Thursday, April 12, 2007

ทัวร์เกาะกูด (Part IV)

ค่ำนั้น หลังกินข้าวเสร็จก็มีเรือพาเราไปดูหิ่งห้อยในคลองยายกี๋ข้างรีสอร์ท หิ่งห้อยที่นี่อยู่กันบนต้นโกงกาง ไม่ใช่ต้นลำพูอย่างที่เห็นทั่วไป คาดว่าคงไม่ใช่ฤดูของมันจริงๆ หรือเป็นเพราะมีฝนตกบ่อยในช่วงนี้ หิ่งห้อยก็เลยมีอยู่ไม่มาก แต่ก็ยังเห็นมีเต็มต้นอยู่สัก 1 – 2 ต้น คนขับเรือยังวักน้ำให้ดูพรายน้ำที่มีแสงระยิบระยับโดยบอกว่าเป็นแสงที่เกิดจากตัวแพลงตอนเรืองแสง
ตอนกลางคืนหลังจากตื่นมาเข้าห้องน้ำ เราก็รู้สึกว่าอ๋อยจะนอนเข้ามาชิดผิดปกติ พอล้มตัวนอนได้สักพักก็รู้เหตุผลที่ว่าเอ๋นอนกัดฟันเสียงดังมาก (ในระหว่างที่คนอื่นๆ นอนกรนกันสนั่น) พอเห็นเรายังไม่นอน อ๋อยก็รีบฟ้องว่าเนี่ยเอ๋จะเคี้ยวอ๋อยแล้ว ทำเอาเราเส้นตื้นหัวเราะจนคนอื่นตื่นกันหมด (โดนบ่นในตอนเช้าว่าตื่นขึ้นมาหัวเราะทำไม) ชะรอยว่าเอ๋จะรู้ตัวก็เลยพลิกตัวหันไปเคี้ยว เอ๊ย นอนกัดฟันทางด้านจุ๋ยมั่ง

เช้าวันกลับ ในตอนแรกว่าจะตื่นเช้ามากๆ เพื่อไปจองเรือคยัค แต่ฝนที่ตกหนักหลังจากลุกขึ้นมาหัวเราะเมื่อคืน ทำเอานอนสบายเลยตื่นสายกว่าที่คิด แต่ก็ยังมีเวลาปลุกคนอื่นๆ (ยกเว้นอ๋อยที่ไม่ยอมลงน้ำ) ให้ตื่นขึ้นมาลากเรือออกไปพายเล่นกัน โดยจุ๋ยมีจุดมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่หลังจากที่ผิดหวังจากการรอเรือเมื่อวาน ว่าจะไปถ่ายนู้ดริมหาดอีกด้านนึงที่พวกเราเดินไปกันเมื่อวาน ซึ่งช่างกล้อง (ตูอีกแล้ว) ก็จำใจต้องช่วยโพสท่า และเลือกหาทำเล ที่เหมาะจะให้จุ๋ยถ่ายรูปอวดโฉมแข่งกับนายแบบ FHM
หลังจากที่พวกเราเอะอะกันลั่นหาด เหมือนเมื่อวานที่ถ่ายรูปจนกลุ่มอื่นหนีไปหมด ก็มีชาวบ้านมาเมียงๆ มองๆ ว่ามันทำอะไรกันฟะ (เอ๋กับพี่ยี้โดนไล่ไปเล่นน้ำไกลๆ อีกต่างหาก) ก็ได้เวลากลับไปอาบน้ำ เก็บข้าวของกันซักที เรือมารับตอน 9.30 น. กว่าจะถึงฝั่งก็เกือบ 10.30 น. พวกเราจองตั๋วรถทัวร์รอบ 14.30 น. ไว้ เลยมีเวลาเหลือเฟือ หลังจากรถสองแถวไปส่งหน้าโรงแรมเมืองตราดแล้ว เอ๋ก็พาไปซื้อของฝากจำพวกทุเรียนทอด ขนุนอบ ในตลาด จากนั้นก็ไปกินก๋วยเตี๋ยวเส้นปลากันในร้านนอกเมืองออกมา พอดีกับที่เพื่อนอ๋อยโทรมาจากขนส่งตราดบอกว่ามีรถว่างรอบ 12.30 น. พวกเขาจะกลับกันก่อน
เอ๋พาพวกเราไปวัดบุปผารามเพื่อฆ่าเวลารอรถเที่ยวต่อไป โดยวัดนี้เป็นพระอารามหลวง สร้างในสมัยพระเจ้าปราสาททอง มีพิพิธภัณฑ์อยู่ภายในวัด จัดแสดงของเก่าจำพวกเครื่องกระเบื้อง จานชาม และก็พระพุทธรูปปางต่างๆ มีหอระฆังจตุรมุข และโบสถ์เก่าที่ทำด้วยไม้ ได้เวลาอันสมควรพวกเราก็ให้เอ๋พาไปส่งที่สถานีขนส่งและบอกลาเอ๋ที่จะกลับระยองเพื่อทำงานต่อในวันพรุ่งนี้
ศุภรัตน์ทัวร์เที่ยวนี้แย่กว่าคันขามา เพราะแอร์ไม่เย็นและขับค่อนข้างช้า ฝรั่งที่นั่งข้างหน้าเราก็ยังพยายามเอนเก้าอี้มาเบียดอีก (รู้สึกงวดนี้มีปัญหากับฝรั่ง) ดีที่มีแวะพักรถให้ลงไปเดินยืดเส้นยืดสายที่ชลบุรี 15 นาที หลังจากนั้นก็พยายามหลับๆ ไปซะ ดีที่ฝนตกลงมาช่วยคลายความร้อนได้บ้าง กลับมาถึงเอกมัย 20.30 น. ต่อรถไฟฟ้าไปที่คอนโดจุ๋ยกันอีก คราวนี้เราเปลี่ยนรถเป็นไปนั่งรถจุ๋ยกลับ แวะกินข้าวต้มกันที่ท่านากันต่อ ถึงบ้าน 22.30 น.

ทัวร์เกาะกูด (Part III)





เช้าวันรุ่งขึ้นอากาศดีจนไม่เหลือเค้าเมฆฝนแบบเมื่อเย็นวานให้เห็นเลย ทำเอาแก้งค์บ้ากล้องทั้งหลายออกไปถ่ายรูปกันอีกครั้ง หลังกินข้าวเช้าก็ได้เวลาไปเที่ยวน้ำตกคลองยายกี๋ ที่ต้องนั่งเรือล่องไปตามคลอง ก่อนจะเดินขึ้นเขาไปอีก 1.5 กม. (งานนี้อ๋อยขอบาย นอนเฝ้าห้อง) ถือว่าอ๋อยคิดถูกจริงๆ ที่ไม่ได้มาด้วย เพราะแดดร้อน และต้องเดินขึ้นทางชันตลอด ก่อนจะใต่ลงทางชันอีกเหมือนกัน จนถึงน้ำตก ที่มีขนาดเล็กซะจนสงสัยว่าเป็นน้ำที่ไหลออกมาจากท่อน้ำหรือเปล่า
แต่อย่างไรก็ตามพวกเราก็ยังเล่นน้ำ (ทีละคน) และถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน จนได้เวลาเดินตากแดดกลับเรือ

กลับมากินข้าวเที่ยงแล้วก็กลับมานอนรอเวลาเล่นน้ำและพายเรือคยัคตอนเย็น แต่ล้มตัวลงนอนได้ไม่ทันไร เอ๋ก็เสนอกิจกรรมเดินสำรวจรอบรีสอร์ทเพราะเห็นว่ามีทางเดินต่อจากรีสอร์ทไปที่หมู่บ้าน ทำให้เรากับอ๋อยที่ยังมีแรงเหลือเฟือร่วมขบวนไปด้วย ปล่อยให้จุ๋ยกับพี่ยี้เฝ้าห้องรอบบ่ายต่อจากอ๋อย
เห็นแดดร่มลมตก และฝนก็ทำท่าจะตกด้วย เลยชะล่าใจไม่ทาครีมกันแดด แต่ที่ไหนได้ พอเดินพ้นรีสอร์ทออกไปนิดเดียว แดดก็กลับมาร้อนเปรี้ยงทำเอาหน้าแทบไหม้ แต่ก็ไม่ทำให้ความพยายามถ่ายรูปกับชายหาดที่อยู่อีกด้านของรีสอร์ทหายไป จนเริ่มเดินไปกันจนไร้ทิศทางและไกด์เอ๋ท่าทางจะเหนื่อยแล้วก็พากันกลับ
แค่หันหลังให้ทางเดินเก่า กลับมาทางรีสอร์ทนิดเดียว แดดก็กลับมาร่มอีกครั้ง พวกเราเลยต้องยึดเป้าหมายเดิมคือการพายเรือคยัค โดยเริ่มด้วยการปลุกจุ๋ยจากที่นอน (ยากมาก) แต่ก็โชคไม่ดีที่มีเรือคยัคเหลืออยู่ แต่ไม่มีไม้พาย คนที่ดูแลอยู่บอกกับพวกเราว่าต้องรอให้คนที่พายเรือออกไปเอาเรือมาคืนซะก่อน เราเสียเวลารออยู่พักใหญ่ๆ จนอ๋อยที่คอยถ่ายรูปอยู่เดินมาถามว่าจะได้ถ่ายมั๊ย พร้อมกับบอกว่าอาหารว่าง (ที่มันกำลังกินอยู่) เป็นส้มตำปูม้า ถ้ายังไงให้ไปกินด้วยกันก่อน ทำเอาจุ๋ยอารมณ์บูด ผู้จัดการทริป (ซวย) ต้องแก้สถานการณ์อีกแล้ว ด้วยการชวนเอ๋ไปเล่นน้ำรอเรือ แล้วก็ให้จุ๋ยกับพี่ยี้ไปกินส้มตำให้อารมณ์เย็นๆ ก่อน แต่แช่น้ำจนมือเหี่ยวเป็นบ๊วยเค็มแล้วก็ยังไม่มีวีแววว่าจะมีคนเอาเรือมาคืน เราก็เลยถอดใจ ชวนเอ๋ (ที่ไปนั่งเซ็งอยู่บนหาดหน้ารีสอร์ท) ขึ้นไปกินส้มตำบ้าง
จนแดดร่มลมตกแล้วตกอีก และจุ๋ยอิ่มกับส้มตำ 3 จานระหว่างรอ พวกเราก็ไปที่ท่าเรือคยัคอีกครั้ง คราวนี้มีคนมารออยู่แล้ว เรือที่เข้ามาก็เลยเสร็จเขาไป เราถอดใจกลับไปอาบน้ำก่อน ทิ้งให้อีก 3 คนรอกันต่อไป ยังไม่ทันอาบเสร็จคนถอดใจก็เพิ่มขึ้นจนครบแก้งค์ แต่ยังไงซะผู้จัดการทริปก็ให้สัญญาว่าวันพรุ่งนี้จะรีบปลุกไปพายเรือกันแต่เช้า





ระหว่างที่รอกินข้าวเย็น กิจกรรมถนัดที่พวกเราทำกันก็คือถ่ายรูป ที่งวดนี้นอกจากกระโดดจนพื้นไม้ของรีสอร์ทสะเทือนแล้ว ยังมีท่าเด็ดที่เราไปลอกเลียนแบบเอาจากในหนังสือ men health ที่จุ๋ยเอามา ทำเอาคนอื่น รวมทั้งกลุ่มตุ๊ดที่อยู่แถวนั้น หลบไปกันหมด

ทัวร์เกาะกูด (Part II)

รถ 2 แถวพาพวกเราไปยังท่าเรือแหลมศอกท่ามกลางความมืดสนิท ครึ่งชั่วโมงก็ไปถึงอาคารพักที่มีกาแฟ โอวัลติน สำหรับชงเองไว้รับรอง หลังจากนั้นก็มีคนทยอยกันมาเรื่อยๆ แต่หลังจากพวกเราอิ่มท้องและเข้าห้องน้ำกันเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่สนใจใครอีก พากันถ่ายรูปอย่างเมามัน จนเกือบ 6 โมงเช้าจึงได้ลงเรือไปยังเกาะกูด

เรือ speed boat พาพวกเรามาถึงเกาะกูดภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง แค่ได้เห็นบรรยากาศของที่พักคือ กัปตันฮุก รีสอร์ท พวกเราก็พากันถ่ายรูปกันอีกเป็นนานทั้งที่ยังไม่ได้รับกุญแจเข้าบ้านพัก และกินข้าวเช้าอย่างกลุ่มอื่นเขา


บ้านหลังที่พวกเราอยู่ ต้องเดินขึ้นเนินค่อนข้างชันขึ้นไปจากห้องอาหาร เป็นห้องแอร์ มีที่นอนสำหรับ 4 คน และ เตียงเสริมเป็นผ้าปูบนแผ่นกระดานตรงกลางอีก 1 ที่ ทำให้เราที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้จัดการทริป (ได้ไงก็ไม่รู้...ซวย) ลำบากใจพอสมควรว่าจะให้เกียรติใครนอนที่นอนเสริมดี เลยต้องตัดสินด้วยการจับไม้สั้นไม้ยาว และคนที่จับได้คือ.......อ๋อย


บ้านหลังข้างๆ เป็นบ้าน VIP ที่ราคาแพงกว่าบ้านเราหัวละ 700 บาท แต่มีกาต้มน้ำพร้อมชา กาแฟสำเร็จรูปให้ และมีอ่างอาบน้ำกลางแจ้งที่เป็นถังน้ำทำด้วยไม้คล้ายถังเบียร์ ให้จุ๋ยได้ลงไปถอดเสื้อถ่ายรูป (ตามคำสั่งของตากล้อง - เราเอง ) อย่างสนุกสนาน (แต่เอ๋ไม่ยักยอมทำบ้าง)

หลังกินข้าวเที่ยงก็มีเรือ speed boat พาพวกเราไปดำน้ำดูปะการังที่เกาะยักษ์ กับเกาะทองหลาง โดยอ๋อยยื่นคำขาดว่าจะไม่ยอมลงน้ำ เลยได้รับหน้าที่เป็นตากล้องแทน ถึงแม้คลื่นจะไม่ค่อยแรงแต่ก็มีคนเมาเรือหลายคนรวมทั้งพี่ยี้ ส่วนอ๋อยที่ออกตัวแต่แรกว่าเมาเรือแน่นอน พอได้ dimen ก็ไม่ออกอาการอยากเลี้ยงอาหารฝูงปลาให้เห็นเหมือนกับคนอื่นๆ การดำน้ำงวดนี้สงสัยจะมีแต่เราคนเดียวที่สนุกสุดๆ เพราะว่ายน้ำไปรอบเกาะจนเหนื่อย แต่ก็คุ้มที่ได้เห็นปลาฝูงใหญ่ หอยเม่น หอยมือเสือตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่ดำน้ำดูมา (น่ากินทั้งนั้น) แล้วก็ปะการังที่สีสันสดใสและค่อนข้างสมบูรณ์ ให้ดำน้ำทั้งวันก็ยังไหวเลยนะเนี่ย แต่คนอื่นดูท่าจะไม่ไหว (ตามอายุ) พี่ยี้ก็ให้อาหารปลาในน้ำ 2 - 3 รอบ จุ๋ยที่คอยดูแลอยู่ไม่รู้จะอยากให้อาหารเหมือนกันหรือเปล่า ส่วนเอ๋ปล่อยให้น้ำพัดไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ชะตากรรม จนสต๊าฟต้องตามไปลากกลับเรือ และอ๋อยที่อยู่บนเรือก็ดูคนลอยตุ๊บป่องอยู่ในน้ำจนตาลาย ไม่รู้ว่าเพื่อนแต่ละคนลอยกระจายไปถึงไหนกันบ้าง
กลับมาถึงรีสอร์ทก็มีฝนตกลงมานิดหน่อยพอให้คลายร้อน เพราะตอนกลางวันแอร์ในบ้านจะไม่ทำงาน พวกเราคงจะใช้พลังงานกันมากเกินไปหน่อย พอได้เวลาอาหารเย็นก็ลงไปนั่งโต๊ะก่อนกลุ่มอื่นๆ และพลอยได้อาหารมาเสริฟก่อนคนอื่นๆ ไปด้วย จากอาหารเช้าและอาหารกลางวันที่เป็นแบบบุฟเฟ่ต์บริการตนเองและเติมไม่อั้น มาถึงตอนเย็นจะเป็นบาบีคิวอาหารทะเลย่าง หมูย่าง เนื้อย่าง ปูนึ่ง ปลาทอด แกงส้มและทอดมัน ที่จริงก็เติมไม่อั้น แต่พวกเรากินกันแค่นี้ก็อิ่มแทบแย่ ทำเอาเราต้องพักเป้าหมายไดเอ็ทไว้ก่อน



จากนั้นสต๊าฟก็มาชวนให้ไปชมการแสดงไฟประกอบดนตรีเร้าใจ พวกเราที่ไปถึงเป็นกลุ่มแรก (เพราะกินก่อน อิ่มก่อน) ก็พากันจับจองที่นั่ง แถวหน้า (มีแถวเดียว) คนที่มาทีหลังต้องยืนดู หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไปนอนเอาแรงไว้วันต่อไป โดยที่อ๋อยยังไม่วายโดนแซวก่อนนอน ว่านอนแล้วพุงยังสูงกว่าฟูกอีก

ทัวร์เกาะกูด 6 - 8 เม.ย. 50 (Part I)

พวกเรา 5 คน ประกอบด้วย เรา จุ๋ย อ๋อย เอ๋ และพี่ยี้ เดินทางด้วยรถทัวร์ ไปยังกับตันฮุกรีสอร์ท เกาะกูด ค่าใช้จ่ายคนละ 5,376 บาท
เย็นวันที่ 5 เม.ย. หลังเลิกงานเราก็นั่งรถเมล์ไปรออ๋อยที่ปั๊มเจ๊ทสามพราน โดยอ๋อยเป็นสารถีพาไปจนถึงพญาไทเพลส คอนโดจุ๋ย ทีแรกพวกเรากะว่าจะไปดูหนังกันก่อน เพราะกว่ารถทัวร์จะออกก็ 22.30 น. แต่จุ๋ยกลัวจะไม่ทัน ก็เลยต้องมานั่งหง่าวกันในห้องจุ๋ย รอเจ้าของห้องอาบน้ำ เก็บเสื้อผ้าไปพลางๆ (โดยที่จุ๋ยจำต้องเลี้ยงข้าว 2 สาว เป็นค่าเสียโอกาสที่พลาดดู "มะหมา 4 ขาครับ")
กว่าพวกเราจะไปถึงขนส่งเอกมัยก็ 4 ทุ่ม พอดีกับเวลานัดที่จุ๋ยนัดพี่ยี้เอาไว้ โชคดีที่ศุภรัตน์ทัวร์มีรถคันที่พวกเราจะขึ้นจอดรอที่ขนส่งอยู่แล้ว เลยไม่ต้องกังวลว่าจะตกรถ แต่พอหันไปมองรถคันข้างๆ ก็รู้สึกถึงความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด เพราะเชิดชัยทัวร์เป็นรถปรับอากาศ 2 ชั้น และเบาะนั่งท่าทางจะกว้างกว่าด้วย ทำเอาจุ๋ยซึ่งเป็นคนจองตั๋วเริ่มรู้สึกผิด (หรือเปล่าไม่รู้) แต่เพื่อนๆ ก็ไม่ได้ตำหนิเพราะรู้ว่าจุ๋ยถนัดเดินทางโดยเครื่องบินมากกว่า (จริงอ้ะ?) เลยไม่คุ้นเคยกับระบบรถทัวร์เท่าไรนัก แถมยังต้องคอยแนะนำเรื่องพื้นฐานต่างๆ โดยเปรียบเทียบกับเครื่องบินโดยตลอด เช่น รถจอดอยู่ที่ gate 17 เวลารถออกไม่ต้องคาดเข็มขัดนิรภัย (เพราะไม่มี) ฯลฯ หลังจากที่รถ delay ไปจนถึง 5 ทุ่ม พวกเราก็ได้ออกเดินทางกันซะที อ๋อยมีเพื่อนไปเกาะกูดพร้อมพวกเราด้วยอีก 3 คน แต่ไปกันคนละรีสอร์ท
รถวิ่งไปได้แป๊บเดียว กำลังจะเคลิ้มหลับ ก็มีการเปลี่ยนเครื่อง เอ๊ย เปลี่ยนรถที่บางนา เป็นรถทัวร์ 2 ชั้น ที่บรรทุกฝรั่งมาจากถนนข้าวสารบ้างแล้ว ความรุ้สึกของพวกเราตอนนั้นเหมือนกับได้เลื่อนจากชั้น economic ไปเป็นชั้น business แต่ก็ดีใจอยู่ได้ไม่นาน เนื่องจากแอร์รถคันใหม่แรงมาก จนอยากจะไปบีบคอฝรั่งที่นอนเท้าเหม็นอยู่ด้านข้างแย่งเอาผ้าห่มของมันมา (ทำไมไม่แจกผ้าห่มคนไทยด้วยฟะ) หนาวได้ไม่นาน เราก็เริ่มฉลาดที่หาความอบอุ่นเอากับฟูกเนื้อนุ่มด้านข้าง (อ๋อยนั่นเอง) หันไปมองเบาะด้านหลังก็เห็นจุ๋ยใช้วิธีกอดเป้ ส่วนจูออน เอ๊ย พี่ยี้ ใช้วิธีสยายผมมาบังหน้าไว้ (คงจะอุ่น?) จุ๋ยมาเปิดใจทีหลังว่าตื่นขึ้นมาสยองคนข้างๆ มาก รู้สึกเหมือนดูโฆษณาครีมทาฝ้ายี่ห้อหนึ่ง
แอร์ฯ เอ๊ย กระเป๋ารถมาปลุกพวกเราตอนเกือบตี 4 ว่าคนที่ไปเกาะกูดให้ลงได้ พวกเราก็เลยงัวเงียกันลงจากรถ หลังจากโทรหาคุณอนันต์ที่จะมารับพวกเราแล้วก็เลยรู้ว่ามีคนขับรถไปรอพวกเราที่สถานีขนส่งตราด แต่พวกเราอยู่ที่ตลาดสดกันเลยต้องเสียเวลารอรถอยู่พักนึง แล้วก็ต้องรอเอ๋ที่ขับรถมาเที่ยวตราดตั้งแต่เมื่อวานและนอนคอยพวกเราอยู่ที่โรงแรมเมืองตราด
เป็นเพราะพวกเรามากันก่อนเวลานัดคือตี 4 ครึ่ง เอ๋เลยนอนใจว่ารถคงไปรับเอ๋เกือบตี 5 แต่พอมาก่อนเวลากันเกือบครึ่งชั่วโมง และที่แย่กว่านั้นก็คือรถทัวร์มาส่งพวกเราหน้าโรงแรมเมืองตราดนั่นเอง !! เลยทำให้เอ๋ต้องรีบออกจากโรงแรมมาขึ้นรถเป็นคนสุดท้าย