Friday, July 06, 2012

หนีห่าว จีน 2 - 10 มิ.ย. 55

บันทึกการท่องเที่ยวปักกิ่ง – เซี่ยงไฮ้ 2 – 10 มิ.ย. 55


yi1 cun4 guang1 yin1 yi1 cun4 jin1,
cun4 jin1 nan2 mai3 cun4 guang1 yin1


โอกาส/เวลา 1 นิ้ว สามารถหาทองได้ 1 นิ้ว แต่ทอง 1 นิ้วยากจะซื้อโอกาสซัก 1 นิ้วได้ ......ถ้ามัวแต่เก็บเงินไว้เที่ยวยามชรา มีแต่ต้องหวังไว้ว่าจะมีเรี่ยวแรง หรือยังจะมีชีวิตอยู่เพื่อจะเที่ยว ดังนั้น 3 สหายเจ้าเก่า พจ จุ๋ย และหมอปุ้ม ก็เลยถือโอกาสอันดีนี้ไปเที่ยวปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ แอบดูหลังม่านไม้ไผ่กันสักครั้ง

2 มิ.ย. 55


พวกเราเดินทางด้วยสายการบินไทย (ที่ไม่มีคำว่าแอร์เอเชีย ต่อท้ายเหมือนทุกที) ด้วยโปรโมชั่นพิเศษทั้งราคาและจุดหมาย นั่นคือบินไปลงปักกิ่งและขากลับจากเซี่ยงไฮ้ เรียกว่ากลับจากอินเดียยังไม่ทันลบกลิ่นแกงกะหรี่ออกจากตัวดี ก็จะไปกันอีกแล้ว เมื่อวางแผนเที่ยว จองโรงแรมและแลกเงินเรียบร้อยแล้ว ค่อยมีสติคิดได้ว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง อีก 6 เดือนต่อจากนี้ พจนารถคงจะต้องใช้ชีวิตอย่างทุกข์ยากเพราะเริงร่าไปกับ 2 ทริปนี้ซะหมดตัวแล้ว.....โฮๆๆ


ไม่ค่อยชินกับอาหารที่เสิร์ฟถี่ๆ และยังใช้ภาษาไทยได้ (ซะที) ในการขออาหาร เวลาเกือบ 5 ชั่วโมงจึงเหมือนแป๊บเดียวเพราะหมดไปกับการกินโน่นกินนี่และฟังเพลงไทยบนเครื่อง เกือบ 6 โมงเช้า พวกเราก็ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองของสนามบินปักกิ่งมาได้ จากนั้นก็นั่งรถไฟเชื่อมต่อภายใน Terminal 3 ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านสถาปัตยกรรมสมัยใหม่มารับกระเป๋าอีกอาคาร
แล้วก็นั่งรถไฟฟ้า (Airport express) ออกจากสนามบิน ไปเชื่อมต่อกับรถไฟใต้ดิน หรือ ตี้เถี่ย ที่สถานีตงซื่อเหมิน พวกเราซื้อบัตร IC card หรือ อี่ข่าทง ซึ่งเป็นบัตรเติมเงินที่ใช้ได้กับทั้งรถไฟใต้ดิน และรถเมล์ในปักกิ่ง โดยจ่ายเป็นค่ามัดจำบัตร 20 หยวน และเติมเงินกันอีกคนละ 30 หยวน ชื่อสถานีถึงแม้จะมีภาษาอังกฤษเขียนกำกับไว้ใต้ตัวอักษรภาษาจีนก็ตาม แต่ก็เป็นการสะกดโดยออกเสียงแบบ pin yin ก็คือ d ออกเสียง ต , b ออกเสียง ป ฯลฯ จุ๋ยเรียนภาษาจีนมาปีกว่าจึงทำหน้าที่ไกด์ (จริงๆ แล้วก็ทุกทริปแหละ) ส่วนพจที่เรียนแบบหลับๆ ตื่นๆ ทุกวันศุกร์ มาปีกว่าเหมือนกันก็ฟังได้เฉพาะบางประโยคและอ่านตัวอักษรที่มีขีดไม่เกิน 5 เส้นออกบ้าง...แฮ่


พวกเราพักที่โรงแรมนอร์ธการ์เด้น ถ. หวังฝูจิ่ง ถนนคนเดินใจกลางกรุงปักกิ่ง โชคดีที่โผล่ขึ้นมาจากสถานีรถไฟฟ้าปุ๊บ ก็เจอคุณตำรวจอยู่ตรงทางแยกถนนให้ถามทางพอดี พูดจากันรู้เรื่องได้ก็เดินลากกระเป๋ากันไปแป๊บเดียวถึงโรงแรมแล้ว เรียกว่าสะดวกสมราคา เพราะนอกจากจะใกล้สถานีรถไฟฟ้าแล้ว ตามทางที่ผ่านมายังมีห้างสรรพสินค้า และร้านฟาสต์ฟู้ดอยู่มากมายทีเดียว แต่น่าแปลกที่พนักงานต้อนรับของโรงแรม ไม่ค่อยจะพูดภาษาอังกฤษกับพวกเราซักเท่าไหร่ ทำเอาจุ๋ยต้องใช้ภาษาจีนอย่างเหนื่อยยาก


เก็บข้าวของได้ พวกเราก็ออกมาเดินสำรวจรอบนอกโรงแรม ดูจากแผนที่แล้วจัตุรัสเทียนอันเหมินอยู่ไม่ไกลนัก หัวหน้าทีมเห็นว่าทุกคนยังสดชื่นกันอยู่เลยชวนกันออกเดินเรื่อยๆ ไปตามถนนจนถึงจัตุรัส ระหว่างทางก็แวะถ่ายรูปดอกไม้กระถางที่ตั้งประดับไว้อย่างสวยงามบนฟุตบาทกันไปเรื่อย ถึงแม้อุณหภูมิจะประมาณ 30 องศา แต่ท้องฟ้าที่ขมุกขมัวจนแสงแดดลอดออกมาไม่ได้มากเท่าไหร่ทำให้ไม่ร้อนอบอ้าวเหมือนเมืองไทย พวกเราเลยพอจะมีแรงเดินกันไปเรื่อยๆ จนไปหยุดหน้าจัตุรัสกว้างใหญ่ที่สุดในโลก (400 X 800 เมตร) ที่รายรอบไปด้วยอาคารสีเทาอ่อน มีรูปลุงเหมาเจ๋อตุงเด่นอยู่ด้านหน้าพระราชวังต้องห้าม
จุ๋ยบอกให้พวกเราอดใจไม่ไปถ่ายรูปด้านประตูทางเข้าของพระราชวังต้องห้าม เพราะในวันพรุ่งนี้พวกเราก็ต้องมาที่นี่และเดินกันอีกยาว ได้แต่มองๆ (เพราะชักจะเมื่อย) แล้วเดินลอดลงตามทางข้ามใต้ถนนด้านหน้าเพื่อไปโผล่ตรงลานของจัตุรัสพอดิบพอดี นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นคนเอเชียด้วยกัน ต่างคนก็ต่างหันกล้องกันไปคนละทาง เพราะมาถึงสถานที่กว้างใหญ่ขนาดนี้แล้ว คุณพี่จะถ่ายอะไรตรงไหนก็ตามสบายเลย พวกเราเดินวนไปทางด้านพิพิธภัณฑ์แห่งชาติจีน

ผ่านอนุสาวรีย์วีรชนที่เป็นเสาหินแกรนิตขนาดใหญ่กลางจัตุรัส ไปจนถึงสุสานประธานเหมา เพิ่งจะได้ครึ่งรอบของจัตุรัส เห็นผู้คนพากันเข้าแถวยาวเหยียดเตรียมเคารพศพของอดีตผู้นำจีนแล้ว พวกเราก็เห็นตรงกันว่าอย่าเข้าไปเล้ย นอกจากนี้ยังต้องฝากของก่อนเข้าไปเคารพศพอีกอาคารด้านนอกด้วย ครึ่งรอบที่เหลือของจัตุรัสเป็นอาคารมหาศาลาประชาชนที่ยาวเกือบ 1 กิโลเมตร ซึ่งเป็นที่ตั้งของสภานิติบัญญัติของจีน และมีห้องประชุม ห้องจัดเลี้ยงรองรับคนเป็นหมื่น พวกเรามีมติเอกฉันท์เช่นเคยว่าไม่ต้องเดินไปหรอก เพราะในกลุ่มคงไม่มีใครคิดจะเดินไปติดต่อเช่าสถานที่นี้จัดเลี้ยงแต่งงาน


เลยเที่ยงมาแล้ว ละแวกจัตุรัสนั้นไม่มีร้านอาหารเลย พวกเราได้แต่ซื้อน้ำจากรถตู้ขายของแถวนั้นกินประทังหิว ก่อนจะเดินผ่านแนวต้นหลิวที่ปลูกไว้ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์แห่งชาติจีน ลงไปที่อุโมงค์ทางข้ามที่เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟใต้ดินเพื่อไปหาข้าวเที่ยงกินกันแถวๆ ที่พัก ด้วยความหิวพวกเราเลยเลือกกินอาหารกันที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ สถานีหวังฝูจิ่งแทนที่จะเดินหาร้านท่าทางน่าอร่อยเหมือนทุกที และก็ได้ร้านกังฟู ร้านอาหารเฟรนไชส์คล้ายๆ KFC ที่พอกินได้ และอาหารจานใหญ่มากจนต้องกินกัน 3 คน 2 ชุด


หลังจากกินเสร็จ จุ๋ยก็บอกว่าพวกเราควรจะกลับไปเดินกันต่อที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติจีน ดูจากม่านตาของลูกทัวร์แล้วถ้าขืนกลับไปเข้าห้องน้ำในห้องพักที่โรงแรมโอกาสจะได้ออกมาเที่ยวอีกแทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้


พิพิธภัณฑ์แห่งชาติจีนเป็นอาคารขนาดใหญ่มากๆ เมื่อเทียบกับ British museum ของอังกฤษ แถมยังเข้าชมได้ฟรี แต่เมื่อเข้าไปด้านในแล้วกลับจัดวางสิ่งของไว้น้อยยิ่งกว่าน้อย ราวกับจะบอกไต้หวันเป็นนัยๆ ว่าคืนของๆ ตูมาได้แล้วนะ
พวกเราลากขาผ่านรูปสลักเจ้าแม่กวนอิม หม้อ ไหโบราณมาได้ซักพัก ผู้จัดการทัวร์ก็ถามว่าจะกลับไปนอนกันที่โรงแรมกันดีกว่ามั๊ย ....เดาได้เลยถึงเสียงตอบรับ.....หาววววว


สิ้นสุด preview ปักกิ่งในเวลา 15.00 น. เรายังไม่ลืมกลับมาแวะห้างเดิมเมื่อเดินออกจากสถานีรถไฟเพื่อซื้อขนมเค้กและโยเกิร์ตท่าทางน่ากินที่เล็งมาตั้งแต่กินข้าวเที่ยงเสร็จ หลังจากล้างหน้าล้างตาจากฝุ่นควันออกและกินขนมกันแล้วทุกคนก็แยกย้าย.....


เราตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอน 17.00 น. คนอื่นๆ ยังแปลงร่างเป็นโรงสีกันอยู่ ว่าจะฉวยโอกาสเหมาะไปเดินหาไปรษณียบัตรส่งไปให้เพื่อนๆ ที่เมืองไทยก็นึกขึ้นได้ว่าถ้าคนขายไม่พูดภาษาอังกฤษกะตูจะทำไงดี ครึ่งชั่วโมงต่อมาถึงจะลาก เอ๊ย โน้มน้าวให้ทั้งหมดไปร้านหนังสือปากทางเข้าโรงแรมด้วยกันได้ เสียเวลาเลือกอยู่เป็นนาน ก่อนจะไปที่ศูนย์อาหารของอีกห้างหนึ่งแถวๆ นั้น พวกเราเห็นว่าอุตส่าห์ตั้งชื่อเป็นกูร์เมต์สตรีท และหน้าตาอาหารก็น่ากิน เลยเลือกร้านหนึ่งที่วางอาหารปรุงสำเร็จแล้วโชว์ไว้ ชี้ๆ เลือกจานโน้นจานนี้อย่างหิวแต่พอกินเข้าไปแล้วต่างคนต่างทำหน้าเซ็งไม่รู้ว่าเขาทำไม่อร่อยหรือไม่ถูกลิ้นคนไทยกันแน่ เรากับหมอปุ้มเลยไปหาเมนูร้านอื่นกันต่อ ได้เนื้อไก่ย่างกับเนื้อแกะย่างชิ้นบางๆ เกือบเป็นชิ้นเดียวกับไม้เสียบรสชาติพอแหลก...ล่าย กับฮะเก๋า ขนมจีบ แป้งแข็ง..แหลกม่ายลง มากันอีก มื้อนี้ระทมสุดๆ

อิ่มแล้วเราก็เดินต่อไปกินไอติมโคนชาเขียว ของร้านขายใบชาที่คนเข้าแถวซื้อกันเยอะ คราวนี้ใช้ได้แฮะ เดินไปอีกก็เห็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยวยังไม่ปิด เลยเข้าไปสอบถามถึงทัวร์กำแพงเมืองจีน ดูท่าจุ๋ยสนใจจะไปดูงิ้วตามหนังสือโฆษณาที่วางไว้ซะแล้ว พนักงานที่นี่อัธยาศัยดี และพูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่าทุกคนที่เจอมา เราก็เลยถือโอกาสสอบถามเรื่องการจองตั๋วรถไฟไปเซี่ยงไฮ้ ซึ่งได้รับคำตอบว่าต้องไปจองเองที่สถานีรถไฟ


พวกเราขอเวลาไปคิดเรื่องซื้อทัวร์กำแพงเมืองจีนก่อนแล้วก็ออกเดินกันต่อไปจนสุดถนนหวังฝูจิ่งทางด้านเหนือ
และก็ต้องตื่นตาตื่นใจกับแผงขายอาหารเปิดไฟสว่างไสวเรียงกันเป็นตับ จุ๋ยถึงกับบอกว่าถ้าไม่ได้กินที่ศูนย์อาหารจะมาหากินเอาแถวนี้ก็อิ่มได้เหมือนกัน แต่ก็ไม่วายซื้อซาลาเปาชื่อดัง “โก่วปู้เหลี่ยว” หรือ หมาไม่มอง ที่อุตส่าห์มามีสาขากับเขาที่นี่ แต่พอชิมดูแล้ว เราก็บอกได้ว่า กรูก็ไม่มองเหมือนกันว่ะ ปล่อยให้คนโฆษณาอย่างดีก่อนซื้อทำหน้าปูเลี่ยน แล้วก็บอกเสียงอ่อยว่า ถ้างั้นที่ว่าจะไปกินกันถึงสาขาต้นตำรับที่เทียนจินอ่ะ ยกเลิกละกัน


เดินตามแผงกันไม่นาน พจก็ได้ปลาหมึกย่างมา 1 ไม้ ส่วนหมอปุ้มได้ผลไม้คือลูกหยางเหม่ย คล้ายๆ ลิ้นจี่แต่ผิวนิ่มๆ ไม่ต้องแกะเปลือกกิน มาอีก 1 ไม้ ที่จริงอาหารก็ราคาไม่ถูกเท่าไหร่นัก ราวๆ 10 - 15 หยวน (50 – 75 บาท) แต่ปริมาณและการจัดเรียงของแต่ละร้านก็เรียกน้ำลายได้ไม่เลวเลยทีเดียว จุ๋ยทำท่าจะซื้อน่องแพะย่าง ขนาดเท่าขาโก่วตัวเล็ก (30 – 35 หยวน) แต่พวกเราชักจะเริ่มอิ่มเลยไม่เอาด้วย จุ๋ยเลยต้องเหมาโก่วปู้เหลี่ยวที่ไร้คนเหลียวแลต่อไปจนหมด

พวกเราเดินย้อนกลับมาทางเดิมเพื่อมาแวะตลาดขายอาหารกลางคืนอีกแห่งเยื้องๆ ฝั่งตรงข้ามของโรงแรม คราวนี้ยิ่งตื่นตาตื่นใจมากขึ้นไปอีกเมื่อเจอกับแมงป่องเป็นๆ ตะขาบ ปลาดาว เสียบไม้รอย่างตามแผง มีซอยเล็กๆ ขายของที่ระลึกที่แอบเล็งไว้ว่าน่าจะซื้อกลับไปฝากชาวบ้าน จบท้ายด้วยการซื้อเกาลัดคั่วมาเกือบ 1 กิโลกรัม


ราวกับว่าไม่ได้กินอะไรกันมาเลย พจนารถยังร้องจะกินโยเกิร์ตในไหเล็กๆ ที่ขายในบู๊ตขายน้ำใกล้ๆ โรงแรม ขณะที่จุ๋ยกับหมอปุ้มซื้อน้ำพีชแบบแก้วพลาสติกใหญ่กัน เกือบจะวางมวยกับคนขายเพราะตูก็เห็นๆ อยู่ว่ามันมีของตั้งตรงหน้า พอจะหยิบไปจ่ายเงินชีก็ทำไม้ทำมือแถมยังล้งเล้งเป็นภาษาจีน บอกให้พูดภาษาอังกฤษด้วยก็ไม่พูด แถมล่าม หรือผู้จัดการทัวร์มาช่วยฟังก็ยังฟังไม่ออก ได้แต่บอกอ่อยๆ ว่ากรูยังไม่ได้เรียนประโยคนี้ว่ะ ช่วยใบ้คำกันอยู่เป็นนานทั้งทีมคนขายและทีมคนซื้อ ในที่สุดอีคนร้องจะกินก็ถึงบางอ้อว่า สงสัยมันบอกให้คืนไหว่ะ ว่าแล้วก็เอาหลอดมาเจาะดูดพรืดๆ จนหมด แล้วก็ถีบผู้จัดการให้ไปจ่ายเงิน...ปิดคดี...เฮ่อ!


3 มิ.ย. 55

วันนี้เราก็ตื่นเช้าอีกเช่นเคย หน้าร้อนของเมืองจีนเริ่มสว่างตั้งแต่ตี 5 แล้วก็ไปมืดเอาเกือบ 2 ทุ่ม พอตื่นเร็วคนนึง คนอื่นๆ ก็เลยต้องพลอยตื่นเช้าไปด้วย เพราะคนตื่นก่อนมันหิว...อีกแล้วครับท่าน


เช้านี้พวกเราไปแวะฟู้ดฟอรัมของห้างเดิมที่กินเมื่อวานตอนเที่ยง ด้วยเห็นว่าร้านอาหารดูจะน่ากินกว่าและมีร้านที่เปิดขายแต่เช้า อย่างไรก็ดีเราก็ยังต้องรอกันอีกพักหนึ่งก่อนที่ KFC จะเปิดตอน 7.30 น. โดยมีเมนูอาหารชุดตอนเช้าเป็นโจ๊ก ให้เลือกทั้งหมูแดง ไก่ และไข่เยี่ยวม้า แถมด้วยปาท่องโก๋เหนียวนุ่ม ให้พออุ่นท้อง ต้องใช้ภาษาใบ้กับคนขายเช่นเคยกว่าผู้จัดการจุ๋ยจะมาช่วยคุยให้ว่านอกจากอาหารชุดแล้ว นังนี่มันจะเอาน้ำเต้าหู้ร้อนด้วย คุยกันจนเข้าใจ? ก็ได้น้ำเต้าหู้เย็นมา 1 แก้ว ...เฮ้อ


หลังกินข้าวเช้าเสร็จเราก็เปิดประเด็นว่า วันนี้ใครจะเดินไปเหมือนเมื่อวานก็ได้นะ แต่พจจะขึ้นรถไฟใต้ดินไปรอที่สถานีเทียนอันเหมินตง (Tian an men East) หน้าพระราชวังต้องห้ามพอดี ซึ่งทุกคนก็พร้อมใจกันถนอมแรงไว้ไปเดินในพระราชวังต้องห้ามเนื้อที่ขนาด 1.5 ตารางกิโลเมตรอย่างไม่ลังเล


ฝนโปรยลงมาน้อยๆ พอเปียก เมื่อเราไปถึงกู้กง หรือพระราชวังต้องห้าม ถ่ายรูปกับลุงเหมาหน้ากำแพงแล้วก็ไหลตามนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ เข้าไปด้านในเพื่อซื้อบัตรเข้าชมสถานที่ ต่อจากกำแพงเป็นลานกว้างของเขตพระราชฐานชั้นนอก มีสะพานหินอ่อนซึ่งเป็นตัวแทนของคุณธรรม 5 ประการ คือ เมตตาธรรม มโนธรรม จริยธรรม สัตยธรรม และปัญญาธรรม ทอดข้ามแม่น้ำทองที่ยังคงมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่ตลอด

เมื่อข้ามไปแล้วก็จะเจออาคารที่จริงๆ แล้วเป็นประตูทำเป็นซุ้มทอดยาวมีสิงโตสำริดตัวใหญ่เฝ้าอยู่ด้านหน้า ผ่านประตูเข้าไปจึงจะพบพระตำหนักไท่เหอเตี้ยนที่ใหญ่ที่สุดในพระราชวังต้องห้าม ซึ่งผู้คนต่างก็เบียดแย่งกันไปดูบัลลังก์ไม้หอมที่ฮ่องเต้ประทับว่าราชการ ได้แต่มองผ่านๆ เพราะนอกจากจะเห็นแต่หัวคนที่สูงกว่าแล้วยังมีเสาขนาดใหญ่บังอยู่อีกต่างหาก ก่อนจะออกมาถ่ายรูปนกกระเรียนกับเต่าขนาดใหญ่ด้านนอกพระตำหนัก และรูปปั้นมังกรตัวเล็กๆ หลายสายพันธุ์ที่ชายคา (ตอนแรกๆ อาจมองเป็นสิงโตหรือลิง) ซึ่งจำนวนของมังกรจะแสดงถึงความสำคัญของพระตำหนัก โดยไท่เหอเตี้ยนจะมีมังกรมากที่สุดคือต่อจากรูปปั้นขงจื้อขี่หงส์ก็จะมีมังกรเรียงตามกันมาเป็นพรวนอีก 10 ตัว ตัวสุดท้ายคือผีซิ่ว หรือปี่เซี๊ยะที่พวกเรารู้จักกันดีนั่นเอง
พระตำหนักอื่นในเขตพระราชฐานชั้นนอกต่อจากไท่เหอเตี้ยน ยังมีจงเหอเตี้ยน พระตำหนักเล็กๆ ใช้เป็นที่ประทับให้ขุนนางถวายรายงาน และเป่าเหอเตี้ยน ใช้เป็นที่สอบจอหงวนและประกอบพิธีต่างๆ ถัดไปทางทิศเหนือเป็นบันไดหินอ่อนทั้งแผ่นหนัก 200 ตัน แกะสลักนูนเป็นลายมังกร 9 ตัวบนก้อนเมฆ มีไว้ให้ฮ่องเต้ (หรือจีนกลางเรียกหวงตี้) เสด็จผ่านไปว่าราชการ เฮ้อ...ดูไปแล้วกลายเป็นต้องเดินอย่างลำบากไปบนทางลาดขรุขระ ทั้งที่มีบันไดอยู่ด้านข้างทั้ง 2 ข้าง ที่สำคัญยังชันและสูงโพด....
ผ่านประตูเฉียนชิงเหมินที่กั้นระหว่างเขตพระราชฐานชั้นนอกกับชั้นใน ก็ถึงที่ประทับของฮ่องเต้ ฮองเฮา และเหล่านางสนม เป็นพระตำหนักเรียงกัน 3 หลัง คือพระตำหนักเฉียนชิงกง (ที่ประทับฮ่องเต้) พระตำหนักเจียวไท่เตี้ยน (ที่ประทับฮองเฮาราชวงศ์ชิง) และพระตำหนักคุณหนิงกง (ที่ประทับฮองเฮาราชวงศ์หมิง พอถึงราชวงศ์ชิงก็สร้างเจียวไท่เตี้ยนขึ้น และใช้ที่นี่เป็นที่ประกอบพิธีกรรมแทน) ริมๆ กำแพงจะมีอ่างขนาดใหญ่ใช้เก็บน้ำเพื่อดับไฟตั้งเรียงกันอยู่ ซึ่งจริงๆ แล้วคงต้องการสร้างขึ้นจากทองคำ แต่ขุนนางกังฉินหัวใสเหมือนกับสมัยนี้อมงบประมาณโดยหล่อจากโลหะสำริดแล้วเอาทองคำมาเคลือบไว้แทน สมัยปฏิวัติมีการนำกำลังเข้ามาขูดเอาทองออก จึงเหลือให้เห็นแต่โลหะเนื้อดำๆ มีรอยด่างของเนื้อทองติดอยู่ทั่วไป

เดินกันจนเมื่อยแล้วเมื่อยอีก ในที่สุดพวกเราก็นั่งพักกินขนมที่เตรียมมาและเกาลัดแทนข้าวเที่ยงกันแถวๆ ร้านขายของที่ระลึก ให้จุ๋ยได้ซื้อตุ๊กตาฮ่องเต้กับฮองเฮาไปประดับบ้าน คาดว่าอีกไม่นานคอนโดบ้านกลางกรุงคงเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เข้าเยี่ยมชมว่าเจ้าของไปถูกเชือดมาจากประเทศไหนบ้าง555

ย้อนกลับออกมาทางพระตำหนักชั้นนอก ทางขวามือจะมีประตูเชื่อมต่อไปหมู่ตำหนักตะวันออก ซึ่งทำเป็นหอจัดแสดงนาฬิกาที่เป็นของบรรณาการจากประเทศทางยุโรปในสมัยศตวรรษที่ 18 พวกเราวนไปวนมาเพื่อหาฉากเก้ามังกร หรือ จิ่วหลงปี้ ที่อยู่ภายในสวนจำลองของฮ่องเต้เฉียนหลง กว่าจะถึงบางอ้อว่ามันไม่ได้อยู่ในรั้วเดียวกับหอนาฬิกาก็เมื่อเสียค่าผ่านประตูเพิ่มอีกคนละ 10 หยวนและเดินดูนาฬิกากันจนทั่วแล้วนั่นแหละ ไหนๆ ก็เสียเงินเพิ่มแล้ว เราก็จ่ายกันอีก 10 หยวน เข้าไปดูหออัญมณี คราวนี้เราพบกับผู้คนล้นหลามจนเกือบมองไม่เห็นมงกุฏของฮ่องเต้ หรือสมบัติอื่นๆ ที่จัดแสดงเลย


เดินผ่านกำแพงยาวสุดลูกหูลูกตาไปก็ถึงส่วนสุดท้ายของพระราชวังต้องห้าม เป็นสวนอวี้ฮัวหยวน หรืออุทยานหลวง พระสนมทั้ง 2 นางและจุ๋ยกงกงก็มีอันหมดแรง ขี้เกียจเข้าไปเดินในหมู่ต้นสนและสวนหินกันแล้ว พอได้ถ่ายรูปกับต้นสนคู่อายุ 400 กว่าปีที่ลำต้นพันกันอยู่ อันเป็นเครื่องหมายของรักนิรันดร์ (แต่ดูไปมันก็เกือบๆ จะหักโค่นแล้วแหละ) ก็ได้เวลากลับออกมาทางประตูทิศเหนือหรือเฉินอู่เหมิน รวมใช้เวลาในกู้กงตั้งแต่ 8 โมงเช้า จนเกือบบ่าย 2 โมง


ปัญหาใหญ่ตอนนี้คือด้านทางออกไม่ยักมีร้านอาหารที่พวกเราคาดหวังไว้ว่าจะเจอจนอุตส่าห์เมินร้านย่อยๆ รายทางในพระราชวังที่ส่วนใหญ่จะขายบะหมี่ถ้วยสำเร็จรูป และฝนก็เริ่มตกปรอยๆ อีกครั้ง แถมยังไม่มีสถานีรถไฟฟ้าใกล้ๆ อีกด้วย จากแผนแรกที่พวกเราจะพักกินข้าวเที่ยงแล้วค่อยข้ามถนนไปยังสวนจิ้งซาน ซึ่งจะต้องขึ้นเขาไปอีกเพื่อชมวิวมุมสูงของพระราชวังต้องห้าม จากนั้นค่อยเดินต่อไปยังอุทยานเป่ยไห่ สวนสาธารณะที่เชื่อมต่อกับทะเลสาบ 5 แห่ง ได้แก่ เฉียนไห่ โฮ้วไห่ ซีไห่ จงไห่ และหนานไห่ จึงเป็นอันต้องพับไป สู้หาทางกลับโรงแรมหรือไปหาร้านอาหารกินกันดีกว่า


ฝนเริ่มตกหนาเม็ดขึ้นทำให้พวกเราไม่มีทางเลือก ต้องขึ้นรถเมล์ด้านหน้าประตูโดยคุ้นๆ ว่ามีบางสายที่ผ่านถนนหวังฝูจิ่ง แต่ที่แน่ๆ ที่ป้ายบอกสายรถเมล์ และรายละเอียดว่าจะจอดป้ายไหนบ้างนั้นไม่มีภาษาอื่นใด นอกจากภาษาจีน ดังนั้นสิ่งจำเป็นสำหรับนักเที่ยวเมืองจีนแบบเดินทางเองนอกจากจะต้องหาแผนที่ภาษาอังกฤษแล้วควรมีแผนที่ภาษาจีนที่มีตัวอักษรแสดงสถานที่ไว้เทียบกับป้ายด้วย พวกเราเลือกขึ้นสาย 109 ที่นานๆ มาทีแบบได้แต่หวังว่าคงจะผ่านไปแถวโรงแรมที่พัก


รถแล่นผ่านเส้นทางที่เริ่มจะคุ้น และสถานีรถไฟฟ้าริมทาง ชั่งใจอยู่ว่าจะลงไปต่อรถไฟฟ้ากันดีไหม จุ๋ยก็ให้กำลังใจว่าจากแผนที่แล้วอีกไม่ไกลก็ถึงถนนหวังฝูจิ่ง แต่สุดท้ายหลังจากขึ้นไปได้เกือบครึ่งชั่วโมง รถก็วิ่งกลับไปที่ท่ารถ ซึ่งเป็นถนนที่เราไม่เคยผ่านมาเลย คราวนี้พวกเราเลยต้องถามทางเพื่อต่อรถเมล์คันต่อไป เวลาบ่ายคล้อยแล้วบวกกับเดินกันมาทั้งวันและยังไม่ได้กินข้าวเที่ยง ทำเอาเริ่มจะหงุดหงิด แต่ในที่สุดพวกเราก็กลับมาถึงสถานีหวังฝูจิ่งจนได้


หลังจากเติมพลังด้วยซูชิหมุนในห้างข้างสถานีรถไฟฟ้ากันจนอิ่ม พวกเราก็ย้อนกลับไปนั่งรถไฟใต้ดินเพื่อไปที่วัดลามะ ซึ่งเป็นวัดพุทธทิเบต
ถือเป็นวัดสวยงามที่สุดในปักกิ่ง วิหารขนาดใหญ่ ทำด้วยไม้ทาสีแดง มีลวดลายสีน้ำเงินและทอง ปลูกต่อๆ กันไปเป็นแนวยาว แต่ละวิหารก็จะมีพระใหญ่คล้ายจะเป็นพระประธานของวิหาร เราใช้เวลานานโขในการขอพรที่วิหารแรก แต่เมื่อเดินผ่านประตูด้านหลังพระประธาน ไปจนถึงวิหารที่ 2 , 3 และ 4 แล้ว ก่อนจะไหว้พระต้องหันมาถามกันเองว่า วิหารนี้หมดยังอ่ะ? แล้วก็อธิษฐานในใจว่าขอเหมือนเดิมนะคะ ลูกช้างขี้เกียจนึกแระ แต่ที่สุดแล้ว พวกเราก็เจอวิหารสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่อลังการมากๆ กับพระประธานองค์ใหญ่มหึมา แกะสลักจากไม้ต้นเดียวและยังมีส่วนที่เป็นรากของต้นไม้ลึกลงไปใต้ดินอีก ตัววิหารสร้างขึ้นภายหลังครอบองค์พระไว้ แต่น่าเสียดายที่ห้ามถ่ายรูปกลับมาดู


ด้านข้างของวัดยังมีอาคารล้อมหมู่วิหารอยู่อีกชั้น ด้านนอกตั้งกงล้อพระธรรมให้หมุนตามเข็มนาฬิกาแล้วขอพร โดยทีแรกพวกเราก็ไม่รู้ว่าเอาไว้ทำอะไร เห็นชาวบ้านเขาหมุนกัน หมอปุ้มเห็นแล้วก็ดิ่งเข้าไปจะหมุนเล่นมั่ง พจก็เลยอธิบายให้ฟังว่าดูจากรูปนูนหลายๆ รูปที่กงล้อ อย่างรูปดอกกุหลาบที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้นั้น คิดว่าหมอปุ้มต้องอธิษฐานก่อนว่าถ้าหมุนแล้วรูปนี้กลับมาหยุดตรงหน้าอีกแปลว่า (ชาตินี้) จะได้แต่งงานแน่

จากนั้นหมอปุ้มก็ตั้งอกตั้งใจหมุน ปล่อยให้คนที่เหลือหลบฉากไปถ่ายรูปบริเวณใกล้ๆ ก่อนจะกลับมาดูผลที่ปรากฏว่า รูปดอกกุหลาบนั้นโผล่ออกมาให้เห็นครึ่งรูป แม่หมอก็เลยทายว่า แบบนี้น่าจะแปลว่าพอจะมีดวงได้แต่งงาน แต่หมอปุ้มจะเลือกแต่งหรือไม่แต่ง ก็ขึ้นอยู่กับตัวเองแล้วล่ะ.....เห็นมั๊ย แม่นโคตร หุหุ


พวกเราเดินกันอยู่จนถึงเวลาที่วัดปิด ออกมาด้านนอก พจนารถก็ร้องจะกิน chestnut cake เป็นขนมสีเหลืองคล้ายๆ ถั่วตัดแต่ก้อนใหญ่มาก ด้านบนประดับไว้ด้วยพุทราเชื่อมและชิ้นเกาลัด คนขายวางไว้บนรถจักรยานคู่ชีพ เมื่อเห็นคนที่เดินนำหน้าซื้อกินแบบที่คนขายยื่นมีดให้ตัดเอาเอง ก็เลยเอาบ้าง แต่ที่ไหนได้ ว่าจะเอาแค่ชิ้นเล็กๆ มาชิมกัน แต่ตัดออกมาแล้วหนักตั้งครึ่งกิโล และยังแพงตั้ง 50 กว่าหยวนอีกต่างหาก ดีที่เอาออกมาเดินกินหลังจากนั้นอีกนาน ไม่อย่างนั้นคงได้มีถุยใส่คนขายบ้างแหละ เพราะรสชาติช่างเหมือนแป้งนึ่งเนื้อเหนียว อุตส่าห์นึกในแง่ดีไว้ก่อนว่า ถ้าอร่อยคราวหน้าจะให้คนขายตัดให้แล้วยื่นให้แค่ 5 หยวน บอกว่าตูจะซื้อแค่นี้แหละ เลยต้องคิดใหม่ว่าจะเอาไปกินกับกาแฟมื้อเช้าแทนข้าวดีมั๊ยเนี่ย...เสียดายเงินจัง


พวกเรากลับไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแถวโรงแรมอีกครั้ง เพื่อจะซื้อทัวร์ไปกำแพงเมืองจีน และซื้อตั๋วเข้าชมการแสดงงิ้วในค่ำคืนนี้ แต่เวลาฉาย 19.30 น. ทำให้พวกเราไม่มีเวลากินมื้อเย็น ได้แต่เดินไปหาอะไรรองท้องที่แผงขายอาหารเสียบไม้ตรงข้ามโรงแรม พจกับจุ๋ยซื้อเต้าหู้ทอดราดน้ำจิ้มมากันคนละถ้วย ส่วนหมอปุ้มได้อะไรซักอย่างที่คล้ายๆ ก๋วยเตี๋ยวหลอด สุดท้ายพวกเราก็ผิดหวังกับอาหารจีนกันอีกครั้งเมื่อน้ำจิ้มเต้าหู้กลิ่นเหม็นอย่างกับปลาร้าไม่ได้พาสเจอร์ไรซ์ ส่วนก๋วยเตี๋ยวหลอดของหมอปุ้มมีไส้เป็นผักนิดหน่อยและจืดสนิท จากนั้นพวกเราก็ขึ้นรถไฟฟ้าต่อด้วยแท็กซี่ ตามที่พนักงานศูนย์บริการบอก แล้วก็ไปถึงโรงแรมที่มีการแสดงงิ้วก่อนเวลาเพียงไม่กี่นาที
อันตัวข้าพเจ้านั้นไม่เคยดูงิ้วในเมืองไทยมาก่อน แต่ก็คิดว่าคงจะคล้ายๆ กันตรงที่ฟังไม่รู้เรื่อง แต่สำหรับโชว์นักท่องเที่ยวที่นี่แล้ว เขาติดจอด้านข้างโรงละคร มีภาษาอังกฤษเป็นตัววิ่งไว้ให้อ่านด้วยว่าตัวละครพูดว่าอะไร จึงค่อยน่าสนใจ แต่พอผ่านไปได้ครึ่งชั่วโมง หันไปดูด้านซ้ายและขวาก็พบว่าจุ๋ยกับหมอปุ้มหลับไปกันหมดแล้ว แต่อย่างไรเสีย เพื่อความคุ้มค่า พจนารถก็เลยถ่างตาดูต่อไปจนจบท่ามกลางเสียงกรนของเพื่อนๆ และแขกผู้มีเกียรติคนอื่นๆ


พวกเราออกจากโรงแรมในเวลา 3 ทุ่มแล้ว หลังจากที่เดินกันจนเหนื่อยมาทั้งวันเลยตัดสินใจเรียกแท็กซี่ไปส่งที่โรงแรม เป้าหมายคือไปกินอาหารเสียบไม้กันที่แผงอาหารกลางคืนกันต่อ แต่ไปถึงได้ไม่กี่นาที แผงขายอาหารที่สว่างไสวก็ไฟฟ้าดับกันพรึ่บจนมืดไปทั้งถนน ทีแรกคิดว่าคงไฟฟ้าขัดข้อง ไม่นึกเลยว่าพ่อค้าแม่ค้าก็เริ่มเก็บข้าวของกันเตรียมปิดกิจการในเวลา 3 ทุ่มครึ่ง...แง อดกินๆ


พวกเราเดินกันอย่างสิ้นหวังเหมือนวิญญาณหิวโซล่องลอยอยู่แถวๆ นั้น จนไปเจอร้านบะหมี่ที่เปิด 24 ชั่วโมง ใช้วิธีชี้รูปสั่งอาหารกันเหมือนเคย ระหว่างรอก็เห็นว่าในชามบะหมี่ของคนที่ได้ก่อนพวกเรานั้นมีลูกชิ้นลูกใหญ่โคตร ดูเหมือนเจ้าของบะหมี่จะรับรู้ถึงรังสีความหิวปนจิตสังหารของนักท่องเที่ยวทั้งสาม ก็เลยเปิดแน่บไปหาที่นั่ง ปล่อยให้พวกเรายืนรออาหารหน้าเคาน์เตอร์กันต่อไป ต่อจากนั้นก็ไม่วายพากันมานั่งที่โต๊ะข้างๆ เพื่อเหล่มองเจ้าลูกชิ้นยักษ์ต่อ ดูซิว่าคนจีนเค้ามีวิธีกินเหมือนพจนารถหรือเปล่าที่ใช้ตะเกียบเสียบเข้าไปตรงกลางแล้วก็แทะๆๆๆ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า แค่แป๊บเดียวคนไทย 3 คนก็พูดพร้อมกันว่า “อ้าว...นั่นมันไข่นี่หว่า ตูก็นึกว่าลูกชิ้น” ให้คนอื่นๆ ในร้านหันมามองกันอีก ส่วนพ่อหนุ่มเจ้าของลูกชิ้นที่กลายเป็นไข่ซะงั้นก็รีบกินรีบไป เพราะยังร้องเพลงลูกชิ้นของฉัน (ที่อุตส่าห์เหลือไว้กินตอนสุดท้าย ให้คนอื่นเค้าคอยลุ้น) ของน้องพลับไม่เป็นนั่นเอง


4 มิ.ย. 55

เช้านี้พวกเราไปเที่ยวพระราชวังฤดูร้อน หรือ อี้เหอหยวน โดยขึ้นรถไฟใต้ดินแล้วเดินต่ออีกนิดก็ถึงแล้ว หลังจากซื้อบัตรผ่านประตูแบบเข้าชมได้ทุกสถานที่ภายในแล้ว พวกเราก็เริ่มเดินกันที่เมืองจำลองที่สร้างเลียนแบบย่านการค้าของซูโจว ซึ่งตั้งอยู่ริมน้ำ เรียกว่า ถนนซูโจว


เมื่อเห็นว่าค่าเช่าชุดถ่ายรูปริมน้ำนี้เพียง 20 หยวนเท่านั้น พจนารถก็ไม่ลังเลที่จะปรี่เข้าไปหาคนเช่าชุด ก่อนจะชี้เอาชุดสีแดงกับที่คาดผมดอกโบตั๋นสีแดงดอกใหญ่ ไม่สนใจเจ้าของร้านที่ชักชวนให้ใส่ชุดฮองเฮาสีเหลืองพร้อมหมวกประดับไข่มุก หลังจากแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จแล้ว สนมหย่ายก็เดินฉับๆ ไปนั่งที่บัลลังก์ทอง ทำท่าให้ถ่ายรูป โดยมีเพื่อนๆ เตรียมกล้องรออยู่แล้ว คนของร้านใช้กล้องของพจถ่ายให้ประมาณ 2 รูปก็คิดจะเลิก แต่นางแบบไม่ได้สนใจ ทำท่าโน้นท่านี้ไปเรื่อยแบบที่นางในตัวจริงมาเห็นคงจะร้องไห้กับท่วงท่าอย่างกุลสตรีที่งามพร้อม แม้แต่ฝรั่งนักท่องเที่ยวยังหยุดชี้ชวนกันดูและถ่ายรูปกลับไปด้วย เมื่อพอใจแล้วนางแบบก็เดินถึกๆ กลับไปถอดชุดเก็บ ให้เจ้าของร้านถามด้วยความงงงวยว่า ไท่กั๋ว? (คนไทยหรือนี่?) คิกๆ สงสัยจะเข็ดไปอีกนาน

เราเดินถ่ายรูปกับวิวสวยๆ กันต่อไปเรื่อยๆ รอบฝั่งคลอง จนไปเจอกับร้านเช่าชุดอีกร้านที่เป็นเคหา คราวนี้จุ๋ยเลยคิดจะถ่ายรูปชุดฮ่องเต้บ้าง ถามราคาดูแล้ว 30 หยวน แพงกว่านิดนึงแต่ก็ไม่เป็นไร ดีกว่าเดินย้อนกลับไปร้านเดิม คราวนี้ชุดฮ่องเต้ใส่ยากกว่าจนเพื่อนๆ ต้องเข้าไปช่วยด้วย จากนั้นเจ้าของก็ถ่ายรูปด้วยกล้องจุ๋ยให้ ยังไม่ทันที่กล้องของเพื่อนๆ จะทำงาน ผู้ชายที่อยู่ด้วยในร้านก็ถามจุ๋ยว่าจะให้อัดรูปด้วยหรือเปล่า คิดรวมกับค่าเช่าชุด 100 หยวน พร้อมทั้งชี้ให้ดูภาพขนาด 8 X 10 นิ้ว ที่ติดผนังเป็นตัวอย่างอยู่ในร้าน พอจุ๋ยตกลงเขาก็เอากล้องตัวใหญ่มาถ่ายให้แล้วก็รีบถอดเมมของกล้องมาใส่กับเครื่องพิมพ์รูป ปล่อยให้จุ๋ยโวยวายว่าทำไมไม่ถ่ายหลายๆ รูปแล้วให้จุ๋ยเลือกรูปที่ดีที่สุดไปอัด ที่แน่ๆ ตูยังไม่ทันยิ้มเลยเฟ้ย หลังจากนั้นก็หน้าบูดจนกล้องของเพื่อนๆ เกือบจะไม่ได้ทำงาน ก่อนที่จะได้รูปขนาด 4 X 6 นิ้วกลับไปให้ช้ำใจเล่น 1 ใบ
จากนั้นพวกเราก็ลัดเลาะขึ้นบันไดไปจนถึงวัดจื้อหุ่นไห่ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าตำหนักไร้คาน (ชื่อเป็นมงคลยิ่งนัก) เนื่องจากเป็นศาลามุงกระเบื้องที่ไม่มีขื่อคาน รอบๆ ผนังด้านนอกตกแต่งด้วยพระพุทธรูปเคลือบสีองค์เล็กๆ พวกเราแวะเข้าไปไหว้พระกันแป๊บเดียวเพราะมีนักท่องเที่ยวแออัดกันเป็นจำนวนมาก ก่อนจะพักกินไอศกรีมแก้ร้อนแล้วค่อยเดินไปที่เจดีย์แปดเหลี่ยมฝ๋อเซียงเก๋อ ที่สวยงามและสูงใหญ่ ภายในมีเจ้าแม่กวนอิมพันกรอยู่

พอทะลุออกไปด้านนอกก็จะเจอพระตำหนักที่ประทับของพระนางซูสีไทเฮาอยู่ใกล้ๆ ทะเลสาบคุนหมิงที่ขุดขึ้น ทางด้านหน้ามีท่าเรือให้ล่องทะเลสาบและไปจนถึงเกาะกลางทะเลสาบที่มีสะพานหินอ่อน 17 ช่องเชื่อมทั้ง 2 ฝั่งเข้าด้วยกันโดยไม่ต้องใช้เรือไปที่เกาะ

ใกล้เที่ยงแล้ว พวกเราไม่ได้นั่งเรือ แต่เลือกเดินไปตามระเบียงฉางหลาง ที่มีหลังคาคลุมตลอดแนวจากส่วนตำหนักยาวไปถึง 777 เมตร ตรงขื่อคานของระเบียงมีภาพวาดสวยงามให้ดูตลอด สุดจากระเบียงเราก็เจอศูนย์อาหาร แต่วันนี้เรามีเป้าหมายคือกินข้าวเที่ยงกันที่ร้านสุกี้มองโกลใกล้ๆ โรงแรม เลยได้แต่เพียงซื้อแซนวิชอันใหญ่ และโยเกิร์ตกินกันไปพลางๆ ก่อน จากราคาขายของโยเกิร์ตที่ติดป้ายไว้แถวๆ ระเบียงฉางหลางเพียง 4 หยวน (แถวโรงแรม 6 หยวน) แต่พวกเราซื้อในศูนย์อาหารในราคาถึงไหละ 10 หยวน ดังนั้นเมื่อกินเสร็จ พจนารถก็โมเมบอกเพื่อนๆ ว่านี่มันเป็นราคาไม่ต้องคืนไห ว่าแล้วก็เก็บใส่เป้กลับบ้านไปเป็นที่ระลึกหน้าตาเฉย

ก่อนถึงทางออกมีเรือหินอ่อนอยู่ริมฝั่งทะเลสาบเป็นเรือที่พระนางซูสีไทเฮาผู้ว่ายน้ำไม่เป็นแต่อยากจะลงเรือ สั่งให้สร้างขึ้นไว้พักผ่อนและชมการแสดง คนจีนอาจจะไม่ค่อยพอใจเรื่องของความฟุ้งเฟ้อ แต่คนไทยก็ตั้งหน้าตั้งตาถ่ายรูปกันอีกเช่นเคย


พวกเราออกที่ทางออกทางด้านทิศตะวันออก ไม่ใช่ทิศเหนือเหมือนขามา ดังนั้นจึงต้องเดินย้อนกลับไปทางเดิมที่ค่อนข้างไกล ระหว่างทางมีขนม ข้าวโพดต้ม ขายอยู่ แต่ก็เข็ดซะแล้วเมื่อนึกถึงเค้กเกาลัด เทียบกับเมื่อวานแล้ว วันนี้เราทำเวลาได้ดีเมื่อกลับมาถึงร้านอาหารในเวลาเลยบ่ายโมงมาไม่นานนัก


ร้านสุกี้มองโกลเป็นร้านสุกี้ที่หมอปุ้มหาข้อมูลไว้แล้วพร้อมทั้งเตรียมน้ำจิ้มสุกี้สูตรไทยๆ มาด้วยอีก 1 ขวด แถมยังอยู่ใกล้กับโรงแรมที่พักมากๆ หน้าตาของหม้อสุกี้คล้ายหม้อไฟของเมืองไทย มีพื้นที่ให้ใส่เนื้อสัตว์และผักลงไปต้มแล้วค่อยใช้ตะเกียบหรือช้อนตักขึ้นมา เมื่อพวกเราสั่งชุดสำหรับ 3 คน อันประกอบด้วยผักหลายๆ อย่าง เนื้อแกะ เนื้อวัว และเนื้อหมูหั่นบางๆ แล้วยังมีเนื้อแกะย่างมาให้อีกคนละ 3 ไม้ ขนมออร์เดิร์ฟ แล้วก็เส้นบะหมี่ จากตอนแรกที่อึ้งกับปริมาณที่พนักงานค่อยๆ ลำเลียงมาใส่ให้ในรถเข็นข้างๆ โต๊ะ ไม่นานนักอาหารส่วนน้อยก็ลงไปอยู่ในหม้อ ส่วนที่เหลือน่ะอยู่ในกระเพาะของพวกเราเรียบร้อยแล้ว

เดินมาอีกนิดเป็นร้านเป็ดปักกิ่งเจ้าดังที่ทัวร์คนไทยมักจะพามากิน คือ ร้านฉวนจู้เต๋อ สาขาหวังฝูจิ่ง พวกเราได้แต่ฝากไว้ก่อนเพราะขืนกินเต็มคราบอีกในมื้อเย็นเกรงว่าจะต้องรีบเที่ยวและรีบกลับมาเพราะดูไปแล้วผู้คนน่าจะพากันมากินจนล้นหลาม


ยังมีเวลาเหลือให้พวกเราไปจองตั๋วรถไฟไปเซี่ยงไฮ้กันที่สถานีรถไฟปักกิ่ง จากสถานีรถไฟฟ้าแล้วไปถึงได้ง่ายมาก พวกเราอึ้งกับความใหญ่โตของสถานีรถไฟ ก่อนจะเดินวนดูรอบนอกว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี สุดท้ายก็ได้รับคำแนะนำว่าให้ไปซื้อตั๋วที่อาคารขายตั๋ว ที่อยู่ถัดจากอาคารผู้โดยสารไปอีก ในอาคารขายตั๋วมีหลายช่องบริการ แต่ช่องที่เขียนไว้เป็นภาษาอังกฤษว่าสำหรับนักท่องเที่ยวที่พวกเราไปต่อแถวอยู่นั้น มีแต่คนจีน ทำให้หวั่นใจว่าจะพูดกันรู้เรื่องหรือเปล่า นอกจากนี้ตารางเวลารถไฟที่แขวนอยู่ริมผนังยังไม่มีเลขขบวนที่พวกเราจะขึ้นในวันที่ 6 อีกด้วย นับว่าโชคยังเข้าข้างที่ถึงแม้ว่าขบวน T (High speed train) ที่เป็นรถนอนแน่ๆ นั้นไม่ได้วิ่งในเวลาที่พวกเราจะไปจริงๆ แต่รถขบวน D ซึ่งเป็น multiple unit train หรือรถไฟหัวกระสุน และดีกว่าขบวน T นั้นเราหาข้อมูลไม่ได้ว่าเป็นตู้นอนหรือเปล่า มีรถออกในเวลา 20.50 น. และจะไปถึงเซี่ยงไฮ้ในเวลา 8.15 น. ในที่สุดพวกเราก็ได้เดินทางด้วยรถตู้นอนชั้น 1 แบบ soft seat ไปเซี่ยงไฮ้ ระยะทาง 1,320 กม. ด้วยความเร็วเฉลี่ยประมาณ 240 กม./ชม.

ฟ้ายังไม่มืด พวกเราพากันไปต่อที่สนามกีฬารังนก นั่งรถไฟต่อกันไปหลายทอดมาก แต่ค่าโดยสารก็ยังคงเป็น 2 หยวนตลอดสายถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนสายรถไฟก็เถอะ

ออกมาจากสถานีโอลิมปิกกรีนได้ เราก็พบพื้นที่กว้างใหญ่ มองเห็นว่าวซ้อนกันหลายชั้นถูกชักลอยลมเรียกลูกค้า ด้านอื่นๆ ก็จะมีช่างภาพมาหาลำไพ่คอยถ่ายรูปที่ระลึกให้กันเยอะแยะ พวกเราเลี่ยงคนทำมาหากินเหล่านี้ไปซื้อไอศกรีมกล้วยท่าทางจะอร่อยก่อนจะเดินไปถ่ายรูปกับอาคารที่ออกแบบมาเป็นสนามกีฬาโอลิมปิกปี 2008 ซึ่งโครงสร้างเป็นเหล็กสีเทา สานไขว้กันไปมาคล้ายรังนก ภายในมีที่นั่งเป็นหมื่นสำหรับชมพิธีเปิด-ปิดกีฬาโอลิมปิก สนามใช้แข่งกรีฑาและฟุตบอล


ฝั่งถนนตรงข้ามมีตึกของ IBM ที่ยอดตึกทำเป็นรูปมังกรดูแปลกตา ถัดมาตรงข้ามกับสนามกีฬารังนกพอดีจะเป็นอาคารศูนย์กีฬาทางน้ำแห่งชาติจีน หรือ water cube เป็นอาคารสี่เหลี่ยมผืนผ้า ผนังด้านนอกทำจากเทฟล่อนเป็นรูปฟองสบู่สีฟ้าอ่อนที่ยอมให้แสงผ่านเข้าได้ถึง 90% ตอนกลางคืนมีการเปิดไฟจากข้างในดูสวยงามมาก


พอเริ่มมืดจุ๋ยยังชักชวนให้ไปต่อกันที่ถนนซานหลี่ถุนในย่านสถานฑูต ที่มีกลุ่มห้างตกแต่งด้วยกระจกสี คาเฟ่และบาร์มากมาย เราดักคอไว้ว่าวันนี้เป็นวันวิสาขบูชาของปีพุทธชยันตี บอยไม่ดื่มนะฮะ น่าเสียดายที่พวกเรามากันมืดไปหน่อย ตลาดหย๋าโชว คล้ายๆ มาบุญครองที่อยู่แถวนั้นเลยปิดไปซะแล้ว เราเลยได้กินมื้อเย็นกันที่ KFC ใกล้ๆ ก่อนจะนั่งแท็กซี่กลับมาที่โรงแรม


5 มิ.ย. 55


วันนี้พวกเราซื้อทัวร์กำแพงเมืองจีนกับทางศูนย์บริการนักท่องเที่ยว รถมารับเราตั้งแต่ 7.15 น. นอกจากพวกเรา 3 คนแล้ว ยังมีฝรั่งหนุ่มสาวอีก 2 คน รถที่มารับคล้ายๆ ฟอร์จูนเนอร์ มีคนขับและไกด์สาวใหญ่ท่าทางไฮโซมาด้วย พวกเราไปแวะสุสานราชวงศ์หมิงกันก่อน แต่เวลาเปิดคือ 8.30 น. รถจึงพาเราไปที่ร้านขายหยก ซึ่งก็ยังไม่เปิดอีกเช่นกัน วนอ้อมกลับมาที่สุสานแล้วรอพักหนึ่ง พวกเราก็เป็นพวกแรกที่เข้าไปในสุสานแห่งนี้

ดูท่าแล้วเจ๊ไกด์ไม่ค่อยอยากเข้าไปในสุสานซักเท่าไหร่ เพราะลงจากรถได้คุณเธอก็ควักหน้ากากกระดาษมาปิดปากปิดจมูกไว้ แล้วก็พาเราไปยังศาลาที่ใช้ประกอบพิธีเซ่นไหว้เจ้าของสุสาน โดยไม่ได้ก้าวเข้าไปด้านใน พออธิบายจบ เธอก็บอกให้พวกเราเข้าไปเดินดูได้ แต่อาคารเก่าแก่และบรรยากาศเงียบเหงาก็ทำเอาลูกทัวร์ทั้งหลายเดินดูผ่านๆ แล้วก็ออกมาเดินตามไกด์เข้าไปที่ตัวสุสานด้านใน ซึ่งเป็นเนินเขา มีเสาประตูที่ใช้แทนปากทางไปโลกหน้า (ไม่ให้เดินผ่าน) อยู่ตรงกลาง ส่วนด้านข้างเป็นบันไดให้พวกเราเดินขึ้นไปดูอาคารด้านบน ซึ่งทำเลียนแบบตำหนักขนาดเล็ก

จากที่ฟังไกด์เล่า จับใจความได้ว่าพระศพรวมทั้งสมบัติจะถูกฝังอยู่ที่ใดสักแห่งบริเวณนี้ตามฮวงจุ้ยที่เหมาะสม โดยไม่มีการขุดกันขึ้นมา แต่จากหนังสือท่องเที่ยวที่พวกเรานำมาด้วยนั้นแนะนำว่าสุสานราชวงศ์หมิงถูกขุดขึ้นมาและยังเปิดแสดงสมบัติที่ขุดพบอีกด้วย เลยไม่แน่ใจว่าจะเป็นสุสานแห่งเดียวกันหรือเปล่า แต่ในวันที่อากาศดีอย่างนี้ ถึงไม่ต้องลงไปดูฮวงซุ้ยชาวบ้าน ได้มองเห็นวิวต้นสนที่ปลูกไว้โดยรอบเนินที่สงบและสวยงามก็เพียงพอแล้วสำหรับเรา เมื่อมองเลยไปอีกก็ยังเห็นสุสานอื่นๆ บนยอดเขาข้างเคียงอยู่ลิบๆ


ใช้เวลาแป๊บเดียวเท่านั้นพวกเราก็กลับออกมาขึ้นรถไปยังร้านขายหยกที่มีอยู่ดั้งเดิมในแถบนั้น เพราะอยู่ใกล้กับภูเขาที่พบแร่หยก ซึ่งคงเป็นข้อบังคับของทุกทัวร์ที่จะต้องพานักท่องเที่ยวมาแวะ เราได้รู้ว่าหยกมีหลายสี โดยหยกที่มีค่ามากที่สุดจะมีสีขาวใส พนักงานร้านยังแนะนำวิธีดูหยกแท้ว่าถ้านำไปส่องใต้แสงไฟจะเห็นโปร่งแสง อาจจะมีลวดลายภายในบ้าง เมื่อนำมาขูดจะทำให้กระจกเป็นรอย และจับดูให้ความรู้สึกเย็น ต่างกับหินอ่อนและพลาสติก ส่วนการเลือกซื้อกำไลให้นำกึ่งกลางวงของกำไลมาทาบกับปุ่มของกำปั้นเมื่อกำมือ ขนาดที่กำลังดีจะกว้างประมาณ 3 ข้อนิ้ว ว่าแล้วก็ทดสอบกับมืออันใหญ่โตของพจนารถ ซึ่งหลังจากเทียบแล้วก็ปรากฏว่าใส่ไม่เข้า ต้องเปลี่ยนขนาดกำไลให้ใหญ่ขึ้นอีกถึง 3 วง ทำเอาคนขายเสียความมั่นใจไปไม่น้อย แต่อย่างไรก็ดีความรู้สึกว่าหยกนั้นเหมาะกับผู้สูงอายุมากกว่า นอกจากนี้ยังราคาค่อนข้างแพงเลยทำให้หมดโอกาสดูดเงินไปจากกระเป๋าคนไทยทั้ง 3


จากนั้นรถก็พาไปที่ด่านปาต๋าหลิ่ง ทางขึ้นด้านหนึ่งของกำแพงเมืองจีนที่นักท่องเที่ยวนิยมไป ดูเหมือนว่ารถจะไปส่งพวกเราเหนือขึ้นไปจากจุดจอดรถทัวร์อีกระดับหนึ่ง ดังนั้นจึงเหมือนกับว่าพวกเราเริ่มขึ้นกำแพงเมืองจีนจากช่วงตรงกลางของทางเดินด่านนี้ พอแหงนมองไปที่ป้อมสูงสุดจนคอตั้งบ่า ก็ได้แต่บอกตัวเองว่า ถ่ายๆ รูปแล้วก็กลับดีกว่าแฮะ ดังนั้นพอพ้นช่วงทางลาดไปเจอบันไดทางขึ้นที่สูงชันได้ จุ๋ยก็ถอนตัวเป็นคนแรก ด้วยเหตุผลฟังขึ้นว่าขาขึ้นอ่ะไม่เท่าไหร่ แต่ขาลงที่มองลงมาเห็นความสูงชันแล้วจะลำบากคนกลัวความสูง ซึ่ง 2 สาวก็ไม่ว่าอะไร ใครขึ้นไปไหวเท่าไรก็เท่านั้น เพราะพวกเรามาเที่ยว ไม่ได้มาสอบ


มีป้อม หรือฐานสำหรับพักเหนื่อยถัดขึ้นไปอีก 3 ป้อม ในสมัยก่อนใช้เป็นหอสังเกตการณ์และคอยส่งสัญญาณเมื่อข้าศึกเข้ามาโจมตี แต่กว่าพจนารถจะยกสังขารขึ้นไปจนถึงป้อมแรกได้ ก็ต้องนักพักอยู่ที่ขั้นบันได เหมือนนักท่องเที่ยวชราคนอื่นๆ หลายครั้ง ปล่อยให้หมอปุ้มที่เรี่ยวแรงเหลือเฟือขึ้นไปตามสบาย ส่วนตัวแล้วตั้งเป้าหมายไว้ว่าขึ้นไปถึงป้อมแรก ถ่ายรูปแล้วก็ลงดีกว่า ระหว่างที่พักให้ลมโกรกก็มองบรรยากาศรอบๆ กำแพงเมืองจีนที่ต้นไม้ยังเขียวชอุ่มอยู่เต็มภูเขาไปด้วย มองนักท่องเที่ยวด้วยกันที่ทำท่าลำบากลำบนใต่ขึ้นมา น่าแปลกอยู่เหมือนกันที่สาวๆ ชาวจีนนิยมใส่กระโปรงเดินเที่ยว ตั้งแต่วันแรกที่เทียนอันเหมิน หรือในพระราชวังต้องห้าม เราจะเห็นคนจีนใส่รองเท้าส้นสูง ใส่กระโปรงสั้นบ้างยาวบ้าง เดินเที่ยวกัน แต่ไม่นึกเลยว่าขนาดบนกำแพงเมืองจีนก็ยังอุตสาหะแต่งตัวแบบนี้มาเที่ยวอีก ประมาณว่าเดินลำบากไม่กลัว กลัวไม่สวยมากกว่านั้นแล

กำแพงเมืองจีน หรือ ฉางเฉิง นั้นยิ่งใหญ่สมกับที่เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ถึงแม้ว่าปัจจุบันตัวกำแพงจะไม่ได้เชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์ บางส่วนก็พังทลายไปบ้าง แต่แนวกำแพงที่มองเห็นต่อเนื่องกันไปก็ยังทำให้พอนึกภาพของ วั่นหลีฉางเฉิง หรือกำแพงหมื่นลี้ ที่ยาวคดเคี้ยวผ่าน 7 มณฑลของจีนรวมระยะทาง 6,325 กิโลเมตรได้ดี


กลับลงมารอหมอปุ้มตรงที่จุ๋ยหยุดรอไม่นาน หมอปุ้มก็วิ่งลงมาอย่างร่าเริง คงได้โอกาสใช้ฮอร์โมนที่มีเหลือเฟือเดินขึ้นเดินลงออกกำลัง จากนั้นพวกเราก็ถ่ายรูปกระโดดกัน แต่ก็ไม่แปลกแยกเท่าไหร่นักเพราะคนอื่นๆ เขาก็ทำกัน รวมทั้งฝรั่ง 2 คนที่มาทัวร์เดียวกับพวกเราด้วย


เดินลงมาด้านล่างบริเวณจอดรถยังมีร้านขายของที่ระลึกมากมาย ไม่ได้เดินดูมากเพราะใกล้จะถึงเวลานัด ซึ่งไกด์ให้เวลาที่นี่แค่ชั่วโมงนิดๆ เท่านั้น แต่ก็ดีอยู่อย่างที่ได้กินข้าวตอนเที่ยงเสียที ไม่ต้องกินเอาบ่ายแก่ๆ เหมือนทุกวันที่ผ่านมา อาหารเที่ยงเป็นโต๊ะจีนที่รสชาติพอใช้ได้ พวกเราถือว่าใช้แรงไปพอสมควรกับการเดินขึ้นกำแพงเมืองจีนและกินข้าวแต่เช้าตรู่เลยกินได้เยอะ ฝรั่งที่มาด้วยได้แต่อึ้งกับกระเพาะชาวเอเชีย


ต่อจากนั้นไกด์ก็พาไปร้านขายชาจีนให้พวกเราได้ชิมชาต้นตำรับ ทั้งชาดอกมะลิ ชาอู่หลง รวมถึงชาเพียว ลำต้นสูงใหญ่ที่กว่าจะเก็บได้ต้องรอเป็นหลายปี หลังจากชิมจนครบแล้ว เราก็เลือกชาอู่หลงกลับมาเป็นของฝากเพราะหอมที่สุด แต่ซื้อแค่กล่องเดียว ถึงแม้ว่าที่ร้านจะโปรโมตว่าซื้อทั้งแพค 4 กล่องจะแถมตุ๊กตาเด็กแก้ผ้าที่เอาน้ำร้อนเทรดก็จะมีน้ำพุ่งออกมาเหมือนเด็กกำลังฉี่ให้ก็เถอะ ไกด์เริ่มมีแรงใจเมื่อลูกทัวร์เริ่มจับจ่ายของ จึงได้พาเราไปที่ร้านผ้าไหมใกล้ๆ กันนั้นต่อ พวกเราได้เห็นวิธีสาวเส้นไหมออกมาจากรัง โดยไหมจะมีเส้นเดี่ยวกับเส้นคู่ ซึ่งเส้นคู่ที่ไม่ได้ใช้ทำเสื้อผ้านั้น จะนำไปทำไส้ผ้านวม ที่ห่มได้อุ่นสบายไม่ว่าจะหน้าร้อนหรือหน้าหนาว คราวนี้พจกับจุ๋ยก็เลยซื้อกลับมากันคนละผืน พวกเราถามไกด์เรื่องครีมบัวหิมะ ซึ่งเป็นเป้าหมายของฝากเดิมที่จะซื้อกลับ ไกด์ทำท่างง ประมาณว่ามันใช้ดีจริงเหรอ


จุดหมายต่อมาเป็นศูนย์แพทย์แผนตะวันออก ซึ่งในโปรแกรมระบุว่ามีแถมนวดเท้าให้ฟรี และจากการโทรถามแล้วที่นี่ก็มีครีมบัวหิมะ หรือ ฟู จือ เป่า ขายอีกด้วย ระหว่างนวดเท้าก็จะมีหมอแผนตะวันออกที่พูดไทยได้มาตรวจอาการและสั่งยาให้พวกเรา พจนารถนั่งอยู่ริมทางเลยโดนตรวจชีพจรก่อนคนอื่น ซินแสจับๆ ที่ฝ่ามือแล้วก็หันไปบอกจุ๋ยที่นั่งข้างๆ ว่า ฮูหยินตั้งครรภ์แล้ว ...ม่ายช่าย บอกว่าฝ่ามือเราซีด เป็นอาการของโรคตับร้อนใน ควรจะต้องกินยาบำรุงตับซัก 3 เดือน รวมมูลค่ายาเบ็ดเสร็จก็หมื่นกว่าๆ เอ๊ง เราก็เลยยิ้มๆ บอกว่าขอคิดดูก่อน ส่วนจุ๋ยได้ตรวจคนต่อไป เจ้าตัวกำลังเกร็งที่มีผู้ชายมาจับมือ เอ๊ย! กลัวว่าหมอจะทักเรื่องมะเร็ง แต่ก็ไม่มีอะไรมากจะกินยาบำรุงร่างกายสักหน่อยก็ดี ส่วนหมอปุ้มนี่แข็งแรงดี พอหันกลับมาหาเหยื่อตัวแรก ก็ได้รอยยิ้มกว้างขวางพร้อมกับบอกว่ายังไม่ซื้อจ้า


หมอนวดเท้าฝีมือใช้ได้ทีเดียว เราหายเมื่อยขบจากการปีนกำแพงเมืองจีนไปได้เยอะ เสียดายดันลืมยาหม่องตราเสือที่เตรียมมาจากเมืองไทยไว้สำหรับทิปโดยเฉพาะไว้ที่โรงแรม ก็เลยทิปเป็นเงินหยวนไป และพอกลับมาถึงโรงแรมก็ต้องทิปไกด์กับคนขับรถอีก รวมแล้วได้เที่ยวจริงๆ ทั้งวันที่สุสานราชวงศ์หมิงกับกำแพงเมืองจีนใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง นอกนั้นเป็นการช้อปปิ้งอย่างเดียวเลย...เฮ้อ


เรากลับมาถึงโรงแรมตอน 5 โมงเย็น ทำให้มีเวลาเหลือเฟือสำหรับไปกินเป็ดปักกิ่งเจ้าดังร้าน ฉวนจู้เต๋อ แบบไม่ต้องรอคิว เพราะคนส่วนใหญ่จะมากันประมาณ 1 ทุ่ม จากที่หาข้อมูลมานั้น เป็ดปักกิ่ง หรือ เข่าเอีย 1 ตัว ถ้าสั่งก็จะได้เนื้อส่วนที่ติดหนังย่างมา ส่วนอื่นๆ จะทำเป็นอาหารอย่างอื่นมาให้ และหลายๆ แหล่งข้อมูลบอกว่าสั่งแค่เป็ดปักกิ่งอย่างเดียว กิน 3 คนก็ไม่หมดแล้ว

ในเมนูนั้นมีเป็ดปักกิ่งแบบที่เป็นชุด 3 คน ซึ่งในรูปก็มี ขนมออร์เดิฟ และผัดผักอีกเพิ่มมาด้วย ถึงแม้เพื่อนๆ จะทักว่าสั่งแค่เป็ดอย่างเดียวดีมั๊ย จุ๋ยก็ยังท้าพิสูจน์ว่ามีอะไรที่พวกเรากินไม่หมดด้วยเหรอ


จากนั้นเราก็เริ่มต้นด้วยขนมวุ้นทำจากแป้งผสมพุทราจีนกินกับชาเก็กฮวยร้อน ตามด้วยผัดเปรี้ยวหวานใส่เนื้อเป็ดวางมาบนรังนก ตับและกึ๋นเป็ดย่าง ใส้เป็ดกรุบๆ ผัดพริก ผัดผักรวม แล้วพ่อครัวจึงค่อยเข็นรถคันเล็กๆ ใส่เป็ดย่างทั้งตัวมาแล่ให้พวกเราชมดู พร้อมทั้งใบรับรองของร้านระบุว่าเรากินเป็ดเป็นตัวที่เท่าไหร่ของร้านแล้ว

จานที่ได้จากการแล่จะแยกเป็นหนังเป็ดกรอบชุ่มน้ำมัน เนื้อเป็ดหั่นเฉลียง ส่วนที่เหลือต่อจากซี่โครงเราก็ได้แต่มองตามตาละห้อยว่าไม่ให้เค้ากินเหรอ? แต่พอหันกลับมามองที่โต๊ะแล้วค่อยนึกได้ว่า ส่วนที่เหลือปรุงมาให้ล่วงหน้าแล้วทั้งเนื้อและตับ จากนั้นพนักงานสาวๆ ของร้านก็มาสาธิตวิธีกินเป็ดปักกิ่ง โดยเอาแผ่นแป้งโรตีวางบนจาน คีบหนังเป็ดจิ้มน้ำจิ้มแล้วทาลงบนแผ่นแป้ง ใส่เนื้อเป็ด แตงกวา และต้นหอมที่หั่นเป็นเส้นยาวๆ ลงไป แล้วก็ใช้ตะเกียบห่อให้จนคล้ายปอเปี๊ยะ...เท่านี้ก็กินได้

มองเห็นหนังเป็ดดูกรอบใสน่ากิน เราก็เลยทดลองจิ้มน้ำจิ้มแล้วใส่ปาก...แม่เจ้า....จะคายทิ้งก็ไม่กล้า เพราะแค่เคี้ยวเท่านั้น น้ำมันภายในหนังก็แตกออกมาจนรู้สึกมันและเลี่ยนไปหมด น้ำซุปกระดูกเป็ดสีขาวขุ่นที่ให้มาไม่ได้ช่วยเลยแถมยังคาวอีกต่างหาก ได้แต่ทำตามกรรมวิธีที่เค้าสาธิตมาให้ดูตั้งแต่ทีแรก แล้วก็หันมากินผัดพริก และตับเป็ดที่ดูจะคุ้นลิ้นมากกว่า จากที่คาดว่าจะชวนกันไปกินอีกร้านดัง ชื่อร้านต้าต่ง ก็เลยอย่าดีกว่า และถ้าให้เทียบกับเป็ดย่างโฟร์ซีซั่นของมหานครลอนดอนแล้ว ทางอังกฤษชนะขาดในสายตา เอ๊ย ในปากเรา แถมยังราคาถูกกว่าอีก


หลังอาหารเย็นมื้อใหญ่ พวกเราก็ไปเดินกันตามแผงตลาดอีกครั้งเพราะคืนพรุ่งนี้จะนอนบนรถไฟไปเซี่ยงไฮ้กันแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ของฝากที่ถูกใจ ได้แต่เชอร์รี่ลูกสีแดงใหญ่ ราคาครึ่งกิโล (1 จิน) เพียง 15 หยวนเท่านั้น รสชาติหวานกรอบถูกใจหมอปุ้มยิ่งนัก


6 มิ.ย. 55


วันนี้คุณชายคนเดียวในทริปขอตื่นตามสบายเพราะเป็นวันกลับที่พวกเราจะต้องเช็คเอ๊าท์และฝากของไว้ก่อนจะไปสถานีรถไฟตอนเย็น ส่วนเราเริ่มจะจับทางคนขาย KFC ได้แล้วก็ชวนหมอปุ้มที่ตื่นเป็นคนต่อมาไปซื้ออาหารเช้าเป็นโจ้กไข่เยี่ยวม้ากันอีกเช่นเคย

เราเริ่มต้นที่หอบูชาฟ้าเทียนถาน เจดีย์ขนาดใหญ่ สีสันสวยงามและอยู่ไม่ไกลสถานีรถไฟฟ้า เดินเข้าไปภายในสวนสาธารณะก็เห็นคนท้องถิ่นทำกิจกรรมร่วมกัน อย่างเช่น ร้องเพลง เต้นรำ ตีแบต ถักโครเชต์ มีระเบียงยาวให้เดินต่อไปจนถึงทางเข้าหอเทียนถานที่เป็นเจดีย์ 3 ชั้น หลังคามุงกระเบื้องสีน้ำเงิน ตัวอาคารพื้นสีแดง มีลวดลายลงรักปิดทอง โครงสร้างใช้ลิ่มสลักยึดติดกันโดยไม่ใช้ตะปู

ต่อจากหอเทียนถานเป็นทางเดินยาวไปที่แท่นบวงสรวงทรงกลมกลางแจ้ง มีผู้คนมากมายรอต่อคิวขึ้นไปยืนถ่ายรูปบนหินอ่อนรูปวงกลมที่มีพื้นเป็นหินอ่อนต่อออกมาเป็นรัศมีจำนวน 9 ชิ้นและทวีคูณของ 9 ไปเรื่อยๆ คนเกิดวันที่ 9 และ 19 ก็พากันขึ้นไปยืนขอพรและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกแบบชาวบ้านเขาบ้าง


พวกเราแวะพักกินไอศกรีมและกำจัดหมูแท่งที่เอามาจากเมืองไทยจนหมด น่าเสียดายที่เกาลัดขึ้นราซะแล้ว เลยได้แต่เดินต่อไปจนถึงทางออก ในบรรดาสถานที่ท่องเที่ยวนั้น หอเทียนถานมีห้องน้ำสะอาดและน่าเข้าที่สุด ส่วนที่อื่นๆ ก็พอใช้ได้ ไม่ถึงกับน่ากลัวเหมือนเมื่อก่อน แทบทุกที่จะมีเซ็นเซอร์คอยชักโครกให้เมื่อลุกจากโถ และกั้นห้องตามแบบมาตรฐาน มีอ่างล้างมือและน้ำยาล้างมือให้ ดังนั้นจึงหมดยุคแล้วที่คนจะร้องยี้เมื่อจะหาห้องน้ำเข้าในเมืองหลวงของจีน


ก่อนถึงทางออก พวกเราผ่านสวนสาธารณะขนาดใหญ่ให้ได้ชื่นชมกับต้นไม้ใหญ่บรรยากาศร่มรื่น มีสวนกุหลาบที่ร่วงโรยในหน้าร้อนให้เลือกถ่ายรูปบางดอกที่ยังงามอยู่ ด้านตรงข้ามกับทางออกเป็นตลาดไข่มุก หรือตลาดหงเฉียว เป็นอีกที่หนึ่งที่จะหาซื้อของฝากราคาย่อมเยา (ถ้าท่านต่อราคาเป็น)


พวกเราแวะกินข้าวเที่ยงกันก่อนที่ร้านเซี่ยบู เซี่ยบู เป็นร้านสุกี้จิ้มจุ่มที่คนนิยมมาก คล้ายกับชาบูชิบ้านเรา ตัวร้านทำเป็นเคาน์เตอร์ให้นั่งหันหน้าไปทางเดียวกัน แต่ละคนมีหม้ออยู่ตรงหน้าให้เลือกชนิดของน้ำซุป จากนั้นก็สั่งอาหารที่จะเอามาเทลงหม้อ มีเมนูภาษาอังกฤษและรูปถ่ายอาหารให้ด้วย พวกเราเลือกชุดผักชุดใหญ่ ลูกชิ้น เนื้อวัว และเนื้อแกะ แล้วก็จัดการลวกจิ้มกันจนอิ่มหนำ ก่อนจะมีแรงเดินไปดูสินค้า พวกผู้หญิงเริ่มคึกคัก ขณะที่จุ๋ยตามไปอย่างเซ็งๆ


เป้าหมายแรกของพจนารถคือซื้อกระเป๋าก๊อปตามออร์เดอร์ของคุณแม่สุดที่รัก แต่เดินดูแล้วเห็นมีแต่แบบของวัยรุ่น ทั้ง Le Sport Sac, Long Champ, Berberry ที่ไม่โดนใจ และเนื่องจากได้รับคำแนะนำมาว่าถ้าไม่คิดจะซื้อก็ไม่ต้องไปต่อราคาให้เสียเวลา ไม่อย่างนั้นจะโดนด่าไล่หลังทำเอาต้องรีบเดินผ่านดงแม่ค้าที่ร้องเรียก ผิดกับคุณชายที่ลองของ ไปถามราคา Long Champ ที่แม่ค้ายื่นเสนอให้พร้อมทั้งแคตตาล็อกสีสารพัด พอได้ฟังว่า 120 หยวน เราก็สวมบทเพื่อนขี้งก ลากจุ๋ยออกมา เห็นดังนั้นแม่ค้าก็เลยรีบกดเครื่องคิดเลขบอกเราว่าถ้าเอาใบเดียวลดให้เหลือ 30 หยวนก็ได้....โห


ว่าแล้วเพื่อนขี้งกก็เดินไปตั้งหลักนับนิ้วดูว่าตูจะซื้อไปฝากกี่คนดี จะได้ต่อให้เหลือ 15 หยวน แต่จุ๋ยก็เตือนสติว่าอย่างเพื่อนๆ ไฮโซของพวกเราน่ะนะจะใช้ของก๊อป เลยได้แต่ถอดใจว่าไปหาของฝากอื่นก็ได้ แล้วก็เลือกให้ชิ้นเล็กๆ จะได้ไม่เปลืองที่เก็บในกระเป๋าที่ยัดผ้านวมไหมน้ำหนัก 1.5 กิโลอยู่แล้ว เดินกันไปจนไปถึงชั้นที่ขายไข่มุกทั้งชั้น สมชื่อตลาดไข่มุก แต่ไม่มีใครสนใจ จุ๋ยเลยได้ที ชวนกันกลับดีกว่า

พวกเราคาดการณ์ไว้ว่าพอไปถึงสถานีรถไฟคงจะหาที่กินข้าวเย็นกันลำบากเพราะแต่ละคนมีกระเป๋าใบโตมาด้วย เลยแวะที่ร้านอาหารเกาหลีที่ฟู้ดฟอรัมห้างเดิมและสั่งข้าวยำรสชาติอร่อยใช้ได้มากินกันเป็นอาหารเย็น

มาถึงโรงแรมและสอบถามกับพนักงานอีกครั้งว่าจากเวลารถไฟออก ควรจะไปถึงก่อนซักกี่โมงดี แต่กว่าจะพูดกันรู้เรื่องเล่นเอาเหนื่อย แล้วก็เรียกแท็กซี่พาไปส่ง ที่ไม่ไปรถไฟฟ้าเพราะไม่อยากแบกกระเป๋าที่น้ำหนักเพิ่มจากวันมาอีกนิดหน่อยขึ้นลงสถานีรถไฟใต้ดิน แต่แท็กซี่ก็มีจุดส่งผู้โดยสารฝั่งตรงข้ามกับสถานีรถไฟให้ต้องยกกระเป๋าขึ้นสะพานลอยกันอยู่ดี ขึ้นไปยืนลิ้นห้อยอยู่บนสะพานลอยแล้วจึงค่อยเห็นว่า อีกฝั่งของทางขึ้นสะพานลอยนั้นเป็นบันไดเลื่อน!

สถานีรถไฟปักกิ่งนอกจากจะใหญ่โตสมกับที่เป็นเมืองหลวงของประเทศที่มีประชากรมากที่สุดแล้ว ระบบการเข้าไปในตัวสถานียังเป็นแบบเดียวกับสนามบินอีก นั่นคือต้องแสดงตั๋วรถไฟกับพาสปอร์ตที่ช่องตรวจตั๋วที่มีอยู่มากมายด้านหน้าแล้วถึงเข้าไปได้ จากนั้นก็ดูที่ป้ายว่าขบวนรถไฟของเรามีห้องรอซึ่งเชื่อมต่อกับชานชาลาที่เท่าไหร่ แล้วก็เข้าไปนั่งพักที่ห้องรอ ก่อนที่จะมีเสียงประกาศว่าเกตเปิดแล้วให้เดินเข้าไปในชานชาลาได้ แต่ในห้องรอนั้นมีที่นั่งจำกัด เราเลยผลัดกันไปห้องน้ำและเฝ้ากระเป๋า แล้วเอาตั๋วรถไฟไปรับน้ำที่มีพนักงานคอยแจกให้ เกตเปิดก่อนถึงเวลารถไฟออกไม่นาน แต่ก็เพียงพอให้พวกเราถ่ายรูปทั้งด้านนอกและด้านในของรถไฟ

ห้องผู้โดยสารตู้นอนแยกเป็นยูนิตละ 4 เตียง บน 2 ล่าง 2 คิดราคาแบบเดียวกับเมืองไทยคือเตียงล่างแพงกว่า ที่เตียงปูฟูกนุ่มมีหมอนและผ้านวมให้ครบ ตรงปลายเท้ายังมีทีวีให้ดู แต่พวกเราหาหูฟังกันไม่เจอเลยได้ดูแต่ทีวีที่ไร้เสียง มีชายหนุ่มอาจจะเด็กกว่าพวกเรานิดหน่อยมาพักด้วย ทีแรกดูท่าทางเขาก็กลัวๆ คนไทยทั้ง 3 ที่คุยกันล้งเล้งโดยเฉพาะ 2 สาวที่จ้องจะตะปบเหยื่อตาเป็นมัน แต่พอเรียกให้นั่งด้วย แล้วจุ๋ยก็พยายามคุยภาษาจีนกับเขา ดูเหมือนค่อยรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ไม่นานเท่าไหร่พวกเราก็แยกย้ายกันนอน


7 มิ.ย. 55


เช้านี้เราตื่นขึ้นมาที่มหานครเซี่ยงไฮ้ อาคารสูงใหญ่รอบๆ ทางรถไฟซึ่งแตกต่างจากเมืองอื่นๆ เป็นสิ่งบ่งบอกได้อย่างดี สถานีรถไฟเซี่ยงไฮ้เล็กกว่าที่ปักกิ่งนิดหน่อย ยกกระเป๋าลงบันไดไปแล้วเราก็เดินตามป้ายไปยังจุดที่แท็กซี่ใช้รับผู้โดยสาร ระหว่างนั้นมีคนขับแท็กซี่เข้ามาถามพวกเราบ้างเหมือนกัน พวกนี้จะไม่ใช้มิเตอร์ แต่บอกเป็นราคาเหมาไปโรงแรมที่พวกเราจองไว้ถึง 120 หยวน จากข้อมูลที่ได้มาว่าโรงแรมไม่ได้ไกลจากสถานีรถไฟเท่าไรนักเราจึงลงบันไดอีกครั้งไปที่ชั้นใต้ดิน มีแถวผู้โดยสารที่รอรอแท็กซี่เข้าไปในเมืองอยู่แล้ว รอไม่นานเราก็ไปถึงโรงแรมด้วยค่าโดยสาร 20 หยวน


ที่พักของพวกเรายังคงเป็นใจกลางเมืองบนถนนหนานจิง ชื่อโรงแรมเซเว่นเฮฟเว่น หรือสวรรค์ชั้น 7 ด้านล่างทำเป็นห้างสรรพสินค้า ตัวล็อบบี้ของโรงแรมอยู่ที่ชั้น 7 ลงมาเดินด้านล่างก็จะเห็นท่ารถ hop-in hop-off รถพาชมวิวเมืองเซี่ยงไฮ้โดยจะจอดที่จุดท่องเที่ยว เช่น หอไข่มุก สะพานหนานผู่ สวนอี้หยวน เดอะบันด์ จัตุรัสประชาชน (People’s square) หรือเหรินเหมินกวงฉ่าง แล้วก็มาจอดแถวๆ ที่พักของพวกเรา ค่าโดยสารคนละ 18 หยวน สามารถลงไปถ่ายรูปที่แหล่งท่องเที่ยวและกลับขึ้นรถได้ตามจุดจอดรถทั้งวัน

พวกเราเดินหาข้าวเที่ยงกินแถวๆ โรงแรมนั่นเอง ก่อนจะเดินไปหาศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่อยู่ใกล้ๆ เจ้าหน้าที่แนะนำดีมาก ทั้งสถานที่ท่องเที่ยว การซื้อตั๋วรถไฟไปหังโจว และสถานที่แสดงโชว์กายกรรมเซี่ยงไฮ้ จากนั้นเราเดินชมเมืองไปเรื่อยๆ ตามถนนหนานจิง มีตึกสูงมากมายทั้งตึกรูปทรงจานบินของโรงแรมเรดิสัน ยอดตึกทรงปิระมิดของตึกฟิวเจอร์ ห้างนิวเวิลด์ จนถึงสถานีรถไฟใต้ดิน ที่นี่เรียกบัตรเติมเงินของรถไฟฟ้าว่า SPTC (Shanghai Public Transportation Card) หรือ เจียวทงข่า ใช้ได้กับรถไฟใต้ดิน รถเมล์ เรือ แท็กซี่ และมีค่ามัดจำบัตร 20 หยวนเช่นเดียวกับที่ปักกิ่ง แต่จะต่างกันตรงที่ค่าโดยสารรถไฟใต้ดิน คิดตามระยะทาง เริ่มที่ 2 หยวน ไปจนถึง 9 หยวน ไม่ใช่ 2 หยวนตลอดสายเหมือนในปักกิ่ง นอกจากนี้สถานีรถไฟแต่ละแห่งยังไกลกันมาก ถ้าสถานที่เที่ยวอยู่ระหว่างกลางของสถานีก็เป็นได้เดินกันจนน่องโป่ง


สถานี People’s square นั้นเป็นสถานีใหญ่ที่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าหลายสาย เฉพาะทางออกนั้นก็ปาเข้าไป 20 ทางออกแล้ว แต่ระบบการขึ้นรถไฟฟ้าค่อนข้างง่ายและมีภาษาอังกฤษเขียนทับศัพท์ไว้เช่นเดียวกัน พวกเราไปกันที่เดอะบันด์ หรือหาดไว่ทัน ริมแม่น้ำหวงผู่ ก่อนเป็นอันดับแรก บริเวณนี้เป็นท่าเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ ปัจจุบันมีตึกสูงทรงยุโรปมากมายอยู่ริมถนนเลียบแม่น้ำ รวมทั้งที่ทำการธนาคารกรุงเทพสาขาเซี่ยงไฮ้ด้วย พวกเราถ่ายรูป ชมวิวแม่น้ำและหอไข่มุกฝั่งตรงข้าม แล้วค่อยซื้อตั๋วรถไฟเลเซอร์ลอดอุโมงค์ใต้แม่น้ำ เพื่อไปยังฝั่งตะวันออกหรือฝั่งผู่ตง (Pudong) อุโมงค์รถไฟมีการติดตั้งแสงสีส่องไปตามทางให้ตื่นตาตื่นใจเมื่อมองจากด้านในตัวรถไฟหรือกระเช้ากระจกที่แล่นด้วยความเร็วไม่มากนัก ก่อนจะไปโผล่ขึ้นอีกฝั่งของแม่น้ำ
พวกเราซื้อแพคเกจตั๋วรถไฟและ Fun house สตูดิโอที่ให้เข้าไปถ่ายภาพแปลกๆ ตามที่เขาจัดฉากหรือวาดรูปไว้ให้ เสียเวลาเดินหานิดหน่อยแต่ก็สนุกสนานกับการถ่ายภาพกันพอสมควร จากนั้นค่อยเดินกันไปที่หอไข่มุก หอคอยสูงสำหรับใช้ส่งสัญญาณโทรทัศน์ ดูจากภายนอกจะเห็นลูกกลมหรือไข่มุกเม็ดใหญ่ 3 เม็ดเรียงกันพุ่งสูงขึ้นไปเสียดฟ้า (468 เมตร) ราคาเข้าชมก็แพงตามลำดับความสูง พวกเราซื้อตั๋วขึ้นชมจนถึงเม็ดที่ 3 จากนั้นลิฟท์ภายในเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงก็พาพวกเราไปชมวิวเริ่มจากไข่มุกเม็ดที่ 2 ที่ความสูง 263 เมตรก่อน เราสามารถเดินลงมาชมวิวต่ำลงมาอีกนิดที่ความสูง 259 เมตร โดยทางเดินครึ่งหนึ่งของส่วนชมวิวจะเป็นกระจก ให้รู้สึกหวิวๆ เวลามองทะลุผ่านปลายเท้าไปลงยังตึกสูง ถนนและแม่น้ำเบื้องล่าง แน่นอน จุ๋ยไม่แม้แต่จะนั่งลงถ่ายรูปที่ทางเดินกระจก ผิดกับหมอปุ้มที่ยังอุตส่าห์ถ่ายรูปกระโดดไว้เป็นที่ระทึก

ลิฟท์พาเราขึ้นต่อไปยังไข่มุกเม็ดสูงสุดที่ความสูง 350 เมตร อากาศขมุกขมัวบดบังทัศนวิสัยรอบๆ แต่ก็ยังมีกล้องส่องทางไกลแบบหยอดเหรียญให้ผู้สนใจชมเมืองในมุมกว้างยิ่งขึ้น ข้างๆ นั้นมีตึกเซี่ยงไฮ้เวิลด์ไฟแนนซ์ที่สูงที่สุดของเซี่ยงไฮ้ในขณะนี้ (492 เมตร) และตึกจินเม่า ตึกสูงที่สร้างให้มีรูปร่างคล้ายเจดีย์ 8 เหลี่ยมตามหลักฮวงจุ้ยเลข 8 จุ๋ยตั้งเป้าหมายไว้ว่าพวกเรามาดูวิวบนตึกสูงตอนกลางวันกันที่หอไข่มุก และในวันอื่นค่อยมาชมวิวตอนกลางคืนบนตึกเซี่ยงไฮ้ไฟแนนซ์ซึ่งปิด 5 ทุ่ม จะได้คนละบรรยากาศที่สวยงาม
ขาลงลิฟท์มาจอดที่ไข่มุกเม็ดแรก ความสูง 90 เมตร ชั้นนี้เป็นกึ่งสวนสนุกที่มีเครื่องเล่นหยอดเหรียญมากมาย รวมทั้งรถไฟเหาะที่พุ่งดิ่งด้วยความเร็วสูงลงมาจนถึงชั้นล่างสุด พวกเราถ่ายรูปกันอีกพักใหญ่ก็กลับลงมา ตกบ่ายเราแวะกินข้าวเที่ยงเป็นข้าวมันไก่และบะหมี่ที่ไม่อร่อยอีกแล้ว ได้แต่หยวน (ที่ไม่ใช่มาตราเงินจีน) แล้วก็กินๆ เข้าไป ก่อนจะตกลงกันว่าจะไปดูกายกรรมเซี่ยงไฮ้ต่อกันในค่ำคืนนี้

จากสถานีรถไฟฟ้าไปยังเซี่ยงไฮ้เซ็นเตอร์หรือโรงละครที่ใช้โชว์กายกรรมเซี่ยงไฮ้นั้นไกลมาก และยังไม่มีตำแหน่งบอกทางซะอีก เดินกันจนขาลากและไปนั่งรอว่าเคาน์เตอร์ขายบัตรจะเปิดเมื่อไหร่ เพื่อจะได้รับรู้ว่าวันนี้กายกรรมงดฮ่ะ พวกเราก็เลยต้องเรียกแท็กซี่ไปยังเดอะบันด์อีกครั้ง เพื่อจะนั่งเรือล่องแม่น้ำหวงฝู่ชมวิวยามค่ำคืน คุณป้าคนขับแท็กซี่ชวนจุ๋ยคุยด้วยศัพท์ง่ายๆ อย่างถูกคอ เรียกความมั่นใจในการใช้ภาษาให้กับไกด์ของเราอีกครั้ง แต่น่าเสียดายที่เรือล่องแม่น้ำครั้งนี้ไม่มีอาหารเย็นให้ เลยได้แต่ซื้อตั๋วแบบที่มีอาหารว่าง (คือถั่วทอด ขนมนิดหน่อยและน้ำชาร้อน)

ไปนั่งกินบนเรือไปพลางๆ ก่อนจะปรับทุกอย่างในกล้องให้ใช้ถ่ายรูปกลางคืนแบบพอดูได้ กลับเข้าฝั่งอีกครั้งในเวลา 3 ทุ่มกว่า พวกเรารอเรียกแท็กซี่กลับโรงแรมนานมาก ระหว่างนั้นก็มีแท็กซี่ป้ายดำ (ไม่มีมิเตอร์) กับรถตุ๊กๆ มาเรียกลูกค้าบ้าง แต่เราก็ยังรอกันอย่างอดทน และก็เป็นดังคาด กว่าจะกลับมาถึงโรงแรม ร้านอาหารทั้งหลายก็ปิดหมดแล้ว เราก็เหลือที่พึ่งพิงแห่งเดียวที่คุ้นเคยในเมืองจีน นั่นก็คือ KFC 24 ชั่วโมง

8 มิ.ย. 55

เช้านี้เราไปวัดเจินยู่ ออกจากสถานีรถไฟฟ้าได้ก็มีแผงอาหารทะเลสดๆ ขายกันเรียงเป็นแนว ชี้ชวนกันดูเนื้อปลาแซลมอลก้อนใหญ่ๆ ปลิงทะเล กุ้งมังกร หอยงวงช้าง ได้แต่เดินผ่านไปน้ำลายไหลไป จนมองเห็นเจดีย์ของวัดอยู่หลังกำแพงและพากันวนไปวนมา กว่าจะรู้ว่าประตูทางเข้านั้นต้องต้องเดินอ้อมถนนไปทางด้านหน้า...เฮ้อ

วัดนี้เป็นวันนิกายเซ็นของญี่ปุ่น นอกจากเจดีย์ซ้อนกันหลายชั้นที่อุตส่าห์เดินขึ้นบันไดวนไปดูวิวที่ชั้น 10 แล้ว ยังมีสวนญี่ปุ่นสวยๆ ให้ถ่ายรูปอีกด้วย ระหว่างทางเดินกลับสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งจุ๋ยใช้เส้นทางใหม่เพราะมีแนวโน้มว่าลูกทัวร์จะร้องกินอาหารทะเล พวกเราก็เลยเจอร้านขายผลไม้ มีเชอร์รี่และหยางเหม่ยราคาถูกและอร่อยให้ซื้อไว้เป็นเสบียงอย่างละครึ่งกิโลกรัม
นอกจากนี้ยังได้ชานมรสเมล่อนที่หวานอร่อยติดมือกันไปอีกคนละขวด

นั่งรถไฟฟ้าต่อเพื่อไปวัดหลงหัว โผล่ขึ้นมาหน้าสถานีรถไฟฟ้าก็เจอร้านขายซาลาเปากำลังนึ่งร้อนๆ จากที่มาด้วยกันหลายวัน หัวหน้าทัวร์ก็ทำใจได้แล้วเมื่อลูกทัวร์มองมาโดยไม่ต้องร้องกินให้เปลืองแรง เราก็ได้ซาลาเปาไส้หมู 2 ลูก มีน้ำซุปค้างอยู่ด้านในนิดหน่อยตามแบบฉบับของเสี่ยวหลงเปา (ไม่อร่อย) และใส้ครีมอีก 1 ลูก มากินไปพลางๆ ในเวลาเที่ยง

เดินไปเรื่อยๆ จนเจอคุณลุงคุณป้าชาวไทยที่มาเที่ยวเองเหมือนกัน กำลังจะไปที่เดียวกัน และยังพักโรงแรมใกล้ๆ กันอีก เลยได้เพื่อนปรับทุกข์ ว่าอาหารไม่อร่อย (มือซ้ายถือซาลาเปา มือขวาถือชานม ในกระเป๋ายังมีขนมโดโซะ) ที่เที่ยวก็เดินไกล เมื่อยๆๆ จนคุณลุงคุณป้าต้องเดินรอและบอกว่าเพิ่งมาจากสวนอวี้หยวนที่พวกเราจะไปกันต่อยามบ่าย เดินไกลพอกันนี่แหละ เด็กหนุ่มสาวอย่างพวกเราก็หันมาซุบซิบกันทันทีว่า งั้นบ่ายนี้เรียกแท็กซี่ไปดีกว่า!
วัดหลงหัวก็เหมือนวัดอื่นๆ ในเมืองจีน คือมีวิหารเรียงตามแนวตั้งต่อกันไปเป็นทอดๆ ไม่ต้องรีบอธิษฐาน ใช้วิธีขอพรเป็นประเภทๆ ไปทีละวิหารจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาก แต่ผนังอาคารทาสีเหลือง ไม่ใช่สีแดงเหมือนวัดอื่นๆ ที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นเจ้าแม่กวนอิมพันกรสีทองอร่ามองค์ใหญ่ คล้ายกับองค์ที่พวกเรามั่วไปไหว้ที่ร้านขายพระพุทธรูปปากทางเข้าวัด นอกจากนี้ที่ด้านหน้าวัดยังมีเจดีย์โบราณทรง 8 เหลี่ยม 6 ชั้นตั้งอยู่ ถึงจะดูทรุดโทรมมากแล้วแต่ก็ยังมีความสวยงาม จุ๋ยถึงกับห้ามไม่ให้หมอปุ้มกระโดดถ่ายรูปบริเวณนี้ด้วยเกรงว่าจะเป็นการสร้างสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ นั่นคือ หอเอนปิซ่าแห่งเมืองเซี่ยงไฮ้

เรานั่งแท็กซี่ที่คนขับเป็นผู้หญิงให้จุ๋ยชวนคุยอีกแล้ว คุณป้าพาเราไปปล่อยไว้ที่ถนนคนเดิน ใกล้ๆ สวนอี้หยวน พวกเราเดินผ่านร้านขายของที่ระลึกพวกของโบราณ (ที่อาจจะทำขึ้นใหม่) สร้อยข้อมือ พวงกุญแจ แผ่นแม่เหล็ก เสื้อผ้า มากมายตลอดแนวก่อนจะถึงสวนสันติสุขและสุขสบาย (อี้หยวน) ก่อนที่พวกเราจะเข้าไปเดินเที่ยว ควรจะหาอะไรกินกันเป็นมื้อหลักในยามบ่ายก่อน หลังจากเดินเมียงๆ มองๆ ร้านโน้นร้านนี้ เราก็ได้ร้านที่มีอาหารปรุงสำเร็จใส่เข่ง จาน วางไว้คล้ายๆ ศูนย์อาหาร ให้ลูกค้าไปหยิบแล้วจ่ายเงินก่อนจะนำมานั่งกินกันที่โต๊ะ จุ๋ยอุตส่าห์พากันขึ้นไปจนถึงชั้น 3 เพื่อชมวิวมุมสูงและเลี่ยงเสียงดังเพราะไม่ค่อยมีคน แต่อาหารที่มีให้เลือกก็น้อยลงตามไปด้วย ดังนั้นกระเพาะปลา ลูกชิ้น ไข่ตุ๋น ที่เหล่ไว้ตั้งแต่ชั้นแรกเลยกลายเป็นผัดผัก เสี่ยวหลงเปา (ไม่เข็ด) และอื่นๆ ที่โดยรวมแล้วไม่อร่อย ด้วยประการฉะนี้

อิ่มแล้วพวกเราก็เดินผ่านศาลาแบบหังโจว หรือเก๋งจีนหลังคาปลายงอนกลางบึง ไปตามสะพานหิน ถ้าก้มลงมองไปในน้ำก็จะได้เห็นฝูงปลาคาร์ฟตัวใหญ่ว่ายกันอยู่เป็นฝูง น้ำในบึงไม่ค่อยใสเท่าไหร่แต่ก็เห็นเหล่าปลาคาร์ฟร่าเริงกันดี ผิดกับคาร์ฟรักสะอาดมากของห้องยา รพ.ห้วยพลู ที่พอน้ำขุ่นนิดหน่อยก็ทำเป็นตายใส่ มองไปมองมาไม่เห็นอาหารปลาที่น่าจะมีลอยๆ หลงเหลืออยู่บ้าง เราก็เลยเอาโดโซะในกระเป๋าออกมาทุบเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วก็โปรยลงไปเลี้ยงปลา คราวนี้ทั้งคนทั้งปลาเลยมาออกันใหญ่ แล้วปลาคาร์ฟก็มีพฤติกรรมเลียนแบบปลาสวายที่ซดขนมปังกันโฮกๆ ตัวใหญ่หน่อยเลยถือโอกาสกระโดดขึ้นมาฮุปแล้วก็ทิ้งน้ำหนักตัวใส่เพื่อนหน้าตาเฉย

เล่นสนุกกันพอสมควรก็เดินเข้าไปชมสวนหินกับเก๋งจีนอีกหลายหลังด้านในสวนต่อ ยังมีศาลาที่สร้างเลียนแบบเรือ ภายในตบแต่งด้วยรูปภาพให้รู้สึกเหมือนอยู่บนเรือ และกำแพงมังกรที่มีมังกรทอดลำตัวยาวตลอดไปบนกำแพง เมื่อเรามาเจอบ่อปลาคาร์ฟที่มีสะพานหินรูปซิกแซกทอดข้ามอีกครั้ง โดโซะที่เอามาก็มีอันหมดลง

จุ๋ยเล่าให้ฟังว่ามาที่สวนอี้หยวนนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว แต่ก็ยังมีส่วนที่ยังไม่เคยเดินเข้ามาชม และคราวนี้คิดว่าได้เดินทั่วซะที ดังนั้นเมื่อมาถึงน้ำตกที่ผู้คนเอาเหรียญมาโยนเพื่อจะได้มาเที่ยวอีก จุ๋ยก็เดินผ่านเลยไปอย่างไม่ลังเล

หลังจากนั้นเป็นเวลาที่ต้องเริ่มซื้อของฝากก่อนกลับซักที หมอปุ้มตั้งใจจะขนแผ่นแม่เหล็กจำนวนมากกลับมาฝาก พวกเราจึงพากันเดินหาร้านจนได้ราคาที่พอใจ แล้วก็ได้ตุ๊กตางิ้วที่พจเล็งไว้ตั้งแต่ที่ปักกิ่งไปฝากชาวแก็งค์ แต่แรกวางแผนไว้ว่าของฝากควรเป็นของชิ้นเล็กๆ ขนกลับง่าย สุดท้ายก็ได้ตุ๊กตาเคลือบใส่ในกล่องเท่าขนมเปี๊ยะขนาดกลางมาแทนอีก 10 กว่าชิ้น หัวหน้าทัวร์ถึงกับส่ายหน้าแล้วก็ชวนขึ้นแท็กซี่เอาของไปเก็บที่โรงแรมกันก่อนจะไปดูกายกรรมเซี่ยงไฮ้

เมื่อรู้สถานที่แน่ชัดแล้ว จากสถานีรถไฟฟ้าเดินไปที่เซี่ยงไฮ้เซ็นเตอร์จึงไม่ไกลเหมือนเมื่อวาน ทั้งยังมีเชอร์รี่และหยางเหม่ยล้างสะอาดไว้กินระหว่างเดินด้วย น่าเสียดายที่ห้ามถ่ายรูปในโรงละคร พวกเราจึงได้แต่เก็บความประทับใจของโชว์กายกรรมเซี่ยงไฮ้ ทั้งสาวๆ จักรยานล้อเดียว ตลกหน้าม่าน ละครเพลงที่ตัวละครต้องโหนสลิงเต้นรำประกอบเพลง และกายกรรมลอดบ่วง เสียดายที่ไม่มีแสดงโชว์เปลี่ยนหน้ากากที่เป็นอีกอย่างที่อยากดู

เมื่อกลับมาถึงสถานีรถไฟฟ้าจัตุรัสประชาชน พวกเราก็เดินผ่านแสงสียามค่ำคืนของห้างร้านต่างๆ แต่ส่วนใหญ่นั้นเริ่มปิดกันแล้ว ดีที่ในซอยเล็กๆ ก่อนถึงโรงแรมยังมีอาหารจีนขายอยู่ เห็นรูปถ่ายหน้าร้านท่าทางน่ากิน เราเลยเข้าไปสั่งไก่ต้มราดน้ำมันพริก กระดูกหมูอบซอส ซุปแกงจืด และผักผัก กินอย่างอร่อยในไม่กี่มื้อที่ผ่านมา

9 มิ.ย. 55

เช้านี้เราจะนั่งรถไฟหัวกระสุนไปเที่ยวหังโจวกันจึงต้องออกเดินทางแต่เช้า ไปซื้อตั๋วรถไฟที่สถานีรถไฟหงเฉียว ใช้เวลานั่งรถไฟใต้ดินจากที่พักไปถึง 20 นาที ระหว่างจุ๋ยอาบน้ำ พจกับหมอปุ้มเลยอาสาไปซื้ออาหารเช้ามากินกันที่ห้องเพื่อเป็นการประหยัดเวลา

สถานีรถไฟหงเฉียวเป็นอาคารขนาดใหญ่สร้างเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟใต้ดินหงเฉียว และสนามบินหงเฉียว ตัวอาคารใหม่ สะอาดและรูปลักษณ์คล้ายสนามบิน พวกเราพากันไปซื้อตั๋วรถไฟหัวกระสุนความเร็วสูง (G train) อย่างไม่ยุ่งยากนัก เพราะมีรถไฟออกทุกครึ่งชั่วโมง ไม่นานเราก็ไปที่เกตซึ่งจะแบ่งเป็น 2 ฝั่ง ซ้ายขวา ตามเลขที่โบกี้ ก่อนจะขึ้นไปนั่งตามที่นั่งบนรถไฟที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บนเครื่องบิน คือแล่นด้วยความนิ่ง เงียบ แต่หูอื้อเล็กน้อย เราไปถึงหังโจว (300 กม.) ในอีก 1 ชั่วโมงถัดมา

ไม่คิดเลยว่าหังโจวจะไม่ค่อยมีแท็กซี่ พวกเราเข้าแถวรอแท็กซี่กับผู้คนมหาศาลอยู่เป็นนานกว่าจะได้ไปทะเลสาบหังโจว จุดที่แท็กซี่พาไปส่งนั้นเป็นเก๋งจีนยื่นออกไปกลางน้ำซึ่งเป็นไฮไลท์ของทะเลสาบหังโจว
ต่อจากนี้ถ้าจะเที่ยวรอบๆ ทะเลสาบก็จะมีรถรางให้ขึ้นเป็นรอบๆ หรือถ้าจะให้ง่ายกว่านั้นก็คือใช้บริการเรือแบบ hop-in hop-off ที่พาไปยังเกาะ 2 เกาะกลางทะเลสาบ และอีกฝั่งของทะเลสาบ พวกเราเดินหาร้านอาหารดังของหังโจว คือร้านโลว่ไหวโลว่ (lou wai lou) อยู่เป็นนาน ในที่สุดก็ยอมแพ้ ไปซื้อไอศกรีมกินและถามกับคนขาย จนได้รับคำตอบว่าอยู่อีกฝั่งของทะเลสาบ...ไกลมั่กๆ

เดินออกไปหาแท็กซี่และรอกันค่อนข้างนาน กว่าเราจะได้เข้าไปสั่งเมนูชื่อดังในร้าน นั่นคือ ไก่ขอทาน และปลาทะเลสาบผัดเปรี้ยวหวาน ซึ่งรสชาติไม่ทำให้ผิดหวัง
หลังอาหารเที่ยงพวกเราซื้อตั๋วนั่งเรือชมทะเลสาบหังโจว ไปแวะเกาะกลางน้ำ ถ่ายรูปกันรอบๆ แล้วก็กลับมาอีกฝั่งของทะเลสาบ เดินไปจนถึงทางออกก็มีสวนสาธารณะอยู่ฝั่งตรงข้าม น่าเสียดายที่ยังไม่ถึงฤดูที่ทิวลิปจะบาน เราเลยได้แต่ถ่ายรูปกับกังหันดัชช์แทนโดยด้านล่างของกังหันทำเป็นร้านขายขนมและน้ำชา แต่เนื่องจากยังกังวลว่าแท็กซี่หายากและอากาศเริ่มร้อน เดินเล่นกันได้พักเดียวเราก็เดินออกมาเมียงมองหาแท็กซี่กลับสถานีรถไฟกัน

รอมานานมากก็ไม่เห็นมีรถผ่าน หรือแท็กซี่ที่มาส่งผู้โดยสารพอเรียกไปส่งที่สถานีรถไฟก็ไม่มีใครไปอีก จนสุดท้ายพวกเราก็เลยถามทางกับคนที่ป้ายรถเมล์แล้วก็นั่งรถเมล์กลับเข้าเมืองก่อนจะตกรถไฟเที่ยวที่จองตั๋วกลับ รถเมล์ใช้เวลาเกือบชั่วโมงเข้ามาในเมือง ถึงจะลงบริเวณที่ถามไว้แล้วว่าไม่ไกลสถานีรถไฟ แต่ก็ยังหาแท็กซี่ต่อไปอีกไม่ได้อยู่ดี

เมื่อหมดทางเลือกเราก็เลยลองขึ้นแท็กซี่ป้ายดำที่เข้ามาเรียกลูกค้าโดยต่อรองราคากันให้เสร็จก่อนขึ้น มาถึงสถานีรถไฟหังโจวก่อนเวลารถออกเพียงแค่ 10 นาที...เฮ้อ หวุดหวิด

ทุกคนคงเหน็ดเหนื่อยกับการต่อรถแทนที่จะเป็นการเที่ยว พอขึ้นรถได้ก็พากันหลับยาวจนเกือบถึงสถานีรถไฟหงเฉียว ต่อรถไฟใต้ดินจนกลับมาที่ People’s square กันอีกครั้ง แวะกินอาหารแบบ hot pot กันอีกที่ร้าน Dollar shop ภายในห้าง ไปรอคิวอีกประมาณ 15 นาที เราก็ได้กินจิ้มจุ่มทะเล มีน้ำจิ้มให้เลือกผสมเอาตามใจชอบเป็นสิบชนิด ก่อนจะโกยเนื้อสัตว์ใส่ลงในหม้อ ทีแรกเลยจุ๋ยทำหน้าเบื่อหม้อร้อน แต่พอได้น้ำซุปหมาล่า หรือ น้ำมันพริก ไม่เผ็ดมากแต่กินแล้วลิ้นชาๆ ก็ถูกอกถูกใจกับมื้อนี้ไม่น้อย

ยังไม่ดึกมากนัก เราเดินย่อยอาหารไปเรื่อยๆ พร้อมกับชมการแสดงข้างถนนช่วงกลางคืน แล้วพจนารถก็ได้รองเท้าสเก็ต 2 ล้อมีไฟเวลาวิ่ง ที่เมียงๆ มองๆ มาตั้งแต่ 2 คืนที่ผ่านมา ให้หัวหน้าทัวร์กำชับอย่างไม่มีเยื่อใยว่า กลับเมืองไทยแล้วค่อยไปเล่น อย่ามาหัวแตกเอาแถวนี้

10 มิ.ย. 55

เป็นธรรมเนียมของวันกลับที่ผู้จัดการทริปขอตื่นสาย แต่พวกเราก็มีเวลาแพ็คของใส่กระเป๋าที่ทุกคนต้องแบ่งกันยัดกล่องของฝากเข้ากระเป๋าจนหมด หลังจากฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม พวกเราก็เพิ่งจะมาเห็นร้านขายบ๊ะจ่างและขนมพื้นเมืองของจีนหน้าโรงแรมกันตอนวันกลับ ที่แน่ๆ มีร้านขายบะหมี่เกี๊ยวลูกค้าแน่นอยู่ติดกันซะอีก เราได้บ๊ะจ่างกับขนมอีกนิดหน่อยก่อนจะเข้าไปสั่งเกี๊ยวน้ำในร้าน ระหว่างรอก็ควักขนมออกมาแบ่งกันกินตบท้ายด้วยเกี๊ยวน้ำอุ่นๆ อร่อยใช้ได้ ส่วนบ๊ะจ่างนั้น ทั้งลูกมีเห็ดหอมกับหมูชิ้นนิดเดียวผิดกับเมืองไทยที่อุดมไปด้วยเครื่องและก็ใส่พริกไทยจนถูกลิ้น ดังนั้นข้าวเหนียวที่เหลือ เราก็เลยยกให้จุ๋ย...อิอิอิ

พวกเราไปเที่ยววัดเป็นการอำลาเซี่ยงไฮ้ เริ่มจากวัดจิ้งอาน อยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้าวัดจิ้งอาน มีสัญลักษณ์คือเสาที่มีปลายยอดเป็นรูปหล่อโลหะสีทองรูปสิงโต 4 ทิศขนาดใหญ่ ด้านในมีกระถางธูปขนาดใหญ่ให้คนโยนเหรียญเพื่อขอพร ใช้เวลานิดเดียว เราก็ออกมาเรียกรถแท็กซี่ไปต่อกันที่วัดพระหยก ซึ่งมีพระพุทธรูปหยกจากพม่าปางสมาธิ ปางปรินิพพาน สีขาวสวยงามมาก
พวกเราร่วมกันทำบุญน้ำมันตะเกียงเพื่อเป็นสิริมงคลกันก่อนกลับเมืองไทย

กลับมาที่ถนนหนานจิงใกล้ที่พัก พวกเราแวะซื้อของฝากพวกขนมหวานต่างๆ จากร้านที่ปกติจะเปิดในช่วงเวลาออกเที่ยวแถวหน้าโรงแรม แล้วก็ไปกินข้าวเที่ยงร้านอาหารจีนที่จัตุรัสประชาชนอย่างติดใจในรสชาติไก่ต้มราดน้ำมันพริกกันอีกครั้ง หมอปุ้มยังได้ซื้อเชอร์รี่สดกลับมาฝากที่บ้าน

เราแวะไปคืนบัตรเจียวทงข่า ของรถไฟใต้ดินที่สถานีใหญ่อย่างจัตุรัสประชาชน แต่ที่นี่กลับไม่ยักรับคืน พจนารถเลยอาสาเอาไปแลกคืนที่สถานีหานจงที่อยู่ใกล้ที่สุดคนเดียวตามคำแนะนำของพนักงาน จะได้ประหยัดค่าโดยสารของอีก 2 คนและลองพิสูจน์ดูว่า สามารถเดินทางเอง ถ้ามีปัญหาก็แก้ไขคนเดียวได้หรือเปล่า นอกจากนี้พอคืนบัตรโดยสารไปแล้ว ยังต้องไปหยอดเหรียญซื้อตั๋วจากเครื่องอัตโนมัติเองอีกด้วย

กลับมาเอากระเป๋าเดินทางกันที่โรงแรม ถามเด็กเข็นกระเป๋าที่ท่าทางเป็นมิตรตั้งแต่วันแรกว่าพวกเราจะขึ้นรถแท็กซี่ไปสถานีรถไฟแม่เหล็ก ต้องลงแถวสถานีหลงหยางแน่ใช่มั๊ย (ตั้งใจจะให้เขียนจุดหมายเป็นภาษาจีนไว้บอกแท็กซี่และถามราคาค่าโดยสารคร่าวๆ) พ่อหนุ่มคนนั้นก็ทำหน้าแปลกประหลาดว่าทำไมไม่ขึ้นรถไฟใต้ดินใกล้ๆ ไปลงที่สถานีนั้นเลยล่ะ จะจ่ายค่าแท็กซี่ให้แพงทำไม ซึ่งก็เป็นนิสัยอย่างหนึ่งของคนจีนที่เราพบเวลาถามทางที่มักจะแนะนำหนทางประหยัดที่สุดให้ (ตอนอยู่หังโจวเราไปถามถึงแท็กซี่กับตำรวจหน้าทะเลสาบ เขาก็บอกว่าทำไมเราไม่ขึ้นรถเมล์ล่ะ แล้วก็ชี้ไปที่ป้ายรถเมล์พร้อมบอกสายให้) และพอได้รู้ว่าเราจะไปขึ้นรถไฟแม่เหล็ก (Maglev) ไปยังสนามบิน เขาก็งงอีกว่านั่งรถไฟใต้ดินต่อไปอีกไม่กี่สถานีก็ถึงสนามบินแล้ว จะต้องจ่ายค่ารถไฟแม่เหล็กที่แพงกว่าหลายเท่าไปทำไม? คราวนี้เราก็เลยบอกว่าที่เมืองไทยไม่มีรถไฟแม่เหล็กที่วิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 430 km/hr ตูก็เลยอยากจะขึ้นดูอ่ะ สุดท้ายเจอกันครึ่งทาง พวกเรายอมลากกระเป๋าไปขึ้นรถไฟใต้ดินที่สถานีหนานจิงตะวันออก (เพิ่งรู้เอาวันก่อนกลับว่าใกล้โรงแรมมากกว่าสถานีจัตุรัสประชาชน) ไปลงที่สถานีหลงหยาง จากนั้นก็ซื้อตั๋วรถไฟแม่เหล็กแล้วขึ้นบันไดเลื่อนของสถานีไปที่ชานชาลาของรถไฟแม่เหล็กได้เลย ซึ่งถ้ายื่นพาสปอร์ตพร้อมตั๋วเครื่องบินตอนซื้อตั๋วรถไฟแม่เหล็กจะได้ลดค่าโดยสารอีกคนละ 10 หยวน


8 นาทีต่อมาเราก็มาถึงสนามบินผู่ตงเพื่อเตรียมเดินทางกลับ มีเวลามากมายในสนามบินให้เดินดูของฝากสุดท้ายก่อนอำลาแผ่นดินมังกร กลับถึงบ้านเวลา 0.30 น.