Sunday, July 23, 2023

Ni Hao! ฉงชิ่ง

ทริปฉงชิ่ง 7 - 10 ก.ค. 66

Member : พจ จุ๋ย แมว

หลังจากที่ไม่จุใจเอาซะเลยกับทริปญี่ปุ่น เลยเปิดทริปใหม่ภายใน 2 เดือน ลั้นลาร่าเริงเพราะมีรองเท้าใหม่และกระเป๋าเดินทางใหม่แระ😄 โอ๊ว...โดนกระเป๋าตังตบหน้าหันกลับมาว่าคราวหน้าถามกรูบ้างว่าพร้อมไหม?

ทริปนี้เคยล่มไปเมื่อปี 2020 หลังโควิดระบาดหนักทั่วโลกประมาณ 1 เดือน ดังนั้นข้อมูลเก่าเลยยังพอมี แต่ตั๋วเครื่องบินเก่า...ใช้ไม่ได้แล้ว 😭

ก่อนเดินทางต้องกรอกข้อมูล online และเตรียมเอกสารให้พร้อมยื่นที่สถานทูตจีน เท่านี้ก็ได้วีซ่าแล้ว แต่ยังไปไม่ได้ อีกขั้นตอนจำเป็นคือ ก่อนบินต้องทำ health quarantine ให้ได้ QR code ไปแสดงที่ ตม.จีนอีกที ขั้นตอนเยอะจนมองหาตั๋วไต้หวัน...555

7 ก.ค. 66

พวกเราบินด้วย Air asia  โดยเริ่มจากไปเช็คอินตั้งแต่ตี 3 รอเวลาบิน 6 โมงเช้า หน้าแตกนิดหน่อยเมื่อพนักงานบอกตั๋วของคุณลุงคุณป้าเป็นแบบ Premium Flex ใช้เคาน์เตอร์พรมแดงได้เลยค่ะ ไม่ต้องเข้าคิว 😲 ได้งีบบนเครื่องนิดหน่อยก็มากองกันอยู่ตรง ตม. นานเหมือนกันทั้งที่คนเข้าเมืองไม่ได้เยอะมาก ไกด์จุ๋ยใช้ภาษาจีนที่ร่ำเรียนมาเกือบ 10 ปี ส่งภาษากับ ตม. ต่างกับเพื่อนสาวอีก 2 คนที่จ้องเขม็งจน ตม.เหงื่อแตก ประมาณว่า "ถามมาๆ ภาษาอังกฤษ only"

ฉงชิ่งเป็นมหานคร 1 ใน 4 แห่งของจีน ดังนั้นไม่ต้องกลัวความเจริญจะมาไม่ถึง (ไม่นับส้วมที่ส่วนใหญ่ยังเป็นยองๆ สกปรกและมีกลิ่นอยู่) เรานั่งรถไฟฟ้าจากสนามบินเข้าเมือง โดยซื้อตั๋วรถไฟที่เคาน์เตอร์หน้าทางเข้าสถานี สะดวกกว่าไปงมที่ตู้อัตโนมัติและไม่ต้องรอคิวด้วย แค่บอกพนักงานว่าไปลงสถานีไหนและกี่คน ถ้าจะให้ยิ่งสะดวก แนะนำ application MetroMan China โหลดจากเมืองไทยไปได้เลย ในแอปจะให้กรอกสถานีที่เราอยู่และกำลังจะไป จากนั้นก็จะบอกเส้นทางพร้อมค่ารถที่ต้องจ่าย มีเวลารถออกและสถานีปลายทางของแต่ละสายไม่ให้เดินหลงอีกด้วย


สำหรับใครที่ชินกับ BTS หรือรถไฟฟ้าของประเทศอื่นๆ ไม่ต้องกังวลเพราะใช้ระบบเดียวกันเลยจ้า ขึ้นรถไฟที่ไปยังสถานีปลายทางให้ถูกด้าน จากนั้นภายในรถไฟจะมีเสียงแจ้ง [next station หลัก 5] ดังขึ้นมา แล้วก็มีไฟกระพริบแสดงสถานีให้ทุกสายเหมือนๆ กัน

ฉงชิ่งเป็นนครแห่งหมาล่าที่แท้ทรู ทุกอย่างตั้งแต่ก๋วยเตี๋ยวยันไอติมก็มีรสหมาล่า รวมไปถึงก๋วยเตี๋ยวเนื้อชามแรก อาหารเที่ยงมื้อแรกที่เรากินเมื่อไปถึง...แต่ก็อร่อยล่ะ


ก๋วยเตี๋ยวชามเดียว กับถนนใกล้โรงแรมที่ทั้งแถบมีร้านขายอาหารติดๆๆๆ กัน พวกเราเลยไปแวะร้านขนมหวานต่อ แวบแรกนึกว่าน้ำแข็งไส แต่ที่จริงมันคือวุ้นชนิดหนึ่งคล้ายๆ ว่านหางจระเข้ ทำจากต้นปิงเฟิ่น bing fen หรือบัวมุก เติมน้ำเชื่อมและผลไม้แห้งๆ ได้หลากหลาย มีน้ำแข็งโรยมานิดเดียว อร่อยดี แต่เลือกท้อปปิ้งยากนิดหน่อยเพราะคุยกันไม่รู้เรื่อง


การจ่ายเงินด้วย Alipay เป็นอะไรที่คล้าย true money wallet หรือ app เติมเงินอื่นๆ ร้านค้าและแผงลอยส่วนใหญ่ก็รับ ตอนนี้ Alipay ไม่ต้องผูกบัญชีกับธนาคารจีนแล้วทำให้ชาวต่างชาติใช้ได้สะดวกขึ้นมากโดยผูกบัญชีกับบัตรเครติดหรือเดบิตของตัวเองได้เลย

เดินออกไปอีกไม่กี่ก้าวพวกเราก็ใช้ Alipay แตะรัวๆ กับร้านถั่วเคลือบ (หมาล่า) เต้าหู้ดำฉางซาทอด มันฝรั่งผัด ลูกท้อเชื่อมสีแดงน่ากิน มาจบด้วยกาแฟที่ร้านสตาร์บัคส์ แบบไม่มีใครคิดจะห้ามใคร พอหนังท้องตึงก็แวะไปเอากระเป๋าเข้าห้องพักที่น่านอนสุดๆ แต่สุดท้ายต้องตัดใจออกมาเดินสำรวจพื้นที่ ได้รูปจากวิวสวยๆ มากมายและปิดท้ายวันใกล้ที่พักของเรากันด้วยหม้อไฟหรือคนจีนเรียกหั่วกัว แบบ 9 ช่อง เป็นน้ำซุปหมาล่าเดือดปุดๆ พร้อมพริกลอยฟ่องเต็มหม้อ


ดูเหมือนคนที่มีปัญหากับความเผ็ดจะมีพจนารถคนเดียว เพื่อนอีก 2 คนโกยเนื้อลงหม้อและคีบกินอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนพจแลบลิ้นออกมารับลมไล่เผ็ดไป มองโน่นมองนี่ไป ถึงได้เห็นว่าโต๊ะอื่นเขาไปเอาถ้วยเล็กๆ ที่โต๊ะอีกด้านหนึ่งใส่น้ำมันงา กระเทียม ผักชีแล้วปรุงรสกับน้ำส้ม น้ำตาล ซีอิ๊วกันตามสะดวก พอทำดูบ้างแล้วเอามาจิ้มเนื้อที่ลวกในหม้อ ปรากฎว่าลดเผ็ดลงได้ตั้งเยอะแน่ะ ได้แต่เจ็บใจที่กินน้ำจนเต็มท้องกินต่ออีกแทบไม่ไหวแล้ว

พจนารถจบวันด้วยยาลดกรดและเคลือบแผลในกระเพาะอาหาร

8 ก.ค. 66

วันนี้พวกเราซื้อ private ทัวร์ ไปเมืองอู่หลง เที่ยวมรดกโลกระดับ 5A อุทยานหลุมฟ้าสะพานสวรรค์ (Three natural bridges) กิดจากการยุบตัวของเปลือกโลก ทำให้เกิดเป็นบ่อหลุมขนาดใหญ่ที่ลึกประมาณ 300-500 เมตร และมีบางส่วนเป็นโพรงทะลุเหมือนกับสะพานทอดข้ามระหว่างภูเขา หลังกินอาหารเช้าสุดอลังการของโรงแรมยังไม่จุใจดี ก็ต้องรีบเตรียมตัวไปกับรถมิตซูบิชิ SUV รุ่นเล็กที่ไม่มีขายในบ้านเรา มีคนขับชาวจีนมารับพวกเราชื่อคุณ legend พูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก สำเนียงชัดเป๊ะ จนแอบเปรียบเทียบกับนักเรียนนอกบางคน

รถขึ้นทางด่วนและวิ่งลอดอุโมงค์หลายแห่งใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง เราก็ไปถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว Wulong Karst หรืออาคารทรงปิรามิด เป็นจุดจำหน่ายบัตรเข้าชมอุทยานโดย private ทัวร์ไม่ได้รวมตั๋วด้วย ดังนั้นเราจึงต้องเข้าไปจ่ายตั๋วเข้าคนละ 125 หยวน คุณ legend ให้เราเลือกว่าจะนั่ง shuttle bus ไปที่อุทยานเอง (จุดขึ้นรถอยู่ที่อาคารนี้) หรือจะให้แกไปส่งที่ทางเข้าเลย แต่เห็นทัวร์มากันเป็นกลุ่มกับคนที่เริ่มเยอะขึ้น พวกเราก็ไม่ลังเลที่จะให้ไปส่งที่ทางเข้า

Credit: WestChinaGo

ไปถึงทางเข้าอุทยานจริงพวกเราก็พบประชากรจีนหนาแน่นมากๆๆๆ คุณไกด์บอกว่าแถวรอขึ้นลิฟท์แก้วยาวขนาดนี้ พวกเราน่าจะต้องรอถึง 1 ชั่วโมง สู้เดินลงบันไดไปเองที่ทางเข้าอีกด้านนึงเถอะเพราะยังไงออกจากลิฟท์แล้วก็ยังต้องเดินลงเขาอยู่ดี ดังนั้นพวกเราเลยไม่ได้มีรูปถ่ายกับจุดเช็คพอยท์ที่อยู่ตรงทางเข้าด้านนี้ อันได้แก่หุ่น Bumblebee ใน Transformer 4 : Age of extinction และถ่ายรูปกับระเบียงแก้วทำจากกระจกใส ยื่นออกไปจากพื้น มองเห็นทางเดินด้านล่างอยู่ลิบๆ ให้จุ๋ยได้เสียวปากสั่น 

ภาพนี้คือฉากในหนังทรานส์ฟอร์เมอร์ส

ไม่มีใครทักท้วงที่พจนารถเรียกไกด์และพขร.ของเราว่าลุง ฟังจากคำแนะนำอย่างละเอียด และความห่วงใยประดุจพวกเราเป็นลูกหลาน คำพูดย้ำแล้วย้ำอีกว่าเวลาเดินลงบันไดให้ระมัดระวัง ฝนตกทางลื่น อย่ามัวแต่เล่นมือถือ ค่อยๆ เดินไม่ต้องรีบร้อน แกคอยรอรับอยู่ที่ทางออกแน่นอน

ผ่านทางเข้ามาได้แล้ว มีฝนตกปรอยๆ ให้เลือกระหว่างกางร่มกับใส่เสื้อกันฝน นอกนั้นพบเจอแต่บันไดเดินลง ให้เดินไปเรื่อยๆ พอมีที่หยุดพักได้เป็นระยะ จนมาถึงทางราบเสียที

พวกเราเดินย้อนกลับไปจนเกือบถึงจุดลงลิฟท์แก้วเพื่อถ่ายรูปโรงเตี๊ยมเก่า (สร้างใหม่แล้ว) จากมุมสูง และสะพานหินสะพานแรกหรือ สะพานมังกรฟ้า ซึ่งมีลักษณะเป็นโพรงทะลุ สูง 235 เมตร โรงเตี๊ยมนี้เองที่เป็นสถานที่ถ่ายทำหนังเรื่อง ศึกชิงบัลลังก์วังทอง จากประวัติเป็นโรงเตี๊ยมเก่าแก่สมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618 - 907) ใช้เป็นจุดแวะพักของนักเดินทางที่ใช้ทางลัดจากเสฉวนไปเหอหนาน

Tianlong bridge

แมวดูพยากรณ์อากาศมาอย่างดี เห็นว่าวันนี้ฝนจะตกหนัก เลยเลือกใส่รองเท้าแตะแทนที่จะใส่รองเท้าผ้าใบมาให้เปียกน้ำ แต่คนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิต พอลงมาถึงด้านล่าง ฝนก็หยุดตก ในขณะที่รองเท้าแมวขาดทั้ง 2 ข้าง! ได้แต่ใส่ถุงเท้าพจเดินไปพลางๆ และสาปแช่งจุ๋ยว่า สมาชิกรองเท้าขาดกันหมดแล้ว คราวหน้าต้องเป็นจุ๋ยรองเท้าขาดแน่ๆ 

อากาศหลังฝนตกสดชื่นและมีต้นไม้เขียวชอุ่มตลอดทาง พลอยให้พวกเรา (ไม่รู้รวมคนใส่ถุงเท้าเดินหรือเปล่า) เดินทอดน่องชมวิวไปถ่ายรูปไปกันอย่างอารมณ์ดี ฝ่านสะพานที่ 2 และ 3 คือสะพานมังกรเขียว ความสูง 281 เมตร มีลักษณะเป็นโพรงยาวรูปร่างคล้ายมีด มีลำธารเล็กไหลผ่าน และสะพานมังกรดำ สูง 223 เมตร เป็นส่วนที่แคบที่สุดจึงมีลักษณะมืดทึบ จนมาถึงน้ำตกที่มีน้ำไหลออกมาตามรอยเลื่อนของเปลือกโลก ก็เห็นแม่ลูกคู่หนึ่งกำลังถอดถุงคลุมรองเท้าออกจากรองเท้าผ้าใบ พจนารถก็ปรี่เข้าไปเจรจาว่าเพื่อนของไอรองเท้าขาดจะขอซื้อต่อถุงรองเท้านี่ได้ม๊าย

Qinglong bridge

Heilong bridge

ไม่แน่ใจว่าสองแม่ลูกตกใจคนอ้วน หรือตกใจภาษาประหลาด คนแม่ (น่าจะ 60 แล้ว) รีบโบกมือบอกไม่ให้ แต่ลูกสาว (20 กว่า) เห็นพจชี้ไปที่ถุงเท้าของแมวเลยพอเข้าใจว่าพวกเราจะขอถุงรองเท้า

เห็นพวกเขาสตั๊นกันไป พจก็เลยบอกว่าไม่เป็นไรแล้วก็เดินกันออกมาวางแผนปล้น เอ๊ย หาเหยื่อคนอื่น เอ๊ย ไม่ใช่ดิ...ฉันเป็นคนดีย์😤 จนสุดท้ายลูกสาวก็เรียกพวกเราไว้แล้วก็ส่งถุงรองเท้าให้ พอจะจ่ายเงินซื้อ เขาก็ไม่รับ ใจดีมากๆ

ผ่านสะพานสวรรค์ทั้ง 3 ไปหมดแล้วก็จะเป็นระเบียงทางเดินเลียบธารน้ำ มีน้ำตกเล็กๆ ให้ถ่ายรูป จากนั้นก็เป็นทางออก มีจุดให้รอคิวขึ้นรถกอล์ฟ ใช้เวลาเพียง 3 นาทีวิ่งขึ้นเขาไปตรงข้ามทางเข้าอุทยานที่เข้ามาทีแรก เห็นบางคนบากบั่นเดินขึ้นเขาไปเองตามบันไดที่สูงชันแล้วก็เจ็บหัวเข่าแทน พวกเราซึ่งเป็นว่าที่ สว. ยอมเสียเวลารอดีกว่า ลุงไกด์ก็เตือนแล้วว่าพวกคุณต้องนั่งรถขึ้นนะ อย่าเดินเอง

สุดท้ายลุงไกด์มายืนดักรออย่างที่บอกไว้จริงๆ จากนั้นก็พาแมวไปซื้อรองเท้าใส่แทนถุงรองเท้าแล้วค่อยกลับเข้าตัวเมืองฉงชิ่ง 

ใช้เวลาไปอีก 3 ชั่วโมงกว่าๆ พวกเราตกลงเลี้ยงข้าวเย็นไกด์ที่ห้างใหญ่ มีดาดฟ้าเปิดเป็นจุดชมวิวยามค่ำคืนของฉงชิ่ง อาหารเย็นนี้เป็นเมนูแปลกใหม่ ทั้งปลาต้มหมาล่า เนื้อกระต่ายผัดหมาล่า กบผัดพริกหมาล่า โชคดีที่มีซาลาเปาจี่หวานๆ มากินกับกับข้าวพวกนี้ เลยไม่ได้เผ็ดอะไรมากนัก พอคุ้นเคยก็คุยเล่นกับลุงไกด์นิดหน่อย ถามจนได้ความว่าอายุแก 49 😨 พอๆ กับพวกตูนี่หว่า!


หลังจากถ่ายรูปแสงไฟของบรรดาตึกระฟ้าในเมืองฉงชิ่งจนพอใจแล้ว พวกเราก็อำลาลุงไกด์ (อดเรียกไม่ได้) ที่ฝ่ารถติดมาส่งถึงโรงแรมอย่างสวัสดิภาพ


9 ก.ค. 66

วันนี้ตื่นสายหน่อย ใช้เวลาดื่มด่ำกับบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าแบบจุกๆ จากนั้นค่อยเดินทางไปที่ตลาดโบราณฉือชี่โข่ว จากทางเข้าเดินไปเรื่อยๆ กินไอติมเหล้าเหมาไถและกินขนมร้านโน้นร้านนี้ ดูร้านขายอาหารและของที่ระลึก มีทั้งร้านที่ทำอาหารโชว์ เช่น การกวนน้ำพริกหมาล่าในกระทะน้ำมันเดือดใบใหญ่ๆ การทำเส้นก๋วยเตี๋ยวมันสำปะหลัง การตอกแป้งกวนคล้ายโมจิ ถั่วเคลือบแบบต่างๆ แล้วก็ชิมขนมจาก 2 ข้างทาง ซื้อของฝากได้นิดหน่อย จากนั้นพากันกลับมาซื้อของฝากต่อที่ร้านแถวโรงแรมเพราะขี้เกียจหิ้ว




ยามเย็นพวกเราพากันเดินลัดเลาะไปเรื่อยๆ จนถึงหงหยาต้ง อาคารคอมเพล็กซ์ที่สร้างในรูปแบบสถาปัตยกรรมจีนโบราณ ประกอบด้วย อาคารแบบจีนโบราณ ถ้ำ ภูเขา น้ำตก ศาลา ทางเดิน สะพาน จุดชมวิว ทีแรกกะว่าจะอยู่จนมืดเพื่อถ่ายรูปแสงไฟจากตัวอาคาร แต่หาสะพานข้ามแม่น้ำเจียหลิงที่จะไปยังจุดถ่ายรูปตามที่ลุงไกด์บอกไม่เจอ ประจวบกับอากาศร้อนอบอ้าวมาก เลยได้แต่เดินดูร้านขายของข้างในอาคารหงหยาต้ง ซึ่งก็คล้ายๆ กับที่ฉือชี่โข่ว เดินได้ไม่นานพวกเราก็กลับไปหาร้านชาบูหมาล่ากินกัน

เขาถ่าย Credit: Lovepik.com

เราถ่าย

10 ก.ค. 66

วันสุดท้ายในมหานครฉงชิ่ง พวกเราไปสถานที่ถ่ายรูปสวยๆ เป็นคาเฟ่หนังสือชื่อ จงซูเก๋อ (Zhongshuge)  การเดินทางโดยขึ้นรถไฟฟ้าสายสีเขียว (line 2) ผ่านสถานี Liziba ซึ่งเป็นสถานีที่รถไฟวิ่งทะลุเข้าไปในอพาตเมนต์ 19 ชั้น ที่พักอาศัยของชาวบ้าน! สถานีนี้กินพื้นที่ชั้น 6 - 8 ของตึกและใช้เทคโนโลยีในการติดตั้งและออกแบบไม่ให้เสียงไปรบกวนผู้อาศัยในตึก 

พวกเรายังคงอยู่ในรถไฟไปจนถึงสถานี Yangjiaping เดินไปอีกเล็กน้อยก็จะพบห้าง Zodi plaza ขึ้นไปชั้นที่ 3 หรือ 4 ก็จะได้พบร้านหนังสือที่กินพื้นที่ถึง 2 ชั้น หาไม่ยากเพราะร้านค้าในห้างปิดร้างเกือบหมด ร้านหนังสือจงซูเก๋อ สาขาฉงชิ่ง ก่อตั้งโดย Jin Hao ผู้เป็นทั้งเจ้าของร้านหนังสือและเจ้าของสำนักพิมพ์ เขาเป็นอดีตอาจารย์ที่เลิกสอนหนังสือมากว่า 20 ปีแต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ทำให้ร้านหนังสือต้องปรับตัวเข้าสู่ยุคใหม่ มีการมอบหมายให้ Li Xiang แห่งสตูดิโอ XL Muse เป็นผู้ออกแบบร้านหนังสือจงซูเก๋อสาขาเด่น ๆ (ปัจจุบันมี 21 สาขา) ซึ่งสาขาฉงชิ่งที่พวกเราไปเยือนนั้นมีความโดดเด่นด้านการออกแบบบันไดให้ความรู้สึกถึงความน่าพิศวง เสมือนอยู่ในโลกของเวทย์มนตร์และยังมีภาพลวงตาของกระจกสะท้อนอีกด้วย


กลับจากถ่ายรูปยังพอมีเวลากินข้าวเที่ยงกันอย่างไม่รีบร้อน (ไม่ต้องกินหมาล่าแล้ว...เฮ้) ก่อนจะอำลาเมืองฉงชิ่ง หรือจะไม่ได้กลับ? เพราะเพื่อนๆ ออกจาก ตม. กันหมดแล้ว แต่พจนารถก็ยังติดแหง่กและทำหน้า "พูดภาษาอังกฤษกับตูสิ" อยู่ในช่อง ตม.ขาออก หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็เอาพาสปอร์ตไปที่คอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ อีกหลายเครื่อง เพื่อ? รออยู่เป็นนานถึงได้พาสปอร์ตคืน แล้วก็ไม่บอกว่าทำไม (เพราะไม่อยากพูดภาษาอังกฤษกะตู...แน่ๆ)

กลับถึงเมืองไทยเวลา 21.30 น.