Thursday, August 07, 2008

ภูชี้ฟ้า (Picture)






ถ่ายกะ อ. เหลิมชัย

ภูชี้ฟ้า (Part VI - end)

น้องอรนัดเราเวลาบ่าย 2 โมงครึ่งในการออกจากสวนแม่ฟ้าหลวง แต่ตอนนี้เหลืออีกแค่ 10 นาทีก็ถึงเวลานัดแล้ว จึงโทรไปขอเพิ่มเวลาอีก 15 นาที และเวลาที่จำกัดนี้จึงเป็นตัวกำหนดในรูปแบบการชมสวนแม่ฟ้าหลวงของพวกเรา จากที่ควรเดินชมสวนอย่างช้าๆแล้วค่อยๆซึมซับความงามของดอกไม้ เรากลับต้องวิ่งชมสวน เรียกว่าไม่ต่างจากแข่งแรลลี่ โดยมีอาร์ซีเป็นภาพถ่ายกับดอกไม้งามๆ ซึ่งงานนี้อ๋อยกับพจขอบาย แม้ว่าเวลาจะมีจำกัดเพียงใด เราก็เดินสลับวิ่งกันจนรอบสวน ขาทำงานแข่งกับเวลา ส่วนสองสายตานั้นก็เก็บภาพความงามของมวลดอกไม้ หลากสี หลากพันธุ์ โดยมีลำธาร สายน้ำ กระถางต้นไม้ ก้อนหิน ไม้ไผ่ และเรือลำน้อย มาร่วมผสมแต่งแต้มความงาม และสุดท้ายกับประติมากรรมความต่อเนื่อง ของเด็กน้อยทั้ง 17 คนที่ร่วมกันต่อตัวเพื่อเอื้อมไปไขว้คว้าความฝันที่อยู่สูงกว่าความสามารถของคนเพียงหนึ่งคนจะทำได้ แต่ไม่ไกลเกินเอื้อมสำหรับความสามัคคีที่เกิดจากความร่วมใจของทุกคน

ลงจากดอยตุง พี่วิเชียรก็ตรงเข้าปั๊มน้ำมันทันที โชคดีนะที่น้ำมันไม่หมดบนดอย หลงทางบนดอยตุงแล้วต้องหลงทางในการไปวัดร่องขุนกันอีก ทั้งๆที่อรได้แผนที่มาจากพี่ตี๋แล้ว ก็ยังหลง แต่ครั้งนี้เป็นเพราะแผนที่เขียนผิด ให้เลี้ยวขวาตรงทางแยกแม่กรณ์ แต่จริงๆคือเลี้ยวขวาทางแยกเข้าน้ำตกขุนกรณ์ ซึ่งมองเห็นสีขาวสะอาดของพระอุโบสถได้จากทางแยก

วัดร่องขุ่นนั้นยังสร้างไม่เสร็จอย่างสมบูรณ์ แต่แม้ยังไม่เสร็จก็มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวกันอย่างคึกคัก เพราะถึงยังไม่เสร็จก็ปรากฎให้เห็นถึงความงามของพระอุโบสถที่มีความแปลกไปจากทั่วไป ด้วยเป็นสีขาวทั้งหลังและประดับริ้วลายด้วยโลหะสีเงิน แต่ที่สำคัญคือดูเหมือนภาพวาดของปราสาทในสรวงสวรรค์ เนื่องด้วยเป็นฝีมือ ความคิดและแรงบันดาลใจในธรรมะของอ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ นักวาดรูปที่โด่งดัง ในสไตล์ดูรูปวาดไป ต้องใช้เสียงเพื่อปลุกอารมณ์ในการดู

เดินผ่านทางเดินด้านหน้าต้องผ่านขุมนรกก่อนเพื่อขึ้นไปสู่พระอุโบสถที่เปรียบดั่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งสรวงสวรรค์ สำหรับพระประธานภายในก็แปลก เพราะมีถึง 3 องค์ซ้อนกัน เป็นเริ่มจากพระพุทธรูปปางมารวิชัย ปางสมาธิ และด้านหลังเป็นภาพวาดพระพุทธขนาดใหญ่ แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยกำหนดไปมากแล้ว กลุ่มเราก็ยังแวะไปชมภาพวาดของอ.เฉลิมชัย ซึ่งเป็นภาพพิมพ์จากภาพต้นฉบับ แต่เป็นการพิมพ์ที่มีคุณภาพทำให้ความงามของภาพมิได้ลดลง ภาพส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับแนวคิดแห่งพระพุทธศาสนา รายได้ที่ได้จากการขายภาพก็เพื่อนำมาสร้างวัดแห่งนี้ให้แล้วเสร็จ และเพราะเวลาที่เปลี่ยนไปจากการที่หลงบนดอยตุง ทำให้เรามาถึงวัดร่องขุ่นช้ากว่ากำหนด จึงออกจากวัดช้ากว่ากลุ่มอื่น และนั้นเป็นเหตุให้เราโชคดีได้พบอ.เฉลิมชัย ซึ่งออกมาคุยกับแขกสนิท แต่เมื่อออกมาแล้วมีหรือผู้ที่มาเที่ยวจะไม่ขอถ่ายรูป มีคนรอถ่ายรูปกันมาก แถมอาจารย์ไม่ยอมให้คนที่มาต่างคณะกันถ่ายรวมกัน จึงทำให้คิวการถ่ายรูปยาวเหยียด แต่ไหนๆก็มีโอกาสแล้ว การรอจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจ แล้วกลุ่มเราก็ได้ถ่ายรูปกับอาจารย์ก่อนที่จะลาจากจ.เชียงรายในครั้งนี้

การเดินทางกำลังจะปิดฉากลง แต่หากเป็นการปิดฉากที่งดงามของภาพท้องน้ำกว้างใหญ่ที่ดวงอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้าที่กว๊านพะเยา พร้อมด้วยอาหารมื้อค่ำที่ร้านอาหารริมกว๊าน หากเส้นทางแห่งทะเลหมอกและดอกไม้ในการเดินทางครั้งนี้ นำมาซึ่งความเย็นลึกในใจและคุณค่าของการมีชีวิตที่ได้พบความงดงามจากสิ่งรอบข้างแล้ว ความเป็นเพื่อนและความผูกพัน คือสิ่งสำคัญที่ทำให้เรื่องราวในการเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้น และยังคงเป็นเรื่องราวแห่งบันทึกหน้าหนึ่งในความทรงจำ…ขอบคุณภาพความงดงามที่ผ่านมาให้ตาได้เห็น ให้ใจได้สัมผัส และขอบคุณที่เราได้เป็นเพื่อนกัน

วันที่เดินทาง : 10-12 ธันวาคม 2548
เพื่อนร่วมทาง : เอก อ๋อย พจ ปริญญ์ วุฒ
บันทึกการเดินทางโดย : วีรศักดิ์ เทียนธนะวัฒน์

ภูชี้ฟ้า (Part V)

ด้วยความมั่นใจว่าพระตำหนักดอยตุงนั้นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิต จึงน่าจะมีป้ายบอกทางที่ชัดเจน และก็มีจริงๆ เพียงแค่ออกจากตัวเมืองแม่สายก็พบป้ายทางเข้า บนเส้นทางที่ไต่ระดับความสูงขึ้นไปมองเห็นทะเลขุนเขาที่สลับซับซ้อน นั่งมองวิวไปกันเพลินๆ แต่ทำไมรู้สึกว่าระยะทางมันช่างยาวไกลเช่นนี้ ถนนก็ดูแคบๆต่างจากที่เคยมา แถมระหว่างทางยังพบด่านตรวจของทหารถึง 3 ด่าน ในเวลานั้นยังไม่คิดหรอกว่ามาผิดทาง จนมาพบทางแยก มีป้ายไปพระตำหนักดอยตุง 2 ป้าย ป้ายหนึ่งสีน้ำเงินชี้ให้ไปทางซ้าย ส่วนอีกป้ายสีขาวชี้ให้ไปทางขวา ลังเลอยู่สักพักก็มีรถยนต์ผ่านมา จึงสอบถาม เขาบอกว่าให้ไปทางขวา จึงเชื่อตามนั้น ไม่อยากคิดเลยว่าคนไทยจะหลอกกันได้ ทางนั้นพาผ่านดอยช้างมูบ สุดท้ายเจอทางแยก พบป้ายพระตำหนักให้ย้อนกลับไปทางเดิม แต่พี่ชาตรีคันขับรถก็คิดว่าหมายถึงชี้ให้ไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งทางนั้นกลับเป็นทางไปสถานีความคุมไฟป่า

เสียงโทรศัพท์ของอรดังขึ้น พี่ตี๋โทรมาว่าถึงไหนกันแล้ว รถตู้ 3 คันถึงกันหมดแล้ว เราออกกันมาก่อนแต่ยังไม่ถึง เรากำลังหลงทาง หลงทางบนดอยตุง อย่าที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะทางขึ้นดอยตุงจริงๆแล้วอยู่ระหว่างอ.แม่สายกับอ.แม่จัน ไม่ใช่เป็นทางสายนี้ เป็นอันว่าเส้นทางสายนี้เป็นเส้นทางสายความมั่นคงที่เลาะตะเข็บชายแดนไทย-พม่า จึงได้มีทหารตั้งด่านตรวจมากขนาดนี้ เป็นอันว่ากำหนดการสำหรับรถเรานั้นต้องเปลี่ยน โดยไปพระธาตุดอยตุงก่อน เพราะขณะนี้รถเราถึงพระธาตุอย่างไม่ตั้งใจ เหมือนมีสิ่งใดดลใจให้เราหลงทาง ให้เรามาไหว้พระธาตุดอยตุงก่อน เหมือนอย่างแผนการเดินทางในทริปนี้ของเราที่ต้องเปลี่ยนแปลงไม่เป็นตามแผนที่วางไว้ แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ก็นำความสุขอย่างที่เราคาดไม่ถึงมาทดแทน และการหลงทางครั้งนี้ก็ทำให้กำหนดเวลาเราเปลี่ยนไป ซึ่งนำพาให้เราพบสิ่งที่ดีกว่ารถคันอื่นในช่วงเวลาเย็น

เราหลงทางแต่เวลาที่เสียไปไม่ใช่สาเหตุให้เครียด เพราะอย่างน้อยเราก็ได้ชมทิวทัศน์ที่แปลกตาออกไป แต่สิ่งที่ทำให้เครียดคือปริมาณน้ำมันในถังที่เหลือน้อยลงทุกที น้ำมันหมดบนดอยไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเลย ซึ่งสาเหตุนี้เราจึงต้องประหยัดน้ำมัน แทนที่จะนำรถขึ้นไปถึงพระธาตุดอยตุง เราก็พากันเดินขึ้นไปตามบันไดนาคราช (จะมีใครไหมที่บ่นในใจว่า เอาอีกแล้วเดินขึ้นดอยอีกแล้วตู) สุดบันไดเป็นทางเดินที่เรียงรายไปด้วยระฆังนับร้อยใบ หาไม้มาได้หนึ่งท่อนก็เดินตีระฆังไปเรื่อย ในที่สุดเราแม้จะหลงทางอย่างไรเราก็เดินกันมาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ปฐมเจดีย์แห่งล้านนา หากย้อนกลับไปนับพันปี พระมหากัสสะปะเถระพร้อมด้วยพระเจ้าอชุตราช กษัตริย์ผู้ครองนครโยนกนาคพันธ์ (ปัจจุบันคือเมืองล่ม ในพื้นที่อ.แม่จัน) ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้ามาประดิษฐานณ.ยอดดอยแห่งนี้ พร้อมปักตุงเพื่อบูชา ปลายชายตุงปลิวสบัดถึงที่ใดให้หมายถึงเป็นแดนดินศักดิ์สิทธิ์ ในวันนี้ยังคงปรากฏพระธาตุทอง 2 องค์ ตั้งอยู่คู่กัน ธูป เทียนและดอกคำมั่นสัญญาถูกใช้เป็นเครื่องสักการะในการเวียนเทียนรอบพระธาตุ ใกล้ๆกันนั้นมีระฆังอันใหญ่ แต่การที่จะทำให้ระฆังใบนี้ดังต้องใช้วิธีการแกว่งที่ตีซึ่งแขวนห้อยจากแกนกลางด้านในระฆัง หากแต่ต้องแกว่งอยู่หลายที ระยะทางจากแรงแกว่งจึงทำให้ระฆังเกิดส่งเสียงดังกังวาน เหมือนดังให้ผู้คนด้านล่างได้รับยิ่งเสียงระฆังจากดินแดนศักดิ์บนยอดดอยแห่งล้านนา

มาช้ายังดีกว่าไม่มา ถึงพระตำหนักดอยตุงกันจนได้ ยังไม่ต้องไปเที่ยวชมอะไร เพราะจุดหมายของทุกคนเหมือนกันคือมุ่งตรงไปที่ร้านอาหารก่อน เพราะตอนนี้เป็นเวลาบ่ายแล้ว ราคาอาหารของที่นี้ค่อนข้างแพง ข้าวราคาจานละ 45 บาท น้ำจำพวกน้ำกระเจี๊ยบ น้ำมะตูม แก้วละ 25 บาท ขนมถ้วยละ 12 บาท มื้อนี้หมดไป 82 บาท หากคิดจากเงินค่าอาหารมื้อนี้ที่ TKT คืนให้เราแค่ 50 บาท นับว่าไม่คุ้ม แต่หากคิดโดยรวมถึงรสชาด ปริมาณอาหาร และบรรยากาศของสถานที่นับว่าทดแทนกันได้ แต่มีสิ่งที่น่าปรับปรุงนั้นคือเรื่องการติดราคาอาหาร เพราะเป็นการให้ลูกค้าเลือกซื้อแล้วมาลุ้นกันที่ที่จ่ายเงินว่า ราคาอาหารของฉันเท่าไหร่หนอ?

รอเข้าพระตำหนักดอยตุงในรอบบ่าย 2 ระหว่างรอก็ถ่ายรูปกับทิวทัศน์และดอกไม้เมืองหนาวที่บานสะพรั่งรอบพระตำหนัก จนถึงเวลาผู้คนที่เฝ้ารอก็ทะยอยเดินเข้าไปในพระตำหนัก โดยมีเจ้าหน้าที่อธิบายรายละเอียดถึงประวัติความเป็นมา จุดสำคัญและห้องต่างๆภายในพระตำหนัก โดยพระตำหนักแห่งนี้เป็นที่แปรพระราชสถานของสมเด็จย่าหรือสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี แม้ว่าจากภายนอกจะมองเหมือนพระตำหนักนั้นมี 4 ชั้น แต่หากจริงๆแล้วพระตำหนักเป็นอาคารสองชั้น มีรูปทรงผสมผสานระหว่างศิลปะล้านนากับชาเลย์ของสวิส มีการแกะสลักไม้ตามกาแล เชิงชายและขอบหน้าต่างเป็นลวดลายต่างๆ ฝีมือช่างชาวเหนือ มีเพียงแผ่นพื้นเท่านั้นที่ทำจากไม้สักทองที่กรมป่าไม้ถวาย ส่วนผนังที่เป็นไม้นั้นภายในเป็นปูน ปัจจุบันนี้สมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดา ทรงแปรพระราชสถานที่นี้เป็นครั้งคราวเพื่อทรงงานต่อจากสมเด็จย่า ฉะนั้นห้องต่างๆจึงไม่อนุญาตให้เข้าชม ยกเว้นท้องพระโรง โดยผู้ที่เข้าชมทั้งหมดจะมานั่งร่วมกันที่นี้เพื่อสักการะพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จย่า และที่สำคัญเหนือขึ้นไปของท้องพระโรงเป็นเพดานดาว โดยประกอบด้วยตำแหน่งดาวในระบบสุริยะจักรวาล และหมู่ดาวจักราศี นอกจากนี้บนฝาผนังด้านหลังมีภาพวาดดอยตุงที่ใช้ความสว่างของแสงจากด้านนอกสร้างความเปลี่ยนแปลงของช่วงเวลาตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า เพียงแค่เราเดินจากมุมหนึ่งไปสู่อีกมุมหนึ่งของภาพก็จะพบความเปลี่ยนแปลงอันเกิดจากแสง ภายในพระตำหนักนั้นไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป แต่ที่ระเบียงซึ่งอยู่ด้านนอกท้องพระโรงนั้นสามารถถ่ายรูปได้ แต่เป็นการถ่ายรูปออกไปด้านนอก ซึ่งเป็นทิวทัศน์ของทะเลทิวเขาและดอกไม้นับแสนดอกที่กำลังบานสะพรั่งในสวนแม่ฟ้าหลวง

ภูชี้ฟ้า (Part IV)

จากการไต่ยอดดอยมาตามเส้นทางที่ผ่านมา ลงกลับมาสู่พื้นราบของอ.เชียงของ อำเภอใหญ่อำเภอหนึ่งในจ.เชียงราย ที่เป็นเหมือนประตูในการเดินทางสู่ประเทศลาว คืนนี้เราพักกันที่เดอะริเวอร์ไซค์ แน่นอนกลุ่มเราได้กางเต๊นท์กันอีก คืนนี้เรามากางเต๊นท์ริมแม่น้ำ และที่สำคัญคือเป็นมหานทีนามว่าโขง แม้ช่วงนี้ผมจะมีโอกาสมาสัมผัสแม่น้ำโขงค่อนข้างบ่อย แต่ก็ดีใจเสมอที่ได้กลับมาเห็น ที่เชียงของนี้เป็นที่สุดท้ายที่แม่น้ำโขงจากเคลื่อนตัวจากแผ่นดินไทยเข้าสู่ลาว เพื่อเข้าสู่หลวงพระบาง และกลับมาเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างไทย-ลาวอีกครั้งที่อ.เชียงคาน จ.เลย และที่สำคัญหากสังเกตชื่ออำเภอ เชียงของ คำว่าเชียงหมายถึงเมือง ส่วนแม่น้ำโขงนั้นชาวลาวหรือชาวถิ่นเรียกว่าแม่น้ำของ (คู่กับแม่น้ำสาละวินที่คนถิ่นเรียกว่าแม่น้ำคง) ฉะนั้นเชียงของนี้ก็คือเมืองที่ตั้งอยู่ที่แม่น้ำโขงนั้นเอง

เดอะริเวอร์ไซค์นั้นจัดแต่งเป็นลักษณะเกสท์เฮาส์ หากตัดปัญหาเรื่องห้องน้ำส่วนกลางไปแล้ว ที่นี้ก็มีมุมดีๆได้นั่งดื่มกาแฟ อ่านหนังสือ วาดภาพ หรือแม้แต่นั่งเหม่อมองแม่น้ำโขง ขึ้นอยู่กับว่าใครจะชอบสิ่งใด อีกทั้งพี่สาวและน้าเจ้าของก็อัธยาศัยดี น่ารักหรือเป็นเพราะอากาศที่ดีและทิวทัศน์ที่สวยงามช่วยทำให้คนที่นี้อารมณ์ดี อยากอารมณ์ดีแบบถาวรอย่างนี้บ้างจริงๆ

ที่เชียงของนี้มีวัดเล็กๆที่น่าเที่ยวหลายวัด เริ่มจากวัดศรีดอนชัย วัดนี้มีพระอุโบสถที่ไม่ต่างจากวัดทั่วไป แต่ที่บานประตูนั้นมีภาพจำหลักปิดทองที่งดงาม ภายในประดิษฐานพระประธานนามว่าหลวงพ่อเพชร ถัดไปเป็นวัดพระแก้ว วัดเก่าแต่ที่ตั้งริมแม่น้ำโขง แต่ชื่อวัดพระแก้วนี้ไม่ได้เชื่อมโยงกับพระแก้วมรกตที่ได้ถูกอัญเชิญไปหลายที่ ที่เชียงรายนี้ก็เคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตเป็นเวลา 45 ปี แต่หากเป็นที่วัดพระแก้วนี้ในเมืองเชียงราย แต่วัดพระแก้วที่เชียงของนี้ก็เป็นวัดเก่าและมีความสำคัญ โดยช่วงที่เราไปนั้นเห็นชาวบ้านกำลังเตรียมงานกันอยู่เพราะในวันพรุ่งนี้จะมีงานนมัสการพระธาตุ ซึ่งอยู่ข้างพระอุโบสถหลังเก่า ในตำนานพระธาตุองค์นี้บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า

ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1020 ที่ทอดผ่านกลางเมืองเชียงของมาสิ้นสุดลงที่ทางเข้าท่าเรือบั๊ค ทางเรือข้ามฟากไปยังเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ของประเทศลาว ในวันนี้ เวลานี้เราไม่มีโอกาสข้ามฟากไปยังอีกฝั่งหนึ่งของสายน้ำ (เพราะเย็นแล้ว จริงๆหากยังบ่ายอยู่ก็คิดว่าจะแอบชวนเพื่อนข้ามไปเดินเล่นเหมือนกัน) จึงได้เพียงมองบ้านเรือนจากฝั่งตรงข้าม แต่สำหรับเอกแล้วมาที่นี้ก็ไม่เสียเที่ยวเพราะได้ประทับตราพาสปอร์ต โดยมีปริญญ์ช่วยเกลี้ยกล่อมเจ้าหน้าที่ ไม่ใช่เพราะเราไม่ได้ข้ามไปฝั่งลาว แต่เป็นเพราะหนังสือพาสปอร์ตนั้นเป็นพาสปอร์ตของอุทยานแห่งชาติ เจ้าหน้าที่เป็นงง!!!

เที่ยววัดยังไม่หมด เรามาที่วัดสบสม (เป็นที่ถูกใจของปริญญ์) เพราะเราใช้พื้นที่วัดนี้เป็นที่จอดรถเนื่องจากเดอะริเวอร์ไซค์ซึ่งอยู่ใกล้ๆนั้นนั้นไม่มีที่จอด ทำให้เรามีโอกาสเข้าไปไหว้พระในวัดแม้ว่าเวลานี้จะเย็นมากแล้วก็ตาม ภายในพระอุโบสถนั้นประดิษฐานพระประธานศิลปะมอญเพราะองค์พระนั้นทาปาก ส่วนชื่อสบสมนั้นคงเพราะวัดนี้ตั้งบริเวณปากแม่น้ำสายเล็กๆถ้าให้เดาน่าจะชื่อว่าแม่น้ำสม ซึ่งไหลลงสู่แม่น้ำโขง

พี่ตี๋พากลุ่มเราเดินลัดเลาะสู่ริมแม่น้ำโขง ด้วยทางที่ค่อนข้างเดินลำบาก ทำให้พจกับอ๋อยไปยอมเดินลงมา แต่สุดท้ายคงอดไม่ได้จึงค่อยๆจูงมือกันลงมาบ้าง จริงๆมีเพียงเรือไม้ลำเล็กๆ 2 ลำเท่านั้นที่จอดอยู่ริมตลิ่ง แต่เรือไม้ 2 ลำนี้กลับทำให้พี่ตี๋สร้างภาพให้พวกเราหลายภาพในการถ่ายรูปซึ่งดูเหมือนเรากำลังนั่งเรือล่องไปตามแม่น้ำโขง หากเป็นภาษาลาวก็ต้องพูดว่า พร้อมใจแหกตาเบิ่ง และแล้วบนผืนทรายริมสายน้ำก็กลายเป็นสนามให้พวกเราได้กระโดดถ่ายรูปกันอีกหลายรูป ไม่ว่าจะเป็นภาพเด็ดอย่างกระโดดแตะมือกัน หรือภาพเอกกับผมกระโดดถีบกัน และเพราะการที่พี่ตี๋พาลงริมแม่น้ำโขงประกอบกับห้องน้ำรวมซึ่งมีเพียง 2 ห้องเท่านั้นทำให้เกิดการรอคิวอาบน้ำที่นานมาก หากรออาบคงต้องหลังจากอาหารค่ำ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นแล้วอุณหภูมิที่เย็นลงต้องทำให้เราตัดสินใจไม่ยากที่จะไม่อาบน้ำ ผมกับเอกจึงชวนกันไปอาบน้ำที่แม่น้ำโขง เพื่อสร้างเป็นประวัติศาสตร์ส่วนตัวว่าครั้งหนึ่งเราได้เคยมาอาบน้ำในมหานทีแห่งนี้

เย็นนี้เราไปทานอาหารร้านหรูสุดในเชียงของ ที่ร้านนางนวล อยู่ริมแม่น้ำโขงที่บ้านหาดไคร้ ซึ่งที่นี่เป็นแหล่งจับปลาบึกที่ใหญ่ที่สุด และค่ำนี้เราก็ได้ทานต้มยำปลาบึก (สำหรับผมแล้วเป็นครั้งแรกที่ได้ทาน แม้จะได้ทานแค่ชิ้นเดียวก็ตาม แต่ก็ทำให้รู้ว่าเนื้อปลาบึกนั้นจะมีหนังที่หนา คล้ายหนังของหมูสามชั้น) หนังท้องตึง หนังตาเริ่มหย่อน แต่เรายังไม่ได้นอน คืนนี้เรามีกิจกรรมเล่นรอบกองไฟ ตามสไตล์ของ TKT นั้นคือการแนะนำตัวเพราะท่าประกอบ และให้แต่ละกลุ่มจำท่าของเพื่อนๆกลุ่มอื่น หากกลุ่มไหนแพ้ต้องเต้นท่าไก่ย่าง แต่ไม่ใช่ไก่ย่างธรรมดานะ หากเป็นไก่ย่างเมตริกซ์ ไม่มีใครเต้นได้เหมือนเท่าพี่ตี๋เลย โดยเฉพาะท่าหลบกระสุนนั้นทำได้เหมือนในหนังมาก ไม่รู้ว่าไปฝึกท่านี้มาจากฮอลีวูดหรือเปล่า

ตื่นเช้ากันอีกหนในเวลาตี 5 นอกจากพจซึ่งยอมเสียสละนอนเฝ้าเต๊นท์แล้ว กลุ่มเราไปตลาดเช้ากันทั้งกลุ่ม พร้อมกับเพื่อนกลุ่มอื่นอีก 2 คน และตัวแทนของสต๊าฟคือพี่ตี๋กับน้องอร จากที่พักเราเดินไปตามท้องถนนที่ยังคงปกคลุมด้วยความมืดและความเงียบ ข้ามแม่น้ำสม(น่าจะชื่อนี้นะ) ก็ถึงตลาดเช้า ซึ่งเป็นตลาดเล็กๆ เรามาซื้อของใส่บาตรกัน ทั้งข้าวเหนียว แกง ผลไม้และขนม และตลาดเล็กๆนี้ทำให้รับรู้ว่าวันนี้ในเมืองไทยยังมีแกงถุงละ 5 บาทขายอยู่

ยามเช้าเรานั่งทานกาแฟ ปาท่องโก๋และโจ๊กกันที่สนามหญ้าริมแม่น้ำโขง และนั่งรอใส่บาตรกับพระที่มาบิณฑบาตรหน้าที่พัก มาเชียงของครั้งนี้ไม่ได้อะไรกลับไปนอกจากความสุขใจที่ได้มาสัมผัสเมืองงามริมโขงและปาท่องโก๋แสนอร่อยถุงใหญ่ที่พี่เจ้าของเดอะริเวอร์ไซค์ใส่ถุงให้ไปทานระหว่างทาง

บนเส้นทางจากเชียงของผ่านเชียงแสนนั้น ขนานไปกับการไหลย้อนลงมาของแม่น้ำโขง บางช่วงของสายน้ำเห็นแก่งหินโผล่พ้นผิวน้ำ สร้างความสวยงามให้ได้เห็น แล้วเราก็ลงมาสัมผัสแม่น้ำโขงกันอีกครั้ง ในจุดแรกพบที่สายน้ำไหลมาสัมผัสแผ่นดินไทยที่สามเหลี่ยมทองคำ ในวันนี้นอกจากปูนปั้นรูปช้าง นกยูงและนาคที่ต่อตัวรับขอบโค้งไปตามรูปร่างของซุ้มประตูแล้ว มองไปบนแผ่นดินไทยที่จุดบรรจบของแม่น้ำโขงและแม่น้ำรวกอันเป็นจุดแบ่งเขตแดนระหว่างไทย ลาวและพม่า จะพบเห็นพระพุทธรุปปางมารวิชัยสีทองอร่ามองค์ใหญ่ นามว่าพระพุทธนวล้านตื้อปรากฎเป็นสัญลักษณ์ใหม่ของสถานที่แห่งนี้

ถึงเวลาช๊อปปิ้งกันจริงๆเสียทีในตัวเมืองแม่สายที่ชายแดนมีเพียงลำน้ำสาย ลำน้ำเล็กๆที่กั้นระหว่างแผ่นดินไทยกับพม่า ที่นี้ยังคงคึกคักด้วยผู้คนและของขายนานาชนิด หลังจากถ่ายรูปกับป้ายเหนือสุดแดนสยามกับหลักเขตแดนเรียบร้อยแล้ว ต่างคนก็ต่างไปช๊อปปิ้งตามความประสงค์ เพราะเวลาที่นี้มีค่อนข้างน้อย แต่สำหรับผมแล้วไม่ลืมที่จะแวะไปชมตลาดและภาพของวัดพระธาตุดอยเวา เพื่อรำลึกถึงการมาแม่สายครั้งแรกเมื่อ 6 ปีที่ผ่านมา และจะกลับมายืนที่นี้ทุกครั้งหากชีวิตได้เดินทางย้อนกลับมา

เพราะกลุ่มเราทำเวลาในการช๊อปปิ้งได้ดี เราจึงรวมตัวตามกำหนด น้องอรตัดสินใจพาเรานำสู่ดอยตุงก่อนคันอื่น เพื่อเราจะได้มีเวลาชมดอกไม้ให้มากๆ ณ.เวลานั้นเราไม่คิดเลยว่าการตัดสินใจแยกออกไปคันเดียวนั้นจะทำให้เราต้องแยกออกจากกลุ่มไปตลอดทั้งวัน

ภูชี้ฟ้า (Part III)

เวลาตี 4 คนที่สมัครใจขึ้นภูชี้ฟ้าอีกรอบเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นต่างลงมารออยู่ริมถนนด้านล่างของรีสอร์ต จากรถตู้ 4 คัน เวลานี้เหลือเพียงรถสองแถว 2 คันเท่านั้น เนื่องด้วยส่วนหนึ่งสมัครใจที่จะนอนท้าลมหนาวต่อ ซึ่งกลุ่มเราก็สละสิทธิ์ขึ้นภูชี้ฟ้าไปเสีย 3 คือพจ อ๋อยและเอก เนื่องด้วยในยามเช้าบนภูชี้ฟ้านั้นจะมากไปด้วยนักท่องเที่ยว ทำให้ที่จอดรถบริเวณทางเดินขึ้นไม่เพียงพอที่จะรองรับ ฉะนั้นจึงเป็นระเบียบที่ทุกคนต้องเดินทางขึ้นโดยรถสองแถวที่จัดให้ไว้เท่านั้น บนเส้นทางขึ้นภูที่มืดมิดยามค่ำคืน รถสองแถววิ่งผ่านเส้นทางที่คดโค้ง มีดาวนับล้านดวงส่องแสงเป็นเพื่อร่วมทาง

ไฟฉายของแต่ละคนถูกเปิดเมื่อเริ่มเดินขึ้นภู ลมหนาวพัดมาปะทะกับผิวกาย หายใจเอาอากาศหนาวผ่านร่างกาย ความมืดมิดยามค่ำคืนทำให้เรามองทิวทัศน์ได้ไม่ชัดนัก ยิ่งสูงขึ้นคนก็ยิ่งมาก จนมาหยุดลงที่แนวหน้าผา ตั้งแต่ยอดภูไล่ยาวไปจนสุดอีกด้านหนึ่งเรียงรายไปด้วยแนวของผู้เดินทางขึ้นมาก่อน เรามายืนอยู่แถวที่ 3 หากนับจากหน้าสุด แต่ไม่นานก็มีผู้เดินตามมา มากขึ้น จากแถวที่เรายืนอยู่ทอดยาวไปจนเกือบถึงครึ่งหนึ่งของทางขึ้น โดยจุดหมายของทุกคนนั้นจับจ้องไปที่เดียวกัน นั้นคือท้องฟ้าเบื้องหน้าโดยเฉพาะฟากฝั่งประเทศลาว เพราะแสงแรกของวันจะปรากฏให้เราเห็นจากฝั่งนั้น

เวลาของการเฝ้ารอในความมืดมิดค่อยๆเคลื่อนตัวผ่านไป พร้อมๆกับการจากหายของแสงดาว เวลา 6 นาฬิกาตรง เส้นแสงสีแดงส้มก็แผ่เป็นเส้นยาวไปตามเส้นขอบฟ้า เวลานี้ทะเลหมอกได้ก่อตัวจนปกคลุมผืนป่าเบื้องล่างอย่างมิดชิด การปรากฏขึ้นของแสงแรกแห่งวันทำให้สายตามองเห็นได้ชัดขึ้น ละลอกริ้วของผืนหมอกสีขาวที่แผ่ตัวปกคลุมยอดดอยมีลักษณะไม่ต่างจากท้องทะเล โดยมียอดดอยที่สูงจนโผล่พ้นทะเลหมอกเป็นดังเกาะที่อยู่กลางท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ยิ่งแสงปรากฏชัดมากขึ้น ทะเลหมอกก็ยิ่งงดงามมากขึ้น และเวลานี้รอบตัวเราถูกโอบล้อมด้วยทะเลหมอกที่เหมือนกับกำลังประชิดเข้ามาหาเรามากขึ้น…มากขึ้น

ผ่านทะเลคนจนลงมาด้านล่าง สต๊าฟ TKT รอเราอยู่แล้ว เป็นอันว่ากลุ่มเราลงมาช้าสุด นั้นไม่ใช่เพราะกายติดทะเลคน หากแต่ตาและใจนั้นอาลัยอาวรกับทะเลหมอก หลังจากไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆที่ภูหมอกแคมป์ พร้อมคุยทับถมว่าน่าเสียดายจริงๆที่ไม่ขึ้นไปยอดขึ้นภู เลยอดเห็นทะเลหมอกสวยๆเลย แต่เอกก็องุ่นเปี้ยวมาเลยว่า ขึ้นไปให้เหนื่อยทำไม นั่งอยู่ที่รีสอร์ตก็เห็นทะเลหมอกสวยๆแล้ว ซึ่งก็จริงตามนั้นเพราะเส้นทางจากภูชี้ฟ้าไปดอยผาตั้งเรายังได้พบเห็นทะเลหมอกไปตลอดเส้นทาง อีกทั้งบางช่วงเรายังเห็นทะเลหมอกซึ่งเหมือนเคลื่อนตัวลงต่ำ ดังสายน้ำตกที่ไหลบ่าลงสู่เบื้องล่าง

จากภูชี้ฟ้าสู่ดอยผาตั้งนั้นบางช่วงของเส้นทางอยู่ระหว่างการก่อสร้าง จึงทำให้ใช้เวลาเดินทางค่อนข้างนานแม้ระยะทางจะห่างกันไม่ถึง 30 กม.ก็ตาม ดอยผาตั้งนี้เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวจีนฮ่อ ม้ง และเย้า โดยเฉพาะจีนฮ่อนั้น อดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของกองพล 93 ซึ่งอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ดอยผาตั้ง ในวันนี้ม่านหมอกทางความคิดได้จางหายไปเผยให้เห็นความสวยงามที่ยังคงอยู่กับธรรมชาติบนยอดดอย

เป็นเพราะเข้าไปรับแผ่นพับแนะนำดอยผาตั้งทำให้เราได้น้องผู้หญิงมาเป็นไกด์เฉพาะ สร้างความงงๆให้กับสต๊าฟTKT ซึ่งเป็นไกด์ของเราจริงๆ แต่ก็ถือว่าช่วยทุนการศึกษาของน้อง น้องหญิงชี้ให้ดูหมู่บ้านของเธอซึ่งตั้งอยู่บนที่ราบเล็กๆระหว่างเชิงเขาต่ำกว่ายอดดอยที่เรายืนอยู่นี้ มองเห็นถนนดินที่ผ่านกลางหมู่บ้าน และถนนลาดยางที่ทอดตัวเคี้ยวคดไปตามสันดอย

ดอยผาตั้งนี้สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1635 เมตร โดยมีจุดให้เที่ยวชมหลายที่ทีเดียว เริ่มจากศาลาที่สร้างในลักษณะเก๋งจีน ในช่วงแรกที่เรามาถึงดอยผาตั้ง อากาศยังค่อนข้างเปิด พอมองเห็นทะเลหมอกที่ยังคงแผ่ตัวปกคลุมยอดดอย แม้ว่าเวลานั้นจะเลย 10 นาฬิกาแล้วก็ตาม แต่เหมือนยิ่งเวลาผ่านไปหมอกยิ่งก่อตัวมากขึ้น จนม่านหมอกแผ่ปกคลุมปิดทิวทัศน์ของประเทศลาวไว้มิดชิด จากเจตนาที่เก๋งจีนนี้สร้างไว้ให้นั่งชมทิวทัศน์ฝั่งลาว ซึ่งเห็นแม่น้ำโขงไหลคดเคี้ยวอยู่ไม่ไกล เราจึงได้เห็นเพียงความขาวบริสุทธิ์ของสายหมอก บนยอดดอยมีพระพุทธรูปปางประธานพรประดิษฐานอยู่ ซึ่งคงไม่มีใครดีใจเป็นที่สุดเท่ากับปริญญ์ เพราะเธอตั้งใจว่าทริปนี้เธอจะไหว้พระให้ครบ 9 วัดให้ได้ (ทั้งๆที่ทริปนี้เป็นทริปขึ้นดอยชมทะเลหมอกและดอกไม้) ไม่รู้ว่าเธอนับพระบนดอยผาตั้งนี้เป็นหนึ่งในเก้าวัดด้วยหรือเปล่า

เอาอีกแล้วเดินขึ้นยอดดอยกันอีกแล้ว น่าจะเป็นคำบ่นในใจของอ๋อย แต่ทางจะไกลและชันแค่ในก็มั่นใจได้เลยว่าใจเธอสู้ แม้จะต้องให้พจและปริญญ์ช่วยกันฉุดช่วยกันดึงขึ้นดอยก็ตามที แต่บนเส้นทางสู่เนิน 102 มีจุดน่าสนใจให้แวะชม ไม่ว่าจะเป็นป่าหินยูนาน มีลักษณะเป็นเหมือนแท่งหินหลายแท่งถูกบีบอัดและเบียดตัวขึ้นมาตั้งอยู่บนยอดดอย ในแนวป่าหินยูนานนี้เกิดเป็นช่องเขาขาด เกิดจากแนวผาหินได้แยกขาดออกจากกันเป็นช่องว่างให้เราตั้งหลักถ่ายรูปกันจนปิดช่องว่างนั้นเกือบมิด ไม่ใช่เพราะมีใครตัวใหญ่หรอกนะ แต่รูปนี้เป็นรูปหมู่เพียงรูปเดียวที่ทั้งคณะ 4 คันรถตู้ถ่ายร่วมกัน แต่นั้นก็เพียงแค่ 15 คนเท่านั้น

การเดินขึ้นเนิน 102 นั้นถูกทำเป็นขั้นบันได ทอดสายตามองขึ้นไปแล้ว ฮืมม…ชันไม่เบา แต่พอขึ้นมาแล้วก็ไม่รู้ว่าขึ้นมาทำอะไร เพราะทิวทัศน์รอบข้างนั้นถูกปกคลุมด้วยม่านหมอก แต่หากการขึ้นสู่เนิน 102 นี้กลับเกิดภาพเด็ดๆหลายภาพ ด้วยฝีมือการออกแบบภาพถ่ายของพี่ตี๋ เริ่มจากภาพนอนหมอบเรียงหน้ากันเป็นแถว ซึ่งงานนี้นอกจากกลุ่มเรา 6 คนยังได้พี่ตุ๊กมาร่วมนอนหมอบย้อนวัยเด็กกับเราด้วย รูปแรกๆก็นอนหมอบเอามือเท้าคางกันดีๆ แต่รูปต่อๆมาเริ่มมีการยกขา(หลัง)ขึ้นมากระดิกกันด้วยซิ จากนั้นเป็นอีกไอเดียเด็ด นั้นคือการกระโดดบนดอย ทั้งกระโดดเดี่ยวและกระโดดหมู่ งานนี้พี่ตุ๊กของบาย แต่พวกเรากลับกระโดดอย่างสนุกสนาน แถมติดใจไปกระโดดกันต่อที่เชียงของ ทำให้เราได้รู้ว่าบางทีกิจกรรมเด็ดๆก็กลับเพิ่มสีสันให้กับสถานที่ที่เราไปได้มากทีเดียว

น้องไกด์ท้องถิ่นจะพาเราขึ้นเนิน 103 ต่อ แต่ดูเวลาแล้วคงไม่พอ แต่ที่สำคัญนั้นคือคงมีใครหลายคนบอกกับใจตัวเองว่า พอแล้ว ฉันไม่อยากเดินแล้ว… เราจึงเดินย้อนกลับ และย้อนเดินลงไปดูผาบ่อง ผาบ่องนี้เป็นช่องหน้าผา ด้านบนมีบังเกอร์สำหรับเฝ้าสังเกตการณ์ของทหารอดีตกองพล 93 หากเดินผ่านช่องนี้ไปจะเข้าสู่ประเทศลาว ที่จุดนี้จึงได้ชื่อว่า ผ่าบ่องประตูสยาม ในอดีตยังมีชาวบ้านใช้ช่องทางนี้เดินข้ามไปมา แต่วันนี้ผู้คนบนเส้นทางได้จางหาย ทิ้งไว้เพียงรอยทางของเส้นทางเท่านั้น

เดินเที่ยวบนยอดดอย สุดท้ายแล้วเวลาเที่ยงก็ต้องมานั่งทานข้าวกล่องบนขั้นดินที่เขาเตรียมปลูกดอกไม้ริมถนน ดูแล้วซำเหมาจริงๆ แต่ก็เป็นเพียงมื้อเดียวในทริปที่เป็นเช่นนี้ ส่วนมื้ออื่นนั้นใช้ได้ทุกมื้อ แถมทานเกินโควต้าไปเสียทุกมื้อ ดีนะที่วุฒิทานมังสาวิรัตจึงเป็นการเฉลี่ยค่าอาหารของกลุ่มเราได้เป็นอย่างดี ในเวลาที่เราจะลาจากดอยผาตั้ง หมอกได้ลงหนักกว่าเดิม อย่าว่าแต่ทิวทัศน์ที่อยู่ไกลออกไปจะถูกปกคลุมเลย แค่รอบๆตัวเราในระยะ 3 เมตรก็ขาวโพลนไปด้วยม่านหมอก

ภูชี้ฟ้า (Part II)

น้ำตกภูซางนั้นอยู่ในอุทยานแห่งชาติภูซาง ใกล้ที่ทำการ โดยมีทางหลวงหมายเลข 1093 ตัดผ่ากลางอุทยานและผ่านหน้าน้ำตก ทำให้น้ำตกแห่งนี้เป็นจุดแวะพักที่ดีบนเส้นทาง โดยเฉพาะเส้นทางสู่ภูชี้ฟ้า อีกทั้งน้ำตกแห่งนี้เป็นน้ำตกอุ่น ซึ่งก็อยู่ในโครงการ Unseen ของททท.ด้วยเช่นกัน (แต่เป็นโครงการ 1 ส่วนพระนั่งดินนั้นเป็นโครงการ 2) ด้วยคำประชาสัมพันธ์ว่าเป็นน้ำตกน้ำอุ่น ทำให้ทุกคนต่างเดินตรงไปที่น้ำตกเพื่อสัมผัสว่าอุ่นจริงหรือเปล่า แต่ความรู้สึกที่ได้รับคือเป็นอุณหภูมิที่ไม่ต่างจากอุณหภูมิบรรยากาศสักเท่าไหร่ นั้นคงเป็นเพราะกว่าน้ำอุ่นจะเดินทางผ่านป่าแล้วตกผ่านผาหินที่มีความสูงราว 25 เมตร อีกทั้งอากาศในฤดูหนาวที่หนาวเย็นอยู่แล้ว ล้วนแต่เป็นปัจจัยที่ทำให้อุณหภูมิของสายน้ำลดต่ำลง ยังคงเป็นความจริงที่สิ่งแวดล้อมรอบข้างมีส่วนในการหล่อหลอมสิ่งที่ผ่านมาให้เป็นอย่างที่ปรากฎเห็น

นั่งมองสายน้ำตกภูซางตกจากผาหินสู่เนินหินด้านล่าง เปลี่ยนจากเส้นสายน้ำให้ไหลอาบไปบนเนินหินก่อนไหลลงสู่ลำธาร เวลาที่มีมากล้นเป็นเครื่องกำหนดให้พวกเราเดินขึ้นไปบนน้ำตกในเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ซึ่งนำพาเราผ่านป่าพรุน้ำจืด ที่ต้นไม้ขึ้นบนแผ่นดินที่น้ำท่วมขัง สู่บ่อซับน้ำอุ่นอันเป็นต้นกำเนิดของน้ำตกภูซาง ภายในบ่อมีน้ำอุ่นสีฟ้าใส พี่ตี๋หัวหน้าสต๊าฟของทริปนำเทอร์โมมิเตอร์มาด้วย จึงลองจุ่มลงในบ่อ วัดอุณหภูมิได้ประมาณ 35 องศาเซลเซียส ทางเดินศึกษาธรรมชาติยังไม่จบเท่านี้ กลุ่มเราจึงเดินกันต่อ ในขณะที่กลุ่มอื่นเดินย้อนกลับทางเดิม ซึ่งผู้ที่ได้รับผลจากเส้นทางนี้มากที่สุดคงไม่พ้นอ๋อย เพราะมีเสียงบ่นสลับกับเสียงหอบ แต่เธอก็ใจถึงเดินจนครบทุกสถานีจนมาโผล่ที่ถนนใกล้ๆน้ำตก แต่บางทีอาจไม่มีทางเลือกเพราะย้อนกลับก็คงไม่ได้

อย่างไรเสียเราก็ผ่านบ้านฮวกจนได้ เพราะเป็นทางผ่านไปภูชี้ฟ้า แต่นั้นก็หมายถึงผ่านจริงๆไม่ได้จอดให้ลง เพราะในเวลาเกือบบ่ายเช่นนี้ตลาดก็เกือบจะวายแล้ว รถมาจอดที่ทางแยกเลยจากตัวตลาดไม่ไกล หากตรงไปจะเป็นชายแดนสู่ประเทศลาว หากเลี้ยวซ้ายจะไปภูชี้ฟ้า ณ.จุดนี้มีป้ายขนาดใหญ่มีข้อความเขียนว่าประตู่สู่อินโดจีน (คุนหมิง เชียงรุ่ง เชียงตุง หลวงพระบาง เดียนเบียนฟู) เป็นอันว่าเราได้ถ่ายรูปอย่างเบิกบานใจกับป้าย ก่อนที่ทางจะเปลี่ยนเป็นถนนลอยฟ้าบนดอยผาหม่น

บนเส้นทางลอยฟ้าที่คดโค้งไปตามแนวเขา มองเห็นทะเลภูเขาสุดสายตา ทางที่สูงชันขึ้นทำให้รถต้องปิดแอร์เพื่อเพิ่มกำลังในการขับเคลื่อน และทำให้เราได้เปิดกระจกรับสายลมเย็นจากด้านนอกให้พัดผ่านเข้ามา ทิวทัศน์ที่งดงามและสายลมเย็น ฮืมม…ช่างมีความสุขเสียจริง

คืนนี้เราพักกันที่ภูหมอกแคมป์ โดยรถตู้ 2 คันแรกได้นอนบ้าน ส่วน 2 คันหลังต้องนอนเต๊นท์เพราะจองทีหลัง ซึ่งได้รับลดค่าบ้าน 400 บาท แต่ก็ดูเหมือนจะค่อนข้างมีปัญหาในเรื่องที่กางเต๊นท์ ทำให้เราได้ชมทิวทัศน์ด้านล่างริมถนนเสียนาน สรุปคือเขาให้กางเต๊นท์ข้างบ้านที่จองไว้ แต่ด้วยทางขึ้นที่สูงชัน และไกลห้องน้ำรวม กลุ่มเราจึงเลือกกางเต๊นท์ที่บริเวณสนามเด็กเล่น (หรือบางทีอาจมีใครในกลุ่มอยากหวนรำลึกถึงสมัยเป็นเด็ก) กางเต๊นท์เสร็จก็มีเวลาอีกพอควรให้เราได้ถ่ายรูปกับดอกไม้ที่ทางรีสอร์ตปลูกไว้

อาจดูเหมือนว่าเย็นนี้มีเวลาว่างตั้งแต่ 4 โมงเย็น สต๊าฟจึงพาขึ้นภูชี้ฟ้า แต่ความจริงแล้วหากเราขึ้นรอบเช้ารอบเดียวเราจะไม่ได้สัมผัสกับความเป็นภูชี้ฟ้าสักเท่าไหร่เพราะในเวลานั้นบนภูชี้ฟ้าจะเต็มไปด้วยทะเลคนซึ่งมีมากไม่แพ้ทะเลหมอก ระยะทางอีกเพียง 760 เมตรเท่านั้นที่ต้องเดินขึ้นสู่ยอดภูหลังจากที่ถนนสิ้นสุดลง เราต้องใช้สองเท้าเดินย้อนแรงโน้มถ่วงของโลกขึ้นสู่ยอดภูที่มีความสูงถึง 1628 เมตร บนเส้นทางนี้นอกจากกลุ่มเราซึ่งมารถคันเดียวกันแล้วยังมีพี่ตุ๊ก ซึ่งเคยร่วมทางกับปริญญ์และผมไปทริปผีตาโขนด้วยกัน ได้กลับมาร่วมเดินทางกันอีกครั้ง

บนเส้นทางที่ไม่ยาวไกลนัก ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงยอดภู แต่ระหว่างเส้นทางพวกเราก็แวะถ่ายรูปไปเรื่อย โดยเฉพาะข้างทางมีหินก้อนหนึ่ง ยืนล้ำออกไปในอากาศ จึงชวนกันวัดความกล้าเดินลงสู่หินก้อนดังกล่าว เพื่อให้ได้รูปที่เอาไว้อวดใครต่อใคร ไอ้ตอนที่เดินลงและนั่งถ่ายรูปบนก้อนหินก็ไม่น่ากลัวเท่าไหร่ แต่อีกตอนลุกขึ้นยืนบนหินนี้สิ เสียวไม่ใช่เล่น ดีนะที่ขาไม่อ่อนไหวต่อความรู้สึกจนเกินไป จึงยืนขึ้นมาได้ในอาการขาเกือบสั่น

รอให้ม่านหมอกยามเย็นผ่านพ้นจะได้ถ่ายรูปยอดภูที่ชี้ขึ้นฟ้าอันเป็นสัญลักษณ์และที่มาของชื่อภูชี้ฟ้าอยู่นาน ก็ไม่สามารถถ่ายได้สักที แต่ก็ยังทนรอเพราะอุตส่าห์เดินลงมาแล้ว แต่สุดท้ายก็ถอดใจเดินกลับขึ้นไปหาเพื่อนๆที่เดินนำไปจนถึงยอดภู บนยอดภูสามารถมองทิวทัศน์ของผืนป่าในประเทศลาว เห็นแม่น้ำโขงไหลคดเคี้ยวเหมือนดังพญานาคอยู่ไม่ไกลนัก สักพักหมอกก็เริ่มโรยตัว เกิดเป็นทะเลหมอกยามเย็นปกคลุมทิวทัศน์ทั้งฝั่งลาวและฝั่งไทย ยามเย็นบนภูชี้ฟ้าคนไม่มากนัก เราจึงได้ถ่ายรูปกันอย่างสบายอารมณ์เพราะไม่ต้องรอคิวในการถ่ายรูปกับป้าย และไม่มีตัวประกอบปรากฎเป็นในภาพโดยที่เราไม่รู้ว่าเขาเหล่านั้นเป็นใคร และสุดท้ายก่อนลงจากยอดภู ผมก็แอบแวะลงไปเนินด้านล่างถ่ายรูปภูชี้ฟ้าอย่างที่เคยเห็นมามากในโปสการ์ดจนสำเร็จ รอให้ม่านหมอกจางหายไป ความงามหลังม่านหมอกก็ปรากฎให้เห็น

เป็นเพราะเรานอนกางเต๊นท์ ค่ำนี้เราจึงไม่มีสิทธิ์ทานอาหารที่ทางรีสอร์ตเตรียมไว้ เนื่องด้วยเขาคิดราคาอาหารเต็มๆคือคนละ 450 บาท (ราคาบ้านหลังละ 1800 บาทต่อคืน พักได้ 4 คน ราคานี้รวมอาหารเย็นและเช้า เฉลี่ยแล้วคนละ 450 บาท) พี่ตี๋จึงพาเราไปทานมื้อเย็นที่ภูฟ้าโภชนา เป็นร้านอาหารร้านใหญ่ซึ่งอยู่บริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยว นั้นอาจเป็นโชคดีของพวกเราเพราะอาหารที่นี้อร่อยมาก ผิดกับอาหารที่ภูหมอก ซึ่งพี่ตุ๊กบอกว่าเป็นบุฟเฟ่ และไม่อร่อยเลย แถมเรายังสั่งชาอู่ล่งใบอ่อนมาดื่ม จากการทานอาหารมื้อนี้จึงสร้างภาพลักษณ์ให้กลุ่มเราใหม่ในการที่ทานจุกมาก (แต่จริงๆแล้วเป็นเพราะพี่ตี๋ไม่ใช่หรอที่บอกให้เราทานกันให้อิ่ม) จนสต๊าฟเริ่มกังวลว่าทริปนี้จะขาดทุนเพราะการทานของพวกเรา (แต่ก็ยังดีที่วุฒทานอาหารมังสาวิรัตจึงช่วยเฉลี่ยค่าอาหารของกลุ่มเราได้บ้าง) จนเป็นเรื่องแซวจนวันกลับว่า ทริปหน้าต้องเช็คดีๆว่ามีชื่อพวกนี้มาร่วมทริปหรือเปล่า

ที่บริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยวนี้มีร้านค้าค่อนข้างมาก ทำให้เราได้มีโอกาสเดินเล่นยามค่ำในขณะที่รถตู้ 2 คันแรกไม่มีโอกาส สุดท้ายแล้วเราก็แวะภายในศูนย์ ซื้อโปสการ์ด เขียนส่งกลับไปให้ที่บ้าน แม้อากาศจะหนาวเย็นโดยอุณภูมิต่ำสุดน่าจะ 13 องศาเซลเซียสตามเทอร์โมมิเตอร์ดิจิตอลที่ภูหมอกติดไว้ แต่คืนนี้เราก็ได้อาบน้ำอย่างมีความสุขเพราะที่นี้มีน้ำอุ่นให้อาบ แม้เป็นห้องน้ำรวมแต่ก็สวยและสะอาดจนอยากอาบน้ำท้าลมหนาวไปนานๆ

ภูชี้ฟ้า (by เอ๋) 10 - 12 ธ.ค.48 (Part I)

จากความตั้งใจที่เกินล้น ในการไปเขาสก แต่ถูกมรสุมแห่งลมฝนพัดความตั้งใจนั้นให้หมดสิ้น จนต้องเปลี่ยนเป็นการขึ้นเหนือซึ่งมีเวลาตั้งสินใจเพียงแค่ 1 วัน น้อยมากหากเทียบกับเขาสก ซึ่งคุยกันมาหลายเดือน หรือหากย้อนกลับไปในนัดหมายครั้งแรกก็ตอนเดินกลับจากทีลอเร นั้นก็กินเวลากว่า 1 ปี แต่ชีวิตก็อย่างนี้ ไม่มีอะไรแน่นอน แต่สิ่งที่เราไม่ได้ตั้งใจก็นำพาความสุขและความทรงจำที่ดีมาสู่เราได้อย่างที่เกินคาดคิด โดยเฉพาะมิตรภาพความเป็นเพื่อนที่ผ่านพ้นไปกว่าสิบปีก็มิได้จางหายไปเลย

รถตู้จำนวน 4 คันเคลื่อนตัวจากสนามเป้า บ่ายหัวขึ้นเหนือสู่จ.พะเยา ไม่สบายเอาเสียเลยกับการที่ต้องหลับบนที่นั่งในรถตู้ ซึ่งมีความกว้างของเบาะไม่มาก แถบยังค่อนข้างแคบสำหรับคนที่ขายาวเช่นผม ซึ่งนั้นเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผมนอนไม่หลับเอาเสียเลย จนถึงนครสวรรค์ที่วุฒ เพื่อนใหม่ซึ่งพลัดหลงมาเพียง 1 คนในการร่วมเดินทางในรถตู้คันที่ 4 ซึ่งมีกลุ่มเราถึง 5 คน ตัดสินใจย้ายไปนั่งเบาะหลังคนเดียว แต่นั้นหมายถึงได้นอนยึดทั้ง 3 เบาะ ทำให้ผมและเอกยึดที่นั่งริมหน้าตาคนละมุม ส่วนปริญญ์ อ๋อยและพจ 3 สาวยังคงนั่งเบียดกันอย่างอบอุ่นที่เบาะหน้าไปตลอดทาง(แบบนี้สิ ถึงเรียกว่าผู้หญิงแถวหน้า)

ตื่นอยู่หลายครั้งเพราะรถจอดให้เข้าห้องน้ำอยู่หลายหน ทำให้ผมหลับสลับตื่นไปจนถึงอ.เชียงคำ จ.พะเยา เราผ่านวัดพระนั่งดินตั้งแต่ 6 โมงเช้า แต่คงเช้าเกินไปที่จะเข้าไปในวัด รถจอดให้ล้างหน้าล้างตากันที่ปั๊มน้ำมัน แต่ห้องน้ำที่มีเพียง 2 ห้องดูจะน้อยเกินไปสำหรับคนในรถตู้ซึ่งมากันถึง 4 คัน จึงมีบางคนตัดสินใจไม่ทำอะไรนอกจากยืนอยู่เฉยๆ ซึ่งนั้นมีผมกับเอกรวมอยู่ในนั้น

อาหารเช้าที่อ.เชียงคำนั้น ทีมงาน TKT จัดให้ง่ายๆ คือข้าวมันไก่ เวลาผ่านไปพอสมควรซึ่งสายพอที่เราจะได้เที่ยวชมวัดพระนั่งดิน ภายในพระอุโบสถของวัดนี้มีพระประธาน ซึ่งมีลักษณะแปลกกว่าพระพุทธรูปทั่วไปจน ททท. จัดให้เป็นหนึ่งในโครงการ Unseen เนื่องด้วยพระเจ้านั่งดินนั้นมิได้ประดิษฐานบนฐานชุกชีที่สูงและสวยงามอย่างพระประธานทั่วไป แต่กลับประทับอยู่บนพื้นดินมาหลายร้อยปี แม้จะมีคนสร้างฐานชุกชีให้แต่ก็ไม่สามารถยกองค์พระขึ้นจากพื้นดินได้ ตำนานนี้จะจริงเท็จแค่ไหน หรือบางทีอาจจะมีนัยสำคัญที่ให้ข้อคิดถึงการดำเนินชีวิต ที่อย่ายึดติดกับสิ่งที่ไม่มีความจำเป็น ให้มีชีวิตอยู่อย่างเรียบง่ายและติดดิน

เนื่องด้วยในอ.เชียงคำนั้นมีชาวไทยเชื้อส่ายไทยลื้ออยู่มาก ที่นี้จึงมีวัดงามๆที่สร้างด้วยศิลปะไทยลื้อให้ได้ชม เราไปกันที่วัดนันตาราม ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับร้านข้าวมันไก่ จึงได้รู้ว่าบรรดา 3 สาวได้แอบไปเที่ยวกันมาแล้วในช่วงหลังอาหารเช้า อุโบสถไม้สักทั้งหลังที่ตกแต่งด้วยลวดลายฉลุและการเหลื่อมซ้อนกันหลายชั้นของหลังคาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ไม่ว่าจะเดินไปมุมไหน มองกลับมาที่อุโบสถโดยเฉพาะที่หลังคาก็พบกับความงามที่แตกต่างมุมมองกันไป ภายในอุโบสถประดิษฐานพระแสนแซ่ พระพุทธรูปที่ทำจากไม้จามจุรีที่งดงามที่สุดในเมืองไทย ด้านหลังอุโบสถยังจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ย่อมๆของทางวัด

ในรถตู้ซึ่งรู้สึกอึดอัดในค่ำคืนที่ผ่านมา ในเวลานี้กลับรู้สึกได้ถึงความใกล้ชิดของเพื่อนที่หนึ่งปีผ่านมาได้กลับมาพูดคุยกันอีกคุยกันไปคุยกันมาก็ดึงเอาวุฒเพื่อนใหม่และน้องอร สต๊าฟของ TKT มาร่วมสนทนาไปตลอดทาง

รถตู้จอดอีกครั้งที่หน้าน้ำตกภูซาง การจอดครั้งนี้กินเวลานานเกือบ 3 ชั่วโมง ความจริงแล้วการเที่ยวชมน้ำตกภูซางนั้นไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานขนาดนั้น แต่เพราะต้องการให้คนขับได้นอนพักหลังจากที่ขับยาวมาตลอดทั้งคืน แต่เวลาที่มีมากขนาดนี้ทำให้พวกเราคิดจะไปตลาดชายแดนที่บ้านฮวกตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อุทยาน เนื่องจากเดือนหนึ่งมีเพียง 2 ครั้ง และวันนี้ก็ตรงกับวันที่มีตลาดพอดี แต่ด้วยระยะทางอีกราว 5 กม.ทำให้เราหมดสิทธิ์ที่จะไป

เกาะมันนอก (Picture)




เกาะมันนอก (Part II)

การนอนที่นี่ถือเป็นการนอนที่ทรมานมาก เพราะมีโรงสีย่อย ๆ ถึง 4 โรงด้วยกัน (มีเรากับพี่เล็กเท่านั้นที่ไม่นอนกรน.....เฮ้อ กว่าจะเช้าได้) แต่นอกจากเราที่นอนไม่หลับแล้ว พี่ฮุ้งก็เป็นอีกคนที่นอนไม่หลับ เนื่องจากแกเป็นคนที่กลัวจิ้งจก ตุ๊กแกมากๆๆๆ และเป็นคราวเคราะห์ที่เกาะนี้อุดมไปด้วยตุ๊กแก (นอกบ้าน) และจิ้งจก (ในบ้าน) ก่อนนอนก็มีจิ้งจกอยู่ในบ้าน 2 ตัว และซาลาเปาที่ชัยทิ้งไว้ในบ้านก็กองอยู่ตรงทางเดินตอนกลับเข้าบ้านและแหว่งไปครึ่งอัน ซึ่งเกินความสามารถของจิ้งจกที่จะกินเข้าไปได้ถึงขนาดนั้น พี่ฮุ้งจึงสรุปเอาเองว่าเป็นการกระทำของตุ๊กแก ทำให้พวกเราต้องแยกย้ายกันไปค้นหาจนทั่วบ้าน และไล่จับจิ้งจก 2 ตัวนั้นจนเหนื่อย (มีจิ้งจกตัวนึงหนีเข้าไปซ่อนใต้เตียงพี่ฮุ้งอีกต่างหาก)

ฝนที่ตกตลอดคืนเรื่อยมาจนถึงเช้า ทำให้กำหนดการเดิมคือการดำน้ำตื้นที่โขดหินนอกเกาะต้องงดไป พวกเราจึงหันมาเดินเที่ยวรอบเกาะ โดยมีนายจุ๋ยอาสานอนจองกระท่อมริมหาดให้ ปล่อยให้พวกเราเดินถ่ายรูปกันตามหาดด้านอื่นของเกาะซึ่งมีแต่ก้อนหินใหญ่ๆ และขยะ สลับกับเดินผ่านต้นไม้โปร่งๆ ไปตามแนวเกาะ ก่อนจะมาครบรอบก็เจอเรือประมงลำเล็กที่ออกไปวางข่ายในทะเล ได้ปู ปลา หอยเต้าปูน และลูกปลาฉลาม แต่จริงๆแล้ว อาหารส่วนใหญ่ของพวกเราจะแช่แข็งมาจากฝั่ง เมื่อกลับไปที่กระท่อม นายจุ๋ยก็นอนหลับพุงอืดไปเรียบร้อยแล้ว แถมจองไว้ 2 หลัง สำหรับพวกเรา 1 หลัง แล้วตัวมันก็นอนห้ามใครรบกวนอีก 1 หลัง ชัยเลยต้องจำยอมมาเข้ากลุ่มกับพวกผู้หญิง (ปากมาก) อย่างพวกเรา

กินข้าวเที่ยงเสร็จ เราก็ขอกุญแจบ้านกลับไปนอนให้สบาย หลังจากบ่นคนอื่นมาตลอดเช้าว่ากรน (โครต) หนวกหู แต่ไม่นานคนอื่นๆ ก็ตามมาทีละคน โดยบอกว่าแดดร้อน ลมแรงจนทนไม่ไหว ทิ้งคุณปรีชานอนอืดต่อไปริมทะเล

จนเย็นเราก็ได้เล่นน้ำทะเลสมใจ ยัยหมอปุ้มทนรบเร้าไม่ไหวต้องลงมาเป็นเพื่อน จุ๋ยกับชัยตามมาทีหลัง ก็เลยชวนกันไปเช่าแว่นดำน้ำกัน ซึ่งพอจะมีปลาให้ดูอยู่บ้างถึงจะไม่มีปะการังเลย พอขึ้นจากน้ำก็ถ่ายรูปกันต่อ โดยนายจุ๋ย ที่คาดว่าคงจะอ่านหนังสือ Image ที่ยืมมา เกิดอยากจะถ่ายรูปโชว์กล้าม (ที่เราเรียกว่าไขมัน) ส่วนเราก็เป็นตากล้องที่ช่วยโพสต์ท่าให้เสร็จ กะว่าจะเอาไปเผยแพร่ทางเนตให้เป็นขี้ปากเพื่อนๆ หลายๆวัน (ผิดคาด ที่เจ้าตัวเห็นรูปแล้วภูมิอกภูมิใจซะอีก) ส่วนชัย พอรบเร้ามากๆ ก็ทำท่าจะถอดเสื้อให้ถ่ายเหมือนกัน แต่พอฟังว่าเราจะให้ถ่ายคู่กับจุ๋ยด้วยท่วงท่าที่ FHM ยังอาย เลยเปลี่ยนใจ
หลังจากนั้นก็เข้ารูปแบบเดิมๆ คือกินข้าวเย็นจนแน่นท้อง แล้วก็ไปนั่งผึ่งพุงนินทาคนรู้จักกันที่กระท่อมริมหาด ในวันรุ่งขึ้นจนถึงเที่ยง กระท่อมริมหาดก็ยังให้เราได้อาศัยอยู่ จน 13.30 น. ก็มีเรือมารับกลับ หลังจากถึงแผ่นดินใหญ่เรียบร้อย เราก็ขับยาวมาถึงกรุงเทพฯ แวะกินข้าวกันแถว รพ. พญาไท1 ก่อนส่งจุ๋ยกับชัยหน้าคอนโด แล้วก็มาแวะส่งหมอปุ้มที่บ้าน กลับถึงบ้าน 20.30 น.

เกาะมันนอก ระยอง 17 - 19 มิ.ย. 48 (Part I)

พวกเราประกอบด้วยเรา หมอปุ้ม จุ๋ย ชัย พี่ฮุ้งและพี่เล็ก รวม 6 คน ซื้อแพคเกจทัวร์มันนอก รีสอร์ท ไอส์แลนด์ คนละ 3,450 บาท

คราวนี้เราขับรถไประยองเอง ออกจากบ้าน 6.00 น. เจอฝนตกเรื่อยๆ ตลอดทาง ถึงแกลงประมาณ 11.00 น. ส่วนพวกพี่ฮุ้งกับพี่เล็กมารถอีกคันซึ่งถึงก่อนเรานานมาก (เพราะออกจากบางนา) แวะกินข้าวและเจอกันที่อ่าวไข่ มื้อนี้เลยได้กินซีฟู้ดเต็มที่ จากอ่าวไข่เราเอารถไปจอดที่ท่าเรือแหลมตาลซึ่งที่จอดรถเป็นของรีสอร์ท คิดค่าจอดคันละ 50 บาท จากนั้นก็รอเวลาที่เรือจะมารับ ซึ่งหมอปุ้มอัดยาแก้เมาเรือเข้าไปเต็มที่ (แต่เราคิดว่าคงไม่ได้ผลเหมือนทุกทีแหละ) แล้วก็จริงตามคาด นั่งเรือไปซักพัก ยัยหมอปุ้มก็เริ่มเวียนหัว หน้าซีด แต่ก็มีพวกที่เป็นเหมือนกันอยู่ 2 – 3 คน คนอื่นๆ ที่ลงเรือมาพร้อมกันส่วนใหญ่จะมากันทั้งครอบครัวทั้งอากง อาม่า และลูกเด็กเล็กแดง รวมๆ แล้วประมาณ 30 คน เห็นจะได้ เรือจะออกจากท่าทุกวันตอน 13.00 น. ใช้เวลาแล่น 45 นาที (ที่หมอปุ้มคงนึกว่า 45 ชั่วโมง) ก็ถึงเกาะ ได้ยินคนข้างๆ พูดถึงเรื่องค่าทัวร์ ทำให้เรารู้ว่ากลุ่มเราซื้อทัวร์ได้ถูกกว่าประมาณ 1,000 บาท เพราะจองแพคเกจในงานท่องเที่ยวไทย

เมื่อไปถึงจะมีเรือเล็กมารับพวกเราเข้าเกาะอีกทีหนึ่ง จากนั้นก็ขนข้าวของเข้าบ้าน ซึ่งเป็นบ้านขนาด 6 คน ข้างนอกตกแต่งด้วยไม้สานอย่างดี แต่ข้างในเป็นเตียง 2 ชั้น เตียงล่างนอนได้ฝั่งละคน ส่วนเตียงบนนอนฝั่งละ 2 คน ซึ่งพี่ฮุ้งกับพี่เล็กอาศัยความอาวุโสจับจองเตียงล่างไปก่อน ที่เจ๋งที่สุดคือห้องอาบน้ำที่แบ่งเป็น 2 ฟาก ฟากละห้อง มีเพียงปูนก่อขึ้นมากั้นไว้ ไม่มีเพดานและประตูของแต่ละห้องแต่อย่างใด มีเพียงประตูกระจกใสกั้นตัวบ้านกับห้องอาบน้ำอยู่ โชคดีที่บ้านของพวกเราอยู่ด้านในสุดซึ่งเป็นที่สูงเลยคิดว่าคงไม่มีใครมาแอบดู (และอาจจะมองเห็นบ้านที่อยู่ด้านล่างลงไปแทน..แต่ก็ผิดหวัง) พอเปิดห้องอาบน้ำเข้าไปก็เจอนกยูงเกาะอยู่ พวกเราก็เลยเฮกันไปถ่ายรูปกันใหญ่ หลังจากนั้นถึงค่อยรู้ว่ามีนกยูงอยู่เต็มเกาะไปหมด

หลังจากใช้เวลาสำรวจบ้านนานพอสมควร พวกเราก็เดินเรื่อยๆ มาที่ชายหาด ซึ่งมีกระท่อมเป็นหลังๆ ทำไว้ให้นั่งๆนอนๆ รับลม พวกพี่ฮุ้งหายไปพักนึงก็กลับมาพร้อมน้ำอัดลมและน้ำแข็งกระติกหนึ่ง จากนั้นก็ได้แต่นั่งคุยกัน จนจุ๋ยเริ่มจะ talk show เรื่อง บ. Organon ของมัน คนที่มีกล้องเลยแยกย้ายกันไปถ่ายรูป
แดดเริ่มแรงขึ้นจนพวกเราต้องล่าถอยจากกระท่อมกลับไปที่บ้านพักจนได้เวลาอาหารเย็น 18.00 น. อาหารที่เสริฟมี 5 จานด้วยกัน เน้นของทะเลจำพวกปลา ปลาหมึก กุ้ง ซึ่งเติมได้ไม่อั้น แต่ถ้าจะสั่งอาหารเพิ่ม เช่น บาร์บีคิว หรือปูนึ่ง ต้องเสียเงินเพิ่มต่างหาก ซึ่งพนักงานก็เป็นกันเองดีแถมยังแนะนำให้ยืมหนังสืออ่านแก้เซ็ง ดังนั้นหลังจากกินข้าวเสร็จทุกคนจึงมีหนังสือติดมือกันมาคนละ 2 – 3 เล่ม ไปนั่งพักผ่อนที่กระท่อมซึ่งตอนนี้ติดไฟไว้พร้อม เพื่อเฝ้าดูทะเลยามค่ำคืน และยังมองเห็นไฟรถยนต์บนฝั่งได้อยู่ลิบๆ จากนั้นนายจุ๋ยก็เป็นคนเปิดประเด็นคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ จนคนฟังเริ่มหาวนอนกันอย่างพร้อมเพรียง มันถึงอนุญาตให้กลับไปนอนได้

ทริปกระบี่ 16 - 18 พ.ย. 50 (Part I)

พวกเราประกอบด้วย เรา อ๋อย หมอปุ้ม จุ๋ย และเอ๋ ออกเดินทางจากสายใต้ใหม่ล่าสุด จุดหมายปลายทางครั้งนี้คือ 4 unseen ที่กระบี่

เนื่องจากสายใต้เพิ่งเปิดใช้เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 50 และเป็นครั้งแรกของพวกเราที่ได้ใช้บริการ เลยเริ่มงงเล็กน้อยเกี่ยวกันสถานที่อันใหญ่โตกว้างขวาง คราวนี้เราใช้บริการลิกไนต์ทัวร์ 24 ที่นั่ง รถออก 19.00 น. เบาะนั่งกว้างมาก แต่ระบบนวดหลังไม่ยักทำงานอย่างที่โฆษณาไว้ เอาเข้าจริงนั่งไป 11 ชั่วโมงก็ยังเมื่อยสุดๆ อยู่ดี

ไปถึงสถานีขนส่งกระบี่ประมาณ 6.00 น. ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสถานีขนส่งของเมืองท่องเที่ยวอย่างกระบี่จะเล็กและทรุดโทรมได้ขนาดนี้ แวะซื้อตั๋วรถขากลับแล้วก็พากันนั่งรถ 2 แถวไปโรงแรม เดอะกรีนเนอรี่ในตัวเมืองกระบี่

งวดนี้อ๋อยจองที่พักได้เหมาะเจาะมาก เพราะหลังจากไปถึง เราก็เดินไปกินอาหารเช้า เป็นติ๋มซำร้านที่อยู่ถัดไปไม่กี่เมตรได้ทันที หมดติ๋มซำไป 17 เข่ง บักกุ๊ดเต๋ หมี่ซั่ว ไปเรียบร้อย ทัวร์ที่จองไว้ คือ กระบี่ดอทคอมก็นำรถ 2 แถวมารับ โดยมีฝรั่งนั่งอยู่ก่อนแล้วจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็วนไปรับคนอีกหลายที่จนแน่น

ฝรั่งที่ขึ้นหลังสุดเห็นหมวก shotover jet ของจุ๋ยก็เลยทักทายและแนะนำตัวว่าเค้ามาจากนิวซีแลนด์ ส่วนพ่อหนุ่ม go-inter ประจำทีมก็ส่งภาษาตอบอย่างดี แต่ไม่รู้มีมั่วบ้างหรือเปล่า เพราะได้ยินแว่วๆ ว่าเมืองไทยก็มี artificial snow คล้ายๆ Antarctic center บ้านยูเหมือนกัน แถมยังหยอดตบท้ายอีกว่าลุงฝรั่งคนนั้นยังดูไม่แก่เลย....มีเสียงหมอปุ้มแซวว่านี่พวกเรากำลังฟังรายการแหลแต่เช้ากันอยู่หรือเปล่า

ไปถึงอ่าวนาง ทัวร์ก็แบ่งคนตามแพคเกจที่จองไว้ สำหรับพวกเราเป็น one day trip คือทัวร์ 4 เกาะและทะเลแหวก (speed boat) กลุ่มที่ไปด้วยกันส่วนใหญ่เป็นฝรั่ง มีคนไทยนอกจากพวกเราก็เป็นน้องๆ ทันตแพทย์ที่มาไกลจาก จ.น่าน อีก 3 สาว หน้าตาน่ารัก ได้ยินเอ๋กับจุ๋ยคุยกันว่าถ้าเปลี่ยน 3 อ้วนกับ น้อง 3 คนนี้ได้คงดี
ส่วนคนบนเรือคนอื่นก็เห็นมีฝรั่งคู่เกย์หน้าตาดี 1 คู่ คู่กิ๊ก 1 คู่ แล้วก็ลุงๆป้าๆ อีก 4 คน

เรือพาไปทะเลแหวก (unseen) ก่อนในช่วงเช้า แต่น่าเสียดายที่เราไม่ได้ไปในช่วงขึ้น 15 ค่ำ ตอนน้ำลงเต็มที่เลยไม่ได้เห็นน้ำทะเลที่ลดต่ำจนสันทรายที่เชื่อมระหว่าง 3 เกาะ คือ เกาะทับ เกาะไก่ และเกาะหม้อ ผุดขึ้นมา ได้แต่เดินตามแนวสันทรายที่มองเห็นอยู่ใต้ระดับเข่าแทน

ส่วนอ๋อยหลังจากได้ยินคนเรือพูดว่าเดินข้ามจากเกาะทับไปเกาะไก่ได้ แต่ขากลับน้ำอาจจะขึ้นจนเดินกลับมาไม่ไหว อ๋อยเลยนั่งรอที่เกาะหม้อ เปิดโอกาสให้พวกเราฝากของแล้วเดินลุยน้ำกันไป กลับมาเลยได้ยินเสียงฟ้องว่ามีฝรั่งมาแก้ผ้าเปลี่ยนกางเกงว่ายน้ำให้ดูด้วย

กลับมาถ่ายรูปที่ที่หาดเกาะทับได้ซักพัก เรือก็พาพวกเราไปดำน้ำที่เกาะสี่ อ๋อยยังรับเป็นช่างภาพที่ไม่ยอมลงน้ำเหมือนเดิม ส่วนเราว่ายไปทางด้านหัวเรือที่คนเรือโยนขนมปังลงน้ำให้ปลามารวมเป็นฝูง กำลังคิดว่าจะกระโดดขึ้นมาฮุบขนมปังบ้างดีหรือไม่ อ๋อยก็ตะโกนบอกให้ช่วยลากเอ๋ที่โดนน้ำพัดไปติดหัวเรือที ไม่น่าเชื่อว่าเอ๋จะตัวหนักขนาดลากทวนน้ำออกมาไม่ได้ แต่เห็นเอ๋ยังยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เลยเบาใจ เลิกช่วยแล้วว่ายไปทางอื่นแทน ขึ้นมาบนเรือแล้วถึงได้รู้ว่า อ๋อยต้องให้คนเรือโยนเชือกให้ผู้ประสบภัยเพื่อลากเอ๋ขึ้นเรือ....เฮ้อ

ปะการังที่นี่ไม่ค่อยสวยและมีน้อย ส่วนปลาถึงจะมีจำนวนค่อนข้างมาก แต่ก็น้อยชนิด เป็นปลาลายเสือที่แย่งเรากินขนมปังซะส่วนใหญ่ หลังจากดำผิวน้ำไปได้ซักพักก็ไปเจอกับเป้า..เอ๊ย กางเกงว่ายน้ำลายคุ้นๆ โผล่ขึ้นมาดูเลยเห็นว่าเป็นจุ๋ยที่เจ้าตัวภูมิอกภูมิใจเหลือเกินกับกางเกงว่ายน้ำตัวใหม่ พอมารวมกันได้ ตากล้องบนเรือก็เริ่มทำงาน หมอปุ้มอยู่อีกทางหนึ่งเลยรีบว่ายเข้ามาจะถ่ายรูปด้วย แต่ท่าว่ายแบบจะจมมิจมแหล่กับสีหน้าอยากถ่ายรูปมั่งให้รอด้วย ทำเอาคนเรือนึกว่ามีผู้ประสบภัยอีกเลยโยนเชือกให้...แป่ว

ขึ้นมาบนเรือได้อ๋อยก็เล่าถึงเบื้องหลังกางเกงว่ายน้ำว่า จุ๋ยรอจนคนลงน้ำกันไปหมดก็ไปที่หัวเรือ บอกอ๋อยว่าจะเปลี่ยนกางเกง พร้อมโชว์ผ้าเช็ดตัวที่จะใช้เปลี่ยนซึ่งผืนใหญ่กว่าผ้าเช็ดหน้านิดนึง กะว่าจะอาศัยหุ่นอันกว้างใหญ่ของอ๋อยบังอีกชั้น ดีที่อ๋อยดูหนุ่มฝรั่งบนเกาะหม้อมาเยอะแล้วเลยไม่สนใจ ไปเป็นห่วงทางเอ๋ที่ติดอยู่หัวเรือแทน จุ๋ยเลยได้เปลี่ยนกางเกงโดยไม่มีรูปมาให้ขึ้นเวป แต่ก็ไม่วายโดนประณามว่า ทำไมไม่เปลี่ยนมาตั้งแต่ที่โรงแรม (วะ) คำตอบที่ได้คือ ก็กางเกงมันตัวเล็ก ขี้เกียจใส่ให้มันบีบ....นานๆ

หลังจากนั้นเราก็แวะกินข้าวกันที่เกาะปอดะ โดยทุกคนหลีกเลี่ยงการนั่งกินแบบล้อมวง แต่ใช้วิธีหันหน้าไปทางเดียวกันแทน เพื่อหลีกเลี่ยงอาการเบื่ออาหารจากการกินข้าวประจันหน้ากับบุรุษในชุดว่ายน้ำ (กับข้าวมีไส้กรอกอย่างสั้นอีกต่างหาก)

จากนั้นการถ่ายรูป on the beach โดยมีตากล้องเดิมๆ นายแบบเดิมๆ กับกางเกงว่ายน้ำตัวใหม่ก็เริ่มขึ้น ที่เกาะนี้ 90% เป็นฝรั่งในชุดว่ายน้ำ เลยดูไม่แปลกแยก และแดดเปรี้ยงกับน้ำทะเลสีเขียวสดก็พอจะทำให้รูปออกมาดูดีได้เหมือนกัน ส่วนนายแบบที่ใช้เวลาเดินตากแดดเกิน 1 ชั่วโมงก็รู้ฤทธิ์ของการโดนแดดเผาในเวลาต่อมา

ฝนตกลงมาประปรายหลังจากออกจากเกาะปอดะ เรือพาไปแวะหาดพระนาง จุ๋ยยังอุตส่าห์ตาไวเห็นฝรั่งคู่เกย์ทาครีมกันแดดให้กัน พร้อมทั้งชี้ชวนให้ดูอย่างอิจฉา

หาดพระนางอยู่ในอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี มีถ้ำพระนางอยู่ด้านชิดหน้าผา แต่ฝรั่งกลุ่มใหญ่ขวางอยู่หน้าถ้ำ พวกเราก็เลยเดินไปอีกฟากของเกาะที่เป็นหาดไร่เลย์ มีคนปีนหน้าผากันอยู่ด้วยกลุ่มหนึ่ง แต่ฝนที่เริ่มตกหนาเม็ดทำให้หมดความสนใจรีบเดินกลับกันไปที่เรือ

เมื่อถึงฝั่ง ลงจากเรือก็เห็นอ๋อยบ่นพึมว่ากระเป๋าตกน้ำ ในนั้นมีกล้อง มือถือ เงินกองกลาง มือถืออ๋อยที่เปิดทิ้งไว้ช๊อตไปเครื่องนึง เจ้าตัวเดินไปได้หน่อยก็มีเลือดไหลจากหัวเข่า เลยรู้ว่าอ๋อยลื่นตกบันไดเรือตอนขึ้นฝั่ง พวกเราหัวเราะตั้งสติกันพักใหญ่พร้อมๆกับการห้ามเลือด ดีที่ทางทัวร์มีชุดทำแผลให้

คิดว่าทีมเราคงเป็นที่ประทับใจของ บ.ทัวร์นี้อีกนาน เพราะมี 2 คนประสบภัย คนหนึ่งตกเรือ อีกคนก็แก้ผ้าเปลี่ยนกางเกงบนเรือหน้าตาเฉย ส่วนพจนารถทำเป็นไม่ได้มาด้วยโดยการเดินไปหาซื้อผ้าก๊อซ และน้องทันตแพทย์อีก 3 คน ก็แยกไปหาของกินแล้วหายจ้อยไปเลย

กลับมาถึงโรงแรมเกือบ 5 โมงเย็น อ๋อยต้องใช้ไดร์เป่ามือถือ เลยหมดโอกาสไปช้อปที่ร้านเสื้อผ้าไซต์ใหญ่ติดกับโรงแรม ชื่อร้านอ้วนสวย ตามที่ได้ตั้งใจไว้ อาบน้ำเสร็จกันครบทุกคนก็พากันไปเดินริมเขื่อนกั้นแม่น้ำที่มองเห็นเขาขนาบน้ำ เป็นภูเขา 2 ลูกสูงประมาณ 100 เมตร ตั้งขนาบแม่น้ำกระบี่ด้านหน้าตัวเมือง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองกระบี่ ถ่ายรูปกันได้สักพัก เป้าหมายก็เปลี่ยนเป็นกินโรตี แล้วตามด้วยอาหารอิสลามตามสั่ง ที่ริมเขื่อนนั่นเอง

อาหารอิสลามก็คล้ายอาหารไทยทั่วไป พวกเราสั่งซุปเนื้อ ผัดผักบุ้งไฟแดง ไข่เจียวกุ้ง แต่พอเค้าบอกว่ากุ้งไม่มี เอ๋เลยเปลี่ยนเป็นไข่เจียวหมูสับแทน คนรับ order ได้แต่ทำตาปริบๆ บอกร้านนี้ไม่มีหมูครับเพ่ สั่งไปสั่งมาก็สั่งแกงจืดเต้าหู้ที่เรารีบต่อว่าหมูสับให้ฮากันอีก ถึงจะไม่ค่อยหิวเพราะกินโรตีกันมา 5 ชิ้น แต่ทุกอย่างก็หมดในเวลาไม่นานนัก

พวกเราเดินไปเดินมาผ่านตลาดที่ค่อนข้างเงียบเหงา ผิดกับที่อ่าวนางตอนนั่งรถผ่าน จนไม่มีอะไรจะทำแล้วก็กลับไปคุยกันต่อในห้องพัก