้มซื้อแบตกล้อง Canon ไม่สำเร็จ ก็พากันเดินต่อไป เจอร้านขายของทุกอย่าง 100 เยน ที่รู้สึกไม่ค่อยมีของน่าสนใจ วนไปวนมาทีแรกมีร่มขายหน้าร้าน 150 – 200 เยน เราก็ยังเมินเพราะถือว่ามีร่ม แต่ดันลืมไว้ในรถบัส และฝนแค่ตกปรอยๆ แต่พอฝนตกหนักขึ้นจนเริ่มคิดจะซื้อร่มดีกว่า ก็เจอแต่ร่มราคา 500 เยนซะแล้ว มาหยุดกันที่ sex shop ต่อด้วยความรู้สึกคุ้นเคย...แหม่ ไม่ใช่ว่าไปมาจนปรุ เพียงแต่มิวสิควีดีโอคาราโอเกะบนจอทีวีหน้าร้าน เป็นเพลงไทย “แทงข้างหลัง ทะลุถึงหัวใจ” พอจบเพลง (ดูจนจบแบบสอดส่ายสายตาเข้าไปในร้านด้วย) ก็เป็นเพลง “ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ” ต่อ หมอปุ้มทำท่าจะถ่ายรูปร้านให้ได้ แต่เราห้ามไว้ กลัวว่าคนในร้านจะออกมาเตะเอาเพราะไม่ใช่ลูกค้า แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาจะให้ถ่ายรูปหรือเปล่า

ตามออเดอร์ของอ๋อยที่ฝากซื้อนาฬิกา Casio แบบจดชื่อรุ่นและมีรูปมาให้เรียบร้อย แต่ปรากฏว่าไปถึงร้านนาฬิกาแล้ว พนักงานไม่รู้จักซะอีก ส่วนรุ่นที่ละม้ายๆ ก็ราคาผิดกันลิบ เลยไม่ได้ซื้อ และต้องรีบออกจากร้านก่อนที่ตัวเองจะเผลอใจซื้อนาฬิกาไซโก้ที่ดูผู้หญิ้ง ผู้หญิง และราคาไม่แพง (ในความรู้สึกขณะอยากได้) มาอีกเรือน เราไปแวะร้านกล้องอีกร้านระหว่างทางกลับไปจุดนัดพบ คราวนี้เจอกับไกด์และได้ปลั๊กไฟสมใจในราคาไม่แพง เดินไปเดินมาก็ไปได้ขาตั้งกล้องที่งอพันสิ่งของได้แบบไม่ต้องตั้งกับพื้นเรียบอย่างเดียว ทำเอาเราถูกอกถูกใจในไอเดียจนซื้อมา 1 อัน ชมเชยตัวเองในใจที่ใจแข็งไม่ยอมซื้อ Digital frame หรือกรอบรูปดิจิตอลที่อยากได้ หรือกล้องวีดีโออันเล็กจิ๋ว (สีแดง รูปร่างสวย - คุณสมบัติเข้าข่าย 2 อย่างแระ แต่เป็นของ Sony ไม่ใช่ JVC ที่เป็นเรื่องหลักที่อยากได้)

เมื่อถึงเวลานัดพบปรากฏว่าคนที่มาช้ากลับเป็นไกด์ ระหว่างทางที่เดินไปกินข้าวเย็น เราก็พบหนุ่มๆ หน้าตาดีมากมายใส่สูทเดินกระจายๆ กันอยู่บนถนน มีใบปลิวยื่นให้คนผ่านไปมา ไกด์บอกว่าคนพวกนี้ทำงานเป็นโฮสต์ กำลังเรียกแขกเข้าร้าน (ร้านอาหารหรือบาร์) แหม...ถ้าไม่มากับแก๊งค์อาม่าสงสัยจังว่าจะมีหนุ่มเข้ามาสีมั๊ยน้อ แล้วพวกเราก็ไปกินอาหารค่ำแบบชาบูชาบู เป็นบุฟเฟ่ต์หมูที่หั่นเป็นชิ้นบางๆ จุ่มลงไปในหม้อ มีผักให้ไปหยิบเองได้ตามสบาย พวกเราไปนั่งโต๊ะเดียวกับกลุ่มที่มากัน 10 คน แต่อย่างว่า ลองว่าเป็นสมาชิกแก๊งค์ลูกยางแล้ว ถึงจะคนน้อยกว่าแต่ก็สู้ไม่ถอยฮ่ะ สังเกตว่าแต่ละมื้อที่พวกเราได้กินจะต้องเป็นอาหารที่มีกลิ่นติดเสื้อผ้าไปอีกเป็นวัน ตั้งแต่สุกี้ เนื้อย่าง พวกเรามาเจอทัวร์คนไทยที่มากินร้านเดียวกัน พักที่เดียวกันอีกแล้ว แต่ก็ไม่ได้เข้าไปถามว่าเป็นทัวร์ของบริษัทอะไร เราเดินฝ่าฝนไปรอรถตรงจุดนัดพบเพื่อไปยังโรงแรม Sunshine city prince ในย่านอิเคบุคุโระ ที่พักต่อจากนี้อีก 2 คืน

14 พ.ย. 52

วันนี้เป็นวันที่ทัวร์ปล่อยให้ไปเที่ยวกันเองอย่างอิสระ โดยที่กลุ่มนึงจะแบ่งไปดิสนีย์แลนด์ ซึ่งจะต้องจ่ายเงินเพิ่มเป็นค่าบัตรผ่านประตูให้กับทางทัวร์อีกคนละ 2,600 บาท ส่วนพวกเราเริ่มคิดหนักกันตั้งแต่เมื่อคืนว่าจะไปทางไหนดี หมอปุ้มเสนอว่าจะนั่งรถเมล์ หรือรถไฟเที่ยวชมเมือง ส่วนเรายังกลัวๆ ว่าจะหลงเพราะไม่ได้หาข้อมูลมา คิดว่าไกด์จะพาไปตามสถานที่ๆ แนะนำไว้ คือ อะคิฮาบาร่า กินซ่า ฮาราจูกุ แต่ไกด์แนะนำให้เราเที่ยวห้างที่เป็นส่วนหนึ่งของโรงแรมก่อน แล้วตอน 11 โมงเมื่อกลับจากส่งกลุ่มที่ไปดิสนีย์แลนด์แล้วถึงจะพาไปเที่ยว แต่ก็ต้องตกลงกันอีกทีว่าไปที่ไหน

เมื่อคืนเราหาแนวร่วมได้เป็นคุณป้า 2 คน คือเจ๊จู (66) กับเจ๊ขวัญ (70) ที่ชมพวกเราแต่ทีแรกว่าเจริญอาหาร แถมยังบอกว่าไปไหนไปกัน ขอไปด้วย ส่วนอีกกลุ่มเป็นแม่ลูก คือ ป้าจู (~70) พี่เล็ก (~45) และ พี่ตู่ (38) ทีแรกพี่ตู่ซึ่งมา 2 ครั้งแล้วมีแผนการในใจว่าจะขึ้นรถไฟไปพระราชวังอิมพีเรียล และศาลเจ้าเมจิ พวกเราก็เห็นดีเลยขอเกาะไปด้วย กะไว้ว่าคงซักครึ่งวัน ปล่อยให้พี่ตู่รอขอคำแนะนำจากไกด์ตอนเช้าที่ห้องอาหาร ส่วนทางเราก็เอาแผนที่เส้นทางรถไฟไปถามประชาสัมพันธ์โรงแรม เวลาต้องติดต่อกับผู้คนอื่นผ่านภาษาต่างด้าวนี่เป็นต้องนึกถึงจุ๋ยทุกที เพราะเคยตัวกับความสะดวกสบายที่มีล่ามและผู้นำทาง ได้แต่บ่นกะหมอปุ้มว่ามากับทัวร์ทีไรรู้สึกเหมือนเป็นไกด์ย่อยอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อคราวฮ่องกงก็ต้องไปถามทางพากลุ่มไปเองเหมือนกัน..เฮ้อ

โชคดีที่ภาษาอังกฤษแบบพัทยาช่วยได้อีกครั้ง เราเลยได้รู้ว่าเส้นทางรถไฟที่ทำเป็นสีๆ แสดงแต่ละเส้นทางนั้น มี 2 แบบใหญ่ๆ คือรถไฟใต้ดิน หรือ สาย Metro กับ รถไฟบนดิน หรือ สาย JR การที่เราจะซื้อตั๋วรถไฟแบบเหมาวันเดียวหรือ JR one day pass ที่ขึ้นๆ ลงๆ กี่สถานีก็ได้นั้นจะใช้ได้เฉพาะสาย JR เท่านั้น ส่วน Metro ต้องซื้อตั๋วอีกต่างหาก ซึ่งประชาสัมพันธ์ใจดีบอกว่าซื้อจากเครื่องขายตั๋วเอาที่สถานีจะคุ้มกว่าซื้อ one day pass เพราะวิธีไปพระราชวังอิมพีเรียลจะต้องไปด้วยรถไฟใต้ดิน ส่วนจะไปศาลเจ้าเมจิ ต้องไปด้วย JR

9 โมงกว่า พวกเราจึงได้ออกเดินทางจากโรงแรมซึ่งอยู่ใกล้สถานีรถไฟ อิเคบุคุโระ ที่เป็นสถานีชุมทาง มีรถไฟผ่านหลายสาย เราเริ่มด้วยการซื้อตั๋วรถไฟใต้ดินสายมารุโนะอุจิ (Marunouchi line - สายสีแดง) ซึ่งเครื่องขายตั๋วจะมีภาษาอังกฤษให้เลือก โดยก่อนที่จะซื้อตั๋วจากเครื่องขายตั๋ว เราก็ไปซักถามพนักงานในออฟฟิศซะก่อน เพราะมีเครื่องขายตั๋วตั้งเรียงกันเป็นตับ และมีหลายๆ จุดอีกด้วย พอบอกจุดหมายที่จะไป คือ โอเทมาจิ (Otemachi) เขาก็จะบอกราคาค่าตั๋ว พร้อมทั้งชี้ให้เราไปซื้อจากเครื่องขายตั๋วด้านไหน จากนั้นก็บอกทางออกให้เราเดินไปที่รถไฟ ที่เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติจะต่างจากรถไฟฟ้าบ้านเราตรงที่ไม่ได้นับว่าจะไปกี่สถานี แต่เราต้องดูแผนผังสถานี (ด้านบนเครื่องที่เป็นภาษาญี่ปุ่นล้วน – ฮ่วย) ที่แสดงชื่อสถานีและราคา ดังนั้นพอเลือกภาษาอังกฤษ มันก็จะมีราคาหลายๆ ราคาขึ้นมาให้สัมผัสที่จอว่าจะซื้อตั๋วราคาเท่าไหร่ บางเครื่องก็ให้ระบุว่าซื้อกี่ใบ (ทำเป็นรูปคน) พี่ตู่บอกว่าเพื่อนแนะนำให้ซื้อราคาต่ำสุด พอถึงที่หมายแล้วก็ไปจ่ายส่วนเกินกับเจ้าหน้าที่หรือเครื่องปรับมูลค่าตั๋ว (Fair adjustment) เอาได้ แต่ในเมื่อเรารู้ราคาแน่นอนกันแล้วก็ค่อนข้างสะดวกที่จะซื้อตามราคาไปเลย จริงๆ แล้วถ้ามีเวลามองโน่นมองนี่ให้ละเอียดสักหน่อยก็จะเห็นว่า เขามีป้ายบอกทางอยู่เหมือนกันว่า รถไฟสายไหนต้องไปออกที่ทางออกไหนและมีลูกศรชี้บอก พอใกล้ถึงก็จะมีบอกเลขที่ชานชาลาให้อีก แต่ครั้งแรกของพวกเราบวกกับความตื่นเต้น ก็เลยทำให้ต้องสอบถามอีกครั้งจากชาวญี่ปุ่นที่หลงมาเป็นเหยื่อ...ฮี่ ว่าไปสถานีนี้ขึ้นรถตรงนี้แน่ใช่มั๊ยตัว?

เจ๊จูเป็นคนแรกที่เริ่มถอดใจหลังจากเข้ามาในสถานี เพราะกลัวว่าจะเดินไม่ไหว และจะมีปัญหาในวันรุ่งขึ้น แต่เราก็ปลอบใจ (หรือหลอกคนแก่หว่า?) ว่าถึงยังไงไปที่พระราชวังอิมพีเรียลแล้วก็ยังกลับมาสถานีเก่า เพื่อจะเปลี่ยนรถเป็นสาย JR ถ้ายังไงไปเที่ยวพระราชวังกันซักแป๊บเดียวก่อนแล้วค่อยกลับโรงแรม ดีกว่านอนเหงาอยู่ในโรงแรมตั้งเยอะ และประชาสัมพันธ์ยังบอกว่าพอถึงสถานีโอเทมาจิก็เป็นพระราชวังเลย เดินไม่ไกลหรอก ...นั่นเป็นก้าวแรกที่ลูกทัวร์จำเป็นของพจนารถถูกตะล่อมให้เชื่อฟังไกด์ที่เปิดเผยข้อมูลแต่เพียงบางส่วน...ฮี่

การผ่านที่กั้นเพื่อเข้าไปยังชานชาลา มีลักษณะคล้ายรถไฟฟ้าเมืองไทย คือเสียบตั๋วที่มีลักษณะเป็นแผ่นกระดาษขนาด 1x 1.5 นิ้ว ด้านบนเป็นภาษาญี่ปุ่นและบอกราคาตั๋ว ส่วนด้านล่างเป็นแถบแม่เหล็กสีดำ เมื่อเข้าไปในเครื่องก็จะไปโผล่อีกด้านใกล้ประตูแบบเจาะรูไว้เรียบร้อย เมื่อดึงตั๋วออกประตูก็จะเปิด สำหรับชาวญี่ปุ่นบางคนที่ใช้ตั๋วเดือน ก็จะมีที่ให้นำบัตรรถไฟแปะลงไปแล้วก็ผ่านไปได้เลย

หลังจากนั้นเราก็เดินกันอีกประมาณ 700 เมตรไปยังชานชาลา
บนรถไฟใต้ดินวันเสาร์คนไม่แน่นมาก เราเลือกยืนใกล้ประตูทางออกซึ่งมีไฟแสดงว่าถึงสถานีไหนแล้ว ซึ่งหมายเลขและตัวย่อสถานีบนแผนที่ก็จะตรงกับหมายเลขที่แสดง นั่นคือเรามาจาก อิเคบุคุโระ (M25) ก็ดูที่ไฟตามสถานีไปเรื่อยๆ จนถึง โอเทมาจิ (M18)

เมื่อมาถึงเราก็เดินออกจากสถานี ประมาณ 500 เมตรถึงทางออก โผล่ขึ้นมาก็เป็นพระราชวังจริงๆ แต่เป็นช่วงที่ฝนตกลมแรง พวกเรายืนหลบฝนกันพักเดียวก็เดินเข้าไปในเขตพระราชวัง มารู้เอาภายหลังว่าประตูด้านที่เราเข้ามานั้นเป็นประตูหลัง ซึ่งห่างจากตัวพระราชวังที่เป็นไฮไลท์โขอยู่ โดยประตูทางเข้าจะแบ่งเป็นประตูใหญ่ คือ Kitahanebashimon gate และประตูอีก 2 ด้าน คือ Hirakawamon gate และ Otemon gate ดังนั้นเมื่อเราเข้ามาทางประตูโอเตมอน จึงได้เห็นแต่ส่วนที่เป็นพิพิธภัณฑ์เครื่องใช้ และชุดโบราณ ถ่ายรูปกับสวนสวยๆ ไม่ได้เห็นส่วนที่เป็นตัวพระราชวัง (Imperial palace) และสะพานหิน Meganebashi หรือสะพานแว่นตา หน้าปราสาท ที่ต้องไปรถไฟสายฮิบิยา (Hibiya line) ลงสถานีฮิบิยา หรือสายชิโยดะ (Chiyoda line) ลงสถานีนิจูบาชิมาเอะ (Nijubashimae) แต่เอาเถอะ โอกาสหน้ายังมี
พวกเราใช้ฝรั่งหนุ่มๆ ถ่ายรูปหมู่ทัวร์เฉพาะกิจที่หน้าพระราชวัง จากซ้ายไปขวา คือ หมอปุ้ม – พี่ตู่ – พี่เล็ก – ป้าจู – เจ๊จู – เจ๊ขวัญ – พจ ตอนนี้พี่ตู่ชักสังเกตออกว่าเวลาถามข้อมูลจากต่างชาติ ถ้าเป็นสาวๆ หรือผู้สูงอายุ พี่ตู่จะเป็นคนถามเอง ส่วนถ้าเป็นหนุ่มๆ (ที่หน้าตาระดับ 3 บวกขึ้นไป) พจจะเป็นคนถาม...แหม อ่ะนะ ดังนั้นตอนขึ้นรถไฟขากลับ หลังจากรอหมอปุ้มขยับที่นั่งบนรถไฟให้ จังหวะที่กะลังจะหย่อนก้นนั่งพอดีกับรถไฟกระชากออก เราก็เลยถลาเข้าไปซบ เอ๊ย ชนกับหนุ่มที่นั่งอยู่อีกข้าง ให้พี่ตู่ที่นั่งฝั่งตรงข้าม แซวมาว่า “นั่นแน่ นั่นแน่” ส่วนพ่อหนุ่มดวงซวยนั่งเงียบไม่กล้าขยับตัวเพราะเขินหรือจุกจากแรงกระแทกจากชะนีถึกก็ไม่แน่

ทีแรกเรากะว่าช่วงเช้าจะไปศาลเจ้าเมจิด้วย แต่มาถึงสถานีโอเทมาจิก็เกือบบ่ายโมงแล้ว เลยพาลูกทัวร์แวะกินข้าวกันที่ร้านอาหารภายในสถานีรถไฟ หลังจากเดินดูกันมาหลายร้านก็เจอร้านที่มีแบบจำลองอาหารพร้อมทั้งราคาตั้งอยู่หน้าร้าน พนักงานออกมาต้อนรับอย่างดีคงไม่คิดเลยว่าครานี้เป็นการต้อนรับความยุ่งยากเข้าร้านซะแล้ว ทีแรกพวกเราก็เตรียมไปนั่งโต๊ะยาวที่นำมาต่อกันให้นั่งได้ทั้ง 7 คน แต่พอได้กลิ่นบุหรี่ หมอปุ้มก็ขอไปนั่งด้านในที่ไม่มีคนนั่งแทน จากนั้นเริ่มด้วยเราที่ลากแขนพนักงานออกมาชี้สั่งอาหารหน้าร้านเป็นชุดปลาดิบ 1 ชุด ส่วนทางคุณป้าเรียกหาเมนู ที่เป็นภาษาญี่ปุ่นล้วน (ราคายังเขียนเป็นตัวอักษร) และไม่มีรูปประกอบ ร้อนถึงพ่อครัวที่อยู่ใกล้ๆ ต้องเอาอาหารมาตั้งให้ดูว่าจะเอาอะไร ตามธรรมเนียมญี่ปุ่นแล้ว 1 คน จะสั่งอาหาร 1 อย่างและไม่แย่งกันกิน แต่พวกเราถือธรรมเนียมไทย 7 คน สั่ง 4 อย่าง มีเรากับหมอปุ้มกินด้วยกัน กลุ่มพี่ตู่กินกัน 1 อย่าง และเจ๊จูกับเจ๊ขวัญสั่งคนละชุด โดยใช้วิธีเปิดหนังสือคู่มือพกพาเรียกเอาของเพิ่ม เช่น ซูปูน (ช้อน) water? เกือบเก็ทแล้ว เลยบอกเพิ่มว่า มิซุ (น้ำเปล่า) ซัง (3) แก้ว พร้อมชู 3 นิ้ว หลังจากนั้นก็เป็นการพูดไทยปนญี่ปุ่น อย่างชุดปลาซาบะย่างของพี่ตู่มีไข่ 1 ลูกวางบนจานอาหารมาให้ด้วย ก็เลยถามว่า นามะ? (ดิบ) ใช่มั๊ย พนักงานรีบพยักหน้าแล้วทำท่าตอกไข่เทใส่ข้าว พี่ตู่ทำท่าสยอง เราเลยถามว่า เอาไปนิเตะ (ต้ม) ได้มั๊ย? เขาทำท่าอ่อนใจรีบริบไข่ไปแล้วเปลี่ยนเป็นสาหร่ายแผ่นมาให้แทน พอเสริฟเสร็จทุกจาน พนักงานก็รีบหายตัวไปกันหมด ปล่อยให้แก๊งค์ชาวไทยคุยกันเอะอะ แถมยังยกจานอาหารมาแลกกันชิมอย่างสนุกสนาน ถึงตอนคิดเงิน พนักงานคนเดิมที่พอจะพูดภาษาอังกฤษกับพวกเราแบบเป็นคำๆ ก็มาแจงรายละเอียดให้แยกกันจ่าย เจ๊ขวัญก็เพิ่งจะถึงบางอ้อว่าสั่งอาหารอย่างเดียวกับเจ๊จูหรอกเรอะ ทั้งที่นั่งกินตรงข้ามกัน และปลาอะไรก็ไม่รู้เนี่ย เค้าเรียกว่าปลาซันมะย่างค่ะเจ๊

พวกเราเดินออกมาส่งเจ๊จูที่จะแยกกลับโรงแรมตรงทางออก หลังจากใช้การถามทางเจ้าหน้าที่มาอีกรอบ เจ๊ขวัญบอกว่าเจ๊จูบั๊ดดี้แกเป็นโรคปวดหัวเข่า ต้องพกยามาฉีดเข้าหัวเข่าถ้าเดินมากๆ ส่วนเจ๊ขวัญ กับป้าจู ส.ว.ที่เหลือแข็งแรงผิดอายุมาก เดินกันตัวปลิวจนคิดว่าถ้าแม่เราได้อย่างนี้ซักครึ่งก็คงจะดี ช่วงบ่ายพวกเราขึ้น JR สายยามาโนเตะ (JR Yamanote line) ไปลงที่สถานีฮาราจุกุ เพื่อจะไปศาลเจ้าเมจิ

รถไฟสายยามาโนเตะนี้เป็นสายวงกลมวิ่งจากสถานีอิเคบุคุโระ ผ่านสถานีชินจุกุ ฮาราจุกุ ชิบุย่า อะคิฮาบาร่า สุดท้ายก็จะวนมาที่อิเคบุคุโระเหมือนเดิม เมื่อถึงสถานีฮาราจุกุ พวกเราก็ถามทางไปศาลเจ้าเมจิกันอีกครั้งโดยเดินไปไม่ไกลจากสถานีเท่าไรนัก


มาถึงศาลเจ้าเมจิ พี่ตู่ก็มองหาถนนแป๊ะก๊วย ที่มีต้นแป๊ะก๊วยใบเปลี่ยนเป็นสีทองไปทั้งต้น ทอดกิ่งยาวออกมาปกคลุม 2 ข้างถนน แต่เมียงๆ มองๆ ก็ไม่เห็นมีตรงไหนที่เหมือนในโปสการ์ดเลย พวกเราก็เลยเดินเข้าไปเที่ยวชมในศาลเจ้าก่อน อากาศหลังฝนตก แถมยังต้นไม้ใหญ่อายุนับร้อยปีตลอดแนวถนน ทำให้รู้สึกร่มรื่น สบาย ไม่เหนื่อยถึงแม้ว่าจากประตูทางเข้าจนไปถึงตัวศาลเจ้าน่าจะเป็นระยะทางเกิน 1 กม. พวกเราเจอเด็กๆ ในชุดประจำชาติมาในเทศกาลชิชิโกะซัง (Shishi Go San) เดินผ่านออกมากับพ่อแม่ ก็แวะไปขอถ่ายรูปด้วยเป็นพักๆ เพราะวันนี้เป็นวันเสาร์ที่เด็กหญิงชายอายุ 3 – 5 – 7 ขวบ จะมาไหว้พระขอพรให้มีสุขภาพแข็งแรงกันที่ศาลเจ้า ซึ่งพ่อแม่ (บางบ้านก็มีปู่ย่าตายายมาด้วย) ก็เต็มใจที่จะให้ถ่ายรูปกับเด็กๆ แถมยังเก็บภาพไว้เองด้วยอีกต่างหาก ขำมากที่พอพวกเราถ่ายรูปด้วยเสร็จ หนุ่มฝรั่งกลุ่มใหญ่ก็จะขอถ่ายรูปมั่ง แต่คราวนี้เด็กร้องไห้จ้าไม่ยอมถ่ายด้วย เพราะแต่ละคนตัวโตแถมยังใส่เสื้อเห็นกล้ามเป็นมัดๆ อีก

ระหว่างทางมีถังเหล้าตั้งอยู่เรียงราย เป็นหลักฐานที่แสดงถึงการรับอารยธรรมการดื่มไวน์จากตะวันตก พวกเราไปเจอหนุ่มญี่ปุ่นมาคนเดียวและหลงผิดมาไหว้วานให้เราช่วยถ่ายรูปให้ หมอปุ้มก็เลยขอให้เขาถ่ายรูปคู่กับเราบ้าง (หวังจะเอาไปเม้าท์ที่เมืองไทย) แต่ขอโทษ พอตั้งท่าให้ถ่ายจริง หมอปุ้มก็มีอันมือไม้สั่นกดชัตเตอร์ไม่ถูก ไปกดเอาปุ่มปิดกล้อง ครั้งที่ 2 ก็ไม่ปรับแสง จนพ่อหนุ่มที่อยากจะไปที่อื่นเต็มแก่แล้ว มาช่วยปรับกล้องให้ ถ่ายเสร็จก็รีบเดินหนีไป ไม่รอให้เราขอให้ถ่ายคู่กะหมอปุ้มมั่ง จากนั้นเมื่อเข้าไปถึงตัวศาลเจ้าก็มีพิธีแต่งงานที่บ่าวสาวมาถ่ายรูปหมู่ ก่อนจะมีขบวนบ่าวสาวเดินไปทำพิธีแบบชินโต โดยมีนักท่องเที่ยวมาช่วยเป็นตากล้องและสักขีพยาน เสียดายที่หนุ่มๆ ในชุดยิงธนูที่มากับขบวนเจ้าสาว หายเข้าไปในศาลเจ้าซะก่อน ไม่อย่างนั้นเราคงต้องไปขอถ่ายรูปเป็นกาในฝูงหงส์ เอ๊ย เป็นดาวล้อมเดือน อีกหลายๆ ช็อต

ขากลับจากศาลเจ้า เรากับหมอปุ้มยังยืนยันจะไปเดินฮาราจุกุต่อ เจ๊ขวัญเลยเลือกตามพี่ตู่ไปสถานีอุเอโนะ (Ueno) เพื่อไปซื้อของกันที่ถนนอาเมะโยโกะ (Ameyoko) ที่มีข้าวของมากมายให้ซื้อหาไม่ว่าจะเป็นของสด ของแห้ง เสื้อผ้า ขนมและของฝาก ส่วนเราไปเดินหาต้นแป๊ะก๊วยถ่ายรูปจนพอใจ แล้วไปเดินในถิ่นที่วัยรุ่น (อย่างหมอปุ้ม) ตั้งตารอว่าจะมาให้ถึง


ยังเดินไม่ถึงดี ขนมเค้กที่โชว์ในกระจกหน้าร้านก็ยั่วยวนให้เดินดิ่งเข้าไปหา เราจิ้มๆ ชี้อันที่อยากกินกันให้พนักงานหยิบให้ แต่พอจะไปนั่งกินที่โต๊ะก็พบว่ามีคิวอีกแถวที่ต้องยืนรอให้โต๊ะว่างแล้วถึงค่อยสั่งของที่โต๊ะอีก แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา พวกเราเลือกที่นั่งริมฟุตบาทแถวหน้าร้านนั่นแหละ นั่งกินเค้กกันอย่างอร่อย เดินไปเดินมาก็ยังไม่เห็นวัยรุ่นแต่งตัวคอสเพลย์ หรือ Costume play ซักที มีแต่แบบสวยงาม จะมีก็แต่สองสาวใหญ่นี่แหละที่ออกแนวหลุดโลกแปลกจากชาวบ้านเขา ในที่สุดก็เจอร้านเครปที่พี่ตู่บอกว่าอร่อยมาก มาแล้วต้องลองกินให้ได้ เราสั่งมากินคนละอันแล้วก็ไม่ผิดหวังกับรสชาติหอมหวานของครีมและผลไม้ ยังมีไอติมและโยเกิร์ตให้เลือกใส่เพิ่มอีกด้วย หลังจากนั้นเราก็ไปแวะซื้อเครื่องสำอางฝากผู้มีอุปการะคุณพักใหญ่ทีเดียว จนเริ่มหิวข้าวเย็น หมอปุ้มเสนอให้ไปที่สถานีชินจุกุอีกครั้งเพราะร้านค้าเยอะดี เราก็ไม่ขัดข้อง เผื่อว่าจะไปชวนหนุ่มโฮสต์ดื่มกินกันซักดริ๊งค์ แต่ปรากฎว่ากว่าจะออกจากสถานีแล้วไปเดินกันในห้างโอดะคิว (Odakyu) จนท้องร้องแถมยังปวดเท้า เราเกือบต้องใช้มุขก๊อซซิล่าประจำตัวจุ๋ย บอกว่า “จะกินข้าว...เดี๋ยวนี้” ซะแล้วถ้าไม่เจอร้านเค้กที่น่ากินอีกร้านซะก่อน ถึงจะซื้อมาอีกแต่ก็ไม่ให้หมอปุ้มกินทันทีเพราะกลัวจะอดข้าวเย็นจนได้ จากนั้นพวกเราถึงได้ไปเดินหาร้านที่มีข้าวหน้าเนื้อที่หมอปุ้มอยากกิน ผ่านไปหลายร้านจนไปเจอร้านนึงมีรูปโชว์เป็นเนื้อย่างเกาหลีราคาไม่แพง แถมยังไม่ต้องรอคิว พวกเราเข้าไปในร้านแบบต้องถอดรองเท้าไว้ในล๊อกเกอร์ จากนั้นใช้เมนูที่เป็นรูปชี้เอา ปรากฏว่าเป็นราคา 3,000 เยนต่อคน เราเลยสั่งที่เดียวสำหรับหมอปุ้ม ส่วนตัวเองเลือกข้าวยำเนื้อ รอจนข้าวยำของเรามาและคลุกในครกร้อนจนเนื้อสุกหมดแล้ว เนื้อกระทะของหมอปุ้มก็ยังไม่มา แถมในบิลยังมีแต่ข้าวยำของเรารายการเดียว เรียกเด็กมาถามอีกทีเลยได้ความว่าเมนูนี้ต้องสั่งอย่างน้อย 2 ที่ พอเราบอกที่เดียวเขาก็เลยไม่เข้าใจและไม่ยกมาให้ คราวนี้เลยต้องเปลี่ยนเมนูไปเป็นสุกี้เนื้อท่าทางน่ากินแบบโต๊ะข้างๆ ทำให้มื้อนี้เป็นอีกมื้อที่ได้กินของอร่อยอีกแล้วค่า

เสร็จจากการกินข้าวเย็นก็ 3 ทุ่มกว่าแล้ว พอยัดเท้าเข้าไปในรองเท้าอีกครั้งก็พบว่าเท้าบวมขึ้นแถมยังเจ็บอีกต่างหาก เลยหมดอารมณ์ไปเดินในชินจูกุต่อ กลับเข้าไปในสถานีรถไฟที่ทีแรกจะไปด้วย Metro กันแต่เดินไปเดินมาชักงง เลยใช้บริการ JR ที่มีป้ายบอกชัดเจนกว่า มาถึงโรงแรมเอาตอน 4 ทุ่ม

15 พ.ย. 52

วันนี้เป็นวันกลับซะแล้ว เจอกับพวกพี่ตู่ตอนกินข้าวเช้าเลยสอบถามกันอย่างสนุก พี่ตู่บอกว่าโชคไม่ดีขากลับจากอาเมะโยโกะขึ้นรถไฟใต้ดิน เกิดขัดข้องอะไรก็ไม่รู้ทำให้รถหยุดวิ่งอยู่เป็นนาน มีประกาศแจ้งเป็นภาษาญี่ปุ่นก็ฟังไม่รู้เรื่อง ดีที่มีคนญี่ปุ่นใจดีพานั่งรถเมล์มาส่งที่โรงแรม แกก็เป็นห่วงพวกเราอยู่เหมือนกันว่าจะติดอยู่ในรถไฟหรือเปล่า แต่เราก็บอกว่ากลับรถไฟ JR แถมยังกลับตอนเกือบ 4 ทุ่ม ส่วนพวกพี่ตู่มาถึงโรงแรม 2 ทุ่มกว่า กลุ่มอื่นๆ ก็เจอรถไฟขัดข้องเหมือนกัน มีทั้งพวกที่ไปศาลเจ้าเมจิตอนเช้า พวกที่ไปตลาดปลาซึคิจิ ซึ่งต้องไปแต่เช้าเพื่อดูเขาประมูลปลา (แต่ถ้าแค่ไปกินปลาสดจะไปสายก็ได้) และพวกที่ไปโอไดบะ (Odaiba) เพื่อดูไฟหลากสีจากสะพานสายรุ้งยามค่ำคืน ต่อด้วย Mega web สวนสนุกหุ่นยนต์ของ บ. โตโยต้า ที่สร้างบนเกาะถมใหม่กลางอ่าวโตเกียว มีกระเช้าหมุนขนาดยักษ์ เครื่องเล่นต่างๆ รวมทั้งรถไฟฟ้าต้นแบบของโตโยต้าที่ให้ทดลองขับได้ด้วย ไกด์รอจนพวกเราเลิกเม้าท์กระจายเรื่องไปไหนกันมาบ้าง ก็แจ้งว่าวันนี้จะพาพวกเราไปวัดอาซากุสะ หรือวัดเซ็นโซจิ เพื่อนมัสการเจ้าแม่กวนอิมทองคำศักดิ์สิทธิ ที่มีขนาดเล็กเพียง 5.5 ซม. แต่เนื่องจากตัววัดกำลังซ่อมแซมจึงไม่ได้เห็นตัวอาคาร และรถจะจอดทางประตูด้านข้าง เราเลยไม่ได้เข้าทางประตูนอกด้านหน้าหรือประตูสายฟ้า (Kaminarimon gate) ไกด์แนะนำวิธีการว่าให้เริ่มจากซื้อธูปมาจุดไหว้ที่ด้านนอกอาราม จากนั้นปักธูปในกระถางธูปแล้วเอามือโบกให้ควันเข้ามาที่ศีรษะ เข้ากระเป๋า เพื่อให้เจริญรุ่งเรือง เวลาไหว้ขอพรให้โยนเหรียญเข้าไปในช่องที่เป็นซี่ๆ ของตู้บริจาค จากนั้นตบมือ 2 แปะแล้วอธิษฐาน ก็เป็นอันเสร็จพิธี แล้วเซียมซีที่นี่ก็แม่นมากให้เขย่ากล่องเซียมซีที่เป็นกระบอก 6 เหลี่ยม จนแท่งไม้ที่มีหมายเลขหลุดออกมา ไปเอาคำทำนายที่มีหลายภาษามาอ่าน ถ้าได้แผ่นไม่ดีก็ให้เอาไปผูกไว้ตรงเส้นลวดที่จัดไว้ให้เพื่อให้พระที่มาสวดมนตร์ทุกวันช่วยปัดเป่าโชคร้ายให้ เราเขย่าได้โชคปานกลาง (แต่ยังไงก็เป็นหนูโชคดีอยู่แล้ว) ส่วนหมอปุ้มได้โชคไม่ดี (สงสัยจะขอแฟน) เลยรีบเอาไปผูกไว้ เราทำบุญให้วัดโดยซื้อเครื่องรางมา 2 อัน จากนั้นก็ไปอธิษฐานกับรูปปั้นเณรแถวด้านข้างให้สุขภาพดีกันต่อ โดยให้อธิษฐานก่อนแล้วก็ลูบที่รูปปั้นตั้งแต่หัวถึงเท้า 3 รอบ พวกเราถ่ายรูปกับโคมกระดาษยักษ์สีแดงที่แขวนอยู่กับประตูในหรือ Hozomon gate แป๊บเดียวก็ถึงคราวช้อปปิ้งตามถนนนาคามิเซะที่เรียงรายไปด้วยร้านขนมและของฝากที่คนแน่นกว่าในวัดซะอีก ไกด์แนะนำคร่าวๆ ว่าราคาของในร้านที่อยู่ตรงกลางๆ จะถูกกว่าด้านปลายถนน ให้เราดูราคาก่อนแล้วค่อยซื้อ ทำให้เราใช้เวลามากไปพอดูกว่าจะได้เจ้าแมวกวักและของฝากอื่นๆ จนกลับถึงรถเลยเวลานัดไว้โขอยู่


จากนั้นรถก็พาเราไปวนในพระราชวังอิมพีเรียลทางด้านประตูใหญ่ โดยที่ไกด์บอกว่าที่จริงวันอาทิตย์เขาจะกั้นไม่ให้รถเข้า แต่เรามั่วนิ่มวิ่งเข้ามาให้ยลโฉมพระราชวังกันแบบชัดๆ ประหยัดเวลา ผลก็คือคนขับโดนยามเฝ้าประตูด่าไป 1 ยก โชคดีที่ไม่โดนปรับ และทำให้เราได้เห็นพระราชวังอีกด้านที่ไม่ได้มา จากนั้นรถก็แล่นผ่านกินซ่า หอคอยโตเกียว ข้ามสะพานสายรุ้ง ผ่านดิสนีย์แลนด์ พาเราไปยังอิออนพลาซ่า ให้กินข้าวเที่ยงและช้อปก่อนถึงสนามบินนาริตะ

เราเริ่มต้นที่ซุปเปอร์มาเก็ตของห้างจัสโก้ที่อยู่ติดกันก่อนโดยได้ช็อคโกแล็ตแท่งมาคนละกล่อง เรายังได้ผลไม้สดทั้งแอปเปิ้ล ลูกพลับ รวมทั้งเต้าหู้ญี่ปุ่นมาแบกให้หนักเป้ จากนั้นก็ไปร้าน 100 เยน ที่เลือกตั้งนาน ในที่สุดก็ได้ตะเกียบมาเป็นของฝากเหมือนกับหมอปุ้ม จากนั้นก็แยกย้ายกันโดยฝากให้หมอปุ้มซื้อเครปที่ประตูทางเข้าด้านหน้า ส่วนเราไปร้านหนังสือเพื่อเป็นเจ้าของการ์ตูนโคนันฉบับ original ตามประสาแฟนพันธุ์แท้ ลงมารอหมอปุ้มตรงที่นัดไว้อยู่เป็นนานจนเริ่มหิว เลยเข้าไปนั่งในร้านเครปแล้วสั่งไอติมมากิน ในที่สุดหมอปุ้มก็หน้าตาตื่นเข้ามาแล้วบอกว่าหลงทาง (ทั้งที่ร้านอยู่ตรงบันไดเลื่อนลงจากตรงที่แยกกัน) เราเลยได้กินทั้งเครปและไอติม หมดปัญหาเรื่องไม่ได้กินข้าวเที่ยงไป

ถึงสนามบินนาริตะ พวกเราก็แยกย้ายกันไปแพคของฝากที่ซื้อมาใส่กระเป๋าให้เรียบร้อย จากนั้นก็เช็คอินเข้าเกท เดินไปเดินมาก็ได้ขนมดังที่ซื้อมาผิดทีแรก คือ โตเกียวบานาน่าจนได้ แต่เศษเงินที่มีก็เกือบหมดจนต้องหาร 2 กับหมอปุ้มซื้อมา ขึ้นเครื่องได้ก็จัดการกับอาหารเย็นของการบินไทยซะเรียบ ตบด้วยไวน์แดง แล้วก็นอนเอาแรง ถึงสุวรรณภูมิ 22.15 น. แต่เจ๊จูยังติดอยู่ที่ ตม. เนื่องจากทาง ตม. ญี่ปุ่นไม่ได้ประทับตราขาออกมาให้แก เลยต้องสัมภาษณ์นานหน่อย กว่าพวกเราจะรับกระเป๋าและออกจากสนามบินได้ก็เกือบ 5 ทุ่ม หันไปมองป้ายแสดงสายการบินที่จะไปญี่ปุ่นเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมกับตั้งใจไว้ว่า แล้วจะไปใหม่แน่นอน