จากการไต่ยอดดอยมาตามเส้นทางที่ผ่านมา ลงกลับมาสู่พื้นราบของอ.เชียงของ อำเภอใหญ่อำเภอหนึ่งในจ.เชียงราย ที่เป็นเหมือนประตูในการเดินทางสู่ประเทศลาว คืนนี้เราพักกันที่เดอะริเวอร์ไซค์ แน่นอนกลุ่มเราได้กางเต๊นท์กันอีก คืนนี้เรามากางเต๊นท์ริมแม่น้ำ และที่สำคัญคือเป็นมหานทีนามว่าโขง แม้ช่วงนี้ผมจะมีโอกาสมาสัมผัสแม่น้ำโขงค่อนข้างบ่อย แต่ก็ดีใจเสมอที่ได้กลับมาเห็น ที่เชียงของนี้เป็นที่สุดท้ายที่แม่น้ำโขงจากเคลื่อนตัวจากแผ่นดินไทยเข้าสู่ลาว เพื่อเข้าสู่หลวงพระบาง และกลับมาเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างไทย-ลาวอีกครั้งที่อ.เชียงคาน จ.เลย และที่สำคัญหากสังเกตชื่ออำเภอ เชียงของ คำว่าเชียงหมายถึงเมือง ส่วนแม่น้ำโขงนั้นชาวลาวหรือชาวถิ่นเรียกว่าแม่น้ำของ (คู่กับแม่น้ำสาละวินที่คนถิ่นเรียกว่าแม่น้ำคง) ฉะนั้นเชียงของนี้ก็คือเมืองที่ตั้งอยู่ที่แม่น้ำโขงนั้นเอง
เดอะริเวอร์ไซค์นั้นจัดแต่งเป็นลักษณะเกสท์เฮาส์ หากตัดปัญหาเรื่องห้องน้ำส่วนกลางไปแล้ว ที่นี้ก็มีมุมดีๆได้นั่งดื่มกาแฟ อ่านหนังสือ วาดภาพ หรือแม้แต่นั่งเหม่อมองแม่น้ำโขง ขึ้นอยู่กับว่าใครจะชอบสิ่งใด อีกทั้งพี่สาวและน้าเจ้าของก็อัธยาศัยดี น่ารักหรือเป็นเพราะอากาศที่ดีและทิวทัศน์ที่สวยงามช่วยทำให้คนที่นี้อารมณ์ดี อยากอารมณ์ดีแบบถาวรอย่างนี้บ้างจริงๆ
ที่เชียงของนี้มีวัดเล็กๆที่น่าเที่ยวหลายวัด เริ่มจากวัดศรีดอนชัย วัดนี้มีพระอุโบสถที่ไม่ต่างจากวัดทั่วไป แต่ที่บานประตูนั้นมีภาพจำหลักปิดทองที่งดงาม ภายในประดิษฐานพระประธานนามว่าหลวงพ่อเพชร ถัดไปเป็นวัดพระแก้ว วัดเก่าแต่ที่ตั้งริมแม่น้ำโขง แต่ชื่อวัดพระแก้วนี้ไม่ได้เชื่อมโยงกับพระแก้วมรกตที่ได้ถูกอัญเชิญไปหลายที่ ที่เชียงรายนี้ก็เคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตเป็นเวลา 45 ปี แต่หากเป็นที่วัดพระแก้วนี้ในเมืองเชียงราย แต่วัดพระแก้วที่เชียงของนี้ก็เป็นวัดเก่าและมีความสำคัญ โดยช่วงที่เราไปนั้นเห็นชาวบ้านกำลังเตรียมงานกันอยู่เพราะในวันพรุ่งนี้จะมีงานนมัสการพระธาตุ ซึ่งอยู่ข้างพระอุโบสถหลังเก่า ในตำนานพระธาตุองค์นี้บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า
ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1020 ที่ทอดผ่านกลางเมืองเชียงของมาสิ้นสุดลงที่ทางเข้าท่าเรือบั๊ค ทางเรือข้ามฟากไปยังเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ของประเทศลาว ในวันนี้ เวลานี้เราไม่มีโอกาสข้ามฟากไปยังอีกฝั่งหนึ่งของสายน้ำ (เพราะเย็นแล้ว จริงๆหากยังบ่ายอยู่ก็คิดว่าจะแอบชวนเพื่อนข้ามไปเดินเล่นเหมือนกัน) จึงได้เพียงมองบ้านเรือนจากฝั่งตรงข้าม แต่สำหรับเอกแล้วมาที่นี้ก็ไม่เสียเที่ยวเพราะได้ประทับตราพาสปอร์ต โดยมีปริญญ์ช่วยเกลี้ยกล่อมเจ้าหน้าที่ ไม่ใช่เพราะเราไม่ได้ข้ามไปฝั่งลาว แต่เป็นเพราะหนังสือพาสปอร์ตนั้นเป็นพาสปอร์ตของอุทยานแห่งชาติ เจ้าหน้าที่เป็นงง!!!
เที่ยววัดยังไม่หมด เรามาที่วัดสบสม (เป็นที่ถูกใจของปริญญ์) เพราะเราใช้พื้นที่วัดนี้เป็นที่จอดรถเนื่องจากเดอะริเวอร์ไซค์ซึ่งอยู่ใกล้ๆนั้นนั้นไม่มีที่จอด ทำให้เรามีโอกาสเข้าไปไหว้พระในวัดแม้ว่าเวลานี้จะเย็นมากแล้วก็ตาม ภายในพระอุโบสถนั้นประดิษฐานพระประธานศิลปะมอญเพราะองค์พระนั้นทาปาก ส่วนชื่อสบสมนั้นคงเพราะวัดนี้ตั้งบริเวณปากแม่น้ำสายเล็กๆถ้าให้เดาน่าจะชื่อว่าแม่น้ำสม ซึ่งไหลลงสู่แม่น้ำโขง
พี่ตี๋พากลุ่มเราเดินลัดเลาะสู่ริมแม่น้ำโขง ด้วยทางที่ค่อนข้างเดินลำบาก ทำให้พจกับอ๋อยไปยอมเดินลงมา แต่สุดท้ายคงอดไม่ได้จึงค่อยๆจูงมือกันลงมาบ้าง จริงๆมีเพียงเรือไม้ลำเล็กๆ 2 ลำเท่านั้นที่จอดอยู่ริมตลิ่ง แต่เรือไม้ 2 ลำนี้กลับทำให้พี่ตี๋สร้างภาพให้พวกเราหลายภาพในการถ่ายรูปซึ่งดูเหมือนเรากำลังนั่งเรือล่องไปตามแม่น้ำโขง หากเป็นภาษาลาวก็ต้องพูดว่า พร้อมใจแหกตาเบิ่ง และแล้วบนผืนทรายริมสายน้ำก็กลายเป็นสนามให้พวกเราได้กระโดดถ่ายรูปกันอีกหลายรูป ไม่ว่าจะเป็นภาพเด็ดอย่างกระโดดแตะมือกัน หรือภาพเอกกับผมกระโดดถีบกัน และเพราะการที่พี่ตี๋พาลงริมแม่น้ำโขงประกอบกับห้องน้ำรวมซึ่งมีเพียง 2 ห้องเท่านั้นทำให้เกิดการรอคิวอาบน้ำที่นานมาก หากรออาบคงต้องหลังจากอาหารค่ำ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นแล้วอุณหภูมิที่เย็นลงต้องทำให้เราตัดสินใจไม่ยากที่จะไม่อาบน้ำ ผมกับเอกจึงชวนกันไปอาบน้ำที่แม่น้ำโขง เพื่อสร้างเป็นประวัติศาสตร์ส่วนตัวว่าครั้งหนึ่งเราได้เคยมาอาบน้ำในมหานทีแห่งนี้
เย็นนี้เราไปทานอาหารร้านหรูสุดในเชียงของ ที่ร้านนางนวล อยู่ริมแม่น้ำโขงที่บ้านหาดไคร้ ซึ่งที่นี่เป็นแหล่งจับปลาบึกที่ใหญ่ที่สุด และค่ำนี้เราก็ได้ทานต้มยำปลาบึก (สำหรับผมแล้วเป็นครั้งแรกที่ได้ทาน แม้จะได้ทานแค่ชิ้นเดียวก็ตาม แต่ก็ทำให้รู้ว่าเนื้อปลาบึกนั้นจะมีหนังที่หนา คล้ายหนังของหมูสามชั้น) หนังท้องตึง หนังตาเริ่มหย่อน แต่เรายังไม่ได้นอน คืนนี้เรามีกิจกรรมเล่นรอบกองไฟ ตามสไตล์ของ TKT นั้นคือการแนะนำตัวเพราะท่าประกอบ และให้แต่ละกลุ่มจำท่าของเพื่อนๆกลุ่มอื่น หากกลุ่มไหนแพ้ต้องเต้นท่าไก่ย่าง แต่ไม่ใช่ไก่ย่างธรรมดานะ หากเป็นไก่ย่างเมตริกซ์ ไม่มีใครเต้นได้เหมือนเท่าพี่ตี๋เลย โดยเฉพาะท่าหลบกระสุนนั้นทำได้เหมือนในหนังมาก ไม่รู้ว่าไปฝึกท่านี้มาจากฮอลีวูดหรือเปล่า
ตื่นเช้ากันอีกหนในเวลาตี 5 นอกจากพจซึ่งยอมเสียสละนอนเฝ้าเต๊นท์แล้ว กลุ่มเราไปตลาดเช้ากันทั้งกลุ่ม พร้อมกับเพื่อนกลุ่มอื่นอีก 2 คน และตัวแทนของสต๊าฟคือพี่ตี๋กับน้องอร จากที่พักเราเดินไปตามท้องถนนที่ยังคงปกคลุมด้วยความมืดและความเงียบ ข้ามแม่น้ำสม(น่าจะชื่อนี้นะ) ก็ถึงตลาดเช้า ซึ่งเป็นตลาดเล็กๆ เรามาซื้อของใส่บาตรกัน ทั้งข้าวเหนียว แกง ผลไม้และขนม และตลาดเล็กๆนี้ทำให้รับรู้ว่าวันนี้ในเมืองไทยยังมีแกงถุงละ 5 บาทขายอยู่
ยามเช้าเรานั่งทานกาแฟ ปาท่องโก๋และโจ๊กกันที่สนามหญ้าริมแม่น้ำโขง และนั่งรอใส่บาตรกับพระที่มาบิณฑบาตรหน้าที่พัก มาเชียงของครั้งนี้ไม่ได้อะไรกลับไปนอกจากความสุขใจที่ได้มาสัมผัสเมืองงามริมโขงและปาท่องโก๋แสนอร่อยถุงใหญ่ที่พี่เจ้าของเดอะริเวอร์ไซค์ใส่ถุงให้ไปทานระหว่างทาง
บนเส้นทางจากเชียงของผ่านเชียงแสนนั้น ขนานไปกับการไหลย้อนลงมาของแม่น้ำโขง บางช่วงของสายน้ำเห็นแก่งหินโผล่พ้นผิวน้ำ สร้างความสวยงามให้ได้เห็น แล้วเราก็ลงมาสัมผัสแม่น้ำโขงกันอีกครั้ง ในจุดแรกพบที่สายน้ำไหลมาสัมผัสแผ่นดินไทยที่สามเหลี่ยมทองคำ ในวันนี้นอกจากปูนปั้นรูปช้าง นกยูงและนาคที่ต่อตัวรับขอบโค้งไปตามรูปร่างของซุ้มประตูแล้ว มองไปบนแผ่นดินไทยที่จุดบรรจบของแม่น้ำโขงและแม่น้ำรวกอันเป็นจุดแบ่งเขตแดนระหว่างไทย ลาวและพม่า จะพบเห็นพระพุทธรุปปางมารวิชัยสีทองอร่ามองค์ใหญ่ นามว่าพระพุทธนวล้านตื้อปรากฎเป็นสัญลักษณ์ใหม่ของสถานที่แห่งนี้
ถึงเวลาช๊อปปิ้งกันจริงๆเสียทีในตัวเมืองแม่สายที่ชายแดนมีเพียงลำน้ำสาย ลำน้ำเล็กๆที่กั้นระหว่างแผ่นดินไทยกับพม่า ที่นี้ยังคงคึกคักด้วยผู้คนและของขายนานาชนิด หลังจากถ่ายรูปกับป้ายเหนือสุดแดนสยามกับหลักเขตแดนเรียบร้อยแล้ว ต่างคนก็ต่างไปช๊อปปิ้งตามความประสงค์ เพราะเวลาที่นี้มีค่อนข้างน้อย แต่สำหรับผมแล้วไม่ลืมที่จะแวะไปชมตลาดและภาพของวัดพระธาตุดอยเวา เพื่อรำลึกถึงการมาแม่สายครั้งแรกเมื่อ 6 ปีที่ผ่านมา และจะกลับมายืนที่นี้ทุกครั้งหากชีวิตได้เดินทางย้อนกลับมา
เพราะกลุ่มเราทำเวลาในการช๊อปปิ้งได้ดี เราจึงรวมตัวตามกำหนด น้องอรตัดสินใจพาเรานำสู่ดอยตุงก่อนคันอื่น เพื่อเราจะได้มีเวลาชมดอกไม้ให้มากๆ ณ.เวลานั้นเราไม่คิดเลยว่าการตัดสินใจแยกออกไปคันเดียวนั้นจะทำให้เราต้องแยกออกจากกลุ่มไปตลอดทั้งวัน
No comments:
Post a Comment