9 ธ.ค. 50
เหลือเวลาอีกวันเดียวที่เราจะได้เที่ยวในเวียตนามกัน สำหรับวันนี้เรายังซื้อทัวร์เที่ยว 2 วัดประจำ 2 ราชวงค์ของเวียตนาม และนิมบินห์ แทมค๊อค หรือ ฮาลองบก รูปแบบทัวร์เป็นอย่างเดิมคือ จะมีรถมารับพวกเราที่โรงแรม จากนั้นก็ไปรับคนที่โรงแรมอื่นๆ อีก (ไม่เจอเจ๊ช่างเม้าท์แล้วเพราะเธอบอกว่าจะกลับเลย) ผู้ร่วมทางคราวนี้ของเราก็มีคู่ชาวออสเตเรีย ครอบครัวเกาหลี 2 สาวชาวเวียตนาม และอีก 1 หนุ่มออสเตเรีย คราวนี้ได้ไกด์ผู้หญิงที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่าทุกไกด์ที่ผ่านมา และอธิบายให้พวกเราฟังระหว่างนั่งในรถสมกับเป็นไกด์ เมื่อถึงวัดก็อธิบายตั้งแต่ประตูทางเข้าที่แบ่งเป็นสามช่อง ช่องกลางใหญ่ที่สุดเป็นประตูสำหรับกษัตริย์ก้าวผ่าน ดังนั้นพวกเราก็เลยพากันเข้าประตูช่องกลางกันหมด ที่วัดประจำราชวงศ์ดิง มีต้นไม้ที่ไกด์บอกว่าใช้ทำตะเกียบสำหรับกษัตริย์เท่านั้น เพราะมีคุณสมบัติพิเศษคือใช้ตรวจสอบยาพิษที่ปนในอาหารได้ (ชักอยากได้ซักคู่ เพราะอาหารเป็นพิษบ่อย) หลังจากนั้นเราก็ได้รู้ว่าวัดของเวียตนามแบ่งเป็น 3 ระดับคือ 1. temple เป็นเสมือนวังของกษัตริย์ที่ข้างในมีรูปปั้นของกษัตริย์ในราชวงศ์ตั้งไว้ 2. pagoda เป็นวัดที่มีพระพุทธรูปใช้ประกอบพิธีกรรม และ 3. วัดที่แยกย่อยออกมาในระดับหมู่บ้าน (ถ้าจำไม่ผิด)
ส่วนรูปปั้นสัตว์ทั้งหลายที่พบในวัดก็จะเป็นสัตว์ 4 อย่างที่ถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิของเวียตนาม ได้แก่ มังกร (Dragon) สิงห์ (Lion) นกกระเรียน (Phoenix) และม้า (Unicorn) สีของวัดจะมี 2 สีหลัก คือเหลือง หมายถึง พลัง อำนาจ (Power) และแดง หมายถึง ความสุข (Happiness)
ด้านหน้าของวัดไม่ว่าราชวงศ์ไหนจะมีแผ่นหินคล้ายตั่งตั้งอยู่ด้านหน้า ไว้ให้ผู้ที่รอเข้าเฝ้านั่งรอ เมื่อผ่านประตูเข้าไปด้านในแล้วก็มีแผ่นหินสลักนูนต่ำเป็นรูปมังกรตั้งอยู่หน้าตัวอาคาร ใช้สำหรับเป็นที่ประทับของกษัตริย์
เราออกจากวัดก่อนเที่ยง จากนั้นทัวร์ก็พาเราไปยัง เมืองนิมบินห์ กินข้าวเที่ยงกันพอประมาณ (เพราะอาหารไม่เยอะ) ก็ข้ามถนนหน้าร้านอาหารมาที่แทมค๊อค (Tamcoc) หรือฮาลองบก ไกด์รีบกำชับพวกเราว่าไม่จำเป็นต้องทิปคนพายเรือเพราะเราจ่ายค่าตั๋วแล้ว หากถูกใจจะจ่ายก็ไม่ต้องเกิน 20,000 ด่อง คราวนี้มาเจอเรือที่นั่งได้ 2 คนอีกแล้วครับทั่น จุ๋ยหันมายิ้มใส่หมอปุ้ม แล้วก็ไปทาบทามหนุ่มอ๊อสซี่ที่มาคนเดียวทำนองว่าไปกับเพื่อนไอหน่อยนะ
มาเสียท่าตอนก่อนจะลงเรือ พจที่ไม่มีหมวกก็ควักเอาครีมกันแดดมาทาหน้า จากนั้นก็ส่งต่อครีมไปให้จุ๋ยซึ่งไม่ลังเลที่จะรับไปทา แต่ทาแบบเปื้อนเปรอะก็เลยต้องเอาตลับแป้งขึ้นมาให้จุ๋ยส่อง พอจุ๋ยรับมาส่องก็พอดีกับที่พ่อหนุ่มอ๊อสซี่หันมาเห็น จุ๋ยต้องรีบแก้ตัวเป็นพัลวันว่าตลับแป้งเนี่ยไม่ใช่ของไอนะเว้ย ซึ่งเขาก็พยักหน้าโดยดี พร้อมกับบอกว่ามันก็ไม่ควรจะเป็นของยูหรอก ทำเอาพจกับหมอปุ้มฮากันครืน
แต่ถึงเวลาลงเรือจริงๆ หมอปุ้มทำหน้าเศร้าบอกว่าไม่ไป(กับคนอื่น)ไม่ได้เหรอ แล้วก็เกาะพจแน่น(ด้วยสายตา) จุ๋ยก็เลยจำต้องไปกับหนุ่มคนนั้นแทน โดยพ่อหนุ่มรีบนั่งทางด้านหลังเรือ ไม่เปิดโอกาสให้จุ๋ยเข้าข้างหลังได้
เริ่มรู้สึกแปลกๆ ตอนที่เรือ 2 แจว ซึ่งใช้คนพายคนเดียวก็พอ มีผู้หญิงอีกคนมาขอนั่งด้วยและมีไม้พายเล็กๆ มาช่วยพาย หล่อนพูดภาษาอังกฤษได้ไม่ดีนัก (เหมือนเรา) เปิดปากได้ก็ถามแพทเทิร์นเดียวกับพวกเย้า คือ ชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ ทำเอาเราพอจะเดาได้ว่า เดี๋ยวเธอก็มีอะไรมาขาย
ช่วงแรกๆ เรือพายตามๆ กันไป ทำให้มีแต่นักท่องเที่ยวเต็มไปหมด แต่อย่างไรก็ดี วิวรอบๆ ข้างที่คล้ายๆ ฮาลองเบย์ คือ มีภูเขาหลายๆ ลูก ล้อมอยู่รอบๆ ตัว ก็สวยจนลืมไปว่าที่นี่ไม่ใช่ทะเล มองลงไปในน้ำมีสาหร่ายขึ้นอยู่ทั่วไปจนบอกไม่ได้ว่าน้ำตื้นหรือลึก แต่ระดับน้ำคงไม่เท่ากันเพราะส่วนที่อยู่ชิดกับภูเขาบางแห่งมีการทำนาและใช้รถไถนาด้วย หลังจากผ่านอุโมงค์ถ้ำลอด (มี 3 ถ้ำ) เรือของเราก็ทิ้งห่างลำของจุ๋ยมาพอสมควร จนไปถึงสุดทางที่ต้องกลับเรือก็มีเรือขายของจอดเรียงรายรออยู่ บางลำที่คงรู้จักกับเจ้าของเรือเราก็พายเข้ามาขนาบเรียกร้องให้เราซื้อพวกน้ำอัดลม ทิปให้คนพาย ซึ่งเราก็ปฏิเสธอย่างไม่ใยดี เมื่อเห็นเราไม่สนใจ คนพายก็บ่ายหน้าพาเรากลับ ขากลับนี่เองที่ผู้หญิงที่นั่งมาด้วยเปิดหีบสินค้าที่อยู่ด้านท้ายเรือ เอาผ้าปูโต๊ะ เสื้อยืด ออกมาขายพวกเรา ซึ่งก็โดนปฏิเสธอีกเช่นกัน เราให้เหตุผลว่าต้องการผ้าปูที่นอน(เห็นแล้วว่าไม่มี)มากกว่า แต่ไม่แน่ใจว่าเขาฟังเรารู้เรื่องหรือไม่(ขนาดทำท่า sleeping ประกอบแล้วนา)
เมื่อเห็นว่าเหยื่อ เอ๊ย ลูกค้าทั้ง 2 ไม่มีทีท่าจะซื้อสินค้า หล่อนก็เลยเรียกเรืออีกลำที่แล่นสวนมา แล้วก็ขนหีบพร้อมทั้งย้ายก้นตัวเองไปนั่งอีกลำ ปล่อยให้แหม่มที่นั่งมาในเรือลำนั้นทำหน้างงๆ จนเราบอกว่าชีมีอะไรจะขายยูแน่ะ ยังไม่หมดแค่นั้น พอนั่งในเรือลำใหม่เรียบร้อยแล้ว มีรายการแบมือขอทิปอีกต่างหาก ประมาณว่าชั้นก็ช่วยพายมาตั้งครึ่งทางนะเนี่ย ซึ่งพจก็ตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า ไม่.. ตูจะทิปเฉพาะคนพายเท่านั้นเฟ้ย แล้วก็ยิ้มสยามอย่างมีเมตตา เพื่อประเมินสถานการณ์ว่าจะถีบคนท้องถิ่นตกเรือดีหรือไม่หากมีปัญหา
กลับมาถึงฝั่งอย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนพร้อมทั้งทิปคนพายเรือไป 10,000 ด่อง ซึ่งก็ได้เสียงพึมพำตอบมา คงประมาณว่า “ขอบคุณเหลือเกิน นางฟ้าน้อยๆ ทั้ง 2 คน ขอให้เจริญรุ่งเรืองด้วยประการทั้งปวง” กระมัง ส่วนจุ๋ยที่เมื่อขึ้นฝั่งได้ก็เผ่นอ้าวหนีพ่อหนุ่มอ๊อสซี่ จนเพื่อนๆ งง ว่าไปทำอะไรกันบนเรือ มาได้คำตอบตอนที่มีกิ้งก่าสีเขียวป๋อเกาะติดอยู่กับเสื้อพ่อคนนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แล้วเจ้าตัวก็จับมันมาดูเล่นอยู่ในมืออย่างร่าเริง
พวกเราเล่าประสบการณ์ถูกหลอกไปเชือด เอ๊ย นั่งเรือคนละลำให้แก่กันฟัง พวกพจให้ทิปเมื่อถึงฝั่งแล้วก็ก้าวขึ้นจากเรือฉับ ก็หมดเรื่องกันไป ส่วนทางจุ๋ยให้ทิปไป 20,000 ด่อง เนื่องจากฝรั่งแกไม่มีแบงค์ย่อย และให้ทิปตอนอยู่ในเรือก่อนขึ้นฝั่ง เลยโดนคนเรือขอทิปจากฝรั่งอีก จนจุ๋ยต้องบอกว่า 2 หมื่นเนี่ยรวมกัน 2 คนเฟ้ย ดูท่าคนพายจะไม่ค่อยสบอารมณ์ (แต่คงไม่มากไปกว่าจุ๋ย เพราะพอหายกลัวกิ้งก่าแล้วก็บ่นน่าดู)
ได้เวลาอันสมควรพวกเราก็ขึ้นรถกลับฮานอย มีคนเวียตนามขึ้นรถมาเพิ่มด้วยประมาณว่ารู้จักกับคนขับรถ ส่วนเด็กที่นั่งหน้ามากับคนขับตอนขาไป ขากลับก็บังเอิญมานั่งอยู่ด้านหลังจุ๋ยและเอะอะตลอดทาง ทำเอาจุ๋ยชักหงุดหงิดที่ไม่ได้หลับ
คืนสุดท้ายเราเลือกอาหารเย็นที่ร้าน New Day เจ้าเดิมที่รสชาติใช้ได้ แต่คราวนี้ไม่ได้สั่งจากเมนู ใช้วิธีชี้อาหารสำเร็จแบบข้าวราดแกงที่ด้านข้างของร้านแทน ซึ่งก็อร่อยเช่นเดียวกัน โดยจานที่เป็นแกงจืดจะตั้งเตาไว้ตลอด ทำให้ไม่เย็นชืดเหมือนแถวบ้านเรา
อิ่มดีแล้วก็เป็นการซื้อของฝากครั้งสุดท้าย ดีที่เราพอจะประมาณคร่าวๆ ไว้แล้วว่าเหลืออะไรที่ยังขาดอยู่บ้าง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรายการที่แม่ฝากซื้อ คือกระเป๋าผ้าแบบปัก เคยไปดูแบบที่ถูกใจไว้แล้วแต่ราคาแพงระยับ คราวนี้โชคดีที่การจับบ่อยๆ เลยพลอยโน้มน้าวให้ผู้ร่วมทริปอีก 2 คนชักอยากจะได้บ้าง รวมๆ กันซื้อ 10 ใบ เลยได้ราคาที่พอจะซื้อลง เมื่อกลับมาที่โรงแรมก็เป็นรายการจัดกระเป๋า เคลียร์บัญชี (เจ้าหนี้รีบย้ำว่าไม่มีการชดใช้ด้วยร่างกาย) กว่าจะได้นอนก็เกือบเที่ยงคืน
10 ธ.ค. 50
วันนี้ตื่นแต่เช้าตั้งแต่ตี 4 เพราะต้องรีบไปสนามบินก่อน 7 โมงเช้า หิ้วของไปก็ชักรู้สึกว่าของหนักโครตๆ ไปเที่ยวทีซื้อของฝากที่มีขนาดใหญ่นี่มันไม่ดีอย่างนี้เอง แต่ทำไงได้ คุณแม่ขอร้องอ่ะ นี่ดีที่ไม่คิดจะซื้องอบที่แม่อยากได้ (ถึง 2 อัน) กลับมาด้วยนะเนี่ย ขืนหอบพะรุงพะรังอาจจะไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง เพราะเขานึกว่าเป็นพวกอพยพก็เป็นได้ กลับถึงสุวรรณภูมิอย่างปลอดภัย 11.00 น.
เหลือเวลาอีกวันเดียวที่เราจะได้เที่ยวในเวียตนามกัน สำหรับวันนี้เรายังซื้อทัวร์เที่ยว 2 วัดประจำ 2 ราชวงค์ของเวียตนาม และนิมบินห์ แทมค๊อค หรือ ฮาลองบก รูปแบบทัวร์เป็นอย่างเดิมคือ จะมีรถมารับพวกเราที่โรงแรม จากนั้นก็ไปรับคนที่โรงแรมอื่นๆ อีก (ไม่เจอเจ๊ช่างเม้าท์แล้วเพราะเธอบอกว่าจะกลับเลย) ผู้ร่วมทางคราวนี้ของเราก็มีคู่ชาวออสเตเรีย ครอบครัวเกาหลี 2 สาวชาวเวียตนาม และอีก 1 หนุ่มออสเตเรีย คราวนี้ได้ไกด์ผู้หญิงที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่าทุกไกด์ที่ผ่านมา และอธิบายให้พวกเราฟังระหว่างนั่งในรถสมกับเป็นไกด์ เมื่อถึงวัดก็อธิบายตั้งแต่ประตูทางเข้าที่แบ่งเป็นสามช่อง ช่องกลางใหญ่ที่สุดเป็นประตูสำหรับกษัตริย์ก้าวผ่าน ดังนั้นพวกเราก็เลยพากันเข้าประตูช่องกลางกันหมด ที่วัดประจำราชวงศ์ดิง มีต้นไม้ที่ไกด์บอกว่าใช้ทำตะเกียบสำหรับกษัตริย์เท่านั้น เพราะมีคุณสมบัติพิเศษคือใช้ตรวจสอบยาพิษที่ปนในอาหารได้ (ชักอยากได้ซักคู่ เพราะอาหารเป็นพิษบ่อย) หลังจากนั้นเราก็ได้รู้ว่าวัดของเวียตนามแบ่งเป็น 3 ระดับคือ 1. temple เป็นเสมือนวังของกษัตริย์ที่ข้างในมีรูปปั้นของกษัตริย์ในราชวงศ์ตั้งไว้ 2. pagoda เป็นวัดที่มีพระพุทธรูปใช้ประกอบพิธีกรรม และ 3. วัดที่แยกย่อยออกมาในระดับหมู่บ้าน (ถ้าจำไม่ผิด)
ส่วนรูปปั้นสัตว์ทั้งหลายที่พบในวัดก็จะเป็นสัตว์ 4 อย่างที่ถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิของเวียตนาม ได้แก่ มังกร (Dragon) สิงห์ (Lion) นกกระเรียน (Phoenix) และม้า (Unicorn) สีของวัดจะมี 2 สีหลัก คือเหลือง หมายถึง พลัง อำนาจ (Power) และแดง หมายถึง ความสุข (Happiness)
ด้านหน้าของวัดไม่ว่าราชวงศ์ไหนจะมีแผ่นหินคล้ายตั่งตั้งอยู่ด้านหน้า ไว้ให้ผู้ที่รอเข้าเฝ้านั่งรอ เมื่อผ่านประตูเข้าไปด้านในแล้วก็มีแผ่นหินสลักนูนต่ำเป็นรูปมังกรตั้งอยู่หน้าตัวอาคาร ใช้สำหรับเป็นที่ประทับของกษัตริย์
เราออกจากวัดก่อนเที่ยง จากนั้นทัวร์ก็พาเราไปยัง เมืองนิมบินห์ กินข้าวเที่ยงกันพอประมาณ (เพราะอาหารไม่เยอะ) ก็ข้ามถนนหน้าร้านอาหารมาที่แทมค๊อค (Tamcoc) หรือฮาลองบก ไกด์รีบกำชับพวกเราว่าไม่จำเป็นต้องทิปคนพายเรือเพราะเราจ่ายค่าตั๋วแล้ว หากถูกใจจะจ่ายก็ไม่ต้องเกิน 20,000 ด่อง คราวนี้มาเจอเรือที่นั่งได้ 2 คนอีกแล้วครับทั่น จุ๋ยหันมายิ้มใส่หมอปุ้ม แล้วก็ไปทาบทามหนุ่มอ๊อสซี่ที่มาคนเดียวทำนองว่าไปกับเพื่อนไอหน่อยนะ
มาเสียท่าตอนก่อนจะลงเรือ พจที่ไม่มีหมวกก็ควักเอาครีมกันแดดมาทาหน้า จากนั้นก็ส่งต่อครีมไปให้จุ๋ยซึ่งไม่ลังเลที่จะรับไปทา แต่ทาแบบเปื้อนเปรอะก็เลยต้องเอาตลับแป้งขึ้นมาให้จุ๋ยส่อง พอจุ๋ยรับมาส่องก็พอดีกับที่พ่อหนุ่มอ๊อสซี่หันมาเห็น จุ๋ยต้องรีบแก้ตัวเป็นพัลวันว่าตลับแป้งเนี่ยไม่ใช่ของไอนะเว้ย ซึ่งเขาก็พยักหน้าโดยดี พร้อมกับบอกว่ามันก็ไม่ควรจะเป็นของยูหรอก ทำเอาพจกับหมอปุ้มฮากันครืน
แต่ถึงเวลาลงเรือจริงๆ หมอปุ้มทำหน้าเศร้าบอกว่าไม่ไป(กับคนอื่น)ไม่ได้เหรอ แล้วก็เกาะพจแน่น(ด้วยสายตา) จุ๋ยก็เลยจำต้องไปกับหนุ่มคนนั้นแทน โดยพ่อหนุ่มรีบนั่งทางด้านหลังเรือ ไม่เปิดโอกาสให้จุ๋ยเข้าข้างหลังได้
เริ่มรู้สึกแปลกๆ ตอนที่เรือ 2 แจว ซึ่งใช้คนพายคนเดียวก็พอ มีผู้หญิงอีกคนมาขอนั่งด้วยและมีไม้พายเล็กๆ มาช่วยพาย หล่อนพูดภาษาอังกฤษได้ไม่ดีนัก (เหมือนเรา) เปิดปากได้ก็ถามแพทเทิร์นเดียวกับพวกเย้า คือ ชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ ทำเอาเราพอจะเดาได้ว่า เดี๋ยวเธอก็มีอะไรมาขาย
ช่วงแรกๆ เรือพายตามๆ กันไป ทำให้มีแต่นักท่องเที่ยวเต็มไปหมด แต่อย่างไรก็ดี วิวรอบๆ ข้างที่คล้ายๆ ฮาลองเบย์ คือ มีภูเขาหลายๆ ลูก ล้อมอยู่รอบๆ ตัว ก็สวยจนลืมไปว่าที่นี่ไม่ใช่ทะเล มองลงไปในน้ำมีสาหร่ายขึ้นอยู่ทั่วไปจนบอกไม่ได้ว่าน้ำตื้นหรือลึก แต่ระดับน้ำคงไม่เท่ากันเพราะส่วนที่อยู่ชิดกับภูเขาบางแห่งมีการทำนาและใช้รถไถนาด้วย หลังจากผ่านอุโมงค์ถ้ำลอด (มี 3 ถ้ำ) เรือของเราก็ทิ้งห่างลำของจุ๋ยมาพอสมควร จนไปถึงสุดทางที่ต้องกลับเรือก็มีเรือขายของจอดเรียงรายรออยู่ บางลำที่คงรู้จักกับเจ้าของเรือเราก็พายเข้ามาขนาบเรียกร้องให้เราซื้อพวกน้ำอัดลม ทิปให้คนพาย ซึ่งเราก็ปฏิเสธอย่างไม่ใยดี เมื่อเห็นเราไม่สนใจ คนพายก็บ่ายหน้าพาเรากลับ ขากลับนี่เองที่ผู้หญิงที่นั่งมาด้วยเปิดหีบสินค้าที่อยู่ด้านท้ายเรือ เอาผ้าปูโต๊ะ เสื้อยืด ออกมาขายพวกเรา ซึ่งก็โดนปฏิเสธอีกเช่นกัน เราให้เหตุผลว่าต้องการผ้าปูที่นอน(เห็นแล้วว่าไม่มี)มากกว่า แต่ไม่แน่ใจว่าเขาฟังเรารู้เรื่องหรือไม่(ขนาดทำท่า sleeping ประกอบแล้วนา)
เมื่อเห็นว่าเหยื่อ เอ๊ย ลูกค้าทั้ง 2 ไม่มีทีท่าจะซื้อสินค้า หล่อนก็เลยเรียกเรืออีกลำที่แล่นสวนมา แล้วก็ขนหีบพร้อมทั้งย้ายก้นตัวเองไปนั่งอีกลำ ปล่อยให้แหม่มที่นั่งมาในเรือลำนั้นทำหน้างงๆ จนเราบอกว่าชีมีอะไรจะขายยูแน่ะ ยังไม่หมดแค่นั้น พอนั่งในเรือลำใหม่เรียบร้อยแล้ว มีรายการแบมือขอทิปอีกต่างหาก ประมาณว่าชั้นก็ช่วยพายมาตั้งครึ่งทางนะเนี่ย ซึ่งพจก็ตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า ไม่.. ตูจะทิปเฉพาะคนพายเท่านั้นเฟ้ย แล้วก็ยิ้มสยามอย่างมีเมตตา เพื่อประเมินสถานการณ์ว่าจะถีบคนท้องถิ่นตกเรือดีหรือไม่หากมีปัญหา
กลับมาถึงฝั่งอย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนพร้อมทั้งทิปคนพายเรือไป 10,000 ด่อง ซึ่งก็ได้เสียงพึมพำตอบมา คงประมาณว่า “ขอบคุณเหลือเกิน นางฟ้าน้อยๆ ทั้ง 2 คน ขอให้เจริญรุ่งเรืองด้วยประการทั้งปวง” กระมัง ส่วนจุ๋ยที่เมื่อขึ้นฝั่งได้ก็เผ่นอ้าวหนีพ่อหนุ่มอ๊อสซี่ จนเพื่อนๆ งง ว่าไปทำอะไรกันบนเรือ มาได้คำตอบตอนที่มีกิ้งก่าสีเขียวป๋อเกาะติดอยู่กับเสื้อพ่อคนนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แล้วเจ้าตัวก็จับมันมาดูเล่นอยู่ในมืออย่างร่าเริง
พวกเราเล่าประสบการณ์ถูกหลอกไปเชือด เอ๊ย นั่งเรือคนละลำให้แก่กันฟัง พวกพจให้ทิปเมื่อถึงฝั่งแล้วก็ก้าวขึ้นจากเรือฉับ ก็หมดเรื่องกันไป ส่วนทางจุ๋ยให้ทิปไป 20,000 ด่อง เนื่องจากฝรั่งแกไม่มีแบงค์ย่อย และให้ทิปตอนอยู่ในเรือก่อนขึ้นฝั่ง เลยโดนคนเรือขอทิปจากฝรั่งอีก จนจุ๋ยต้องบอกว่า 2 หมื่นเนี่ยรวมกัน 2 คนเฟ้ย ดูท่าคนพายจะไม่ค่อยสบอารมณ์ (แต่คงไม่มากไปกว่าจุ๋ย เพราะพอหายกลัวกิ้งก่าแล้วก็บ่นน่าดู)
ได้เวลาอันสมควรพวกเราก็ขึ้นรถกลับฮานอย มีคนเวียตนามขึ้นรถมาเพิ่มด้วยประมาณว่ารู้จักกับคนขับรถ ส่วนเด็กที่นั่งหน้ามากับคนขับตอนขาไป ขากลับก็บังเอิญมานั่งอยู่ด้านหลังจุ๋ยและเอะอะตลอดทาง ทำเอาจุ๋ยชักหงุดหงิดที่ไม่ได้หลับ
คืนสุดท้ายเราเลือกอาหารเย็นที่ร้าน New Day เจ้าเดิมที่รสชาติใช้ได้ แต่คราวนี้ไม่ได้สั่งจากเมนู ใช้วิธีชี้อาหารสำเร็จแบบข้าวราดแกงที่ด้านข้างของร้านแทน ซึ่งก็อร่อยเช่นเดียวกัน โดยจานที่เป็นแกงจืดจะตั้งเตาไว้ตลอด ทำให้ไม่เย็นชืดเหมือนแถวบ้านเรา
อิ่มดีแล้วก็เป็นการซื้อของฝากครั้งสุดท้าย ดีที่เราพอจะประมาณคร่าวๆ ไว้แล้วว่าเหลืออะไรที่ยังขาดอยู่บ้าง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรายการที่แม่ฝากซื้อ คือกระเป๋าผ้าแบบปัก เคยไปดูแบบที่ถูกใจไว้แล้วแต่ราคาแพงระยับ คราวนี้โชคดีที่การจับบ่อยๆ เลยพลอยโน้มน้าวให้ผู้ร่วมทริปอีก 2 คนชักอยากจะได้บ้าง รวมๆ กันซื้อ 10 ใบ เลยได้ราคาที่พอจะซื้อลง เมื่อกลับมาที่โรงแรมก็เป็นรายการจัดกระเป๋า เคลียร์บัญชี (เจ้าหนี้รีบย้ำว่าไม่มีการชดใช้ด้วยร่างกาย) กว่าจะได้นอนก็เกือบเที่ยงคืน
10 ธ.ค. 50
วันนี้ตื่นแต่เช้าตั้งแต่ตี 4 เพราะต้องรีบไปสนามบินก่อน 7 โมงเช้า หิ้วของไปก็ชักรู้สึกว่าของหนักโครตๆ ไปเที่ยวทีซื้อของฝากที่มีขนาดใหญ่นี่มันไม่ดีอย่างนี้เอง แต่ทำไงได้ คุณแม่ขอร้องอ่ะ นี่ดีที่ไม่คิดจะซื้องอบที่แม่อยากได้ (ถึง 2 อัน) กลับมาด้วยนะเนี่ย ขืนหอบพะรุงพะรังอาจจะไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง เพราะเขานึกว่าเป็นพวกอพยพก็เป็นได้ กลับถึงสุวรรณภูมิอย่างปลอดภัย 11.00 น.