Tuesday, January 01, 2008

เวียตนาม (Part IX)

9 ธ.ค. 50
เหลือเวลาอีกวันเดียวที่เราจะได้เที่ยวในเวียตนามกัน สำหรับวันนี้เรายังซื้อทัวร์เที่ยว 2 วัดประจำ 2 ราชวงค์ของเวียตนาม และนิมบินห์ แทมค๊อค หรือ ฮาลองบก รูปแบบทัวร์เป็นอย่างเดิมคือ จะมีรถมารับพวกเราที่โรงแรม จากนั้นก็ไปรับคนที่โรงแรมอื่นๆ อีก (ไม่เจอเจ๊ช่างเม้าท์แล้วเพราะเธอบอกว่าจะกลับเลย) ผู้ร่วมทางคราวนี้ของเราก็มีคู่ชาวออสเตเรีย ครอบครัวเกาหลี 2 สาวชาวเวียตนาม และอีก 1 หนุ่มออสเตเรีย คราวนี้ได้ไกด์ผู้หญิงที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่าทุกไกด์ที่ผ่านมา และอธิบายให้พวกเราฟังระหว่างนั่งในรถสมกับเป็นไกด์ เมื่อถึงวัดก็อธิบายตั้งแต่ประตูทางเข้าที่แบ่งเป็นสามช่อง ช่องกลางใหญ่ที่สุดเป็นประตูสำหรับกษัตริย์ก้าวผ่าน ดังนั้นพวกเราก็เลยพากันเข้าประตูช่องกลางกันหมด ที่วัดประจำราชวงศ์ดิง มีต้นไม้ที่ไกด์บอกว่าใช้ทำตะเกียบสำหรับกษัตริย์เท่านั้น เพราะมีคุณสมบัติพิเศษคือใช้ตรวจสอบยาพิษที่ปนในอาหารได้ (ชักอยากได้ซักคู่ เพราะอาหารเป็นพิษบ่อย) หลังจากนั้นเราก็ได้รู้ว่าวัดของเวียตนามแบ่งเป็น 3 ระดับคือ 1. temple เป็นเสมือนวังของกษัตริย์ที่ข้างในมีรูปปั้นของกษัตริย์ในราชวงศ์ตั้งไว้ 2. pagoda เป็นวัดที่มีพระพุทธรูปใช้ประกอบพิธีกรรม และ 3. วัดที่แยกย่อยออกมาในระดับหมู่บ้าน (ถ้าจำไม่ผิด)

ส่วนรูปปั้นสัตว์ทั้งหลายที่พบในวัดก็จะเป็นสัตว์ 4 อย่างที่ถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิของเวียตนาม ได้แก่ มังกร (Dragon) สิงห์ (Lion) นกกระเรียน (Phoenix) และม้า (Unicorn) สีของวัดจะมี 2 สีหลัก คือเหลือง หมายถึง พลัง อำนาจ (Power) และแดง หมายถึง ความสุข (Happiness)

ด้านหน้าของวัดไม่ว่าราชวงศ์ไหนจะมีแผ่นหินคล้ายตั่งตั้งอยู่ด้านหน้า ไว้ให้ผู้ที่รอเข้าเฝ้านั่งรอ เมื่อผ่านประตูเข้าไปด้านในแล้วก็มีแผ่นหินสลักนูนต่ำเป็นรูปมังกรตั้งอยู่หน้าตัวอาคาร ใช้สำหรับเป็นที่ประทับของกษัตริย์

เราออกจากวัดก่อนเที่ยง จากนั้นทัวร์ก็พาเราไปยัง เมืองนิมบินห์ กินข้าวเที่ยงกันพอประมาณ (เพราะอาหารไม่เยอะ) ก็ข้ามถนนหน้าร้านอาหารมาที่แทมค๊อค (Tamcoc) หรือฮาลองบก ไกด์รีบกำชับพวกเราว่าไม่จำเป็นต้องทิปคนพายเรือเพราะเราจ่ายค่าตั๋วแล้ว หากถูกใจจะจ่ายก็ไม่ต้องเกิน 20,000 ด่อง คราวนี้มาเจอเรือที่นั่งได้ 2 คนอีกแล้วครับทั่น จุ๋ยหันมายิ้มใส่หมอปุ้ม แล้วก็ไปทาบทามหนุ่มอ๊อสซี่ที่มาคนเดียวทำนองว่าไปกับเพื่อนไอหน่อยนะ

มาเสียท่าตอนก่อนจะลงเรือ พจที่ไม่มีหมวกก็ควักเอาครีมกันแดดมาทาหน้า จากนั้นก็ส่งต่อครีมไปให้จุ๋ยซึ่งไม่ลังเลที่จะรับไปทา แต่ทาแบบเปื้อนเปรอะก็เลยต้องเอาตลับแป้งขึ้นมาให้จุ๋ยส่อง พอจุ๋ยรับมาส่องก็พอดีกับที่พ่อหนุ่มอ๊อสซี่หันมาเห็น จุ๋ยต้องรีบแก้ตัวเป็นพัลวันว่าตลับแป้งเนี่ยไม่ใช่ของไอนะเว้ย ซึ่งเขาก็พยักหน้าโดยดี พร้อมกับบอกว่ามันก็ไม่ควรจะเป็นของยูหรอก ทำเอาพจกับหมอปุ้มฮากันครืน

แต่ถึงเวลาลงเรือจริงๆ หมอปุ้มทำหน้าเศร้าบอกว่าไม่ไป(กับคนอื่น)ไม่ได้เหรอ แล้วก็เกาะพจแน่น(ด้วยสายตา) จุ๋ยก็เลยจำต้องไปกับหนุ่มคนนั้นแทน โดยพ่อหนุ่มรีบนั่งทางด้านหลังเรือ ไม่เปิดโอกาสให้จุ๋ยเข้าข้างหลังได้

เริ่มรู้สึกแปลกๆ ตอนที่เรือ 2 แจว ซึ่งใช้คนพายคนเดียวก็พอ มีผู้หญิงอีกคนมาขอนั่งด้วยและมีไม้พายเล็กๆ มาช่วยพาย หล่อนพูดภาษาอังกฤษได้ไม่ดีนัก (เหมือนเรา) เปิดปากได้ก็ถามแพทเทิร์นเดียวกับพวกเย้า คือ ชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ ทำเอาเราพอจะเดาได้ว่า เดี๋ยวเธอก็มีอะไรมาขาย

ช่วงแรกๆ เรือพายตามๆ กันไป ทำให้มีแต่นักท่องเที่ยวเต็มไปหมด แต่อย่างไรก็ดี วิวรอบๆ ข้างที่คล้ายๆ ฮาลองเบย์ คือ มีภูเขาหลายๆ ลูก ล้อมอยู่รอบๆ ตัว ก็สวยจนลืมไปว่าที่นี่ไม่ใช่ทะเล มองลงไปในน้ำมีสาหร่ายขึ้นอยู่ทั่วไปจนบอกไม่ได้ว่าน้ำตื้นหรือลึก แต่ระดับน้ำคงไม่เท่ากันเพราะส่วนที่อยู่ชิดกับภูเขาบางแห่งมีการทำนาและใช้รถไถนาด้วย หลังจากผ่านอุโมงค์ถ้ำลอด (มี 3 ถ้ำ) เรือของเราก็ทิ้งห่างลำของจุ๋ยมาพอสมควร จนไปถึงสุดทางที่ต้องกลับเรือก็มีเรือขายของจอดเรียงรายรออยู่ บางลำที่คงรู้จักกับเจ้าของเรือเราก็พายเข้ามาขนาบเรียกร้องให้เราซื้อพวกน้ำอัดลม ทิปให้คนพาย ซึ่งเราก็ปฏิเสธอย่างไม่ใยดี เมื่อเห็นเราไม่สนใจ คนพายก็บ่ายหน้าพาเรากลับ ขากลับนี่เองที่ผู้หญิงที่นั่งมาด้วยเปิดหีบสินค้าที่อยู่ด้านท้ายเรือ เอาผ้าปูโต๊ะ เสื้อยืด ออกมาขายพวกเรา ซึ่งก็โดนปฏิเสธอีกเช่นกัน เราให้เหตุผลว่าต้องการผ้าปูที่นอน(เห็นแล้วว่าไม่มี)มากกว่า แต่ไม่แน่ใจว่าเขาฟังเรารู้เรื่องหรือไม่(ขนาดทำท่า sleeping ประกอบแล้วนา)

เมื่อเห็นว่าเหยื่อ เอ๊ย ลูกค้าทั้ง 2 ไม่มีทีท่าจะซื้อสินค้า หล่อนก็เลยเรียกเรืออีกลำที่แล่นสวนมา แล้วก็ขนหีบพร้อมทั้งย้ายก้นตัวเองไปนั่งอีกลำ ปล่อยให้แหม่มที่นั่งมาในเรือลำนั้นทำหน้างงๆ จนเราบอกว่าชีมีอะไรจะขายยูแน่ะ ยังไม่หมดแค่นั้น พอนั่งในเรือลำใหม่เรียบร้อยแล้ว มีรายการแบมือขอทิปอีกต่างหาก ประมาณว่าชั้นก็ช่วยพายมาตั้งครึ่งทางนะเนี่ย ซึ่งพจก็ตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า ไม่.. ตูจะทิปเฉพาะคนพายเท่านั้นเฟ้ย แล้วก็ยิ้มสยามอย่างมีเมตตา เพื่อประเมินสถานการณ์ว่าจะถีบคนท้องถิ่นตกเรือดีหรือไม่หากมีปัญหา

กลับมาถึงฝั่งอย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนพร้อมทั้งทิปคนพายเรือไป 10,000 ด่อง ซึ่งก็ได้เสียงพึมพำตอบมา คงประมาณว่า “ขอบคุณเหลือเกิน นางฟ้าน้อยๆ ทั้ง 2 คน ขอให้เจริญรุ่งเรืองด้วยประการทั้งปวง” กระมัง ส่วนจุ๋ยที่เมื่อขึ้นฝั่งได้ก็เผ่นอ้าวหนีพ่อหนุ่มอ๊อสซี่ จนเพื่อนๆ งง ว่าไปทำอะไรกันบนเรือ มาได้คำตอบตอนที่มีกิ้งก่าสีเขียวป๋อเกาะติดอยู่กับเสื้อพ่อคนนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แล้วเจ้าตัวก็จับมันมาดูเล่นอยู่ในมืออย่างร่าเริง

พวกเราเล่าประสบการณ์ถูกหลอกไปเชือด เอ๊ย นั่งเรือคนละลำให้แก่กันฟัง พวกพจให้ทิปเมื่อถึงฝั่งแล้วก็ก้าวขึ้นจากเรือฉับ ก็หมดเรื่องกันไป ส่วนทางจุ๋ยให้ทิปไป 20,000 ด่อง เนื่องจากฝรั่งแกไม่มีแบงค์ย่อย และให้ทิปตอนอยู่ในเรือก่อนขึ้นฝั่ง เลยโดนคนเรือขอทิปจากฝรั่งอีก จนจุ๋ยต้องบอกว่า 2 หมื่นเนี่ยรวมกัน 2 คนเฟ้ย ดูท่าคนพายจะไม่ค่อยสบอารมณ์ (แต่คงไม่มากไปกว่าจุ๋ย เพราะพอหายกลัวกิ้งก่าแล้วก็บ่นน่าดู)

ได้เวลาอันสมควรพวกเราก็ขึ้นรถกลับฮานอย มีคนเวียตนามขึ้นรถมาเพิ่มด้วยประมาณว่ารู้จักกับคนขับรถ ส่วนเด็กที่นั่งหน้ามากับคนขับตอนขาไป ขากลับก็บังเอิญมานั่งอยู่ด้านหลังจุ๋ยและเอะอะตลอดทาง ทำเอาจุ๋ยชักหงุดหงิดที่ไม่ได้หลับ

คืนสุดท้ายเราเลือกอาหารเย็นที่ร้าน New Day เจ้าเดิมที่รสชาติใช้ได้ แต่คราวนี้ไม่ได้สั่งจากเมนู ใช้วิธีชี้อาหารสำเร็จแบบข้าวราดแกงที่ด้านข้างของร้านแทน ซึ่งก็อร่อยเช่นเดียวกัน โดยจานที่เป็นแกงจืดจะตั้งเตาไว้ตลอด ทำให้ไม่เย็นชืดเหมือนแถวบ้านเรา

อิ่มดีแล้วก็เป็นการซื้อของฝากครั้งสุดท้าย ดีที่เราพอจะประมาณคร่าวๆ ไว้แล้วว่าเหลืออะไรที่ยังขาดอยู่บ้าง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรายการที่แม่ฝากซื้อ คือกระเป๋าผ้าแบบปัก เคยไปดูแบบที่ถูกใจไว้แล้วแต่ราคาแพงระยับ คราวนี้โชคดีที่การจับบ่อยๆ เลยพลอยโน้มน้าวให้ผู้ร่วมทริปอีก 2 คนชักอยากจะได้บ้าง รวมๆ กันซื้อ 10 ใบ เลยได้ราคาที่พอจะซื้อลง เมื่อกลับมาที่โรงแรมก็เป็นรายการจัดกระเป๋า เคลียร์บัญชี (เจ้าหนี้รีบย้ำว่าไม่มีการชดใช้ด้วยร่างกาย) กว่าจะได้นอนก็เกือบเที่ยงคืน

10 ธ.ค. 50
วันนี้ตื่นแต่เช้าตั้งแต่ตี 4 เพราะต้องรีบไปสนามบินก่อน 7 โมงเช้า หิ้วของไปก็ชักรู้สึกว่าของหนักโครตๆ ไปเที่ยวทีซื้อของฝากที่มีขนาดใหญ่นี่มันไม่ดีอย่างนี้เอง แต่ทำไงได้ คุณแม่ขอร้องอ่ะ นี่ดีที่ไม่คิดจะซื้องอบที่แม่อยากได้ (ถึง 2 อัน) กลับมาด้วยนะเนี่ย ขืนหอบพะรุงพะรังอาจจะไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง เพราะเขานึกว่าเป็นพวกอพยพก็เป็นได้ กลับถึงสุวรรณภูมิอย่างปลอดภัย 11.00 น.

เวียตนาม (Part VIII)

8 ธ.ค. 50
วันนี้ไม่อยากตื่นจากห้องสุดสบายของโรงแรมเลย เช้านี้เราได้กินอาหารบุพเฟต์ของโรงแรมแบบในเมืองไทย จากนั้นไม่น่าเชื่อว่าเรือลำเดิมจะมารับเรากลับฮาลองซิตี้ บรรยากาศที่ท่าเรือในวันนี้ก็เป็นแบบเดียวกับเมื่อวาน คนที่ค้างบนเกาะก็ลงจากเรือมาโบกมือลาคนที่กลับพร้อมเรือ พวกเราได้เพื่อนเดินทางชุดใหม่อีก 6 คน นางงามมิตรภาพชาว USA ยังทำหน้าที่ของเธอต่อไปโดยคุยกับผู้มาใหม่ (ที่อยู่บนเรือก่อนแล้ว) อย่างออกรส ส่วนพวกเรานั่งเฉยๆ กันได้ซักพักจนเกือบหลับ พอดีกับที่หมอปุ้มเปิดประเด็นถามเรื่องงานกับจุ๋ย คราวนี้เลยต้อง (ถ่างตา) ฟังยาวจนเกือบถึงท่าเรือที่ฮาลองซิตี้

เราแวะกินข้าวเที่ยงกันที่ภัตตาคารแถวท่าเรือ ที่ยังคงเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวทัวร์ต่างๆ ถ้าไกด์ไม่บอกสงสัยจะพลัดหลงกันค่อนข้างแน่ กินเสร็จปรากฏว่าไกด์ที่มารับกลับฮานอยเป็นไกด์ซิง-โสดสนิท เจ้าเก่า แต่แทนที่จะเป็นรถตู้แบบเดิมมารับพวกเรา คราวนี้เป็นรถมินิบัสแทน ที่นั่งแคบๆ ทำเอาเมื่อยไปทั้งตัวกว่าจะถึงฮานอย

คราวนี้พนักงานโรงแรม Ngoh Minh คุ้นกับพวกเราแล้ว ยังถามยิ้มๆ หลังจากเห็นพวกเราอ่อนระโหยโรยแรงว่าเป็นไงบ้าง พักกันพอหายเหนื่อยและท้องหิวมาแทนที่ เลยต้องให้ไกด์จุ๋ยพาไปกินข้าวเย็น ที่งวดนี้ไกด์อยากจะกินอาหารอิตาเลี่ยนแทนอาหารเวียตนาม พวกเราเลยต้องเดินเลียบทะเลสาบคืนดาบไปที่ร้าน Al Fresco’s (ไม่รู้ไปเล็งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่) อาหารมื้อนี้เป็นรวมมิตรพาสต้า รวมมิตรบาร์บีคิว จานใหญ่มากๆ (ดีที่ไม่ยุให้เสี่ยสั่งพิซซ่ามากินด้วย) หลังจากนั้นก็เดินย่อยอาหารด้วยการช้อปปิ้งกระเป๋าเป้อีกครั้ง เดินต่อราคากันจนคนขายแทบเตะออกมาจากร้าน มีลุงเจ้าของร้านนึงอุตส่าห์ลดให้เพราะพวกเราบอกว่าจะเอาทั้งหมด 5 ใบ แต่พอเอากระเป๋ามาให้จริงๆ กลับเลือกสีไม่ได้ เลยได้แค่ใบเดียวพร้อมกับคำพึมพำของลุง

เวียตนาม (Part VII)

7 ธ.ค. 50
วันนี้ยังไม่ทันเช้าดี นอนๆ อยู่ก็ได้ยินเสียงโครมดังลั่น ทีแรกนึกว่ามีคนตกบันไดเหมือนที่จุ๋ยทำเมื่อคราวที่แล้ว เลยไม่ได้สนใจเท่าไหร่ ตอนเช้าถึงได้รู้ว่าเรือลอยไปชนเกาะที่อยู่ใกล้ๆ ตอนที่ชนนั้น จุ๋ยถึงกับลุกขึ้นมาฉายไฟดูเลยทีเดียว ก็นับว่าเป็นข้อดีของคนที่นอนคนเดียวในห้อง (แต่ถูกเราแซวไปแล้วว่าไม่แสดงน้ำใจชวนไกด์ซิง-ยังโสด มานอนด้วยเหรอ) เพราะต้องระแวดระวังภัยอยู่เสมอ (ปกติมีพจกับหมอปุ้มคอยระวังภัยให้) ที่เรือลอยไปชนคราวนี้เป็นเพราะว่าจอดโดยไม่ได้ทอดสมอ แต่ใช้วิธีผูกกับเรือลำข้างๆ ที่ทอดสมอแทน เลยมีโอกาสให้น้ำพัดแกว่งไปมาได้

หัวข้อคุยของทุกคนตอนเช้านี้จึงเป็นเรื่องเรือชน ถ้าไม่รวมเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของเจ๊อเมริกันที่ดันหูดี ได้ยินเสียงหนูวิ่ง ทำให้นอนไม่หลับอีก พูดถึงการนอนบนเรือลำไม่ถึงกับใหญ่มากแบบนี้ ทีแรกก็กลัวว่าจะมีละลอกคลื่นซัดอยู่ตลอด (ซึ่งคนที่เมาคลื่นไม่ใช่เรา) แต่ภายในอ่าวฮาลองนี้คลื่นลมสงบ เรือจึงจอดได้อย่างนิ่งมาก ถ้าไม่นับรายการลอยตามน้ำไปชนเอาเกาะ ที่ชอบมากที่สุดก็ตรงที่ได้เตียงคู่ แยกหมอปุ้มไปกรนอีกฝั่งนึง และยังแยกจุ๋ยไปกรนอีกห้องหนึ่ง เปิดโอกาสให้เยื่อบุแก้วหูของเราได้พักผ่อนบ้าง

หลังกินข้าวเช้าไกด์บอกให้พวกเราเก็บของเตรียมขึ้นเกาะ Cat Ba ดังนั้นคนที่ซื้อทัวร์แบบค้างบนเรือคืนเดียว คือเชและครอบครัว และออสเตเรียอีกคู่หนึ่ง ก็จะกลับฮาลองซิตี้ไปพร้อมกับเรือและไกด์ซิง ส่วนพวกเราก็มีไกด์คนใหม่มารับขึ้นรถตู้ไปยังโรงแรมบนเกาะ

ได้มาเจอ 2 สาวอิสราเอลกันอีกที่รถตู้จนได้ เจ๊ช่างเม้าท์เป็นผู้สื่อสารอีกเหมือนเคย ได้ความว่าพวกเธอไม่ได้นอนบนเรือด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง (น่าจะกลัวเมาคลื่น) เลยต้องอาศัยเรือลำอื่นมาค้างบนเกาะ แลกเปลี่ยนกับการที่เจ๊เล่าเหตุการณ์ความประทับใจที่ได้นอนบนเรือ (ซึ่งทำให้ 2 สาวสร้างปัญหาขึ้นมาอีกภายหลัง) และเหตุเภทภัยที่ได้รับ (2 สาวเล่ามา 2 – 3 ประโยค ในขณะที่เจ๊เล่าไป 2 – 3 ย่อหน้า)

รถตู้พาพวกเราออกจากท่าเรือขึ้นที่สูงไปตามถนนคอนกรีตบนเกาะ เพื่อไปเดินในเส้นทางธรรมชาติที่ Cat Ba national park มีไกด์ท้องถิ่นที่พูดไทยได้ด้วยพาไป เส้นทางแรกๆ เหมือนจะไป home health care ในหมู่บ้าน เพราะเดินผ่านไร่มันสัมปะหลัง ไปแวะพักเข้าห้องน้ำและเล่นกับน้องหมาที่บ้านไกด์ จนเดินออกจากบ้านและมองเห็นภูเขาอยู่ข้างหน้านั่นแหละ ทำเอาเราแอบบ่นอยู่ในใจว่าหลุดจากซาปาแล้วยังต้องมาเดินขึ้นเขากันในเกาะอีกเหรอเนี่ย หันไปมองเพื่อนร่วมทริปที่เป็นฝรั่งออสเตเรียผู้หญิงที่ก้นใหญ่มาก (มีงวดนี้แหละที่จุ๋ย “ห้าม” เราพูดภาษาอังกฤษ ไม่เหมือนทุกทีที่บ่นว่าทำไมให้จุ๋ยพูดอยู่คนเดียว เพราะเราไปเรียกเจ๊แกว่า big ass ง่ะ) ก็ค่อยเบาใจว่าเดี๋ยวมีคนเหนื่อยเป็นเพื่อนแล้ว แต่ที่ไหนได้ เจ๊แกพาตูดใหญ่ๆ ไปลิ่ว ให้เรามอง (ตามบั้นท้าย) ตาค้าง ถึงแม้ว่างวดนี้จะเป็นการเดินขึ้นที่ค่อนข้างชัน และเมื่อยสุดๆ แต่เราก็ไม่เป็นลมอีก เพราะไม่ได้หยุดเดินและนั่งอย่างทันทีเหมือนคราวที่ผ่านมา

กว่าแรงจะอยู่ตัว (เหนื่อยจนชิน) ก็ปาเข้าไปชั่วโมงกว่า เดินไปเดินมาข้ามเขาไป 2 ลูก ถ่ายรูปกับวิวยอดเขาให้คุ้มกับที่เดินมา ส่วนจุ๋ยที่ใต่ขึ้นไปถ่ายรูปด้วยใจหวิวๆ ก็ยังฝืนยิ้มได้หลายรูปอยู่ ปล่อยให้หมอปุ้มเดินตามไกด์ไปพิชิตยอดเขาตามลำพัง (แล้วได้แผลกลับมา) ในที่สุดก็ได้กลับซะที ทางลงเขานี่มันดีกว่าทางขึ้นจริงๆ....เฮ้อ โดยเฉพาะทางที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวๆ สูงประมาณเอวให้เราเดินเอียงข้างแทรกผ่าน (คนอื่นเขาเดินกันตรงๆ) ยิ่งรู้สึกดีที่ได้เจอความชอุ่มชุ่มชื้นบ้าง ต่อจากนั้นเป็นป่าสนที่มีการกรีดลอกเปลือกออกเพื่อรองเอาน้ำมันสนกลิ่นหอมอ่อนๆ มองผ่านต้นสนเห็นดินเลนรอบเกาะตอนน้ำลง ดูแปลกไปอีกแบบ

กลับเข้าเมืองมา check-in ที่โรงแรม Holiday view ที่ออกจะหรูกว่าโรงแรมอื่นแถวนั้น ตอนแรกก็แปลกใจที่คนที่มารถตู้เดียวกันแยกไปพักอีกโรงแรมหนึ่ง มาถึงบางอ้อตอนที่เจ๊ช่างเม้าท์ ที่อยู่โรงแรมเดียวกับเราสอบถามราคาทัวร์กับพวกที่พักอีกโรงแรม ถึงรู้ว่าพวกเราจ่ายแพงกว่า แต่ตอนกินข้าวเที่ยงและข้าวเย็นในวันนี้พวกเรายังกินรวมกันที่โรงแรมที่เจ๊บิ๊กแอส และ 2 สาวอิสราเอลพักอยู่ ซึ่ง 2 สาวก็เริ่มมีปัญหาโดยบอกว่าจะพักบนเรือ ที่ควรจะได้นอนเมื่อคืนวาน ทำเอาไกด์ปวดหัว ส่วนจุ๋ย (ซึ่งเป็นคนแปลให้พวกเราฟัง) ถึงกับส่ายหน้าบอกว่าพวกยิวมักจะมีปัญหา ดังนั้นถ้าเจองูและเจอยิว ให้ตีจุ๋ย เอ๊ย ให้หลีกเลี่ยงงานบริการที่เกี่ยวข้องกับชาวยิวฉะนี้แล

หลังกินข้าวเที่ยง ไกด์ให้รถมารับพวกเราไปเกาะลิง (monkey island) ที่ต้องนั่งเรือไปอีกครึ่งชั่วโมง ตอนนี้เหลือคนไป 5 คน คือกลุ่มพวกเราและ 2 อเมริกัน จุ๋ยบอกว่าเริ่มเหมือนรายการ the wicket link - กำจัดจุดอ่อน เข้าไปทุกทีเพราะคนลดลงเรื่อยๆ คราวนี้เราหวังจะได้เล่นน้ำทะเล แต่อากาศที่เริ่มเย็นและน้ำก็เย็นทำให้ต้องล้มเลิกไป ได้แต่นั่งกันที่ชายหาด มองดูลิงอย่างระแวงไม่ให้เข้ามาใกล้ เพราะลิงที่นี่ขโมยของและค่อนข้างดุ ดูได้จากแก้งค์หนุ่มๆ ที่พายเรือคายักมาและกำลังย่างอะไรกินกัน แต่ไม่ได้กินซักที มัวแต่เอาไม้พายไล่ลิงและจ้องกันไปมาอยู่ สักพักมีรายการทีวีมาถ่ายที่เกาะ ทุกคนเลยหันไปสนใจ (รวมทั้งลิง)

เริ่มเซ็งแล้วพวกเราก็เรียกเรือมารับกลับ ที่จริงไกด์นัดให้รถมารับเราที่ท่าเรือ 17.00 น. แต่พวกเรามาถึงก่อนเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเลยต้องรอกัน แต่แล้วก็เริ่มกระวนกระวายเมื่อเลยเวลาไปพอสมควร ประกอบกับลมแรงและอากาศค่อนข้างหนาว ดีที่คนขับเรือเดินออกมาเห็นพวกเรายังรอกันอยู่เลยโทรตามไกด์ให้ ก็ยังไม่มีวี่แววว่ารถจะมารับ หลังจากผ่านภัยพิบัติมาครั้งหนึ่งแล้วแหม่มอเมริกันเริ่มทนหนาวไม่ไหว เลยเข้าไปหลบลมรอในโรงแรมแถวๆ นั้น พร้อมทั้งเล่าเรื่องราวให้คนที่โรงแรมฟังตามสไตล์ของเธอ ในที่สุดคนที่โรงแรมซึ่งไม่รู้ว่ารู้จักกับไกด์หรือเปล่า ก็เอารถไปส่งเราที่ Holiday view จนได้

ไม่ต้องพูดถึงว่าดินเนอร์คืนนี้ไกด์จะโดนเจ๊บ่นซะขนาดไหน ส่วนพวกเราที่มีส่วนร่วมเป็นผู้ประสบภัยหนาวไปด้วย (ไม่เชื่อถามหมอปุ้ม) ได้แต่นั่งกันเงียบๆ พจได้แต่บอกเสี่ยขาทิปของเราด้วยภาษาไทย (ก็พูดได้ภาษาเดียวแหละ) ว่าไกด์คนนี้ไม่ต้องทิปนะยะ ที่จริงก็น่าสงสารเหมือนกันเพราะพ่อไกด์ตัวดีได้แต่แก้ตัวเสียงอ่อยว่าสั่งให้รถมารับพวกเราตั้งแต่ 16.45 แล้ว แถมยังต้องหาวิธีพา 2 สาวไปนอนบนเรือสมใจคุณเธออีกด้วย

หลังกินเสร็จ พวกเราไปเดินย่อยอาหารที่ริมเขื่อนรอบหาด แต่แล้วลมเย็นก็พัดพวกเราเข้ามาทางด้านในอีกครั้ง สงสัยว่าฤดูนี้จะไม่ใช่หน้าท่องเที่ยวของเกาะ เพราะทุกที่ค่อนข้างเงียบเหงา ร้านขายไข่มุกเปิดไฟสว่างจ้าให้คนขายนั่งตบยุง ดีที่เราดูไข่มุกไม่เป็นก็เลยไม่ต้องเสียทรัพย์ซื้อไข่มุกที่แยกไม่ออกว่าเป็นมุกแท้หรือมุกเทียม