เวลาตี 4 คนที่สมัครใจขึ้นภูชี้ฟ้าอีกรอบเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นต่างลงมารออยู่ริมถนนด้านล่างของรีสอร์ต จากรถตู้ 4 คัน เวลานี้เหลือเพียงรถสองแถว 2 คันเท่านั้น เนื่องด้วยส่วนหนึ่งสมัครใจที่จะนอนท้าลมหนาวต่อ ซึ่งกลุ่มเราก็สละสิทธิ์ขึ้นภูชี้ฟ้าไปเสีย 3 คือพจ อ๋อยและเอก เนื่องด้วยในยามเช้าบนภูชี้ฟ้านั้นจะมากไปด้วยนักท่องเที่ยว ทำให้ที่จอดรถบริเวณทางเดินขึ้นไม่เพียงพอที่จะรองรับ ฉะนั้นจึงเป็นระเบียบที่ทุกคนต้องเดินทางขึ้นโดยรถสองแถวที่จัดให้ไว้เท่านั้น บนเส้นทางขึ้นภูที่มืดมิดยามค่ำคืน รถสองแถววิ่งผ่านเส้นทางที่คดโค้ง มีดาวนับล้านดวงส่องแสงเป็นเพื่อร่วมทาง
ไฟฉายของแต่ละคนถูกเปิดเมื่อเริ่มเดินขึ้นภู ลมหนาวพัดมาปะทะกับผิวกาย หายใจเอาอากาศหนาวผ่านร่างกาย ความมืดมิดยามค่ำคืนทำให้เรามองทิวทัศน์ได้ไม่ชัดนัก ยิ่งสูงขึ้นคนก็ยิ่งมาก จนมาหยุดลงที่แนวหน้าผา ตั้งแต่ยอดภูไล่ยาวไปจนสุดอีกด้านหนึ่งเรียงรายไปด้วยแนวของผู้เดินทางขึ้นมาก่อน เรามายืนอยู่แถวที่ 3 หากนับจากหน้าสุด แต่ไม่นานก็มีผู้เดินตามมา มากขึ้น จากแถวที่เรายืนอยู่ทอดยาวไปจนเกือบถึงครึ่งหนึ่งของทางขึ้น โดยจุดหมายของทุกคนนั้นจับจ้องไปที่เดียวกัน นั้นคือท้องฟ้าเบื้องหน้าโดยเฉพาะฟากฝั่งประเทศลาว เพราะแสงแรกของวันจะปรากฏให้เราเห็นจากฝั่งนั้น
เวลาของการเฝ้ารอในความมืดมิดค่อยๆเคลื่อนตัวผ่านไป พร้อมๆกับการจากหายของแสงดาว เวลา 6 นาฬิกาตรง เส้นแสงสีแดงส้มก็แผ่เป็นเส้นยาวไปตามเส้นขอบฟ้า เวลานี้ทะเลหมอกได้ก่อตัวจนปกคลุมผืนป่าเบื้องล่างอย่างมิดชิด การปรากฏขึ้นของแสงแรกแห่งวันทำให้สายตามองเห็นได้ชัดขึ้น ละลอกริ้วของผืนหมอกสีขาวที่แผ่ตัวปกคลุมยอดดอยมีลักษณะไม่ต่างจากท้องทะเล โดยมียอดดอยที่สูงจนโผล่พ้นทะเลหมอกเป็นดังเกาะที่อยู่กลางท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ยิ่งแสงปรากฏชัดมากขึ้น ทะเลหมอกก็ยิ่งงดงามมากขึ้น และเวลานี้รอบตัวเราถูกโอบล้อมด้วยทะเลหมอกที่เหมือนกับกำลังประชิดเข้ามาหาเรามากขึ้น…มากขึ้น
ผ่านทะเลคนจนลงมาด้านล่าง สต๊าฟ TKT รอเราอยู่แล้ว เป็นอันว่ากลุ่มเราลงมาช้าสุด นั้นไม่ใช่เพราะกายติดทะเลคน หากแต่ตาและใจนั้นอาลัยอาวรกับทะเลหมอก หลังจากไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆที่ภูหมอกแคมป์ พร้อมคุยทับถมว่าน่าเสียดายจริงๆที่ไม่ขึ้นไปยอดขึ้นภู เลยอดเห็นทะเลหมอกสวยๆเลย แต่เอกก็องุ่นเปี้ยวมาเลยว่า ขึ้นไปให้เหนื่อยทำไม นั่งอยู่ที่รีสอร์ตก็เห็นทะเลหมอกสวยๆแล้ว ซึ่งก็จริงตามนั้นเพราะเส้นทางจากภูชี้ฟ้าไปดอยผาตั้งเรายังได้พบเห็นทะเลหมอกไปตลอดเส้นทาง อีกทั้งบางช่วงเรายังเห็นทะเลหมอกซึ่งเหมือนเคลื่อนตัวลงต่ำ ดังสายน้ำตกที่ไหลบ่าลงสู่เบื้องล่าง
จากภูชี้ฟ้าสู่ดอยผาตั้งนั้นบางช่วงของเส้นทางอยู่ระหว่างการก่อสร้าง จึงทำให้ใช้เวลาเดินทางค่อนข้างนานแม้ระยะทางจะห่างกันไม่ถึง 30 กม.ก็ตาม ดอยผาตั้งนี้เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวจีนฮ่อ ม้ง และเย้า โดยเฉพาะจีนฮ่อนั้น อดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของกองพล 93 ซึ่งอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ดอยผาตั้ง ในวันนี้ม่านหมอกทางความคิดได้จางหายไปเผยให้เห็นความสวยงามที่ยังคงอยู่กับธรรมชาติบนยอดดอย
เป็นเพราะเข้าไปรับแผ่นพับแนะนำดอยผาตั้งทำให้เราได้น้องผู้หญิงมาเป็นไกด์เฉพาะ สร้างความงงๆให้กับสต๊าฟTKT ซึ่งเป็นไกด์ของเราจริงๆ แต่ก็ถือว่าช่วยทุนการศึกษาของน้อง น้องหญิงชี้ให้ดูหมู่บ้านของเธอซึ่งตั้งอยู่บนที่ราบเล็กๆระหว่างเชิงเขาต่ำกว่ายอดดอยที่เรายืนอยู่นี้ มองเห็นถนนดินที่ผ่านกลางหมู่บ้าน และถนนลาดยางที่ทอดตัวเคี้ยวคดไปตามสันดอย
ดอยผาตั้งนี้สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1635 เมตร โดยมีจุดให้เที่ยวชมหลายที่ทีเดียว เริ่มจากศาลาที่สร้างในลักษณะเก๋งจีน ในช่วงแรกที่เรามาถึงดอยผาตั้ง อากาศยังค่อนข้างเปิด พอมองเห็นทะเลหมอกที่ยังคงแผ่ตัวปกคลุมยอดดอย แม้ว่าเวลานั้นจะเลย 10 นาฬิกาแล้วก็ตาม แต่เหมือนยิ่งเวลาผ่านไปหมอกยิ่งก่อตัวมากขึ้น จนม่านหมอกแผ่ปกคลุมปิดทิวทัศน์ของประเทศลาวไว้มิดชิด จากเจตนาที่เก๋งจีนนี้สร้างไว้ให้นั่งชมทิวทัศน์ฝั่งลาว ซึ่งเห็นแม่น้ำโขงไหลคดเคี้ยวอยู่ไม่ไกล เราจึงได้เห็นเพียงความขาวบริสุทธิ์ของสายหมอก บนยอดดอยมีพระพุทธรูปปางประธานพรประดิษฐานอยู่ ซึ่งคงไม่มีใครดีใจเป็นที่สุดเท่ากับปริญญ์ เพราะเธอตั้งใจว่าทริปนี้เธอจะไหว้พระให้ครบ 9 วัดให้ได้ (ทั้งๆที่ทริปนี้เป็นทริปขึ้นดอยชมทะเลหมอกและดอกไม้) ไม่รู้ว่าเธอนับพระบนดอยผาตั้งนี้เป็นหนึ่งในเก้าวัดด้วยหรือเปล่า
เอาอีกแล้วเดินขึ้นยอดดอยกันอีกแล้ว น่าจะเป็นคำบ่นในใจของอ๋อย แต่ทางจะไกลและชันแค่ในก็มั่นใจได้เลยว่าใจเธอสู้ แม้จะต้องให้พจและปริญญ์ช่วยกันฉุดช่วยกันดึงขึ้นดอยก็ตามที แต่บนเส้นทางสู่เนิน 102 มีจุดน่าสนใจให้แวะชม ไม่ว่าจะเป็นป่าหินยูนาน มีลักษณะเป็นเหมือนแท่งหินหลายแท่งถูกบีบอัดและเบียดตัวขึ้นมาตั้งอยู่บนยอดดอย ในแนวป่าหินยูนานนี้เกิดเป็นช่องเขาขาด เกิดจากแนวผาหินได้แยกขาดออกจากกันเป็นช่องว่างให้เราตั้งหลักถ่ายรูปกันจนปิดช่องว่างนั้นเกือบมิด ไม่ใช่เพราะมีใครตัวใหญ่หรอกนะ แต่รูปนี้เป็นรูปหมู่เพียงรูปเดียวที่ทั้งคณะ 4 คันรถตู้ถ่ายร่วมกัน แต่นั้นก็เพียงแค่ 15 คนเท่านั้น
การเดินขึ้นเนิน 102 นั้นถูกทำเป็นขั้นบันได ทอดสายตามองขึ้นไปแล้ว ฮืมม…ชันไม่เบา แต่พอขึ้นมาแล้วก็ไม่รู้ว่าขึ้นมาทำอะไร เพราะทิวทัศน์รอบข้างนั้นถูกปกคลุมด้วยม่านหมอก แต่หากการขึ้นสู่เนิน 102 นี้กลับเกิดภาพเด็ดๆหลายภาพ ด้วยฝีมือการออกแบบภาพถ่ายของพี่ตี๋ เริ่มจากภาพนอนหมอบเรียงหน้ากันเป็นแถว ซึ่งงานนี้นอกจากกลุ่มเรา 6 คนยังได้พี่ตุ๊กมาร่วมนอนหมอบย้อนวัยเด็กกับเราด้วย รูปแรกๆก็นอนหมอบเอามือเท้าคางกันดีๆ แต่รูปต่อๆมาเริ่มมีการยกขา(หลัง)ขึ้นมากระดิกกันด้วยซิ จากนั้นเป็นอีกไอเดียเด็ด นั้นคือการกระโดดบนดอย ทั้งกระโดดเดี่ยวและกระโดดหมู่ งานนี้พี่ตุ๊กของบาย แต่พวกเรากลับกระโดดอย่างสนุกสนาน แถมติดใจไปกระโดดกันต่อที่เชียงของ ทำให้เราได้รู้ว่าบางทีกิจกรรมเด็ดๆก็กลับเพิ่มสีสันให้กับสถานที่ที่เราไปได้มากทีเดียว
น้องไกด์ท้องถิ่นจะพาเราขึ้นเนิน 103 ต่อ แต่ดูเวลาแล้วคงไม่พอ แต่ที่สำคัญนั้นคือคงมีใครหลายคนบอกกับใจตัวเองว่า พอแล้ว ฉันไม่อยากเดินแล้ว… เราจึงเดินย้อนกลับ และย้อนเดินลงไปดูผาบ่อง ผาบ่องนี้เป็นช่องหน้าผา ด้านบนมีบังเกอร์สำหรับเฝ้าสังเกตการณ์ของทหารอดีตกองพล 93 หากเดินผ่านช่องนี้ไปจะเข้าสู่ประเทศลาว ที่จุดนี้จึงได้ชื่อว่า ผ่าบ่องประตูสยาม ในอดีตยังมีชาวบ้านใช้ช่องทางนี้เดินข้ามไปมา แต่วันนี้ผู้คนบนเส้นทางได้จางหาย ทิ้งไว้เพียงรอยทางของเส้นทางเท่านั้น
เดินเที่ยวบนยอดดอย สุดท้ายแล้วเวลาเที่ยงก็ต้องมานั่งทานข้าวกล่องบนขั้นดินที่เขาเตรียมปลูกดอกไม้ริมถนน ดูแล้วซำเหมาจริงๆ แต่ก็เป็นเพียงมื้อเดียวในทริปที่เป็นเช่นนี้ ส่วนมื้ออื่นนั้นใช้ได้ทุกมื้อ แถมทานเกินโควต้าไปเสียทุกมื้อ ดีนะที่วุฒิทานมังสาวิรัตจึงเป็นการเฉลี่ยค่าอาหารของกลุ่มเราได้เป็นอย่างดี ในเวลาที่เราจะลาจากดอยผาตั้ง หมอกได้ลงหนักกว่าเดิม อย่าว่าแต่ทิวทัศน์ที่อยู่ไกลออกไปจะถูกปกคลุมเลย แค่รอบๆตัวเราในระยะ 3 เมตรก็ขาวโพลนไปด้วยม่านหมอก
No comments:
Post a Comment