7 ธ.ค. 50
วันนี้ยังไม่ทันเช้าดี นอนๆ อยู่ก็ได้ยินเสียงโครมดังลั่น ทีแรกนึกว่ามีคนตกบันไดเหมือนที่จุ๋ยทำเมื่อคราวที่แล้ว เลยไม่ได้สนใจเท่าไหร่ ตอนเช้าถึงได้รู้ว่าเรือลอยไปชนเกาะที่อยู่ใกล้ๆ ตอนที่ชนนั้น จุ๋ยถึงกับลุกขึ้นมาฉายไฟดูเลยทีเดียว ก็นับว่าเป็นข้อดีของคนที่นอนคนเดียวในห้อง (แต่ถูกเราแซวไปแล้วว่าไม่แสดงน้ำใจชวนไกด์ซิง-ยังโสด มานอนด้วยเหรอ) เพราะต้องระแวดระวังภัยอยู่เสมอ (ปกติมีพจกับหมอปุ้มคอยระวังภัยให้) ที่เรือลอยไปชนคราวนี้เป็นเพราะว่าจอดโดยไม่ได้ทอดสมอ แต่ใช้วิธีผูกกับเรือลำข้างๆ ที่ทอดสมอแทน เลยมีโอกาสให้น้ำพัดแกว่งไปมาได้
หัวข้อคุยของทุกคนตอนเช้านี้จึงเป็นเรื่องเรือชน ถ้าไม่รวมเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของเจ๊อเมริกันที่ดันหูดี ได้ยินเสียงหนูวิ่ง ทำให้นอนไม่หลับอีก พูดถึงการนอนบนเรือลำไม่ถึงกับใหญ่มากแบบนี้ ทีแรกก็กลัวว่าจะมีละลอกคลื่นซัดอยู่ตลอด (ซึ่งคนที่เมาคลื่นไม่ใช่เรา) แต่ภายในอ่าวฮาลองนี้คลื่นลมสงบ เรือจึงจอดได้อย่างนิ่งมาก ถ้าไม่นับรายการลอยตามน้ำไปชนเอาเกาะ ที่ชอบมากที่สุดก็ตรงที่ได้เตียงคู่ แยกหมอปุ้มไปกรนอีกฝั่งนึง และยังแยกจุ๋ยไปกรนอีกห้องหนึ่ง เปิดโอกาสให้เยื่อบุแก้วหูของเราได้พักผ่อนบ้าง
หลังกินข้าวเช้าไกด์บอกให้พวกเราเก็บของเตรียมขึ้นเกาะ Cat Ba ดังนั้นคนที่ซื้อทัวร์แบบค้างบนเรือคืนเดียว คือเชและครอบครัว และออสเตเรียอีกคู่หนึ่ง ก็จะกลับฮาลองซิตี้ไปพร้อมกับเรือและไกด์ซิง ส่วนพวกเราก็มีไกด์คนใหม่มารับขึ้นรถตู้ไปยังโรงแรมบนเกาะ
ได้มาเจอ 2 สาวอิสราเอลกันอีกที่รถตู้จนได้ เจ๊ช่างเม้าท์เป็นผู้สื่อสารอีกเหมือนเคย ได้ความว่าพวกเธอไม่ได้นอนบนเรือด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง (น่าจะกลัวเมาคลื่น) เลยต้องอาศัยเรือลำอื่นมาค้างบนเกาะ แลกเปลี่ยนกับการที่เจ๊เล่าเหตุการณ์ความประทับใจที่ได้นอนบนเรือ (ซึ่งทำให้ 2 สาวสร้างปัญหาขึ้นมาอีกภายหลัง) และเหตุเภทภัยที่ได้รับ (2 สาวเล่ามา 2 – 3 ประโยค ในขณะที่เจ๊เล่าไป 2 – 3 ย่อหน้า)
รถตู้พาพวกเราออกจากท่าเรือขึ้นที่สูงไปตามถนนคอนกรีตบนเกาะ เพื่อไปเดินในเส้นทางธรรมชาติที่ Cat Ba national park มีไกด์ท้องถิ่นที่พูดไทยได้ด้วยพาไป เส้นทางแรกๆ เหมือนจะไป home health care ในหมู่บ้าน เพราะเดินผ่านไร่มันสัมปะหลัง ไปแวะพักเข้าห้องน้ำและเล่นกับน้องหมาที่บ้านไกด์ จนเดินออกจากบ้านและมองเห็นภูเขาอยู่ข้างหน้านั่นแหละ ทำเอาเราแอบบ่นอยู่ในใจว่าหลุดจากซาปาแล้วยังต้องมาเดินขึ้นเขากันในเกาะอีกเหรอเนี่ย หันไปมองเพื่อนร่วมทริปที่เป็นฝรั่งออสเตเรียผู้หญิงที่ก้นใหญ่มาก (มีงวดนี้แหละที่จุ๋ย “ห้าม” เราพูดภาษาอังกฤษ ไม่เหมือนทุกทีที่บ่นว่าทำไมให้จุ๋ยพูดอยู่คนเดียว เพราะเราไปเรียกเจ๊แกว่า big ass ง่ะ) ก็ค่อยเบาใจว่าเดี๋ยวมีคนเหนื่อยเป็นเพื่อนแล้ว แต่ที่ไหนได้ เจ๊แกพาตูดใหญ่ๆ ไปลิ่ว ให้เรามอง (ตามบั้นท้าย) ตาค้าง ถึงแม้ว่างวดนี้จะเป็นการเดินขึ้นที่ค่อนข้างชัน และเมื่อยสุดๆ แต่เราก็ไม่เป็นลมอีก เพราะไม่ได้หยุดเดินและนั่งอย่างทันทีเหมือนคราวที่ผ่านมา
กว่าแรงจะอยู่ตัว (เหนื่อยจนชิน) ก็ปาเข้าไปชั่วโมงกว่า เดินไปเดินมาข้ามเขาไป 2 ลูก ถ่ายรูปกับวิวยอดเขาให้คุ้มกับที่เดินมา ส่วนจุ๋ยที่ใต่ขึ้นไปถ่ายรูปด้วยใจหวิวๆ ก็ยังฝืนยิ้มได้หลายรูปอยู่ ปล่อยให้หมอปุ้มเดินตามไกด์ไปพิชิตยอดเขาตามลำพัง (แล้วได้แผลกลับมา)
ในที่สุดก็ได้กลับซะที ทางลงเขานี่มันดีกว่าทางขึ้นจริงๆ....เฮ้อ โดยเฉพาะทางที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวๆ สูงประมาณเอวให้เราเดินเอียงข้างแทรกผ่าน (คนอื่นเขาเดินกันตรงๆ) ยิ่งรู้สึกดีที่ได้เจอความชอุ่มชุ่มชื้นบ้าง ต่อจากนั้นเป็นป่าสนที่มีการกรีดลอกเปลือกออกเพื่อรองเอาน้ำมันสนกลิ่นหอมอ่อนๆ มองผ่านต้นสนเห็นดินเลนรอบเกาะตอนน้ำลง ดูแปลกไปอีกแบบ
กลับเข้าเมืองมา check-in ที่โรงแรม Holiday view ที่ออกจะหรูกว่าโรงแรมอื่นแถวนั้น ตอนแรกก็แปลกใจที่คนที่มารถตู้เดียวกันแยกไปพักอีกโรงแรมหนึ่ง มาถึงบางอ้อตอนที่เจ๊ช่างเม้าท์ ที่อยู่โรงแรมเดียวกับเราสอบถามราคาทัวร์กับพวกที่พักอีกโรงแรม ถึงรู้ว่าพวกเราจ่ายแพงกว่า แต่ตอนกินข้าวเที่ยงและข้าวเย็นในวันนี้พวกเรายังกินรวมกันที่โรงแรมที่เจ๊บิ๊กแอส และ 2 สาวอิสราเอลพักอยู่ ซึ่ง 2 สาวก็เริ่มมีปัญหาโดยบอกว่าจะพักบนเรือ ที่ควรจะได้นอนเมื่อคืนวาน ทำเอาไกด์ปวดหัว ส่วนจุ๋ย (ซึ่งเป็นคนแปลให้พวกเราฟัง) ถึงกับส่ายหน้าบอกว่าพวกยิวมักจะมีปัญหา ดังนั้นถ้าเจองูและเจอยิว ให้ตีจุ๋ย เอ๊ย ให้หลีกเลี่ยงงานบริการที่เกี่ยวข้องกับชาวยิวฉะนี้แล
หลังกินข้าวเที่ยง ไกด์ให้รถมารับพวกเราไปเกาะลิง (monkey island) ที่ต้องนั่งเรือไปอีกครึ่งชั่วโมง ตอนนี้เหลือคนไป 5 คน คือกลุ่มพวกเราและ 2 อเมริกัน จุ๋ยบอกว่าเริ่มเหมือนรายการ the wicket link - กำจัดจุดอ่อน เข้าไปทุกทีเพราะคนลดลงเรื่อยๆ คราวนี้เราหวังจะได้เล่นน้ำทะเล แต่อากาศที่เริ่มเย็นและน้ำก็เย็นทำให้ต้องล้มเลิกไป ได้แต่นั่งกันที่ชายหาด มองดูลิงอย่างระแวงไม่ให้เข้ามาใกล้ เพราะลิงที่นี่ขโมยของและค่อนข้างดุ ดูได้จากแก้งค์หนุ่มๆ ที่พายเรือคายักมาและกำลังย่างอะไรกินกัน แต่ไม่ได้กินซักที มัวแต่เอาไม้พายไล่ลิงและจ้องกันไปมาอยู่ สักพักมีรายการทีวีมาถ่ายที่เกาะ ทุกคนเลยหันไปสนใจ (รวมทั้งลิง)

เริ่มเซ็งแล้วพวกเราก็เรียกเรือมารับกลับ ที่จริงไกด์นัดให้รถมารับเราที่ท่าเรือ 17.00 น. แต่พวกเรามาถึงก่อนเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเลยต้องรอกัน แต่แล้วก็เริ่มกระวนกระวายเมื่อเลยเวลาไปพอสมควร ประกอบกับลมแรงและอากาศค่อนข้างหนาว ดีที่คนขับเรือเดินออกมาเห็นพวกเรายังรอกันอยู่เลยโทรตามไกด์ให้ ก็ยังไม่มีวี่แววว่ารถจะมารับ หลังจากผ่านภัยพิบัติมาครั้งหนึ่งแล้วแหม่มอเมริกันเริ่มทนหนาวไม่ไหว เลยเข้าไปหลบลมรอในโรงแรมแถวๆ นั้น พร้อมทั้งเล่าเรื่องราวให้คนที่โรงแรมฟังตามสไตล์ของเธอ ในที่สุดคนที่โรงแรมซึ่งไม่รู้ว่ารู้จักกับไกด์หรือเปล่า ก็เอารถไปส่งเราที่ Holiday view จนได้
ไม่ต้องพูดถึงว่าดินเนอร์คืนนี้ไกด์จะโดนเจ๊บ่นซะขนาดไหน ส่วนพวกเราที่มีส่วนร่วมเป็นผู้ประสบภัยหนาวไปด้วย (ไม่เชื่อถามหมอปุ้ม) ได้แต่นั่งกันเงียบๆ พจได้แต่บอกเสี่ยขาทิปของเราด้วยภาษาไทย (ก็พูดได้ภาษาเดียวแหละ) ว่าไกด์คนนี้ไม่ต้องทิปนะยะ ที่จริงก็น่าสงสารเหมือนกันเพราะพ่อไกด์ตัวดีได้แต่แก้ตัวเสียงอ่อยว่าสั่งให้รถมารับพวกเราตั้งแต่ 16.45 แล้ว แถมยังต้องหาวิธีพา 2 สาวไปนอนบนเรือสมใจคุณเธออีกด้วย
หลังกินเสร็จ พวกเราไปเดินย่อยอาหารที่ริมเขื่อนรอบหาด แต่แล้วลมเย็นก็พัดพวกเราเข้ามาทางด้านในอีกครั้ง สงสัยว่าฤดูนี้จะไม่ใช่หน้าท่องเที่ยวของเกาะ เพราะทุกที่ค่อนข้างเงียบเหงา ร้านขายไข่มุกเปิดไฟสว่างจ้าให้คนขายนั่งตบยุง ดีที่เราดูไข่มุกไม่เป็นก็เลยไม่ต้องเสียทรัพย์ซื้อไข่มุกที่แยกไม่ออกว่าเป็นมุกแท้หรือมุกเทียม
วันนี้ยังไม่ทันเช้าดี นอนๆ อยู่ก็ได้ยินเสียงโครมดังลั่น ทีแรกนึกว่ามีคนตกบันไดเหมือนที่จุ๋ยทำเมื่อคราวที่แล้ว เลยไม่ได้สนใจเท่าไหร่ ตอนเช้าถึงได้รู้ว่าเรือลอยไปชนเกาะที่อยู่ใกล้ๆ ตอนที่ชนนั้น จุ๋ยถึงกับลุกขึ้นมาฉายไฟดูเลยทีเดียว ก็นับว่าเป็นข้อดีของคนที่นอนคนเดียวในห้อง (แต่ถูกเราแซวไปแล้วว่าไม่แสดงน้ำใจชวนไกด์ซิง-ยังโสด มานอนด้วยเหรอ) เพราะต้องระแวดระวังภัยอยู่เสมอ (ปกติมีพจกับหมอปุ้มคอยระวังภัยให้) ที่เรือลอยไปชนคราวนี้เป็นเพราะว่าจอดโดยไม่ได้ทอดสมอ แต่ใช้วิธีผูกกับเรือลำข้างๆ ที่ทอดสมอแทน เลยมีโอกาสให้น้ำพัดแกว่งไปมาได้
หัวข้อคุยของทุกคนตอนเช้านี้จึงเป็นเรื่องเรือชน ถ้าไม่รวมเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของเจ๊อเมริกันที่ดันหูดี ได้ยินเสียงหนูวิ่ง ทำให้นอนไม่หลับอีก พูดถึงการนอนบนเรือลำไม่ถึงกับใหญ่มากแบบนี้ ทีแรกก็กลัวว่าจะมีละลอกคลื่นซัดอยู่ตลอด (ซึ่งคนที่เมาคลื่นไม่ใช่เรา) แต่ภายในอ่าวฮาลองนี้คลื่นลมสงบ เรือจึงจอดได้อย่างนิ่งมาก ถ้าไม่นับรายการลอยตามน้ำไปชนเอาเกาะ ที่ชอบมากที่สุดก็ตรงที่ได้เตียงคู่ แยกหมอปุ้มไปกรนอีกฝั่งนึง และยังแยกจุ๋ยไปกรนอีกห้องหนึ่ง เปิดโอกาสให้เยื่อบุแก้วหูของเราได้พักผ่อนบ้าง
หลังกินข้าวเช้าไกด์บอกให้พวกเราเก็บของเตรียมขึ้นเกาะ Cat Ba ดังนั้นคนที่ซื้อทัวร์แบบค้างบนเรือคืนเดียว คือเชและครอบครัว และออสเตเรียอีกคู่หนึ่ง ก็จะกลับฮาลองซิตี้ไปพร้อมกับเรือและไกด์ซิง ส่วนพวกเราก็มีไกด์คนใหม่มารับขึ้นรถตู้ไปยังโรงแรมบนเกาะ

ได้มาเจอ 2 สาวอิสราเอลกันอีกที่รถตู้จนได้ เจ๊ช่างเม้าท์เป็นผู้สื่อสารอีกเหมือนเคย ได้ความว่าพวกเธอไม่ได้นอนบนเรือด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง (น่าจะกลัวเมาคลื่น) เลยต้องอาศัยเรือลำอื่นมาค้างบนเกาะ แลกเปลี่ยนกับการที่เจ๊เล่าเหตุการณ์ความประทับใจที่ได้นอนบนเรือ (ซึ่งทำให้ 2 สาวสร้างปัญหาขึ้นมาอีกภายหลัง) และเหตุเภทภัยที่ได้รับ (2 สาวเล่ามา 2 – 3 ประโยค ในขณะที่เจ๊เล่าไป 2 – 3 ย่อหน้า)
รถตู้พาพวกเราออกจากท่าเรือขึ้นที่สูงไปตามถนนคอนกรีตบนเกาะ เพื่อไปเดินในเส้นทางธรรมชาติที่ Cat Ba national park มีไกด์ท้องถิ่นที่พูดไทยได้ด้วยพาไป เส้นทางแรกๆ เหมือนจะไป home health care ในหมู่บ้าน เพราะเดินผ่านไร่มันสัมปะหลัง ไปแวะพักเข้าห้องน้ำและเล่นกับน้องหมาที่บ้านไกด์ จนเดินออกจากบ้านและมองเห็นภูเขาอยู่ข้างหน้านั่นแหละ ทำเอาเราแอบบ่นอยู่ในใจว่าหลุดจากซาปาแล้วยังต้องมาเดินขึ้นเขากันในเกาะอีกเหรอเนี่ย หันไปมองเพื่อนร่วมทริปที่เป็นฝรั่งออสเตเรียผู้หญิงที่ก้นใหญ่มาก (มีงวดนี้แหละที่จุ๋ย “ห้าม” เราพูดภาษาอังกฤษ ไม่เหมือนทุกทีที่บ่นว่าทำไมให้จุ๋ยพูดอยู่คนเดียว เพราะเราไปเรียกเจ๊แกว่า big ass ง่ะ) ก็ค่อยเบาใจว่าเดี๋ยวมีคนเหนื่อยเป็นเพื่อนแล้ว แต่ที่ไหนได้ เจ๊แกพาตูดใหญ่ๆ ไปลิ่ว ให้เรามอง (ตามบั้นท้าย) ตาค้าง ถึงแม้ว่างวดนี้จะเป็นการเดินขึ้นที่ค่อนข้างชัน และเมื่อยสุดๆ แต่เราก็ไม่เป็นลมอีก เพราะไม่ได้หยุดเดินและนั่งอย่างทันทีเหมือนคราวที่ผ่านมา




กลับเข้าเมืองมา check-in ที่โรงแรม Holiday view ที่ออกจะหรูกว่าโรงแรมอื่นแถวนั้น ตอนแรกก็แปลกใจที่คนที่มารถตู้เดียวกันแยกไปพักอีกโรงแรมหนึ่ง มาถึงบางอ้อตอนที่เจ๊ช่างเม้าท์ ที่อยู่โรงแรมเดียวกับเราสอบถามราคาทัวร์กับพวกที่พักอีกโรงแรม ถึงรู้ว่าพวกเราจ่ายแพงกว่า แต่ตอนกินข้าวเที่ยงและข้าวเย็นในวันนี้พวกเรายังกินรวมกันที่โรงแรมที่เจ๊บิ๊กแอส และ 2 สาวอิสราเอลพักอยู่ ซึ่ง 2 สาวก็เริ่มมีปัญหาโดยบอกว่าจะพักบนเรือ ที่ควรจะได้นอนเมื่อคืนวาน ทำเอาไกด์ปวดหัว ส่วนจุ๋ย (ซึ่งเป็นคนแปลให้พวกเราฟัง) ถึงกับส่ายหน้าบอกว่าพวกยิวมักจะมีปัญหา ดังนั้นถ้าเจองูและเจอยิว ให้ตีจุ๋ย เอ๊ย ให้หลีกเลี่ยงงานบริการที่เกี่ยวข้องกับชาวยิวฉะนี้แล
หลังกินข้าวเที่ยง ไกด์ให้รถมารับพวกเราไปเกาะลิง (monkey island) ที่ต้องนั่งเรือไปอีกครึ่งชั่วโมง ตอนนี้เหลือคนไป 5 คน คือกลุ่มพวกเราและ 2 อเมริกัน จุ๋ยบอกว่าเริ่มเหมือนรายการ the wicket link - กำจัดจุดอ่อน เข้าไปทุกทีเพราะคนลดลงเรื่อยๆ คราวนี้เราหวังจะได้เล่นน้ำทะเล แต่อากาศที่เริ่มเย็นและน้ำก็เย็นทำให้ต้องล้มเลิกไป ได้แต่นั่งกันที่ชายหาด มองดูลิงอย่างระแวงไม่ให้เข้ามาใกล้ เพราะลิงที่นี่ขโมยของและค่อนข้างดุ ดูได้จากแก้งค์หนุ่มๆ ที่พายเรือคายักมาและกำลังย่างอะไรกินกัน แต่ไม่ได้กินซักที มัวแต่เอาไม้พายไล่ลิงและจ้องกันไปมาอยู่ สักพักมีรายการทีวีมาถ่ายที่เกาะ ทุกคนเลยหันไปสนใจ (รวมทั้งลิง)

เริ่มเซ็งแล้วพวกเราก็เรียกเรือมารับกลับ ที่จริงไกด์นัดให้รถมารับเราที่ท่าเรือ 17.00 น. แต่พวกเรามาถึงก่อนเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเลยต้องรอกัน แต่แล้วก็เริ่มกระวนกระวายเมื่อเลยเวลาไปพอสมควร ประกอบกับลมแรงและอากาศค่อนข้างหนาว ดีที่คนขับเรือเดินออกมาเห็นพวกเรายังรอกันอยู่เลยโทรตามไกด์ให้ ก็ยังไม่มีวี่แววว่ารถจะมารับ หลังจากผ่านภัยพิบัติมาครั้งหนึ่งแล้วแหม่มอเมริกันเริ่มทนหนาวไม่ไหว เลยเข้าไปหลบลมรอในโรงแรมแถวๆ นั้น พร้อมทั้งเล่าเรื่องราวให้คนที่โรงแรมฟังตามสไตล์ของเธอ ในที่สุดคนที่โรงแรมซึ่งไม่รู้ว่ารู้จักกับไกด์หรือเปล่า ก็เอารถไปส่งเราที่ Holiday view จนได้
ไม่ต้องพูดถึงว่าดินเนอร์คืนนี้ไกด์จะโดนเจ๊บ่นซะขนาดไหน ส่วนพวกเราที่มีส่วนร่วมเป็นผู้ประสบภัยหนาวไปด้วย (ไม่เชื่อถามหมอปุ้ม) ได้แต่นั่งกันเงียบๆ พจได้แต่บอกเสี่ยขาทิปของเราด้วยภาษาไทย (ก็พูดได้ภาษาเดียวแหละ) ว่าไกด์คนนี้ไม่ต้องทิปนะยะ ที่จริงก็น่าสงสารเหมือนกันเพราะพ่อไกด์ตัวดีได้แต่แก้ตัวเสียงอ่อยว่าสั่งให้รถมารับพวกเราตั้งแต่ 16.45 แล้ว แถมยังต้องหาวิธีพา 2 สาวไปนอนบนเรือสมใจคุณเธออีกด้วย
หลังกินเสร็จ พวกเราไปเดินย่อยอาหารที่ริมเขื่อนรอบหาด แต่แล้วลมเย็นก็พัดพวกเราเข้ามาทางด้านในอีกครั้ง สงสัยว่าฤดูนี้จะไม่ใช่หน้าท่องเที่ยวของเกาะ เพราะทุกที่ค่อนข้างเงียบเหงา ร้านขายไข่มุกเปิดไฟสว่างจ้าให้คนขายนั่งตบยุง ดีที่เราดูไข่มุกไม่เป็นก็เลยไม่ต้องเสียทรัพย์ซื้อไข่มุกที่แยกไม่ออกว่าเป็นมุกแท้หรือมุกเทียม
No comments:
Post a Comment