Wednesday, October 11, 2017

Privet! Russia

บันทึกการท่องเที่ยว รัสเซีย 23 – 30 .. 60

23 ก.ย. 60

หลังจากจองตั๋วบินตรง กรุงเทพฯ – มอสโคว ของการบินไทย มาเกือบครบปี พร้อมกับเลื่อนเดินทางมา 1 รอบ พวกเราก็ได้ฤกษ์ไปรัสเซียกันเสียที

คราวนี้พวกเราเหมารถตู้รับส่งสุวรรณภูมิทั้งขาไปและกลับ เพราะออกจากนครปฐมกันทั้ง 3 คนและกระเป๋าใหญ่อีก 3 ใบ ออกเดินทางกันตั้งแต่ตี 4 มีง่วงนอนนิดหน่อย ไปถึงสุวรรณภูมิยังได้กินบ๊ะจ่างที่พกไปด้วยก่อนโหลดกระเป๋า ซึ่งก็ยังมีที่ว่างในกระเพาะให้ไปกินต่อในเล้าจ์ของคิงพาวเวอร์อีกด้วย จากนั้นบากบั่นอยู่บนเครื่องอีก 8.5 ชั่วโมง จนเมื่อยขบไปหมด อา...แก่แล้วจริงๆ

ถึงมอสโคว 15.30 ตามเวลาท้องถิ่นซึ่งช้ากว่าเมืองไทย 4 ชั่วโมง หวังจะได้พบอากาศเย็นกับเขาบ้าง แต่อากาศในสนามบินไม่ต่างจากบ้านเราเลย ยิ่งรอผ่าน ตม. ชั่วโมงกว่าๆ ยิ่งรู้สึกร้อนเข้าไปใหญ่ ถึงแม้จะไม่ต้องใช้วีซ่า แต่กว่าจะผ่าน ตม. เข้าเมืองได้นั้นเรียกว่านานมาก

สนามบินของมอสโควที่การบินไทยพาเราไป ชื่อสนามบินนานาชาติโดโมเดโดโว (Domodedovo) เป็นสนามบิน 1 ใน 6 ของมอสโคว ดังนั้นใครที่วางแผนจะไปมอสโควควรดูชื่อสนามบินให้ดี ว่าสายการบินพาไปลงที่สนามบินไหน เวลาหาข้อมูลต่อรถเข้าเมืองจะได้ไม่สับสนค่ะ

พวกเราใช้บริการรถไฟเข้าเมือง หรือ Aeroexpress ซึ่งกว่าจะหาสถานีเจอก็งงๆ อยู่เหมือนกัน เพราะอาคารสถานีนั้นยังไม่เชื่อมต่อกับตัวสนามบิน (กำลังก่อสร้าง) ดังนั้นต้องออกจากสนามบินก่อน แล้วลากกระเป๋าประมาณ 100 เมตร ผ่านบริเวณจอดรถเข้าไปในอีกอาคารหนึ่ง ที่ยอดตึกจะมีภาษาอังกฤษเขียนบอกว่า Aeroexpress และสัญลักษณ์รูปดาว เดินไปดังรูปค่ะ


ตั๋วรถไฟสามารถซื้อได้จากเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติภายในอาคาร หรือซื้อจากเจ้าหน้าที่ช่องขายตั๋วก็ได้ ราคาคนละ 500 รูเบิล ลักษณะตั๋วรถไฟรวมถึงตั๋วเข้าชมสถานที่อื่นๆ ส่วนใหญ่เป็นกระดาษความร้อน พิมพ์ออกมาคล้ายสลิปบัตรเครดิต จากนั้นค่อยนำบาร์โค้ด หรือ QR code ไปสแกนกับประตูทางเข้า ความอ่อนของกระดาษทำให้รู้สึกยุ่งยาก ต้องคอยระวังไม่ให้เปียก ยับ หรือว่าขาด แล้วก็ต้องเก็บไว้จนกว่าจะจบการเดินทาง เพราะมีบ้างที่เจ้าหน้าที่มาขอสแกนระหว่างนั่งรถอยู่ หรือต้องใช้สแกนเพื่อเปิดประตูทางออก ถ้าสแกนแล้วประตูไม่เปิดให้ดูในสลิปอีกทีว่าบาร์โค้ดกลับหัวหรือเปล่า หรือไม่ก็แนบกระดาษชิดเครื่องเกินไปทำให้เครื่องไม่อ่าน แก้ด้วยการอังกระดาษเหนือจุดสแกนเล็กน้อย

คำว่า express ใน aeroexpress ไม่สื่อถึงความเป็นรถด่วนเลยแม้แต่น้อย พวกเราใช้เวลาเกือบ 50 นาทีจากสนามบินกว่าจะถึงสถานี Paveletskaya ซึ่งเป็นสถานีสุดสายของ aeroexpress และเป็นสถานีเมโทร MRT ของมอสโควด้วย ใช้สัญลักษณ์เป็นตัว M



สำหรับท่านที่จะเที่ยวรัสเซียด้วยตนเอง แนะนำให้โหลดแอปพิเคชั่น Yandex ซึ่งรวมสถานีรถไฟฟ้าของรัสเซียไว้ แยกเป็นเมือง ทั้งมอสโควและเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก  สามารถเลือกภาษาอังกฤษและรัสเซียได้ ซึ่งสำคัญตอนที่จะต้องใช้เทียบกับภาษารัสเซียในสถานีที่ไม่มีภาษาอังกฤษค่ะ (ส่วนใหญ่จะเป็นที่มอสโคว) ส่วนบัตรเติมเงิน MRT นั้นที่มอสโควจะเป็นบัตรทรอยก้า ซื้อได้ที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วชั้น 1 ของสถานี Paveletskaya มีค่ามัดจำ 50 รูเบิล แล้วก็เติมเงินตามที่เราต้องการ สำหรับค่าโดยสารตลอดสายจะเท่ากัน คิดเป็นเที่ยวละ 35 รูเบิล ปัญหาก็คือคนรัสเซียจะไม่พูดภาษาอังกฤษ ถ้าจะให้ง่ายควรโหลดรูปบัตรเมโทรนี้ไว้ ยื่นให้คนขายดู แล้วบอกเขาว่าคุณจะ refill เป็นเงินเท่าไหร่ ส่วนตู้จำหน่ายและเติมเงินก็มี เพียงแต่พวกเราไม่อยากจะไปมั่ววัดดวงกันเองด้วยไม่เจอช่องทางเปลี่ยนภาษา วิธีใช้งานบัตรก็ใช้แตะก่อนเข้าสถานีครั้งเดียวเงินจะตัดตอนนั้น ส่วนเวลาออกจากสถานีก็เดินออกมาได้เลย



ที่พักในมอสโควของพวกเราคือโรงแรม Ibis อยู่ที่สถานีคีฟ (Kiyevskaya) ซึ่งจะต้องต่อรถไฟสายสีน้ำตาล (สาย 3) จากสถานี Paveletskaya ไปอีก สถานีเมโทรเหล่านี้ หากเป็นจุดเชื่อมต่อของหลายๆ เส้นทาง จะใช้สัญลักษณ์เป็นสีและตัวเลข แล้วเขียนด้วยตัวเลขทับวงกลมสีของเส้นทางไว้ตรงพื้นทางเดินพร้อมลูกศรชี้ ให้เราทราบว่าต้องเดินไปทางไหน จึงควรจำไว้ด้วยหากจะต้องเปลี่ยนขบวน จะต้องไปสายไหนและสีอะไร รวมถึงนับจำนวนสถานีที่จะไป เพราะรถไฟบางขบวน สัญญาณไฟแสดงว่าถึงสถานีไหนก็ไม่มีเอาซะอย่างนั้น ส่วนเสียงประกาศก็ติดๆ ดับๆ และฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง

ออกจากสถานีคีฟ มองตรงไปเป็นห้างยุโรปิส หรือห้างยุโรป ตั้งอยู่ข้างๆ ตึกที่เป็นที่พักของเรานั่นเอง เพียงแค่เลี้ยวซ้ายไปทาง KFC แล้วข้ามถนน ก็จะเป็นอาคารขนาดใหญ่ ประกอบด้วยโรงแรมโนโวเทลและ Ibis อยู่ด้วยกันฉะนี้ การรักษาความปลอดภัยของที่นี่เข้มงวดมาก พวกเราต้องถูกสแกนกระเป๋าก่อนเข้าโรงแรมทุกครั้ง ไปเที่ยวกลับมาตอนเย็น ออกไปกินอาหารค่ำแล้วกลับมา ถึงจะหน้าเดิมๆ แต่ รปภ. ก็ยังตรวจตราเต็มที่

ถึงคุณจะมาถึงรัสเซียและพำนักในประเทศโดยไม่ต้องใช้วีซ่า แต่ก็จำเป็นต้องมีการลงทะเบียนเข้าพัก โดยแจ้งทางโรงแรมไว้ว่าเราจะทำการ register ซึ่งทางโรงแรมก็จะออกหนังสือรับรองให้ ใช้พกติดตัวระหว่างไปเที่ยวได้อย่างอุ่นใจ



ค่ำนี้พวกเราไม่ได้ไปไกลกว่าห้างยูโรปิสข้างโรงแรมเลย เพราะถึงเวลาจะแค่ 2 ทุ่ม แต่เวลาเมืองไทยนั้นร่วมเที่ยงคืนแล้ว หมอปุ้มได้ซิมโทรศัพท์ของรัสเซียมาใช้เสียที พวกเราเลือกเครือข่าย beeline เป็นสัญลักษณ์กลมๆ สีเหลืองสลับดำคล้ายตัวผึ้ง ส่วนอีกเครือข่าย คือ MTC เห็นมีวางขายตั้งแต่ในสนามบิน ซื้อเสร็จก็ให้เขาลงทะเบียนให้เลยและบอกว่าเราจะใช้ทั้งในมอสโควและเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก น่าเสียดายที่ใบ้คำกันอยู่นานเลยไม่ได้ถามว่าถ้าใช้โทรกลับเมืองไทยต้องทำยังไง

ส่วนเราเองใช้ sim2fly ของ AIS เป็นแพคเกจอินเตอร์เน็ต ส่วนค่าโทรกลับเมืองไทยนาทีละ 28 บาท แพงไปนิดแต่เอาสบายใจที่ไม่ต้องเป็นห่วงบ้านแน่ๆ เพราะได้โทรกลับทุกวัน ก็นับเป็นทางเลือกที่ไม่เลวนัก

หลังจากนั้นพวกเราไปที่ศูนย์อาหาร ชั้น 4 ของห้างยูโรปิส เดินวนไปมาก็เห็นร้านที่คนค่อนข้างเยอะอยู่ร้านหนึ่ง เลยลองเข้าไปดูบ้าง เป็นร้านบริการตัวเอง เข้าไปแล้วก็หยิบถาด แล้วไปเลือกอาหารตามซุ้มต่างๆ เช่น สลัด น้ำผลไม้ สเต็ก ข้าวผัด อะไรเทือกๆ นี้ บางซุ้มก็มีเจ้าหน้าที่คอยตักอาหารให้ อาหารที่นี่รสชาติพอใช้ได้ หนักไปทางเค็ม และข้าวค่อนข้างแข็ง ส่วนที่ถูกปากหน่อยจะเป็นไก่ย่าง ซุปมะเขือเทศใส่เนื้อวัว กะหล่ำปลี แครอทและบีทรูทที่เรียกว่าบอร์ช (borhcht) นิยมกินคู่กับ sour cream ส่วนจุ๋ยชอบกินเนื้อปลาบดอัดรวมกับครีมและบีทรูท (มั้ง?) เป็นก้อนๆ สีชมพู ทำมาจากปลาแฮริ่งหรือแซลมอล (smoked salmon or salted herring)


24 .. 60

ตื่นขึ้นมาตามความเคยชินคือตี 3 ครึ่ง เทียบกับเวลาเมืองไทยก็ 7.30 น. เลยถือโอกาสโทรหาแม่แล้วกลับไปนอนต่อจน 10 โมง (เมืองไทย) โปรแกรมของวันนี้คือ จัตุรัสแดง (red square) แหล่งท่องเที่ยวดังของมอสโคว จากสถานีคีฟ พวกเราไปที่สถานี Okhotny Ryad เดินออกมาก็จะพบทางเข้าจัตุรัสแดง ก่อนหน้านั้นพวกเราแวะกินอาหารเช้ากันที่ร้านแซนวิชข้างทางเสียก่อน วันนี้อาการเย็นลงกว่าเมื่อวาน เกือบ 10 โมงเช้าท้องฟ้ายังสลัวอยู่ ทำให้ถ่ายรูปไม่ค่อยสวยนัก ภายในจัตุรัสแดงหากเดินเข้าไปแล้วหันหน้าไปทางโบสถ์เซนต์บาซิล (St. Basil’s cathedral) ทางซ้ายมือจะเป็นห้างกุม ขวามือเป็นกำแพงพระราชวังเครมลิน ส่วนด้านหลังหรือทางเข้าซึ่งเป็นอาคารสีแดงสวยนั่นคือพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ


พิพิธภัณฑ์


ห้างกุม (GUM)



โบสถ์เซนต์บาซิลมีรูปทรงหัวหอมสีสันสดใส เป็นหนึ่งในสถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูป คล้ายจะเป็นสัญลักษณ์ของจัตุรัสแดงเลยก็ว่าได้ ความสวยงามนี้ทำเอาสถาปนิกปอสนิกยาคอฟเลฟได้รับคำชมจากพระเจ้าอีวานที่ 4 ผู้ว่าจ้างอย่างมาก จนตบรางวัลด้วยการสั่งควักดวงตาเพื่อไม่ให้สร้างอะไรที่สวยกว่านี้ได้อีก...ฮ่วย

ถ่ายรูปกันจนจุใจแล้วเราก็เดินกลับออกมาทางด้านพิพิธภัณฑ์ ทางซ้ายมือจะมีทางเข้าพระราชวังอยู่ พวกเราต้องเดินผ่านสวนอเล็กซานเดอร์เข้าไปในส่วนที่ขายตั๋ว ระหว่างทางมีคบเพลิงที่ไม่มีวันดับ โดยมีทหารยามคอยประจำการอยู่ และจะมีการเปลี่ยนเวรเป็นเวลา


เครมลิน ในภาษารัสเซีย แปลว่าป้อมปราการ ภายในประกอบไปด้วยพระราชวัง วิหาร และที่ทำการของรัฐบาล พระราชวังเครมลินจะปิดทุกวันพฤหัสบดี พวกเราจองตั๋วออนไลน์มาจากเมืองไทยแล้วแต่ก็ยังต้องนำใบจองมาที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วเพื่อแลกตั๋วจริงอีกครั้ง ต่อจากนั้นจึงค่อยเดินย้อนกลับมาที่ทางเข้าซึ่งเป็นทางขึ้นไปยังกำแพงวัง ภายในนี้หาห้องน้ำเข้ายากมาก จากแผ่นพับที่ได้รับมีเพียง 2 จุดเท่านั้น คือบริเวณสวนอเล็กซานเดอร์ และภายใน Armoury chamber ดังนั้นควรรีบเข้าห้องน้ำก่อนเข้าไปในเขตพระราชวัง จากนั้นก็ดื่มน้ำให้น้อย เพราะกว่าจะเดินไปถึงเรียกได้ว่าแทบจะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ



หลังจากออกจากหอคอยทางเข้า พวกเราก็เดินลัดเลาะตามกรุ๊ปทัวร์อื่นๆ ถ่ายรูปกับปืนใหญ่ ระฆังแตก แล้วก็เข้ามาในส่วนของสารพัดโบสถ์ บางสถานที่ค่าเข้าจะรวมกับตั๋วอยู่แล้ว บางที่ก็ไม่รวม เช่น ตั๋วเข้า Armoury chamber ซึ่งเป็นส่วนของพิพิธภัณฑ์นั้นต้องแยกซื้อต่างหาก พวกเราเดินงงๆ ตามทัวร์เข้าไปในโบสถ์ที่ใช้เก็บพระศพพระเจ้าซาร์และเจ้าชายองค์สำคัญ หรือ The archangel’s cathedral และโบสถ์ที่มีโดมสีทองคล้ายหัวหอม (The church of laying our lady’s holy robe) ซึ่งสถาปัตยกรรมของรัสเซียค่อนข้างมีเอกลักษณ์ นอกจากอาคารสูงใหญ่อลังการแล้ว เสาแต่และต้นยังคล้ายเสาโรมัน เหนือบานประตูหน้าต่างก่อเป็นทรงโค้ง บางคนเรียกสถาปัตยกรรมแบบนี้ว่าสถาปัตยกรรมแบบรัสเซียนออร์โธดอกซ์ นอกจากนี้ภายในโบสถ์เกือบทุกแห่งจะมีภาพเขียนสีสันสดใสตามแบบของศาสนาคริสต์ประดับไว้จนเกือบเต็มผนังและหลังคา




อดกลั้นจนในที่สุดก็ได้เข้าห้องน้ำใน Armoury chamber ที่นี่และสถานที่อื่นๆ ซึ่งเป็นรูปแบบของพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชมจะต้องถอดเสื้อกันหนาวออกฝากไว้ หากกระเป๋าใบใหญ่เกินก็ต้องฝากเช่นเดียวกัน ปกติแล้วตั๋วเข้าชม Armoury chamber จะกำหนดเวลาเป็นรอบๆ ถ้านักท่องเที่ยวไม่มากก็พอจะยืดหยุ่นเวลากันได้ ดังนั้นตั๋วรอบเที่ยงของพวกเราเลยสามารถเข้าเยี่ยมชมได้ตอน 11 โมง!



ภายในส่วนนี้จัดแสดงพวกจาน ชาม เหยือก เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารของพระราชวังเสียส่วนใหญ่ มีรถม้า เครื่องประดับ และเสื้อผ้าบ้างเล็กน้อย พวกเราไม่ได้ซื้อตั๋วเข้าชมเพชรนิลจินดา สมบัติของพระเจ้าซาร์ในส่วนที่เป็น State diamond fund เพราะดูจะตรวจค้นกันอย่างเข้มงวดเกินไป แต่มงกุฎเพชรที่มีพลอยสีแดงเม็ดใหญ่แค่เห็นในรูปก็กระแทกตาแทบบอดกันแล้ว



ออกจากวังมาในเวลาเกือบบ่าย 2 โมง พวกเราไปหาข้าวเที่ยงกินกันในห้างกุม เป็นร้านบริการตนเองเช่นเดียวกับมื้อค่ำเมื่อวาน แต่คนต่อคิวกันเยอะมาก จุ๋ยได้โอกาสสั่งอาหารรัสเซียที่ขึ้นชื่ออีกอย่างหนึ่งคือ Stroganoff เป็นสเต็กเนื้อชิ้นใหญ่หรือเล็กก็ได้ ราดด้วยครีมซอสของรัสเซียใส่เห็ด



ตกบ่ายเราไปต่อกันที่มหาวิหารโดมทอง หรือ Cathedral of Christ the Saviour เป็นโบสถ์ออร์โธดอกซ์ที่สูงที่สุดในโลก ตั้งอยู่ริมแม่น้ำมอสโคว วิธีเดินทางสามารถมาได้ด้วยรถไฟเมโทร สถานี Kropotkinskaya แล้วเดินอีกเล็กน้อย หรือจะเดินเลาะริมน้ำมาจากพระราชวังเครมลินก็ได้ ภายในวิหารยิ่งใหญ่อลังการมากและห้ามถ่ายรูป แต่ถ้านักท่องเที่ยวจะจ่ายเงินเพิ่มอีกคนละ 300 รูเบิลก็สามารถขึ้นไปถ่ายรูปชมวิวเมืองมอสโควทั้ง 4 ทิศได้ เนื่องจากข้อมูลของเราไม่แน่นพอ จึงได้แต่ปีนบันไดนับขั้นไม่ถ้วนขึ้นไปที่ส่วนหลังคาของ โบสถ์ออร์โธดอกซ์ที่สูงที่สุดในโลก เดินไปก็ด่าตัวเองไปว่าตูจะเสียเงินมาปีนบันไดขึ้นลงทรมานหัวเข่าเพื่อ?

ขึ้นไปถึงก็สูดหายใจลึกๆ ไม่ใช่กับอากาศบริสุทธิ์ แต่กับหลอดยาดมที่พกไปเนี่ย... จากนั้นก็เดินลงบันไดนับขั้นไม่ถ้วนกลับลงมา แฮ่กๆๆ

เย็นนี้เราหาอะไรกินง่ายๆ ที่ศูนย์อาหารของห้างยูโรปิสอีกเช่นเคย เป็นอาหารเอเชีย มีทั้งเฝอ และต้มยำ รสชาติใช้ได้ หายเลี่ยนจากกลิ่นครีมเนยไปได้พอสมควร จากนั้นจึงกลับไปที่โรงแรม ฝากของไว้บางส่วนแล้วเอาเป้บรรจุสัมภาระเตรียมเดินทางไปยังเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

พวกเราเดินทางกันด้วยรถไฟตู้นอน จองตั๋วไปกลับมาจากเมืองไทยเช่นเคย (หาข้อมูลโดยละเอียดได้ที่เฟสบุ๊ก เที่ยวรัสเซีย ค่ะ) ตั๋วที่พิมพ์ออกมามีบาร์โค้ดเรียบร้อยแล้วสามารถใช้เป็นตั๋วโดยสารได้เลย การเดินทางด้วยรถไฟไปเมืองนี้สามารถเดินทางได้หลายสถานี แต่สถานีที่เราจะไปนั้นคือสถานีเลนินการ์ด โดยขึ้นเมโทรไปลงที่สถานี Komsomolskaya ก่อน จากนั้นเดินออกมาเลี้ยวซ้ายไปที่สถานีรถไฟ Leningradsky railway station ถ้าไปไม่ถูกก็หารูปถ่ายของสถานีนี้เตรียมไว้ถามชาวรัสเซียได้ค่ะ



รถออกเวลา 22.50 . แต่พวกเราไปถึงก่อนเวลากันถึง 2 ชั่วโมง เพราะไม่แน่ใจว่าจะมีขั้นตอนยุ่งยากหรือเปล่า แต่สุดท้ายแล้วแค่เข้าไปดูที่มอนิเตอร์ว่ารถไฟขบวนของเราจะเทียบที่ชานชาลาไหน จากนั้นก็เดินออกจากโซนที่นั่งรอไปที่ขบวนรถก็เรียบร้อยแล้ว ความตื่นเต้นครั้งแรกทำให้เราไปรอที่รถเมื่อเข้าเทียบ ยืนรอประตูเปิดท่ามกลางลมหนาวอยู่เกือบชั่วโมง จากนั้นจึงได้ยื่นตั๋วพร้อมพาสปอร์ตให้กับพนักงานรถ ถึงค่อยเข้าไปอบอุ่นอยู่ภายในโบกี้ที่จองไว้ได้


พวกเราจองรถไฟตู้นอนแบบแยกเป็นห้องเดี่ยวมี 4 เตียง (บน ล่าง) ทีแรกพวกเรา 3 คน ได้คุณน้าชาวจีนเป็นรูมเมต แต่อาอี๊เข้ามามองๆ แล้วส่งอาแปะมานอนกับพวกเราแทน ส่วนตัวเองไปนอนกับฝรั่งหนุ่มๆ (จุ๋ยไปเห็นอยู่อีกห้องเลยมาเม้าท์) อาแปะมาจากชิงเต่า คุยภาษาจีนกลางไม่ค่อยรู้เรื่อง ทักทายกันนิดเดียวก็แยกย้ายกันไปนอน ภายในตู้มีปลั๊กไฟไว้ให้ หมอนกับผ้านวมก็นุ่มนิ่ม ใช้เวลาไม่นานรวมถึงเหน็ดเหนื่อยจากปีนบันได ทำให้หลับไปได้ในเวลาไม่นาน ตื่นมาอีกครั้งตอนตี 3 เลยได้โอกาสโทรกลับบ้านอีกตอนที่ออกมาเข้าห้องน้ำ นอนเตียงล่างมองผ่านบานหน้าต่างกระจกเห็นท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับยามค่ำคืนสวยงามมาก แต่มองได้ไม่นานก็หลับไปอีกครั้งอย่างง่ายดาย

25 .. 60

ใกล้จะถึงปลายทาง พนักงานก็เดินมาเคาะห้องปลุก พวกเรางัวเงียลุกขึ้นมาเก็บของ พอลงจากรถได้ก็ถูกอากาศเย็นกระแทกหน้าจนตื่นพอดี

สถานีที่มาถึงคือสถานีมอสโคว (Moskovsky  station) ส่วนโรงแรมที่เราจองไว้คือ Best western นั้นอยู่ตรงข้ามคนละฝั่งถนนกับสถานีพอดี โดยเราต้องเลี้ยวซ้ายมาทางห้างแกลเลอเรีย ข้ามถนน 6 เลนแล้วก็เดินเลี้ยวขวากลับมาทางหน้าสถานีมอสโคว ส่วนสถานีเมโทร Ploshchad Vosstaniya ก็แค่เดินข้ามถนนตรงไปอีกด้าน นับว่าสะดวกมาก



โรงแรมมีห้องว่างให้เช็คอินได้ทันที พวกเราเลยได้โอกาสอาบน้ำ หลังจากที่เมื่อวานเย็นซักแห้งกันมา ก่อนจะออกไปหาแซนวิชกินกันแถวสถานีมอสโควกันอีกครั้ง ก่อนหน้านั้นพวกเราไปสำรวจสถานีเมโทรกันโดยซื้อบัตรเติมเงินกันโดยมีค่ามัดจำบัตร 60 รูเบิล และเติมเงินกันตามสะดวก บัตรนี้สามารถใช้ได้ทั้งรถเมล์ รถไฟ รถราง รวมถึงเรือ มารู้ทีหลังว่าหากซื้อบัตรเติมเงินกับตู้อัตโนมัติ เครื่องจะให้เลือกเป็นเที่ยว แทนที่จะเป็นราคาที่เติม และบัตรใช้กับรถเมล์ไม่ได้ อาจเป็นเพราะบัตรเสีย หรือว่าค่าโดยสารไม่เท่ากันก็เป็นได้

กินข้าวกันเสร็จก็พากันไปยืนรอรถเมล์ที่ป้ายหน้าห้างแกลเลอเรีย นั่งรถสาย 74 ไปยังโบสถ์สีฟ้าน่ารักชื่อว่า smolniy church ภายในกำลังก่อสร้างอยู่จึงยังไม่สวยงามมากนักและไม่เก็บค่าเข้าชม ถ่ายรูปกันเล็กน้อยก็เดินกลับมาขึ้นรถที่ป้ายรถเมล์เดิม นั่งรถสายเดิมซึ่งวนกลับไปที่ฝั่งโรงแรม (ตรงข้ามกับห้างแกลเลอเรีย) การขึ้นรถเมล์ที่นี่สะดวกมาก แค่นำบัตรไปแตะสแกนที่เสาใกล้ๆ คนขับ จากนั้นจะมีกระเป๋ารถเมล์เดินมาถามอีกที เราก็ยื่นบัตรให้สแกนอีกครั้ง หากไม่มีบัตรก็จ่ายเงินสดที่กระเป๋ารถได้เลย ต่างจากเมืองไทยแค่นางไม่มีกระบอกเก็บเงินคอยงับฉีกตั๋วให้มีเสียงดังแก๊บๆๆ เท่านั้น ส่วนตอนลงไม่ต้องสแกนกันอีก เดินลงได้ตามสะดวก



เวลายังพอมี พวกเราขึ้นเมโทรไปยังสถานี Kupcino แล้วข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามเพื่อนั่งรถตู้ต่อไปยังพระราชวังแคทเธอรีน (Catherine palace) ตรงท่ารถจะมีรถตู้จอดอยู่หลายคันมาก เราแค่ถามคนขับที่ยืนอยู่ข้างๆ รถว่า Catherine palace? คนขับก็จะรีบชี้ให้เข้าไปนั่งได้เลย ขึ้นรถตู้แบบนี้เหมือนเมืองไทยอีกแล้ว เราขึ้นไปนั่งกันก่อน พอคนเต็มรถ คนขับประจำที่ค่อยลุกไปจ่ายเงินคนละ 40 รูเบิล จากนั้นรถจอดรับคนแล้ววิ่งออกนอกเมืองไปเรื่อยๆ จนถึงเมือง Puskin ใช้เวลาประมาณ 30  นาที แล้วจอดหน้าวังแคทเธอรีนพอดี คนส่วนใหญ่ก็ลงกันที่นี่

จากจุดจอดรถเดินเข้าไปที่วังมีของที่ระลึกขายตลอดทาง ที่ประตูทางเข้าจะมีเคาน์เตอร์ขายตั๋วเข้าชม ส่วนพวกเราที่จองออนไลน์มาต้องเลี้ยวขวาไปอีกประตูเพื่อแลกตั๋วจริง นอกจากสีฟ้าขอบทองของตัวตึกขนาดใหญ่แล้ว ภายในยังมีไฮไลท์อย่างห้องโถงรับรองขนาดใหญ่ หรือ great hall และห้องอำพัน ที่ทั้งห้องรวมผนังและเพดานประดับไปด้วยอำพันจำนวนมากสีเหลืองอร่ามไปหมดตกแต่งด้วยทองคำและกระจกอีกจำนวนหนึ่ง น่าเสียดายที่ห้องอำพันของเดิมถูกทำลายจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่อย่างนั้นเราคงได้เห็นของดั้งเดิมที่ได้ชื่อว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ลำดับที่ 8 ของโลก

สรุปว่าภายในวังแห่งนี้เน้นสีทองเป็นหลัก เดินถ่ายรูปรอบนอกจนอิ่มใจ (ห้องด้านในส่วนใหญ่จะห้ามถ่ายรูป) ก็ได้เวลาอาหารแบบบ่ายแก่ๆ เป็นอาหารรัสเซียอีกเช่นเคย ชักจะเริ่มเบื่อจนต้องออกปากว่าเย็นนี้ไปหาอาหารจีนกินกันเหอะ คนอื่นๆ ก็ไม่ปฏิเสธ




ห้องอำพัน

ขากลับค่อนข้างลำบากลำบนนิดนึงเพราะเราต้องเดินหาจุดจอดรถตู้กัน  ถนนเป็นแบบ one way เดินย่อยอาหารดูใบไม้เปลี่ยนสีท่ามกลางอากาศเย็นไปเรื่อยๆ จนเมื่อยขานิดๆ เราก็เลยอาศัยความเนียนแหกปากถามคนขับรถเมล์ที่มาจอดว่า metro? พอคนขับพยักหน้าก็ลากเพื่อนที่เหลือขึ้นไป ไม่ง้อรถตู้อีก

รถมาสุดสายใกล้ๆ สถานี Kupcino แต่พวกเรายังคงเดินต่อไปเพื่อถ่ายรูปกับ Chesme church โบสถ์หลังเล็กน่ารักสีชมพู ที่นี่พวกเราเจอกับน้องผู้หญิงชาวไทยที่มาเที่ยวคนเดียวอีกด้วย ทักทายและใช้น้องถ่ายรูปพักหนึ่งก็พากันเดินกลับ



เรื่องสถานที่เที่ยวจำทางได้ไม่ค่อยมาก แต่ร้านของกินรายทางนี่พจนารถจำได้แม่น ขากลับเลยชวนเพื่อนๆ แวะซื้อไอติมกินกัน อาศัยที่นั่งบริเวณป้ายรถเมล์หน้าร้านกินไอติมไปพลาง มองยวดยานพาหนะที่แล่นไปมา เรามองดูท่าน ท่านมองดูเรา จนไอติมหมด ให้ชาวรัสเซียหมั่นไส้เล่นว่ากระเหรี่ยงเอเชียพวกนี้มานั่งกินไอติมกันชิลๆ อยู่ได้ ไม่หนาวเหรอ

เพิ่มน้ำตาลในเลือดแล้วก็มีแรงเดินต่อ  พวกเราผ่านตลาดนัดเล็กๆ แถวสถานีเมโทร ขายของพวกถั่วเมล็ดแห้ง เมล็ดพืช เมล็ดดอกไม้ไว้ทำสวน มีเสื้อผ้าบ้างเล็กน้อย แต่ที่ดึงดูดที่สุดเห็นจะเป็นกุหลาบดอกใหญ่ๆ มัดเป็นช่อที่ไม่มีปัญญาซื้อไว้ถือเดินไปมา



26 ก.ย. 60

ที่พักของพวกเราในเมืองนี้มีอาหารเช้าให้ เลยไม่ต้องบากบั่นไปหาอะไรกิน ที่แน่ๆ คือมีกาแฟให้ หลังจากร่างกายขาดคาเฟอีนมาหลายวัน เป้าหมายเช้านี้เราไปกันที่โบสถ์หยดเลือดกันก่อน พวกเราลงเมโทรที่สถานี Nevsky prospect สังเกตเห็นคลอง Griboyedov ก็เดินเลาะมาเรื่อยๆ อากาศหนาวๆ และตัวโบสถ์ที่กำลังซ่อมแซมทำให้เราใช้เวลาไม่มากในการถ่ายรูปโดยไม่ได้เข้าไปด้านใน จากนั้นเดินย้อนกลับมาทางเดิม สุดปลายคลองเป็นสี่แยกด้านหน้าก็จะเป็น Kazan cathedral รูปทรงครึ่งวงกลมชวนให้นึกถึงเทพนิยายกรีก


โบสถ์หยดเลือด หรือ Savior on the spilled blood

Kazan cathedral


palace square

เดินตรงไปเรื่อยๆ พวกเราจะพบกับลานกว้างของ palace square ซึ่งมีอาคารทรงโค้งล้อมรอบ ตรงกลางมีเสาหิน Alexander column ถัดออกไปก็คือ The Hermitage หรือพระราชวังฤดูหนาว เป็นอาคารขนาดใหญ่มากๆ สีเขียวขาว ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์เก็บรวมรวมศิลปะ โบราณวัตถุ โดยเฉพาะภาพวาด


The Hermitage


ถ้ามองในแง่พิพิธภัณฑ์นับว่าที่นี่ยังมีขนาดใหญ่กว่า British museum เสียอีก จะดูให้ครบคงต้องใช้เวลาทั้งวัน ส่วนแผนผังที่ได้มาก็ยังดูแทบไม่รู้เรื่องจากห้องนับพันในอาคาร พวกเราเลยเดินกันเรื่อยเปื่อย มางงนิดหน่อยที่เข้ามาก็เจอกับโซนอิยิปต์เลย จากนั้นจึงค่อยเป็นโซนภาพวาด รูปปั้น โดยสอดแทรกความอลังการของห้องไว้โดยตลอด



ออกมาได้ก็เป็นเวลาบ่ายกว่า เราหยุดพักชั่วคราวเตรียมหาร้านอาหารแนะนำ ชื่อว่าร้าน Stroganoff steak house แน่นอนอาหารจานเด็ดก็คือ stroganoff นั่นเอง ร้านนี้ต้องเดินผ่าน St. Isaac cathedral มา ข้ามถนนแล้วเลี้ยวขวาผ่านหน้าวิหารอาเธน่า (ลักษณะคล้ายมาก) แล้วเลี้ยวซ้ายอีกครั้งก็ถึง สามารถใช้ google map กับชื่อร้านได้





นี่ไง stroganoff

อาหารของเค้าอร่อยจริง แต่รู้สึกตะขิดตะขวงใจเล็กน้อยกับบรรยากาศค่อนข้างไฮโซของร้าน ถ้าฟังออกแต่แรก พนักงานเสริฟอาจจะถามว่า "คุณท่านจะรับอะไรดีขรั่บ" ก็เป็นได้ ขากลับพนักงานที่รับฝากเสื้อกันหนาวไว้ยังทำท่าจะใส่ให้อีกต่างหาก...มีความเป็นลูกคุณหนู ฮิฮิ


กินอิ่ม จ่ายตังจนกระเป๋าเบาแล้วเราก็เดินย้อนกลับมากันที่ St. Isaac's cathedral เป็นวิหารที่ออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมเรเนสซองส์ และบาโรก เปรียบเทียบโบสถ์ที่เข้าๆ มา ที่นี่ตกแต่งภายในสวยที่สุด พวกเราโชคดีที่มาถึงก็พบบาทหลวงกำลังประกอบพิธีกรรม ซึ่งด้านหน้าพิธีจะเปิดประตูให้เห็นรูปพระเยซูที่ตกแต่งด้วยกระจกสี เรียกว่าประตูสวรรค์ ด้านข้างมีนักร้องประสานเสียง ความว่า "ไปเถิดทั้งคู่ ไปสู่ประตูสวรรค์..." ไม่ใช่แระ







ที่วิหารแห่งนี้มีบันไดให้ไต่ขึ้นไปชมวิวเช่นเดียวกัน ก่อนจะซื้อตั๋วเข้าชม พวกเรามาเจอน้องคนไทยคนเดิมอีกครั้ง เลยได้รายละเอียดมาว่า ขึ้นไปชมวิวด้านบนต้องเสียเงินเพิ่มแล้วขึ้นบันไดอีก 200 กว่าขั้นค่ะพี่...จากการโหวต เสียงส่วนใหญ่บอกว่าไม่ไป เลยไม่ต้องซื้อตั๋วชมวิวสลายไขข้อเพิ่ม


ขากลับพวกเราเจอร้านอาหารที่ตกแต่งหน้าร้านไว้อย่างสวยงาม เลยถือโอกาสถ่ายรูปจนหนำใจ แต่ละคนลง facebook ได้กันมาคนละหลาย like



27 ก.ย. 60


เช้านี้พวกเราพากันไป Peterhof palace หรือพระราชวังฤดูร้อน ขาไปพวกเราใช้วิธีขึ้นเมโทรไปที่สถานี Avtovo แล้วข้ามถนนไปตรงที่จอดรถตู้ ถามเขาอีกเช่นเคย Peterhof? ค่าโดยสารคนละ 80 รูเบิล จากที่รีวิวมารถวิ่งใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง แต่เนื่องจากเป็นวันทำงาน รถเยอะ และมีอุบัติเหตุทำให้รถติด เราก็เลยกะไม่ถูกว่าจะถึงเมื่อไหร่ ใช้วิธีดู google map ช่วย พอถึงจุดที่เครื่องนำทางบอกพวกเราก็ลง เรายังถามคนขับให้แน่ใจว่าใช่ Peterhof หรือเปล่า เห็นเขาพยักหน้าเลยพากันลง ปรากฎว่าต้องเดินอีกเกือบ 2 ป้ายรถเมล์แน่ะ เสียดายที่รถตู้มีคนยืน ทำให้มองด้านข้างไม่ชัดเลยไม่รู้ว่ากำแพงวังคือตรงไหน ในรีวิวบอกแค่ว่าเห็นกำแพงวังก็ลงได้...เฮ้อ


อันที่จริงทางเข้านั้นมีหลายด้าน คือทางประตูใหญ่ติดถนน กับประตูด้านข้างที่เห็นคนเดินกันไปเยอะเพราะใกล้กับส่วน lower park ที่มีดนตรีน้ำพุ พวกเราเข้าทางด้านประตูใหญ่ เดินผ่านต้นไม้ที่ใบเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ก็หยุดถ่ายรูปกันอย่างเพลิดเพลินไม่รีบร้อน เพราะจองตั๋ว lower park ทางออนไลน์มาแล้ว แต่ยังต้องมาซื้อตั๋วส่วนที่เป็น grand palace อีกครั้งซึ่งจะขายเป็นรอบคือรอบเที่ยงกับบ่าย 2 โมง




การเปิดน้ำพุประกอบดนตรีหน้าวังจะเปิดในเวลา 11.00 น. ผู้คนเลยพากันไปออกันอยู่บริเวณน้ำพุ ถ่ายรูปตรงนั้นเป็นมุมมหาชนกันเลยทีเดียว




ภายใน lower park ยังมีพิพิธภัณฑ์เล็กๆ อีกหลายแห่ง รวมถึงสวนต่างๆ เดินกันจนเกือบเที่ยงก็ได้เวลามาซื้อตั๋วเข้าชม grand palace ซึ่งจุดขายตั๋วจะอยู่ใกล้ๆ ทางเข้า lower park นั่นเอง ภายในวังยังคงคอนเซ็ปต์โอ่อ่าหรูหราเหมือนกับวังอื่นๆ แต่ที่นี่จะจัดแบ่งเป็นห้องที่ใช้งาน ไม่ได้ประดับของอื่นๆ เยอะแยะจนคล้ายพิพิธภัณฑ์



The throne room

ขากลับพวกเราเลือกเดินทางกลับด้วยเรือไฮโดรฟอยด์ซึ่งอยู่ด้านที่ติดกับแม่น้ำ Neva ค่าเรือ 800 รูเบิล แพงกว่ารถตู้ 10 เท่า แต่ก็เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศชมวิวแม่น้ำไปด้วย ซึ่งถ้าหากจะเดินทางมา Peterhof ทางเรือก็ทำได้เช่นกัน เมื่อขึ้นเรือแล้วก็จะมีจุดขายบัตรเข้า lower park อยู่ที่ท่าเรือให้ซื้อก่อนเดินตรงเข้าไปยังน้ำพุ


ใช้เวลาแค่ 30 นาทีพวกเราก็มาถึงท่าเรือหลัง The Hermitage โดยเป้าหมายนอกจากนี้คือเราจะไปกินข้าวที่ร้านอาหารน่านั่งตอนที่เดินหาร้าน Stroganoff steak house นั่นเอง


ร้านนี้ชื่อว่าร้าน โกโลฟุฟ พวกเราได้กินอาหารพื้นเมืองอีกอย่างคือ Blini เครปไส้ไข่ปลาแซลมอน ส่วน stroganoff ของร้านนี้เป็นเนื้อชิ้นใหญ่ รสชาติของครีมซอสต่างกัน แต่ก็อร่อยดี




หลังจากกินอิ่มกันเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็กลับไปที่โรงแรม ถึงจะพอมีเวลาเหลือให้ไปที่อื่นต่อได้ แต่อากาศที่เย็นลงมาก ทุกคนจึงพากันหามุมในล็อบบี้พักผ่อนตามอัธยาศรัยรอเวลารถไฟตู้นอนจะพาเรากลับกรุงมอสโคว


28 ก.ย. 60


กลับมาถึงมอสโควแล้วพบกับความหนาวเหน็บ! โชคไม่ดีที่โรงแรม Ibis ยังไม่ให้เช็คอิน พวกเราต้องออกเที่ยวแบบซักแห้งกันต่อไป แต่อากาศที่เย็นลงมากเลยไม่เหนียวตัวเท่าไหร่ หลบอากาศเข้ามากินไก่ KFC รสค่อนข้างเค็มแต่ก็อร่อยใช้ได้ เป็นอาหารเช้าที่หน้าโรงแรม


โปรแกรมวันนี้คืออุทยาน Kolomenskoye ซึ่งประกอบด้วยสิ่งปลูกสร้างภายในมากมายทั้งโบสถ์ไม้ St. John วิหาร Lasy of Kazan และ Church of Ascension สวนสาธารณะ รวมถึงโบสถ์เล็กโบสถ์น้อยภายในอีกจำนวนหนึ่ง


พวกเราไปที่สถานี Kolomenskaya จากนั้นใช้ google map นำทางต่อไปเรื่อยๆ เดินประมาณ 1 กม. จนคิดว่าหลงหรือเปล่า เราก็เดินลงทางลอดใต้ถนนไปโผล่แถวอุทยานพอดี ถ้าเทียบจากในรูปนี้คือจากหมายเลข 1 เดินตรงมาโดยไม่ผ่านหมายเลข 2 และ 3 นะคะ ตรงไปเรื่อยๆ เหมือนจะไร้จุดหมายแล้วจะเจอทางลอดข้ามเอง




ไม่คิดว่าไกลโพ้นแบบนี้จะมีทัวร์มาลงเหมือนกัน แต่ยูเนสโกเขาประกาศว่าที่นี่เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม พอไปเห็นความสวยงามของโบสถ์แล้วไม่เถียงเลยค่ะ จุดเด่นของที่นี่คือโบสถ์อัสสัมชัน (Church of Ascension) ที่ทำจากหินสีขาวทั้งหลัง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ มีเก้าอี้ให้นั่งพักผ่อนดื่มด่ำกับบรรยากาศเงียบสงบ (ก่อนทัวร์จีนจะมา)



พวกเรายังคงไปกันต่อที่วังซาริซิน่า โดยไปลงที่เมโทรสถานี Tsaritsino จากนั้นเลี้ยวซ้ายเดินเลาะทางรถไฟมานิดหน่อยค่อยเลี้ยวขวา อาคารสีน้ำตาลแดงก็จะปรากฎขึ้นให้เห็น




สถานที่แห่งนี้มีส่วนที่เป็น Tsaritsino park ที่เข้าประตูมาก็เจอสวนสวยๆ เลย เดินผ่านดนตรีประกอบน้ำพุ ที่บรรเลงไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรอรอบเหมือนที่ Peterhof จากนั้นจึงค่อยเข้าสู่ส่วนที่เป็น Tsaritsino palace




ตัวอาคารจะเป็นสถาปัตยกรรมแบบ rococo ซึ่งจะต่างจากวังอื่นๆ ที่ไปมา อันที่จริงก็มีส่วนของ grand palace และพิพิธภัณฑ์ที่ต้องซื้อตั๋วเข้าชมภายในได้เช่นเดียวกัน แต่เราไม่ได้เข้าไปดู และถ้าอยู่จนถึงช่วงค่ำยังมีการแสดงแสงสีเสียง และน้ำพุเต้นรำอีกด้วย 


พวกเราย้อนกลับไปหาอาหารเที่ยงกินกันที่ถนนอารบัต (Arbat street) คล้ายๆ ถนนคนเดินบ้านเรา คราวนี้เป็นร้านบริการตนเองอีกเช่นเคย ชื่อร้าน My My (อ่านออกเสียงว่ามูมู) เห็นรูปปั้นหน้าร้านก็ต้องกินเนื้อวัว นมวัวกันอีกแล้ว เราไม่รีรอที่จะสั่งบาร์บิคิวซี่โครงและ คาปูชิโน่นมวัวมาดื่มดูสักแก้ว




จากนั้นค่อยเดินลัดเลาะดูร้านขายของฝากตามสองข้างถนนอารบัต บางร้านสามารถต่อราคากันได้ ฉกเงินในกระเป๋าพวกเราออกมากันคนละนิดหน่อย


ออกจากตรอกไดแอกรอน เอ๊ย ถนนอารบัต เดินออกมาหาสถานีเมโทร พวกเราก็พบกับสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่น่าตกตะลึง เพราะมันคือกระทรวงเวทย์มนต์...เฮ้ย!!!



กระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย

อากาศเริ่มลดลงเหลือประมาณ 6 องศาเซลเซียส แต่พวกเรายังคงไปที่หมายต่อไป นั่นคือประตูชัย โดยไปที่เมโทร Park Pabedy (Victory park) ซึ่งต้องลงบันไดเลื่อนที่มีความลึกมากที่สุด มีคนจับเวลาลงบันไดว่านานถึง 3 นาทีกว่า โชคดีที่ทางเดินลอดใต้ถนนมีโผล่ออกมาตรงกลางซึ่งเป็นส่วนของประตูชัยพอดี พวกเราเลยได้ถ่ายรูปกันในระยะใกล้พอให้มองเห็นว่าด้านบนของประตูชัยเป็นรูปปั้นม้า 6 ตัวเทียมรถศึกของเทพีแห่งชัยชนะ ก่อนจะมุดหนีหนาวไปโผล่อีกด้านหนึ่งเพื่อถ่ายรูปกับอนุสาวรีย์วีรชนในสงครามโลกครั้งที่ 1

Triumphal Arch of Moscow


หนาวจนจะแย่แล้วพวกเราก็กลับไปที่โรงแรมกันเสียที พักผ่อนกันครู่เดียวก็เดินไปหาอาหารเย็นและช็อกโกแลตหน้าเด็กของฝากกันที่ห้างยูโรปิส




29 ก.ย. 60


วันนี้พวกเราออกนอกเมืองไปเที่ยวซากอส (Zagorsk) ไปดูศาสนสถานเซอกิเยฟ โพสาด (Sergiev Posad) เดินทางด้วยรถไฟท้องถิ่นโดยเราต้องไปซื้อตั๋วที่สถานียาโลเลฟสกี้ (Yaroslavsky) เริ่มจากลงรถที่สถานีเมโทร Komsomolskaya สถานีที่อยู่ใกล้สถานีเลนินการ์ด ที่เดิมที่เราเดินทางข้ามเมืองไปเซนต์ปีเตอร์เบิร์กนั่นเอง

โดยสถานียาโลเลฟสกี้นี้ ออกมาจากเมโทรได้ก็จะเจอกับช่องขายตั๋วเลย พวกเราต่อคิวซื้อตั๋วโดยบอกพนักงานขายว่า Sergiev Posad เขาก็จะเข้าใจเอง จากนั้นค่อยนำตั๋วมาสแกนเข้าชานชาลา แล้วถามเจ้าหน้าที่ด้านในอีกทีว่าต้องไปขึ้นรถขบวนไหน โดยจะมีรถออกทุกครึ่งชั่วโมง ขึ้นไปนั่งได้ก็ยังถามชาวรัสเซียอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ


รถไฟท้องถิ่นนี้คล้ายรถไฟไทยชั้น 3 มากๆ รถออกซักพักก็จะมีพนักงานมาขอตรวจตั๋ว จะหลับซักหน่อยก็มีชาวรัสเซียมาโฆษณาขายของ ครั้งแรกก็ตกใจตื่นว่าใครมาเอะอะอยู่ในโบกี้ นานเข้าก็ชักชิน ยังคิดอยู่ว่าจะมีไก่ย่างมาเดินขายไหม แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องใช้ซะมาก ขากลับยังมีวณิพกมาร้องเพลง เล่นดนตรีแลกเงินกันอีกต่างหาก

พวกเราใช้ google map เพื่อจะได้รู้ว่าถึงสถานีที่จะลงหรือยังอีกเช่นเคย เพราะรถไฟขบวนนี้ไม่ได้สุดสายที่จุดหมายของเรา แต่ครั้งนี้ไม่ได้ยากเท่าไร และรถไฟก็จอดนานพอสมควร ให้ได้ดูป้าย (ภาษารัสเซีย) ยืนยันว่าตูลงถูกที่แน่ๆ


จากสถานีรถไฟเราเดินฝ่าความหนาวตามอากู๋ไปอีกเช่นเคย จนเห็นโดมหัวหอมสีทองล้อมด้วยหัวหอมสีฟ้า หยุดยืนถ่ายรูปนิดหน่อยแล้วค่อยเดินลอดข้ามถนนเพื่อเข้าไปภายใน


ทัวร์เริ่มมากันแล้ว พวกเราพากันเดินหาช่องขายตั๋ว จนเข้าไปในอาคารที่คล้ายจะเป็นร้านอาหาร เห็นพวกไกด์ไปต่อคิวกันเลยไปบ้าง ได้ตั๋วมาแบบงงๆ (ตอนที่ รีวิวย้อนหลังเพื่อเขียนบล็อกนี้ก็เห็นคนที่ไปเมื่อปี 2016 บอกว่าไม่ต้องเสียค่าเข้าชมล่ะ) แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ด้านหน้าประตูก็เรียกตรวจตั๋วของทุกคน แสดงว่าปีนี้เริ่มมีการเก็บค่าเข้าชมแล้ว

ภายในเซอกิเยฟโพสาดนั้นประกอบด้วยโบสถ์หลายแห่ง และบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ บางแห่งเป็นที่เก็บศพของบุคคลสำคัญทางศาสนา (ฟังไม่ออกว่าใคร) 





ถ่ายรูปจนอิ่มอกอิ่มใจแล้วก็เดินออกมาด้านนอก ได้ข้อมูลมาว่าที่เมืองนี้เป็นแหล่งผลิตตุ๊กตาแม่ลูกดก เราเลยเตรียมตัวมาซื้อเป็นของฝากเต็มที่ แต่ร้านขายของเล็กๆ บริเวณนี้กลับมีให้เลือกไม่มาก และตั้งแต่เมื่อวานที่เมียงๆ มองๆ ตุ๊กตาในร้านค้าบน ถ.อารบัตมาจนวันนี้ ชักรู้สึกว่าน่าตามันน่ากลัวว่ะ...หลอน!

สรุปก็เลยไม่ได้แม่ลูกดก ขึ้นรถไฟกลับได้ก็หลับไปตลอดทางอีกต่างหาก

ตกเย็น พวกเราไปต่อกันที่ตลาดของฝากแหล่งใหญ่ Izmailovo market โดยการขึ้นเมโทรไปลงที่สถานี Partizanskaya ออกจากสถานีให้เลี้ยวซ้าย เดินผ่านตึกใหญ่ๆ แล้วจะเห็นแดนเนรมิต เอ๊ย ตลาดอิสไมโลว่าอยู่ด้านหน้า


เนื่องจากพวกเราไม่ได้ไปวันเสาร์ - อาทิตย์ ดังนั้นตลาดยามเย็นจึงเงียบมากถึงมากที่สุด แต่ร้านค้าก็ยังคงเปิดขาย บางร้านพูดไทยได้คล่องด้วยซ้ำ ทำให้ต่อรองราคากันได้อย่างสนุกสนาน  ที่จริงราคาของตุ๊กตาก็ขึ้นอยู่กับความปราณีตของการเพ้นต์ลาย ตัวที่ราคาแพงๆ หน้าตาไม่ค่อยหลอนเท่าไหร่ เรานึกอยากซื้อตัวถูกๆ ที่ไม่มีหน้าแล้วมาเพ้นต์เอง น่าจะดูดีกว่านี้ สุดท้ายก็ได้ตุ๊กตาแม่ลูกดกหลอนน้อยๆ มาหลายตัว

พวกนี้เป็นตุ๊กตาที่ซื้อมา ด้านในมีลูกอีก 5 ตัวบ้าง 10 ตัวบ้าง

ได้ของครบแล้วพวกเราก็กลับไปแพคกระเป๋าเตรียมเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้

30 ก.ย.60

วันนี้มีเวลาอีกเกือบทั้งวันกว่าเครื่องจะออก ดังนั้นพวกเราจึงไม่ได้รีบร้อน ออกไปเก็บตกสถานีเมโทรที่สวยงามกันก่อน ส่วนตัวนั้นชอบสถานี Novoslobodskaya มากที่สุด จากภาพประดับกระจกสีสดใส แต่สถานีอื่นๆ ก็สวยกันไปคนละแบบ (โปรดอย่าเปรียบเทียบความงามภาพถ่ายของมืออาชีพ (รูปบนสุด) กับกล้องเราเอง)




เรายังคงไปต่อกันที่มหาวิทยาลัยมอสโคว เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ และใหญ่โตราวกับพระราชวัง (ที่จริงทุกที่ที่ไปก็ใหญ่โตอลังการอยู่แล้ว) ว่ากันว่าที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยที่มีอาคารเรียนสูงที่สุดในโลก และมีห้องสมุดใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย


กลับมาเก็บตกกันที่จัตุรัสแดงอีกครั้งก่อนกลับบ้าน แวะหาอะไรรองท้องกันที่ร้านอาหารจีนในห้างกุม ต่อด้วยไอติมชื่อดัง สกู๊ปละ 50 รูเบิล


ได้เวลาอันสมควร พวกเราก็ไปรับกระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรม จากนั้นกลับไปที่สถานี Paveletskaya แล้วต่อ Aeroexpress ไปที่สนามบิน บอกลารัสเซียกันแบบหนาวๆ แล้วกลับเมืองไทยให้ไอร้อนกระแทกหน้ากันต่อไป

ปล.1 พวกเราเจอน้องผู้หญิงคนไทยที่ไปคนเดียวหลายครั้งมาก จนกลับถึงเมืองไทยแล้วถึงได้กล้าถามชื่อ และน้องมดก็ดันเป็นสาวนครชัยศรี เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันกับหมอฟันที่ รพ. อีกต่างหาก เจอกับน้องโดยบังเอิญหลายครั้งขนาดนี้เห็นทีจะต้องไปซื้อหวย พอรวยแล้วก็ไปเรียนภาษา จะได้ไปเที่ยวคนเดียวเองได้บ้างแบบน้องมด

...ขั้นตอนเยอะไปไหม? 5555

ปล.2 Credit รูปภาพประกอบจากสารพัดเว็ปและบล็อกใน google นะคะ ยอมรับผิดว่าไม่ได้จดชื่อไว้แต่แรก เนื่องจากรูปที่ถ่ายมาไม่ค่อยได้คุณภาพ และถ่ายมาได้ไม่ครบถ้วน บทเรียนก็คือหากริจะเขียนบล็อกของตัวเอง ต้องเตรียมกล้องของตนให้พร้อม อย่าไปหวังจะได้รูปจากเพื่อนที่ไปด้วยกันมากนัก