น้ำตกภูซางนั้นอยู่ในอุทยานแห่งชาติภูซาง ใกล้ที่ทำการ โดยมีทางหลวงหมายเลข 1093 ตัดผ่ากลางอุทยานและผ่านหน้าน้ำตก ทำให้น้ำตกแห่งนี้เป็นจุดแวะพักที่ดีบนเส้นทาง โดยเฉพาะเส้นทางสู่ภูชี้ฟ้า อีกทั้งน้ำตกแห่งนี้เป็นน้ำตกอุ่น ซึ่งก็อยู่ในโครงการ Unseen ของททท.ด้วยเช่นกัน (แต่เป็นโครงการ 1 ส่วนพระนั่งดินนั้นเป็นโครงการ 2) ด้วยคำประชาสัมพันธ์ว่าเป็นน้ำตกน้ำอุ่น ทำให้ทุกคนต่างเดินตรงไปที่น้ำตกเพื่อสัมผัสว่าอุ่นจริงหรือเปล่า แต่ความรู้สึกที่ได้รับคือเป็นอุณหภูมิที่ไม่ต่างจากอุณหภูมิบรรยากาศสักเท่าไหร่ นั้นคงเป็นเพราะกว่าน้ำอุ่นจะเดินทางผ่านป่าแล้วตกผ่านผาหินที่มีความสูงราว 25 เมตร อีกทั้งอากาศในฤดูหนาวที่หนาวเย็นอยู่แล้ว ล้วนแต่เป็นปัจจัยที่ทำให้อุณหภูมิของสายน้ำลดต่ำลง ยังคงเป็นความจริงที่สิ่งแวดล้อมรอบข้างมีส่วนในการหล่อหลอมสิ่งที่ผ่านมาให้เป็นอย่างที่ปรากฎเห็น
นั่งมองสายน้ำตกภูซางตกจากผาหินสู่เนินหินด้านล่าง เปลี่ยนจากเส้นสายน้ำให้ไหลอาบไปบนเนินหินก่อนไหลลงสู่ลำธาร เวลาที่มีมากล้นเป็นเครื่องกำหนดให้พวกเราเดินขึ้นไปบนน้ำตกในเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ซึ่งนำพาเราผ่านป่าพรุน้ำจืด ที่ต้นไม้ขึ้นบนแผ่นดินที่น้ำท่วมขัง สู่บ่อซับน้ำอุ่นอันเป็นต้นกำเนิดของน้ำตกภูซาง ภายในบ่อมีน้ำอุ่นสีฟ้าใส พี่ตี๋หัวหน้าสต๊าฟของทริปนำเทอร์โมมิเตอร์มาด้วย จึงลองจุ่มลงในบ่อ วัดอุณหภูมิได้ประมาณ 35 องศาเซลเซียส ทางเดินศึกษาธรรมชาติยังไม่จบเท่านี้ กลุ่มเราจึงเดินกันต่อ ในขณะที่กลุ่มอื่นเดินย้อนกลับทางเดิม ซึ่งผู้ที่ได้รับผลจากเส้นทางนี้มากที่สุดคงไม่พ้นอ๋อย เพราะมีเสียงบ่นสลับกับเสียงหอบ แต่เธอก็ใจถึงเดินจนครบทุกสถานีจนมาโผล่ที่ถนนใกล้ๆน้ำตก แต่บางทีอาจไม่มีทางเลือกเพราะย้อนกลับก็คงไม่ได้
อย่างไรเสียเราก็ผ่านบ้านฮวกจนได้ เพราะเป็นทางผ่านไปภูชี้ฟ้า แต่นั้นก็หมายถึงผ่านจริงๆไม่ได้จอดให้ลง เพราะในเวลาเกือบบ่ายเช่นนี้ตลาดก็เกือบจะวายแล้ว รถมาจอดที่ทางแยกเลยจากตัวตลาดไม่ไกล หากตรงไปจะเป็นชายแดนสู่ประเทศลาว หากเลี้ยวซ้ายจะไปภูชี้ฟ้า ณ.จุดนี้มีป้ายขนาดใหญ่มีข้อความเขียนว่าประตู่สู่อินโดจีน (คุนหมิง เชียงรุ่ง เชียงตุง หลวงพระบาง เดียนเบียนฟู) เป็นอันว่าเราได้ถ่ายรูปอย่างเบิกบานใจกับป้าย ก่อนที่ทางจะเปลี่ยนเป็นถนนลอยฟ้าบนดอยผาหม่น
บนเส้นทางลอยฟ้าที่คดโค้งไปตามแนวเขา มองเห็นทะเลภูเขาสุดสายตา ทางที่สูงชันขึ้นทำให้รถต้องปิดแอร์เพื่อเพิ่มกำลังในการขับเคลื่อน และทำให้เราได้เปิดกระจกรับสายลมเย็นจากด้านนอกให้พัดผ่านเข้ามา ทิวทัศน์ที่งดงามและสายลมเย็น ฮืมม…ช่างมีความสุขเสียจริง
คืนนี้เราพักกันที่ภูหมอกแคมป์ โดยรถตู้ 2 คันแรกได้นอนบ้าน ส่วน 2 คันหลังต้องนอนเต๊นท์เพราะจองทีหลัง ซึ่งได้รับลดค่าบ้าน 400 บาท แต่ก็ดูเหมือนจะค่อนข้างมีปัญหาในเรื่องที่กางเต๊นท์ ทำให้เราได้ชมทิวทัศน์ด้านล่างริมถนนเสียนาน สรุปคือเขาให้กางเต๊นท์ข้างบ้านที่จองไว้ แต่ด้วยทางขึ้นที่สูงชัน และไกลห้องน้ำรวม กลุ่มเราจึงเลือกกางเต๊นท์ที่บริเวณสนามเด็กเล่น (หรือบางทีอาจมีใครในกลุ่มอยากหวนรำลึกถึงสมัยเป็นเด็ก) กางเต๊นท์เสร็จก็มีเวลาอีกพอควรให้เราได้ถ่ายรูปกับดอกไม้ที่ทางรีสอร์ตปลูกไว้
อาจดูเหมือนว่าเย็นนี้มีเวลาว่างตั้งแต่ 4 โมงเย็น สต๊าฟจึงพาขึ้นภูชี้ฟ้า แต่ความจริงแล้วหากเราขึ้นรอบเช้ารอบเดียวเราจะไม่ได้สัมผัสกับความเป็นภูชี้ฟ้าสักเท่าไหร่เพราะในเวลานั้นบนภูชี้ฟ้าจะเต็มไปด้วยทะเลคนซึ่งมีมากไม่แพ้ทะเลหมอก ระยะทางอีกเพียง 760 เมตรเท่านั้นที่ต้องเดินขึ้นสู่ยอดภูหลังจากที่ถนนสิ้นสุดลง เราต้องใช้สองเท้าเดินย้อนแรงโน้มถ่วงของโลกขึ้นสู่ยอดภูที่มีความสูงถึง 1628 เมตร บนเส้นทางนี้นอกจากกลุ่มเราซึ่งมารถคันเดียวกันแล้วยังมีพี่ตุ๊ก ซึ่งเคยร่วมทางกับปริญญ์และผมไปทริปผีตาโขนด้วยกัน ได้กลับมาร่วมเดินทางกันอีกครั้ง
บนเส้นทางที่ไม่ยาวไกลนัก ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงยอดภู แต่ระหว่างเส้นทางพวกเราก็แวะถ่ายรูปไปเรื่อย โดยเฉพาะข้างทางมีหินก้อนหนึ่ง ยืนล้ำออกไปในอากาศ จึงชวนกันวัดความกล้าเดินลงสู่หินก้อนดังกล่าว เพื่อให้ได้รูปที่เอาไว้อวดใครต่อใคร ไอ้ตอนที่เดินลงและนั่งถ่ายรูปบนก้อนหินก็ไม่น่ากลัวเท่าไหร่ แต่อีกตอนลุกขึ้นยืนบนหินนี้สิ เสียวไม่ใช่เล่น ดีนะที่ขาไม่อ่อนไหวต่อความรู้สึกจนเกินไป จึงยืนขึ้นมาได้ในอาการขาเกือบสั่น
รอให้ม่านหมอกยามเย็นผ่านพ้นจะได้ถ่ายรูปยอดภูที่ชี้ขึ้นฟ้าอันเป็นสัญลักษณ์และที่มาของชื่อภูชี้ฟ้าอยู่นาน ก็ไม่สามารถถ่ายได้สักที แต่ก็ยังทนรอเพราะอุตส่าห์เดินลงมาแล้ว แต่สุดท้ายก็ถอดใจเดินกลับขึ้นไปหาเพื่อนๆที่เดินนำไปจนถึงยอดภู บนยอดภูสามารถมองทิวทัศน์ของผืนป่าในประเทศลาว เห็นแม่น้ำโขงไหลคดเคี้ยวเหมือนดังพญานาคอยู่ไม่ไกลนัก สักพักหมอกก็เริ่มโรยตัว เกิดเป็นทะเลหมอกยามเย็นปกคลุมทิวทัศน์ทั้งฝั่งลาวและฝั่งไทย ยามเย็นบนภูชี้ฟ้าคนไม่มากนัก เราจึงได้ถ่ายรูปกันอย่างสบายอารมณ์เพราะไม่ต้องรอคิวในการถ่ายรูปกับป้าย และไม่มีตัวประกอบปรากฎเป็นในภาพโดยที่เราไม่รู้ว่าเขาเหล่านั้นเป็นใคร และสุดท้ายก่อนลงจากยอดภู ผมก็แอบแวะลงไปเนินด้านล่างถ่ายรูปภูชี้ฟ้าอย่างที่เคยเห็นมามากในโปสการ์ดจนสำเร็จ รอให้ม่านหมอกจางหายไป ความงามหลังม่านหมอกก็ปรากฎให้เห็น
เป็นเพราะเรานอนกางเต๊นท์ ค่ำนี้เราจึงไม่มีสิทธิ์ทานอาหารที่ทางรีสอร์ตเตรียมไว้ เนื่องด้วยเขาคิดราคาอาหารเต็มๆคือคนละ 450 บาท (ราคาบ้านหลังละ 1800 บาทต่อคืน พักได้ 4 คน ราคานี้รวมอาหารเย็นและเช้า เฉลี่ยแล้วคนละ 450 บาท) พี่ตี๋จึงพาเราไปทานมื้อเย็นที่ภูฟ้าโภชนา เป็นร้านอาหารร้านใหญ่ซึ่งอยู่บริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยว นั้นอาจเป็นโชคดีของพวกเราเพราะอาหารที่นี้อร่อยมาก ผิดกับอาหารที่ภูหมอก ซึ่งพี่ตุ๊กบอกว่าเป็นบุฟเฟ่ และไม่อร่อยเลย แถมเรายังสั่งชาอู่ล่งใบอ่อนมาดื่ม จากการทานอาหารมื้อนี้จึงสร้างภาพลักษณ์ให้กลุ่มเราใหม่ในการที่ทานจุกมาก (แต่จริงๆแล้วเป็นเพราะพี่ตี๋ไม่ใช่หรอที่บอกให้เราทานกันให้อิ่ม) จนสต๊าฟเริ่มกังวลว่าทริปนี้จะขาดทุนเพราะการทานของพวกเรา (แต่ก็ยังดีที่วุฒทานอาหารมังสาวิรัตจึงช่วยเฉลี่ยค่าอาหารของกลุ่มเราได้บ้าง) จนเป็นเรื่องแซวจนวันกลับว่า ทริปหน้าต้องเช็คดีๆว่ามีชื่อพวกนี้มาร่วมทริปหรือเปล่า
ที่บริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยวนี้มีร้านค้าค่อนข้างมาก ทำให้เราได้มีโอกาสเดินเล่นยามค่ำในขณะที่รถตู้ 2 คันแรกไม่มีโอกาส สุดท้ายแล้วเราก็แวะภายในศูนย์ ซื้อโปสการ์ด เขียนส่งกลับไปให้ที่บ้าน แม้อากาศจะหนาวเย็นโดยอุณภูมิต่ำสุดน่าจะ 13 องศาเซลเซียสตามเทอร์โมมิเตอร์ดิจิตอลที่ภูหมอกติดไว้ แต่คืนนี้เราก็ได้อาบน้ำอย่างมีความสุขเพราะที่นี้มีน้ำอุ่นให้อาบ แม้เป็นห้องน้ำรวมแต่ก็สวยและสะอาดจนอยากอาบน้ำท้าลมหนาวไปนานๆ
No comments:
Post a Comment