Thursday, February 04, 2010

Selamat datang Bali 21 - 24 ม.ค. 53

บันทึกการท่องเที่ยว บาหลี 21 – 24 ม.ค. 53

21 ม.ค. 53

แก๊งค์ทัวร์ประกอบด้วย เรา จุ๋ย พี่ยี้ เดินทางโดยสายการบินแอร์เอเชีย บินตรงไปยังบาหลีแบบที่ต้องออกจากคอนโดจุ๋ยตั้งแต่เกือบตี 4 เพื่อที่จะ check-in และขึ้นเครื่องในเวลา 6.15 น. ครั้งนี้พวกเรามีเวลาเตรียมตัวและตัดสินใจมาเที่ยวกันเพียง 1 อาทิตย์ ทำให้ข้อมูลต่างๆ ไม่ค่อยพร้อมเท่าที่ควร ได้แต่เชื่อฝีมือผู้จัดการทริปว่าจะไปซื้อทัวร์เอาดาบหน้าที่บาหลี พวกเราหลับๆ ตื่นๆ กันตลอด 4 ชั่วโมงบนเครื่องบิน ระหว่างกินอาหารที่สั่งกันบนเครื่องก็ต้องทำใจว่าอย่าเชื่อถือรูปอาหารในเมนูบนเครื่องนัก ใส่ใจเฉพาะองค์ประกอบอย่างเดียวก็พอ ว่าไอ้ที่สั่งมามีอะไรใส่มาให้กินบ้าง...ส่วนพี่ยี้ได้อาหารที่เหมือนจริงมากที่สุดคือมาม่าคัพ....เฮ้อ

11.55 น. เราก็มาถึงสนามบินงูราห์ไรย์ (Ngurah Rai) เมืองเดนปาซาร์ บาหลี ตัวสนามบินเป็นอาคารขนาดไม่ใหญ่แถมเป็นสถาปัตยกรรมท้องถิ่นเลยรู้สึกแปลกกว่าสนามบินอื่นๆ ที่เคยไป และช่องตรวจคนเข้าเมืองที่ไปถึงยังแบ่งเป็นช่องสำหรับต่างชาติที่ต้องใช้วีซ่า ทำเอางงว่าแล้วตูไม่มีวีซ่าอ้ะ ดีที่คนไทยที่มาด้วยกันบอกว่าช่องต่างชาติที่ไม่ต้องใช้วีซ่าต้องเดินเลยไปอีก อยู่ข้างๆ ช่องเฉพาะของชาวบาหลี พวกเราออกจากตัวสนามบินได้จุ๋ยก็เดินดิ่งไปที่ช่องแท็กซี่สาธารณะด้านนอก ไม่สนใจแท็กซี่ที่ยืนเรียกลูกค้าอยู่เป็นกลุ่มๆ พวกเราแจ้งชื่อโรงแรมแล้วก็จ่ายค่าแท็กซี่ตามราคาที่จุ๋ยหาข้อมูลมาโดยไม่โดนขูดรีดค่าโดยสารเพิ่ม ครึ่งชั่วโมงถัดมาเราก็มาถึงโรงแรม Kuta seaview boutique resort and spa โดยที่แท็กซี่ไม่ลืมเรียกค่าทิปตามธรรมเนียม ดีที่พอมีข้อมูลอยู่บ้างเลยบอกผู้จัดการทิปไป 10,000 รูปี หรือ 1 US ก็พอ แต่จากนั้นเราก็ต้องคอยทิปเด็กยกกระเป๋า คนทำเตียงเสริม แท็กซี่และบรรดาร้านอาหารไปตลอดการเดินทาง

พวกเรานั่งรอที่ล็อบบี้โรงแรมได้พักนึงเพื่อรอห้องว่าง ก็มีพนักงานมาคล้องพวงมาลัยดอกลั่นทมให้จุ๋ยกับพี่ยี้ แล้วก็ผ่านเราไปเฉย ให้มองตาปริบๆ ว่าทำไมตูไม่ได้บ้างเนี่ย ดีที่ยังได้ welcome drink จากพนักงานอีกคนมาดื่ม ไม่งั้นคงเกิดรายการวีนแตก in Bali ขึ้นมา ส่วนคู่ฮันนีมูนที่ได้ดอกลั่นทมหัวเราะกันก๊ากๆ ไม่คิดจะทวงสิทธิให้เพื่อนเลยซักนิด..ชิ

ห้องพักของพวกเราไม่เหมือนห้องที่จองในเนตเพราะมีแค่ 2 เตียง ถึงจะมีเสาเตียงผูกมุ้งอยู่อย่างสวยก็เหอะ รออยู่ตั้งนานไม่มีวี่แววว่าจะมีเตียงเสริมมาเพิ่มให้ซักนิดจนต้องระแวงว่าตกลงเค้านึกว่ามีนักท่องเที่ยวมากัน 2 คนแค่นั้นใช่มั๊ย ต้องกลับไปบอกที่ล็อบบี้อีกครั้งถึงจะรู้ว่าเดี๋ยว (พักใหญ่) จะมีคนเอาเตียงมาเสริมให้ จุ๋ยอาศัยช่วงที่รอนั่งดูทัวร์แต่ละบริษัทว่าพาไปที่ไหนกันบ้าง เงยหน้าขึ้นมาอีกที 2 สาวที่จับจองเตียงกันเรียบร้อยแล้วก็เกือบไปเฝ้าพระอินทร์ พอบอกให้ตื่นมาช่วยกันดูทัวร์ก่อน ลูกทัวร์กิตติมศักดิ์ก็ร้องจะกินข้าวเที่ยงกันซะอีก

พวกเราต้องเดินฝ่าความร้อนจากโรงแรมไปยังจัตุรัส Kuta ที่มีร้านค้ามากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นร้านเสื้อผ้าซะมากกว่า ห้างสรรพสินค้าแถวนั้นคล้ายบ้านเรามาก จะมีที่แปลกก็คือมีสปาปลาตอดอยู่ด้านหน้าห้าง แต่เนื่องจากพวกเรากำลังหิวเลยไม่คิดจะทดลองดู หรือว่ากลัวปลาตายก็ไม่แน่ เลยได้แต่เดินหาร้านอาหารกันต่อไปเป็นนาน ที่ตั้งใจจะกินอาหารพื้นเมืองกันแต่แรกก็ต้องเปลี่ยนเป็นอาหารอิตาเลี่ยนแทนเมื่อเวลาผ่านไปจนเกือบบ่าย 3 พวกเราหาซื้อซิมการ์ดโทรศัพท์ได้แถวโรงแรม คิดค่าโทรคร่าวๆ แล้วประมาณ 20 บาท/ นาทีเท่านั้น ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนเงินก็ได้ราคาดีกว่าที่สนามบินอีกด้วย คือ 9250 – 9275 รูปี ต่อ 1 ดอลล่าร์ กลับมาที่โรงแรมกันอีกครั้งเพื่อถามข้อมูลเกี่ยวกับทัวร์ในวันรุ่งขึ้น เราก็ได้คำแนะนำจากประชาสัมพันธ์ว่าเช่ารถแท็กซี่พร้อมน้ำมันและคนขับจะสะดวกกว่า ถ้าพวกเราจะไปตามที่ๆ หาข้อมูลมาและอยากไป พร้อมทั้งอาสาจะติดต่อรถเช่าให้ แถมยังขอโทษขอโพยเราว่าที่ไม่คล้องพวงมาลัยให้เพราะนึกว่าเราเป็นคนพื้นที่...แหม นอกจากจะหน้าเหมือนน้องแพนเค้กแล้วยังจะหน้าเหมือนคนบาหลีอีกนะเนี่ยเรา

ยังเหลือเวลาอีกนานกว่าจะมืด แต่ก็ไม่พอที่เราจะไปดูพระอาทิตย์ตกดินกันที่วัดอูลูวาตู (Uluwatu) วัดที่อยู่ริมหน้าผาติดทะเล เลยได้คำแนะนำให้ไปกินอาหารทะเลกันแถว Jimbaran โดยทางร้านอาหารจะมีรถมารับถึงโรงแรม ถนนบนเกาะบาหลีมีลักษณะเล็กและแคบ ผู้คนไม่นิยมขับรถเร็ว ถึงแม้จะขับชิดซ้ายเหมือนในเมืองไทย ทำให้รู้สึกว่าโชคดีที่ไม่เช่ารถขับเองเหมือนที่เว็บแนะนำเพราะเส้นทางมีตรอกซอกซอยมากมาย พวกเราจะเสียเวลาเอากับการหลงทางซะมากกว่า จิมบารานจากในแผนที่ที่เป็นชายหาดใกล้กับหาดคูต้า ใช้เวลาเดินทางไปถึงเกือบ 1 ชั่วโมง ร้านอาหารทะเลแถวนั้นบรรยากาศค่อนข้างดี มีอาหารทะเลให้ไปชี้สั่งและปรุงให้คล้ายสะพานปลาเมืองไทย โต๊ะอาหารก็ตั้งอยู่บนชายหาดแถมยังจุดตะเกียงสร้างบรรยากาศ มีวงดนตรีเดินเล่นเพลงให้ฟังตามโต๊ะ ทำเอารู้สึกดีกับบาหลีขึ้นมาอีกไม่น้อย

22 ม.ค. 53

เช้านี้ตื่นขึ้นมาด้วยความแตกตื่น เมื่อมองเห็นฟ้าสว่างโร่ให้นึกได้ว่าลืมปรับเวลามือถือที่ใช้ปลุกให้เร็วขึ้นอีก 1 ชั่วโมงตามเวลาบาหลี อากาศเย็นสบายเพราะมีฝนตกเมื่อคืนทำเอานอนหลับสนิทไม่ยอมตื่น แต่ในที่สุดเราก็โวยวายปลุกเพื่อนอีก 2 คนให้รีบลุกตามจนได้ เพราะนัดแท็กซี่ไว้ 8.00 น. จุ๋ยให้พี่ยี้โทรไปที่ล็อบบี้เพื่อเลื่อนนัดแท็กซี่เป็น 9.00 น. ปรากฏว่าประชาสัมพันธ์คนเก่าจะมาทำงานตอนบ่าย เลยไม่มีใครรู้ว่าพวกเรานัดรถไว้ แต่ประชาสัมพันธ์ก็โทรกลับมาบอกอีกครั้งว่าถ้าพวกเราจะไปดูโชว์บารอง (Barong dance) ที่เริ่ม 9.00 น. ก็จำเป็นต้องออกเวลาเดิม แต่พวกเราก็ทันจนได้แบบต้องกินอาหารเช้ากันอย่างเร่งรีบ

คนขับแท็กซี่ที่มารับเราค่อนข้างอารมณ์ดี ชวนคุยกันอย่างเป็นกันเอง แถมยังสารภาพว่างงกับกลุ่มพวกเราเหมือนกัน คนนึงก็เหมือนสิงคโปร์ คนนึงก็เหมือนเกาหลี อีกคนเป็นคนพื้นเมือง แต่ประชาสัมพันธ์บอกว่าแขกคนไทยจองรถไว้ ทำเอาเดินหาอยู่นานว่าเจ้าไหน พวกเราไปถึงสถานที่โชว์กัน 8.30 น. ทีแรกก็คิดว่าไม่น่ารีบเล้ย แต่ในที่สุดก็รู้ข้อดีว่ามีเวลามาถ่ายรูปกับสถานที่ก่อนการแสดงได้สบายๆ เลยทีเดียว ผิดกับพวกที่มากับทัวร์ บางกลุ่มเข้ามาตอนโชว์เริ่มแล้วถึงครึ่งชั่วโมง

Barong dance เป็นการแสดงที่มีคนแต่งตัวเป็นสิงโตบารอง ร่วมต่อสู้กับปิศาจลิ้นยาว Rangda โดยมีผู้แสดงอื่นๆ และดนตรีพื้นเมืองประกอบ หลังจากสังเกตมาได้ 1 วันกว่าๆ เราก็พบว่าทุกที่ในบาหลี ไม่ว่าจะหน้าร้านค้า ที่ทะเล ชายหาด หน้าโรงแรม โรงละครหรือแม้แต่ในรถแท็กซี่จะมีกระทงเครื่องเซ่นไหว้ที่เป็นดอกไม้ ข้าวหลายสีและธูป วางไว้กับพื้น (ส่วนในแท็กซี่เอาไว้หน้ารถและไม่จุดธูป) สอบถามคนขับรถแล้วก็ได้ความว่าเขาบูชาเทพเจ้ากัน โดยเครื่องเซ่นเรียกว่า “ชารัง” จะไหว้กันวันละกี่ครั้งไม่ได้ถาม แต่เมื่อวานเราไปถึงโรงแรมก็มีบางร้านเพิ่งจะไหว้เอาตอนบ่าย ทำเอาต้องคอยมองพื้นว่าจะไปเดินเหยียบเข้าหรือเปล่า แต่คิดว่าคนที่นี่คงไม่ถือ เพราะพอตกค่ำเครื่องเซ่นพวกนี้ก็จะถูกกวาดมารวมกันใส่ถังขยะหรือกองทิ้งอยู่ข้างถังขยะนั่นแหละ เราไปแวะที่โรงงานผ้าบาติก มีการสาธิตการผลิตให้ดูด้วย แต่ราคาที่ค่อนข้างแพงทำให้การแวะที่นี่มีประโยชน์อย่างเดียวคือได้เข้าห้องน้ำ

จากนั้นเรานั่งรถยาวไปทางเหนือยังวัดเบซากิห์ (Besakih) ทั้งที่คนขับบอกแล้วว่าไกล แต่พวกเราก็ยังอยากไปดูวัดฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในบาหลี โดยเตรียมผ้านุ่งและสายคาดเอวมาเตรียมเข้าวัดตามประเพณีของที่นี่มาพร้อม ก่อนถึงเล็กน้อยพวกเราก็เจอขาใหญ่ประจำถิ่นเอาตั๋วเถื่อนมาขายให้ แบบไม่ซื้อก็ไม่ให้ผ่านทาง เมื่อไปถึงวัดเราก็ไม่เห็นที่ขายบัตรผ่านประตู แถมคนท้องถิ่นที่รออยู่ข้างล่างวัดบอกว่าถ้าจะเข้าไปในตัววัดต้องให้พวกเขาพาไป (ซึ่งจะต้องจ่ายเพิ่มอีก) พวกเราเลยเดินถ่ายรูปกันด้านล่างดูสภาพการณ์กันพักนึง เห็นพวกฝรั่งบางคนก็เดินขึ้นไป พอทำท่าจะขึ้นบันไดวัดไปบ้าง พวกเดิมที่คงรอท่าอยู่แล้วก็เข้ามาประกบทันที ทำเอาจุ๋ยเริ่มอารมณ์เสียว่าจ่ายค่าผ่านประตูแล้วทำไมจะต้องเสียเงินอีก (วะ) พอเห็นพวกเราท่าทางแข็งขึ้นมามันก็เลยแอบกระซิบลดราคาให้ ยังไม่ทันได้ตกลงกันดีฝนก็ตกลงมาซะหนัก ไล่พวกเรา เอ๊ย เจ้าถิ่นไปจากวัดซะได้ เสียโอกาสที่จะเชียร์ให้จุ๋ยซื้อโสร่งมานุ่งเพื่อเข้าไปในตัววัดเหมือนฝรั่งตัวโตพวกนั้น...และแน่นอนต้องเป็นสีแดง...ฮี่ ฮี่

พวกเราติดฝนกันนานจนต้องเช่าร่มจากร้านค้าที่หลบฝนเพื่อเดินกลับรถ แต่หลังจากเจอเหตุการณ์หลายอย่างทำเอาจำทางกลับไม่ได้ เลยเดินผิดทิศไปกันโข ต้องเดินกลับมาตั้งหลักที่เดิม เด็กหญิงอายุประมาณ 6 – 7 ขวบลูกร้านที่เราเช่าร่มมาเลยต้องเดินขึ้นลงเนินไปกลับตามพวกเราจนเมื่อยไปด้วย คนขับรถบอกพวกเราทีหลังว่านักท่องเที่ยวที่มาเจอแบบนี้ก็พากันบ่นว่าต้องจ่ายเงินหลายทอดกว่าจะขึ้นไปดูวัดได้ทั่ว แต่ก็เอาเถอะ ได้เห็นวัดนิดหน่อย พร้อมทั้งภูเขาไฟอากุง (Agung) ที่ใหญ่ที่สุดในบาหลีด้านหลังวัด แถมเส้นทางที่รถขับมามีต้นไม้ร่มรื่น ก็สวยไปอีกแบบ

รถพาเรามาแวะชมวิวริมทะเลสาบบาตูร์ (Batur) มองเห็นภูเขาไฟบาตูร์อยู่ด้านหลัง จากจุดชมวิวก็มีคนมาขายโปสการ์ด ตัดราคากันไปมาในที่สุดราคาก็ปิดที่ 1,000 รูปี หรือประมาณ 4 บาท พจนารถก็เลยได้โอกาสซื้อมาส่งถึงเพื่อนๆ ที่เมืองไทย เรามาแวะกินอาหารบุพเฟต์สไตล์บาหลีกันที่หมู่บ้านคินตามณี (Kintamani) ร้านที่รถพาพวกเรามาอยู่ริมเขามองเห็นภูเขาไฟบาตูร์และทะเลสาบได้ชัดเจน...แต่แค่แป๊บเดียว เนื่องจากมีเมฆมาบังจนเห็นแต่กลุ่มหมอกมิดไปหมด พวกเราเลยหันมาสนใจสะเต๊ะไก่ ของทอดต่างๆ แกงมัสมั่นไก่ และข้าวผัดเครื่องเทศแทน

หลังจากอิ่มอาหารเที่ยงจนแทบหลับแล้ว คนขับก็พาเรามาแวะร้านกาแฟในไร่ พวกเราเดินๆ ดูกาแฟ และเครื่องหอมที่ขายอยู่ จนคนขับรถบอกว่าไม่ลองชิมกาแฟกันดูเหรอ ทีแรกเราก็งงๆ ว่าซื้อกาแฟ 1 แก้วแล้วจะได้เลือกกาแฟที่จะให้ชิมได้อีก 1 อย่างจาก 5 อย่าง แต่ที่จริงแล้วซื้อ 1 แก้วจะได้แถมอีก 5 แก้วแน่ะ พจนารถก็เลยเหวอ จากกาแฟ 2 แก้วที่กินทั้งเช้าและเที่ยง ยังมีกาแฟที่ต้องช่วยกันชิมอีก ได้แต่หวังว่าคืนนี้จะหลับได้ลง แต่ที่จริงแล้วกาแฟที่นี่รสชาติไม่ค่อยเหมือนกาแฟเมืองไทย แถมผงกาแฟยังละลายไม่หมด ค้างอยู่ที่ก้นแก้วค่อนข้างเยอะ กินตั้ง 3 แก้วก็ยังไม่ใจสั่นเท่ากินที่โรงพยาบาล

เราไปแวะกันต่อที่วัดกัวกาจาห์ (Goa Gagah) หรือวัดถ้ำช้าง ซึ่งมีถ้ำที่ภายในมีรูปปั้นพระพิฆเนศวร์ ด้านนอกมีรูปปั้นถือคนโทให้น้ำไหลออกมา พวกเราเจอทัวร์คนไทยที่นั่นกันแบบไม่นึกแปลกใจเลยว่าทำไมระหว่างทางเดินไปวัดจะมีร้านขายของที่ระลึกมากมาย แถมบางร้านยังพูดไทยได้อีก เราได้แต่เหล่ๆ สินค้าของฝากเพื่อจะได้ไปหาซื้อที่อูบุด (Ubud) ที่ต่อไปที่เราจะไปแวะ

อูบุดเป็นเมืองที่ให้บรรยากาศคล้ายเชียงใหม่บ้านเรา มีพระราชวังเดิม (Saren Agung หรือ Ubud palace) ที่ตอนนี้ใช้เป็นที่จัดแสดงโชว์ Kecak dance พวกเราเดินเข้าไปถ่ายรูปกันก่อนเวลาแสดงจะเริ่ม (แต่ไม่ได้ดู) จากนั้นเราก็ไปช้อบปิ้งกันแถวนั้นซึ่งเป็นย่านรวมสินค้าพื้นเมือง และของที่ระลึก ทั้งผ้าบาติก เครื่องไม้ เครื่องเงินและอื่นๆ จากข้อมูลที่ได้เขาให้เราต่อราคาได้ถึง 50% แต่พจนารถใช้วิธีประเมินราคาของดูก่อนแล้วค่อยต่อรอง ดังนั้นสินค้าราคา 45 US เลยซื้อมาได้ที่ 5 US ให้ชาวแก็งค์ที่มาด้วยทำตาปริบๆ แบบพร้อมจะโกยทันทีถ้าพ่อค้าแม่ค้าจะรุมตื้บ แต่อย่างไรก็ดีผ้าบาติกที่เป็นสินค้าพื้นเมืองก็ยังมีราคาแพงมากอยู่ดี ตกผืนละ 400 – 600 บาท พวกเราก็เลยได้ของเล็กๆ น้อยๆ และของแต่งบ้านของจุ๋ยไปแทน

ฟ้าเริ่มมืดแล้ว คนขับรถชวนให้ไปดู Kecak & Fire dance ตามทางผ่านที่จะกลับโรงแรม การแสดงนี้จะต่างจากการเต้นบารองตอนเช้า คือจะมีผู้ชายนุ่งผ้าขาวม้าตาหมากรุกขาวดำ มานั่งล้อมวงกันรอบเวทีแล้วทำเสียงเป็นคอรัสดัง “กาจักๆๆๆๆ” ตามชื่อการแสดง Kecak เกือบตลอดโชว์แบบไม่ต้องใช้เครื่องดนตรีเล่นประกอบ จากนั้นนักแสดงผู้หญิงก็จะออกมาแสดงเรื่องรามายณะ หรือรามเกียรติ์ มีตัวพระราม (Rama) พระลักษมณ์ (Laksamana) นางสีดา (Sita) หนุมาน (Hanoman) สุครีพ (Sugriwa) อินทรชิต (Meganada) และทศกัณฑ์ (Rahwana) เนื้อเรื่องเหมือนที่รู้มาคือมีกวางทองมาล่อหลอกพระรามและพระลักษมณ์ ให้ทศกัณฑ์มาลักตัวนางสีดาไป จากนั้นก็มีการต่อสู้จนฝ่ายพระรามชนะ ทีแรกได้ยินว่าต่อมาจะมีแสดงโชว์นั่งบนไฟ (sit on fire) เราก็คิดว่าฟังผิดจะเป็นสีดาลุยไฟหรือเปล่า แต่ปรากฎว่าเป็นโชว์อีกอย่างหนึ่งที่ตัวแสดงชายหุ้มส่วนเอวด้วยหุ่นม้า (jaran) กระโดดปุ๊บขึ้นไปบนกองไฟจนแตกกระจาย จากนั้นก็ใช้เท้าเปล่าเตะไฟไปรอบๆ เวที เรียกว่าโชว์ Sanghyang jaran dance

กว่าจะกลับถึงโรงแรมก็เกือบ 3 ทุ่ม พวกเราจ่ายค่าแท็กซี่ 600,000 รูปี กับทิปที่เกินเวลามาเป็นทั้งวัน 12 ชั่วโมงและความเป็นกันเองของคนขับอีก 50,000 รูปี จากนั้นก็แยกย้าย โดยวันนี้พวกเรากินอาหารทะเลกันที่ seafood center ใกล้โรงแรมนั่นเอง บรรดาร้านค้าในนี้มีรูปอาหารติดหน้าร้านเต็มไปหมด ถ้ามีแขกหรือคนไทย 3 หน่อนี่เดินเข้าไปก็จะร้องเรียกแย่งลูกค้ากันโกลาหล พวกเราเลือกร้านหนึ่งที่มีรูปอาหารดูน่ากิน เมื่อเลือกร้านแล้วไปนั่งแปะที่โต๊ะส่วนกลางร้านอื่นก็เลิก หันไปเรียกลูกค้าอื่นที่เดินเข้ามาใหม่แทน อาหารราคาไม่แพงเหมือนคืนแรกแต่ก็สดอร่อยใช้ได้ พอท้องอิ่มก็มีแรงไปเดินเตร็ดเตร่กันที่คูต้าสแควร์อีกครั้ง บรรยากาศกลางคืนผิดกับกลางวันลิบลับ เพราะมีแสงไฟและนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด ถึงจะไม่มีบาร์เหมือนพัทยาบ้านเราก็ตาม ส่วนกลางวันวิวทะเลที่ต่างจากเมืองไทยก็คือคลื่นที่ค่อนข้างแรงทำให้นักท่องเที่ยวหรือคนพื้นเมืองเอง นิยมมาเล่นกระดานโต้คลื่น จุ๋ยพาแวะร้านค้าของฮาร์ดร็อคคาเฟ่แล้วก็เสร็จหน่วยส่งเสริมการขายจนได้หมวกแก็ปมาอีกใบ เราแวะกินไอติมกันอีกครั้งก่อนจะเดินกลับ ที่หน้าร้านไอติมมีแผงเพ้นท์รอยสักบนร่างกาย มีฝรั่งมาใช้บริการหลายคนเหมือนกัน ทำเอาฝรั่งในกลุ่มเราชักอยากจะเพ้นท์ขึ้นมาบ้าง เราออกแรงเชียร์แต่ตามองไปทางตู้ไอติมประมาณว่าไปเพ้นท์ก็ได้ แต่ตูจะกินไอติมรออีกถ้วย สุดท้ายมัวแต่ลังเลกันแผงก็เลยเก็บไปซะก่อน

กลับมาถึงห้องแทนที่จะรีบอาบน้ำนอนกันต้องมาแจงงบประมาณประจำวันตามคำสั่งหัวหน้าทริปกันอีก เรารึตั้งใจจะสระผมเพราะเปียกฝนเมื่อกลางวัน อุตส่าห์เสียสละบอกว่าจะอาบน้ำเป็นคนสุดท้ายเพราะใช้เวลานาน เลยได้นอนตี 2 เลย...ฮือ

23 ม.ค. 53

วันนี้ปรับเวลาให้เข้าที่และไม่รีบมากเพราะพวกเราเลื่อนเวลาเป็น 9.00 น. เรากินข้าวเสร็จแล้วแยกไปซื้อแสตมป์และน้ำดื่มที่ซุปเปอร์ข้างโรงแรมก็เจอคนขับรถรออยู่แล้ว ได้แต่บอกให้คอยอีกแป๊บนึงพวกเราคงจะเสร็จทันเวลานัด คนขับยิ้มบอกไม่เป็นไรเขามาก่อนเวลาอยู่แล้ว ไปถึงซุปเปอร์คนขายก็พูดภาษาท้องถิ่นด้วยอีก...หน้าตาบาหลีจริงๆ เลยตู เลยต้องส่งภาษาสากล...ภาษาใบ้ และภาษาอังกฤษแบบกระท่อนกระแท่น ว่าจะเอาแสตมป์ พอคนขายรู้ว่ามาจากเมืองไทย ก็บอกว่าเนี่ยชอบหนังไทยมากเลย เรื่องที่มีช้างและก็ทำท่าต่อยคนขายอีกคน เราก็เลยถึงบางอ้อ บอกว่า จา พนม...ถูก ถูก ถูกต้องนะคร๊าบ (ว่าแต่ชื่อเรื่องมันเรื่องอะไรเนี่ย..ไม่เคยดูกะเขา และถ้าใบ้ว่าช้างอย่างเดียวจะบอกว่า “ก้านกล้วย” หรือถ้าใบ้ชกอย่างเดียว พจนารถก็จะบอกว่า “เฉินหลง”) พวกนั้นยิ้มแป้นดีใจกันใหญ่..ที่ไม่ต้องเมื่อยมือมากกว่านี้ ถ้าภาษาเก่งล่ะก็เราคงจะโม้ว่าร่วมแสดงเรื่องนี้เหมือนกัน...เป็นช้างอ่ะ

พวกเราออกเดินทางกันตรงเวลาโดยไปแวะวัดที่เป็นวังเก่าของราชวงค์เม็งวีกันก่อนคือ วัดทามัน อายุน (Taman Ayun) พวกเราเจอทัวร์คนไทยอีกเช่นเคย เลยได้โอกาสไหว้วานให้ช่วยถ่ายรูปให้ วัดนี้มีเจดีย์มากมาย หลังคาทำจากฟาง เป็นชั้นๆ ลดหลั่นกันไปดูสวยงามมาก ถ่ายรูปกันจนจุใจแล้วก็ไปต่อที่ Botany garden ระหว่างทางมีไร่สตอเบอร์รี่ให้แวะซื้อ และมีนาขั้นบันไดให้ดูกันเพลินๆ

สวนพฤกษศาสตร์ของที่นี่ร่มรื่นเขียวขจี สมกับเป็นที่พักผ่อนของคนท้องถิ่น ภายในสวนจะแบ่งเป็นส่วนๆ เช่น เรือนกระบองเพชร เรือนกล้วยไม้ สวนกุหลาบ พวกเราไปนั่งพักใต้ร่มไม้ชมวิวทะเลสาบเบอราตัน (Beratan) ได้พักใหญ่ก็เริ่มหิวข้าวจนต้องอำลาวิวสวยๆ ไปกินบุพเฟ่ต์สไตล์บาหลีกันอีกเช่นเคย แต่อาหารและบรรยากาศสู้ที่หมู่บ้านคินตามณีไม่ได้ ตกบ่ายเราไปกันที่วัดอูลัน ดานู (Ulan Danu) วัดสวยริมทะเลสาบเบอราตัน ว่ากันว่าเป็นวัดที่สวยที่สุดในบาหลี อาจเป็นเพราะนอกจากตัวสถาปัตยกรรมแล้วยังมีวิวทะเลสาบและภูเขาด้านหลังที่เข้ากันอย่างลงตัว วัดฮินดูในบาหลีมีอยู่ทุกหัวระแหงเลยทีเดียว ในแต่ละบ้านก็จะมีวัด (ที่ไม่มีนักบวช) เป็นของตัวเองแต่ไม่ใหญ่นัก ทีแรกจุ๋ยยังนึกว่าเป็นศาลพระภูมิขนาดใหญ่ ส่วนวัดที่มีนักบวชจะใหญ่ขึ้นมาอีก เวลามีงานพิธี ชาวบ้านก็จะพากันเทินของไว้บนศีรษะนำมาประกอบพิธีกรรมด้วยชุดพื้นเมืองโดยผู้หญิงจะใส่เสื้อลูกไม้แขนยาวทับผ้าถุง มีผ้าคาดเอว (เหมือนทางภาคใต้บ้านเรา) ส่วนผู้ชายจะใส่เสื้อคอกลมแขนยาวนุ่งโสร่งที่มีผ้าด้านในชั้นนึงก่อนจะทับด้วยผ้าโสร่งลายตาหมากรุกคล้ายผ้าขาวม้า

รถวิ่งทางไกลกันอีกครั้งจนจุ๋ยและพี่ยี้หลับ เราก็เริ่มๆ จะหลับบ้างเหมือนกัน แต่ก็กลัวว่าคนขับจะหลับมั่ง เลยต้องชวนคุย (แบบงูๆ ปลาๆ เหมือนเคย) ถึงว่าที่เขาดูอารมณ์ดีและยิ้มแย้มอยู่ตลอด แถมยังชอบเล่าเรื่องพระเจ้าและศาสนา เพราะเค้ามักจะบอกว่าทำความดีเวลาตายไปก็จะได้อยู่ใกล้พระเจ้า แต่เราฟังแล้วจะยิ่งพากันหลับมากกว่าเลยชวนคุยเรื่องอื่นๆ แทน จุ๋ยที่คงตื่นมาตอนหลังยังมาแซวว่าพจนารถพูดภาษาอังกฤษจ้อ (หนอย..เราอุตส่าห์ชวนคุยไม่ให้คนขับง่วงยังจะมาแกล้งหลับต่ออีก) จากนั้นเราไปรอพระอาทิตย์ตกดินกันที่วัดทานาล๊อต (Tanah Lot) ทีแรกก็คิดว่าจะรีบมาทำมั๊ย เหลือเวลาอีกตั้งนานกว่าพระอาทิตย์จะตก แต่พอมาเห็นร้านขายของที่ระลึกเต็ม 2 ข้างทางแล้วก็เปลี่ยนใจ ระหว่างที่เดินเข้าร้านโน้นออกร้านนี้ พี่ยี้ก็ไปให้เพ้นท์รอยสักรอบต้นแขนเป็นสาวมั่น แต่ยังไงก็ตามเราก็ยังไปนั่งรอท่ามกลางผู้คนล้านแปดเพื่อดูพระอาทิตย์ตก น่าเสียดายที่ในฤดูนี้ ดวงอาทิตย์ตกทำมุมห่างจากวัดพอสมควร ภาพที่พวกเราได้เลยไม่มีทั้งวัดและพระอาทิตย์ตกอยู่ในเฟรมเดียวกันเหมือนในโปสการ์ด

ทานาล๊อต แปลว่า ดินแดนแห่งท้องทะเล เป็นวัดที่สร้างบนแท่นหิน แต่ถูกน้ำทะเลกัดเซาะจนดูเหมือนแยกออกไปอยู่ในทะเล เวลาน้ำลงสามารถเดินข้ามไปที่ตัววัดได้ ส่วนที่เป็นจุดเด่นคือเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตก เมื่อแสงอาทิตย์ยามลับฟ้าทาบกับแผ่นน้ำสะท้อนเป็นสีทองกระจ่างตา เสริมความงามให้กับวัดที่เหมือนจะผุดขึ้นมากลางน้ำ (ว่าเข้าไปนั่น) แต่พอพระอาทิตย์ตกให้ถ่ายรูปกันจุใจแล้วนักท่องเที่ยวก็พากันเดินกลับ ปล่อยให้กลับเป็นสถานที่สงบสุขท่ามกลางเสียงคลื่นอีกครั้ง

เรากลับไปซื้อของที่ระลึกตอนเริ่มมืดกันอีก ผู้คนเริ่มบางตาและอากาศไม่ร้อนเหมือนทีแรก แต่ก็ชักจะอ่อนเพลียจนต่อราคาแทบไม่ออก ขากลับเราผ่านนาขั้นบันไดสวยๆ อีกหลายที่ แต่แสงตะวันที่ลับฟ้าไปนานแล้วทำให้ได้แต่เก็บภาพไว้ในความทรงจำ ก่อนถึงโรงแรมคุณ Ketut (กะตุ๊ด..ชื่อหรือนี่ แปลว่าลูกชายคนที่ 4) คนขับรถของพวกเรายังถามถึงการเดินทางกลับของพวกเราในวันพรุ่งนี้ แถมยังอาสามารับไปสนามบิน ซึ่งพวกเราก็ยินดีจะใช้บริการของเขาก่อนกลับ

วันนี้กลับถึงโรงแรมไม่มืดมากนัก (คือเกือบ 2 ทุ่ม) เราเลยมีเวลาไปยืนทอดอารมณ์กันที่ชาดหาดหน้าโรงแรม รับลมเย็นๆ และดูพลุไฟที่จุดอยู่ไกลๆ หลังอาหารที่ food center เดิมแต่คนละร้าน จนเกือบ 5 ทุ่ม จุ๋ยกับพี่ยี้ที่คงจะเหล่ Hard Rock Café มาตั้งแต่วันแรกก็ชักนำเด็กดีอย่างเราเข้าไปฟังดนตรีด้านใน แต่ให้ตายเหอะ...ดนตรีร็อคเนี่ยไม่รู้จักซักกะเพลงแถมนักร้องยังไม่หล่อ นักร้องสาวก็ไม่อึ๋ม พอได้เวลาเที่ยงคืน ซินเดอเรลล่าก็เลยบอกสาวกวงร็อคที่เหลือว่าตูจะกลับไปนอนก่อนดีฝ่า ทำเอา 2 คนแก่เซ็ง แต่ก็ยอมกลับด้วยโดยดี แบบต้องไปยืนรอฝนหยุดกันหน้าร้านอีกพักนึง

24 ม.ค. 53

เช้านี้เราตื่นกันแบบสบายๆ เก็บรูปบรรยากาศที่พักต่ออีกนิดหน่อย พี่ยี้ยังใช้สิทธินวด 15 นาทีที่โรงแรมแถมให้ก่อนกลับ ส่วนเราเปิดแพคสตอเบอร์รี่ที่ซื้อมาตั้งแต่เมื่อวานปรากฏว่านอกจากราขาวจะกินไปบางลูกแล้วยังมีลูกที่ช้ำจนกินไม่ได้ มีเหลือดีให้เรากินแกล้มกับช็อคโกแลตเละๆ อยู่แค่ครึ่งเดียว พวกเราต้องเก็บเงินรูปีติดตัวอีกคนละ 150,000 เพื่อเป็นค่าภาษีสนามบิน คุณกะตุ๊ดมารับไวเหมือนเดิม งวดนี้จุ๋ยมีแจกยาหอมว่าเพื่อนสนใจจะมาบาหลีคราวหน้า แล้วจะแนะนำให้มาใช้บริการ ทำเอาคนขับของเรายิ้มแป้น พวกเราเช็คเข้าตัวสนามบินได้ก็ยังจะช้อปกันต่อด้วยเงิน US ก่อนจะถ่ายรูปสีสันสดใสภายในเกทก่อนขึ้นเครื่อง กลับถึงเมืองไทย 15.30 น. ค่าใช้จ่ายคราวนี้ 22,012 บาท