Sunday, September 09, 2007

ไปดูหิ่งห้อยที่อัมพวา 8 - 9 ก.ย. 50

ช่วงนี้แต่ละคนมีเวลาน้อย เลยจัดทริปเล็กๆ ที่ไม่ไกลนัก ไปดูหิ่งห้อยกัน เพื่อนๆ ประกอบด้วยเรา จุ๋ย แมว ตุ๋ม ปุ๊ย นุช และรัต นัดรวมตัวกันที่ร้านลุงขันธุ์ ดอนหอยหลอด พวกเราแบ่งเป็น 2 สาย มีเรา จุ๋ย แมว ออกจากนครปฐม ส่วนปุ๊ย ตุ๋ม และนุช มาจากทางราชบุรี เรียกรัตที่เป็นเจ้าถิ่นมาสมทบ เพิ่งรู้ว่าการที่ไม่ได้เจอกันนานจะทำให้ทุกคนเปลี่ยนเป็นฝูงลิง (เซ็งแซ่ กรี๊ดกร๊าด และมีแต่คนพูดไม่มีคนฟัง) กันไปหมด หลังจากกินข้าวเสร็จยังตบท้ายด้วยการให้เด็กเสริฟของร้านถ่ายรูปหมู่แบบ non stop ซะอีก

จากนั้นรัตก็แยกไปขายยาต่อ ส่วนพวกเราก็ไปเที่ยวกันที่วัดบางกุ้ง ที่มีโบสถ์ในต้นไม้ (unseen)

หลังจากไหว้พระก็ถ่ายรูปกันอย่างเมามันเหมือนเดิม จนนึกขึ้นได้ว่าอากาศร้อนสุดๆ ก็เปลี่ยนสถานที่ไปให้อาหารปลากันที่ท่าน้ำหน้าวัดซึ่งก็ยังไม่หายร้อนอยู่ดี จากแผนแรกที่จะไปตลาดน้ำอัมพวากันต่อ เลยเปลี่ยนเป็นไปนอนผึ่งแอร์ที่บ้านพักก่อนน่าจะดี

ที่พักงวดนี้นุชเป็นคนจองให้ ซึ่งเจ้าของก็เป็นบ้านสามีนันทนา เพื่อนอีกคนของพวกเรา ชื่อว่า บ้านดาหลา เป็นโฮมสเตย์กึ่งรีสอร์ทที่นุชบอกว่าใครๆ ที่มาก็บอกว่าดีทั้งนั้น เราก็เลยเสริมต่อให้เห็นบรรยากาศด้วยการเล่าให้เพื่อนที่จะค้างด้วยกันคือ จุ๋ยกับแมวว่า เป็นบ้านทรงไทย บรรยากาศดี แต่ควรใส่พระมาด้วย และเห็นท่าไม่ดีก็มานอนรวมกันได้
พอไปถึงทุกคนได้แต่ชื่นชมกับสวนต้นไม้ร่มรื่น มีบ้านพักทรงไทยหลังเล็กๆ ตั้งอยู่ห่างกันพอประมาณ จากทีแรกที่จะนอนผึ่งแอร์ก็เลยกลายเป็นถ่ายรูปกันอย่างเมามันอีกครั้ง

จนเวลาเริ่มเย็น แต่อากาศยังร้อนอยู่ ก็มีคนชวนว่าไปกินไอติมที่ตลาดน้ำกันเถอะ พวกเราเลยย้ายสถานที่กันอีกครั้ง

ตลาดน้ำอัมพวาเป็นตลาดเย็นที่คนเยอะมากๆๆๆ พอเข้าไปได้ก็เป็นการดีที่ปล่อยร่างกายให้คลื่นฝูงชนพัดไปตามทางที่รายล้อมไปด้วยร้านขายของที่ส่วนใหญ่จะเป็นของกินหน้าตาแปลกๆ และดูโบราณ (แต่น่าอร่อย)

หลังจากไอติม 1 ถ้วยและ 1 แท่งผ่านไป เรี่ยวแรงนักช้อปก็กลับมากันอีกครั้ง แต่ละคนเลยได้เสื้อที่ระลึกดูหิ่งห้อยกันมาคนละตัว 2 ตัว หลังจากนั้นก็พากันกินโดยบางส่วนแยกไปกินก๋วยจั๊บ ส่วนเรากับแมวเน้นบรรยากาศก๋วยเตี๋ยวเรือก็พากันไปนั่งเก้าอี้แบบ ยอง ๆ เหลา ข้างคลอง แล้วร้องสั่งก๋วยเตี๋ยวเรือของจริง ที่ไม่น่าเชื่อว่าทั้งอร่อยทั้งถูกคือชามละ 10 บาท ขึ้นมากินกัน โดยสถิติงวดนี้ทำได้แค่คนละ 2 ชาม เพราะมีไอติมมาขวางกระเพาะไว้ก่อน กลับมาทางก๋วยจั๊บก็มีจุ๋ยคนเดียวที่สั่ง 2 ชาม ส่วนสาวๆ ราชบุรีกินกันแค่คนละชาม
แล้วพวกเราก็เจอปัญหาใหญ่ คือฝนตกหนักจนต้องติดอยู่ในตลาด จากที่นัดเรือไว้หน้าบ้านพักเพื่อไปดูหิ่งห้อยตอน 1 ทุ่ม ก็ต้องเลื่อนเวลาออกไปอีก ซึ่งกว่าฝนจะซาก็ 1 ทุ่มพอดี และกว่าพวกเราจะไปถึงและลงเรือได้ก็เกือบ 2 ทุ่มแล้ว แต่ก็ถือเป็นโชคดีเพราะหลังฝนตก หิ่งห้อยจะออกมาเยอะมาก บางที่เกาะกันอยู่เต็มต้นราวกับต้นคริสมาสต์ประดับไฟดวงเล็กๆ ได้ความรู้อีกอย่างหนึ่งก็คือต้นลำพูที่หิ่งห้อยส่วนมากเกาะอยู่ ตอนกลางคืนใบของมันจะมีสีอ่อนผิดกับต้นไม้ชนิดอื่นๆ เสียดายที่ประสิทธิภาพของกล้องน้อยเกินกว่าจะถ่ายรูปออกมาได้ เลยได้แต่ใช้สายตาชื่นชมความงาม โดยที่หลังจาก 1 ชั่วโมงผ่านไป สายตาชื่นชมก็เปลี่ยนเป็นหรี่ปรือ รอเวลาให้แมวที่นั่งอยู่ข้างๆ สะกิดเรียกว่ามีหิ่งห้อยอีกแล้วจึงค่อยลืมตาขึ้นมาดู ก่อนกลับถึงที่พัก คนขับแวะจอดเรือเข้าไปในพุ่มไม้ที่มีหิ่งห้อยอยู่ ให้พวกเราเข้าไปดูใกล้ๆ ที่ยิ่งดูก็ยิ่งสวยกว่ายามมองผ่านเรือที่กำลังวิ่ง ประกอบกับเสียงเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่มจนกลบเสียงอื่นไปหมด บางรีสอร์ทที่อยู่ใกล้ๆ แถวนั้นบางที่จึงใช้เรือพายพานักท่องเที่ยวเข้าไปดูใกล้ๆ ซึ่งดูท่าจะตื่นตาตื่นใจกว่า ถึงจะไปได้ไม่ไกลเท่าเรือยนต์ที่วิ่ง 2 ชั่วโมงกว่าอย่างพวกเราก็เถอะ
กลับถึงบ้านอีกทีก็ 4 ทุ่มกว่า แทนที่พวกเราจะพักผ่อนอย่างที่เราหวังไว้ตอนแรก รายการคอนเสิร์ตรอบชิงชนะเลิศ Academy fantasia ก็เข้ามาแทรก เลยต้องนอนทำใจระหว่างที่เพื่อนอีก 2 คนคอยลุ้นว่าใครจะได้รางวัล
กิจกรรมยามดึกกิจวัตรของเราคือเข้าห้องน้ำ ที่ถึงแม้ว่าจะเตรียมตัวมาพร้อมตั้งแต่วางไฟฉายไว้ข้างหมอน แล้วก็เดินอย่างระวังไม่ให้เหยียบเพื่อนทั้ง 2 ข้างไปที่ห้องน้ำ แต่ก็ยังเสียท่าตอนที่ยังเปิดตาไม่เต็มที่คือเปิดประตูห้องน้ำแล้วก็เดินเข้าไป ให้บังเอิญว่าพื้นห้องน้ำอยู่ระดับต่ำกว่าห้องนอน พอเท้าข้างหนึ่งก้าวไปพบความว่างเปล่าแทนที่จะเป็นพื้น น้ำหนักตัวเลยไปลงที่มือที่จับลูกบิดประตูอยู่ ผลก็คือลูกบิดหลุดตามแรงไปทั้งอัน และถ้าพื้นต่ำกว่านี้อีกสักนิด สงสัยว่าเราคงล้มไปทับประตูหลุดออกไปทั้งบานแน่นอน เสียเวลาดันลูกบิดให้เข้าไปในรู (ใหม่ใหญ่กว่าเดิม) ของมันนานโขอยู่ กว่าจะได้กลับมานอนอีกครั้ง
ตอนเช้าเพื่อนๆ ได้แต่บอกว่าได้ยินเสียงอะไรไม่รู้ดังโครม ได้แต่คิดว่าคงเป็นพวกเราคนใดคนหนึ่งทำเสียงขึ้น.........ก็เข้าใจอ่ะนะว่าพวกมันคงไม่กล้าลืมตาขึ้นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น

จุ๋ยสั่งไว้ตั้งแต่ก่อนนอนว่ากิจกรรมใส่บาตรยามเช้าตอน 6 โมง ไม่ต้องปลุกมันขึ้นมาด้วย ทั้งที่บอกให้ทางบ้านพักเตรียมชุดใส่บาตรไว้ 3 ชุด พอตี 5 ครึ่งเราก็ตื่นมาล้างหน้า ตามด้วยปลุกแมว จุ๋ยเลยตื่นขึ้นมาอีกคนแต่ยังนอนตัดสินใจอยู่ว่าจะไปใส่บาตรด้วยดี หรือจะนอนต่อดี แต่เราก็ช่วยให้ตัดสินใจเร็วขึ้นด้วยการไปนั่งหวีผมอยู่ด้านปลายเท้ามัน จนจุ๋ยบอกว่าเปิดไฟก็ได้ ก็เลยได้ปล่อยประโยคเด็ดว่า มืดๆ ก็หวีได้ ตอนนี้น่ะพจนั่งหวีอยู่ แต่ถ้าพจกับแมวออกไปใส่บาตรกันแล้ว ถ้ายังมีอีกนี่คงไม่ใช่พจแล้วล่ะ แมวออกมาจากห้องน้ำก็เลยพบจุ๋ยนั่งหน้าแฉล้มอยู่โดยเปิดไฟสว่าง แถมบอกจะไปใส่บาตรด้วยคนพร้อมข้ออ้างที่ว่า เดี๋ยวถ่ายรูปกันแล้วจะไม่มีรูปจุ๋ย 555

หลังจากถ่ายรูปยามเช้าและกินอาหารเช้าที่ประกอบด้วย กาแฟ ขนมปังปิ้ง และข้าวต้มปลาแล้ว พวกเราก็ทยอยกันอาบน้ำเตรียมอำลาที่พัก แต่พอจ่ายเงินเสร็จก็ยังคงถ่ายรูปกันอย่างเมามัน จากที่คิดจะออกกันแต่เช้าก็กลายเป็นสายไป.......แต่ไม่ยักมีใครบ่น

เมื่อถ่ายรูปจนย่อยอาหารเกือบหมด จุดหมายต่อไปที่แทรกเข้ามากะทันหันคือตลาดน้ำดำเนินฯ โดยมีเป้าหมายแค่มากินก๋วยเตี๋ยวเรือ ที่จุ๋ยคงนึกอยากนั่งกินแบบ ยองๆ เหลาอย่างพวกเราเมื่อวานบ้าง

แม้ว่าพวกเราจะไปถึงเพียง 10.00 น. แต่นักท่องเที่ยวก็เริ่มหนาตาแล้ว เดินกันครู่เดียวพวกเราก็มาแวะร้านก๋วยเตี๋ยวเรือท่าทางน่าอร่อย ที่ถึงจะไม่ ยอง ๆ เหลา แต่ก็มีโต๊ะแบบเคาน์เตอร์หันหน้าเข้าคลองให้นั่งมองเรือขายของผ่านไปผ่านมาดูเพลินๆ

กินเสร็จ ที่สุดท้ายที่จะไปแวะคือ อุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยาม แถวแยกบางแพ ที่ถึงแม้ต้นไม้จะค่อนข้างเยอะ แต่ก็ยังร้อนอยู่ดี พวกเราจึงรีบเดินกันอย่างทำเวลาสุดๆ

มาแวะกินก๋วยเตี๋ยวมื้อเที่ยงกันอีกครั้งที่ร้านห้วยพลูรสเด็ด นครชัยศรี จากนั้นจุ๋ยคนขับก็ทยอยส่งผู้โดยสารทีละคน เรากลับถึงบ้าน 13.30 น. ค่าใช้จ่าย/คน มีค่าที่พัก 350 บาท ค่าเรือชมหิ่งห้อย 100 บาท และค่าเข้าชมหุ่นขี้ผึ้ง 50 บาท