Sunday, September 28, 2014

หนีห่าว...ไต้หวัน

บันทึกการท่องเที่ยว ไต้หวัน 8 – 12 ส.ค. 57

8 .. 57

ทัวร์กินช้อปไต้หวันคราวนี้ ประกอบด้วย 3 สาว พจ หมอปุ้ม และแมว เริ่มออกเดินทางกันตั้งแต่เที่ยงวัน ใช้วิธีเหมาแท็กซี่ไปส่งสุวรรณภูมิ แวะรับหมอปุ้มที่ รพ.สต. แล้วก็วิ่งยาวเลย รถติดบ้างเล็กน้อยเนื่องจากกำลังเริ่มต้นวันหยุดยาว ไปถึงสนามบินก็สอดส่ายสายตามองหาของกินแก้คลื่นไส้ เนื่องจากคุณลุงแท็กซี่ขับปาดซ้ายปาดขวาทำเอาเวียนหัวนิดๆ ได้น้ำสตอเบอร์รี่ปั่นของสตาร์บัคมาเพิ่มน้ำตาลในเลือดค่อยหายเวียนหัว มาหน้ามืดเอาตอนจ่ายเงินทีเดียว อิอิ

พอแมวมาถึงในชุดกระโปรงทำงาน (และกำลังจะเป็นชุดนอน ชุดเที่ยว) พวกเราก็พากันไปเช็คอินสายการบินไทย โชคดีที่เคาน์เตอร์เปิดเร็ว พอพนักงานบอกว่าวีซ่าของแมวซึ่งยื่นขอโดยใช้วีซ่าอเมริกานั้นระบุเลขที่วีซ่าผิด พวกเราจึงมีเวลาไปใช้อินเตอร์เน็ตที่ไปรษณีย์ของสุวรรณภูมิยื่นขอวีซ่าและพิมพ์เอกสารออกมาใหม่

อย่างไรก็ดี ยังมีเวลาให้สาวๆ ขาช้อปซื้อของปลอดภาษีและพากันไปกินดื่มกันที่ King power lounge อีกพอสมควร แต่สุดท้ายเครื่องก็ delay ให้ต้องรอกันอีกพักใหญ่

3 ชั่วโมงครึ่งต่อมา พวกเราก็มาถึงสนามบินเถาหยวน อาศัยนอนบนเครื่องนิดๆ หน่อยๆ เพราะมาถึงดึกพอสมควร เครื่องการบินไทยลงที่ Terminal 1 เดินไปไม่ไกลก็ถึงทางลงมาซื้อตั๋วรถบัสเข้าเมือง เนื่องจากเป็นเวลาดึกแล้ว และยังไม่มีรถไฟฟ้าวิ่งมาถึงสนามบินโดยตรง พวกเราจึงไม่เลือกที่จะเข้าไทเปด้วยการนั่ง shuttle bus ไปที่สถานีรถไฟความเร็วสูง (High speed rail: HSR)

ตามที่หนังสือท่องเที่ยวและเว็บไซต์ที่พวกเราหาข้อมูลมา แนะนำตรงกันคือให้ขึ้นรถบัสของบริษัทกั๋วกวง (King bus) สาย 1819 ซึ่งขายตั๋วอยู่ช่องที่ 7 ของสนามบิน ราคาคนละ 125 NT (New Taiwan dollar) ละเอียดกันขนาดนี้ทำให้พวกเราต้องทวงเงินทอนเมื่อจ่ายแบ๊งค์พันไปแล้วเหลือเงินติ๊ดเดียว ไม่แน่ใจว่าพนักงานง่วงเลยทอนเงินผิดหรือคิดจะโก่งราคา

ออกมาถึงช่องจอดรถ รอได้สักพักก็ได้เพื่อนคนไทยที่มาคนเดียว น้องคนนี้เคยทำงานอยู่ที่ ม.ศิลปากร วิทยาเขตเพชรบุรีซะด้วย พอรถมาจอด ลุงคนขับก็ล้งเล้งเป็นภาษาจีน ส่วนพวกเรามีหน้าที่ยื่นตั๋วให้ดู แล้วบอกสถานที่ลง (Taipei Main Station) ต่างคนต่างก็พูดกันคนละภาษา แต่สรุปก็คือคนที่ลงสถานีเดียวกันให้เอากระเป๋าเดินทางวางไว้ในช่องเดียวกัน

หมอปุ้มเห็นว่าน้องมาหลายครั้งแล้วเลยถือโอกาสไปนั่งด้วยและสอบถามข้อมูลตลอดทาง แต่ข้อใหญ่ใจความที่ได้มาคือให้พวกเราไปซีเหมินติ่ง หรือสยามสแควร์ไต้หวัน แล้วไปกินบุฟเฟ่ต์ที่ร้านหมาล่า ซึ่งเป็นร้านสไตล์สุกี้และมีไอศกรีมฮาเก้นด๊าซให้กินไม่อั้น ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าน้องบอกทางไปไม่ถูกและไม่มีป้ายชื่อร้านเป็นภาษาอังกฤษ!

มาถึง Taipei bus station ไม่ใช่ Main station อย่างที่เข้าใจ ถามอีกครั้งคนในรถบอกว่าให้ลงตรงนี้แหละ พวกเราลงมายืนเอ๋อกันพักนึง โบกมือลาส่งคุณน้องที่เพิ่งรู้จักขึ้นรถแท็กซี่ จากนั้นก็ค่อยคลำทางไปโรงแรม เนื่องจากเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว จะลงไปทางใต้ดินคงไม่ดี เดินวนไปวนมาจนเจอสัญลักษณ์ที่เป็นทางเข้าสถานีรถไฟไต้ดิน เช่น Y1 หรือ M1 แต่ที่พักของเราอยู่ระหว่าง Y11 กับ Y13 ก็เลยเดินกันไกลนิดนึง 

หลังจากข้ามถนน ลัดเลาะลานจอดรถ ในที่สุดก็มาถึงหน้าโรงแรมกันจนได้ ลิฟท์เปิดออกมาถึงกับใจหายเพราะภายในลิฟท์บุด้วยไม้อัดเก่าๆ ธรรมดาๆ จะลองชกดูว่าบางจนทะลุได้หรือเปล่าก็กลัวเสี้ยนทิ่มเป็นบาดทะยักกันเสียเปล่าๆ เมื่อไม่มีบันไดให้เดินขึ้นก็จำใจเข้าลิฟท์ พจกับหมอปุ้มเคยขึ้นลิฟท์ส่งของที่จะพังแหล่มิพังแหล่ที่อินเดียกันมาแล้ว ประสาทเลยออกจะแข็งกว่าแมวนิดหน่อย แต่อย่างไรก็ตามพวกเราก็ได้แต่หวังว่าลิฟท์จะพาขึ้นไปจนถึงโรงแรมซึ่งอยู่ชั้น 3 ได้อย่างปลอดภัย

ที่เคาน์เตอร์โรงแรมราวกับเป็นคนละภพกับภายในลิฟท์ เพราะดูสะอาดสะอ้านเหมือนรูปในหน้าเว็บ และที่สำคัญมีพนักงานต้อนรับเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาหล่อเหลา โดนใจป้าๆ เป็นอย่างยิ่ง

ห้องของพวกเรามีเตียงใหญ่ 1 เตียงเล็ก 1 ให้นอนกัน 3 คน ห้องน้ำกว้างขวาง และมี wifi ระหว่างที่เพื่อนๆ กำลังเข้าสู่โลกโซเชียล พจนารถก็ถือโอกาสอาบน้ำก่อนแล้วรีบนอนด้วยความเร็วแสง

9 .. 57

พออายุเริ่มมากขึ้น ได้พักผ่อนก่อนค่อยเที่ยวจะรู้สึกสดชื่นมากกว่ามาถึงกลางวันแล้วเที่ยวต่อเลย และยิ่งสดชื่นขึ้นมาอีกเมื่อน้องหล่อที่เคาน์เตอร์ยังไม่ออกเวร ยังคงยืนคอยอรุณสวัสดิ์...อา ความหวังหลังรอยยิ้ม!

โปรแกรมของวันนี้ พวกเราจะไปพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน หรือกู้กง พอสว่างแล้วเลยทดลองใช้เส้นทางใหม่ที่ไม่ได้ผ่านมาเมื่อคืน ก็ปรากฎว่า แค่เดินอ้อมตึกไป เราก็เจอทางลงไปยัง main station (Y13) ใช้เวลา 5 นาที อย่างที่คนพักโรงแรมก่อนหน้านี้แสดงความคิดเห็นไว้จริงๆ

ทีแรกตั้งใจกันว่าจะหาซื้อบัตร MRT หรือ Easy card เพื่อใช้ขึ้นรถไฟใต้ดินกันก่อน แต่พอท้องเริ่มร้อง กองทัพก็ไม่ยอมเดิน ถึงแม้ว่าร้านค้าภายในสถานีจะมีมากมายก็จริง แต่ในเวลาเช้าอย่างนี้ไม่ค่อยมีร้านเปิด โดยเฉพาะร้านอาหาร ที่พึ่งพิงของพวกเราก็คือ 7 – 11 ที่ทุกความเห็นและหนังสือแนะนำว่า หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา” ได้จริงๆ

พวกเราทดลองกินโอเด้ง ลูกชิ้น ในน้ำซุป ส่วนอาหารหลักเป็นมาม่าหรือข้าวปั้นกันตามสะดวก จากนั้นก็สานต่อภารกิจซื้อบัตร Easy card กันต่อ จากที่นั่งพักกินข้าวเช้า จะใกล้กับเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติมากกว่า พวกเราเลยเลือกที่จะจองตั๋ว HSR ไปสถานีไถจง (Taichung) เพื่อเดินทางไปทะเลสาบสุริยันจันทรากันในวันพรุ่งนี้ เนื่องจากตู้ขายตั๋วอยู่ติดๆ กัน เราจึงเลือกตู้ที่มีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการ หลังจากบอกวันที่และสถานที่จะไปแล้ว คุณลุงเจ้าหน้าที่ก็อำนวยความสะดวกให้ แต่พอทำรายการขากลับเกิดมีปัญหา เจ้าหน้าที่ก็เลยให้ไปซื้อตั๋วที่ช่องขายตั๋วแทน

ตอนนั้นเราแค่รู้สึกแปลกใจเพราะในหนังสือท่องเที่ยวซึ่งอธิบายการซื้อตั๋วจากเครื่องอัตโนมัติอย่างละเอียดพร้อมรูปถ่าย มีช่องทำรายการที่ไม่เหมือนกัน มาถึงบางอ้อตอนที่เดินหาช่องขายตั๋วของ HSR และเจอกับเครื่องอัตโนมัติของ HSR ที่อยู่ใกล้ๆ กัน แสดงว่าเครื่องอัตโนมัติที่คุณลุงเจ้าหน้าที่ประจำอยู่นั้นเป็นของรถไฟธรรมดาวิ่งระหว่างเมือง หรือ Taiwan Railway Administration (TRA) ซึ่งมีสถานีไถจงเช่นเดียวกัน แต่ใช้เวลาวิ่งนานกว่า

จองตั๋วกันเองเสร็จสรรพจนเริ่มรู้สึกเมื่อย ขี้เกียจเดินหาซื้อบัตร Easy card ต่อ นึกขึ้นได้ว่าที่ 7 -11 ก็มีขาย และดูจะหาง่ายกว่าเครื่องขายตั๋วที่ติดกันเป็นพรืด แต่ที่ไหนได้ ในสถานีชุมทางเช่นนี้ บัตร Easy ต้องซื้อเอาที่ตู้อย่างเดียว และตู้ขายบัตรจะแบ่งเป็นตู้เงินสดและบัตรเครดิต ส่วนบัตรก็จะแยกเป็นขายบัตรอย่างเดียว 100 NT แล้วต้องเติมเงินอีกรอบตามราคาที่ต้องการ สรุปว่าพวกเรา 3 คน ต้องทำรายการที่ตู้ทั้งหมด 6 ครั้ง! ชาวไต้หวันที่ต่อแถวข้างท้าย ถึงกับย้ายไปต่อคิวเครื่องอื่นกันทีเดียว ปล่อยให้ป้าๆ มะงุมมะงาหราอยู่กับหน้าจอตามสบาย

วันนี้พวกเราวางแผนเที่ยวเนิบช้า สร้างความคุ้นเคยกับระบบขนส่งมวลชนกันก่อน ใช้คำซะดี ที่จริงก็คือเผื่อเวลาหลงไว้เยอะนั่นเอง สถานที่แรกคือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติกู้กง เพื่อนๆ ถึงกับงงที่พจนารถบอกจะใช้เวลาดูซัก 3 ชั่วโมง ทำท่าสนใจศิลปวัตถุอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ที่จริงเป้าหมายลึกๆ ก็คือเกาะติดสมบัติล้ำค่าของจีนแผ่นดินใหญ่ เอาไว้มามโนต่อกับหนังสือนิยายบันทึกจอมโจรฯ นั่นเอง ฮิฮิ

จากสถานีรถไฟฟ้า MRT main station สายสีแดงไปลงสถานีซื่อหลิน (Shilin) Exit 1 เดินตามๆ เขาไปก็จะพบป้ายรถเมล์หน้าร้านวัตสัน รอรถไม่มาซักที แมวเลยเข้าไปซื้อกาแฟที่ร้านแถวนั้นมากินไปพลางๆ ส่วนพจกับหมอปุ้มได้น้ำถั่วเขียวกับไอศกรีมใน family mart กันมาคนละอย่าง

ไม่ต้องดูสายรถ เพราะทันทีที่รถจอด คุณลุงคนขับก็ตะโกนว่ากู้กง ให้ทุกคนกรูกันขึ้นไป เราชู Easy card เป็นเชิงถามว่าต้องแตะบัตรก่อนไหม? คุณลงก็โบกมือให้เดินเข้าไปเลย เป็นอันรู้กัน...ภาษาใบ้ international ไปได้ทั่วโลกจริงๆ

ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ก็มาถึงกู้กง คราวนี้ก่อนลงใครที่มี Easy card ก็แตะบัตรข้างคนขับ ส่วนใครไม่มีก็หยอดเหรียญลงในช่องใส่เหรียญ


เนื่องจากเป็นวันหยุด ผู้คนทั้งจีนและไม่จีนจึงล้นหลาม ซื้อบัตรผ่านประตูได้ เราก็ต้องฝากกระเป๋ากันที่ช่องรับฝากซึ่งก็คือเดินเข้าไปวางเฉยๆ ส่วนน้ำดื่มวางไว้ที่โต๊ะด้านนอก หากจะกลับมาเอาก็เขียนชื่อติดเอาไว้ ระหว่างที่แมวเอาเป้ไปฝาก เราก็คิดวิธีฆาตกรรมด้วยการหยอดยาลงไปในขวดน้ำที่ต้องวางทิ้งไว้ ซึ่งส่วนใหญ่เจ้าของจะเปิดขวดกินไปบ้างแล้ว...น่าเสียดายที่กระเป๋าของหมอปุ้มดันสะพายเข้าไปได้เลยไม่ต้องเดินไปฝาก

ผ่านบริเวณตรวจบัตรเข้าไปด้านในแล้ว พวกเราถึงนึกได้ว่าไม่ได้หยิบแผนผังห้องจัดแสดงมาด้วย อย่างนี้จะไปดูไฮไลท์ครบได้อย่างไร เราได้แต่พูดเล่นว่าออกไปไม่ได้แล้วก็หาเอาตามพื้นละกัน เผื่อใครจะทิ้ง แมวรีบตัดเยื่อใยว่าคนเพิ่งเข้ามาใครเขาจะทิ้ง เราได้แต่แถไปว่าไม่เชื่อไปดูในห้องน้ำสิ คนจะกลับแล้วต้องทิ้งแน่ๆ ว่าแล้วก็เดินเข้าห้องน้ำไปทำธุระ ออกมาอีกทีปรากฎว่าหมอปุ้มได้โบชัวร์ภาษาจีนจากถังขยะในห้องน้ำมาชุดหนึ่งจริงๆ...เอิ่มม!?!  พวกเรากลับมาที่ประตูทางเข้าใช้ภาษาใบ้อีกนิดหน่อย เจ้าหน้าที่ก็ปล่อยให้คนต่างชาติทั้ง 3 ออกมาหยิบโบชัวร์กันตามสบาย ส่วนเครื่องบรรยายต้องไปต่อคิวเช่าอีกยาว ก็เลยไม่รอ

ไฮไลท์ของกู้กงนี้ก็คือหยกแกะสลักรูปผักกาดขาว มีตั๊กแตนเกาะอยู่ด้านบน และหยกสีน้ำตาลรูปเนื้อหมูสามชั้น ทั้ง 2 ชิ้นงดงามเหมือนจริงมาก ในห้องจัดแสดงยังมีจอภาพขนาดใหญ่ซูมให้เห็นรายละเอียดของหยกทั้ง 2  ชัดๆ ที่จริงข้อบังคับของที่นี่คือห้ามถ่ายรูป แต่เนื่องจากคนเยอะมาก เจ้าหน้าที่คงดูแลไม่ทั่วถึง เลยเห็นบางคนควักมือถือออกมาถ่ายรูป ไม่ใส่ใจสายตาติเตียนของคนรอบข้าง

ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ในกู้กงนั้นมีจำนวนกว่า 6 แสนชิ้น นับว่านายพลเจียงไคเช็คหิ้วข้ามทะเลมาได้มากโขอยู่ ถึงแม้พิพิธภัณฑ์นี้จะกว้างใหญ่ไพศาล แต่ก็ยังไม่สามารถจัดแสดงสมบัติทั้งหมดได้ ต้องหมุนเวียนกันแสดงทุก 3 เดือน ไม่เห็นใจพิพิธภัณฑ์ปักกิ่งที่สร้างไว้รอท่าเลย

ถัดจากเครื่องหยกก็เป็นเครื่องหมิงชิง จำพวกโลหะ เซรามิก ถ้วยโถโอชาม พวกเราเดินลงบันไดผ่านห้องจัดแสดงภาพวาดและบันทึกอักษรโบราณกันอย่างหิวโหยยามบ่ายโมง ไม่ลืมออกมาถ่ายรูปด้านหน้าพิพิธภัณฑ์เล็กน้อยแล้วค่อยอำลากู้กงไปหาของกิน จาก 3 ชั่วโมงที่ตั้งเป้าไว้ ก็เลยเหลือแค่ 1.5 ชั่วโมง...เศร้า!

เราโปรยเมนูยั่วน้ำลายเพื่อนๆ เอาไว้อย่างดีว่าแถวๆ MRT ซื่อหลินนั้น มีคนแนะนำร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ หมีใหญ่สุดอร่อยเอาไว้ ทำไมถึงหมีใหญ่? เพราะที่หน้าร้านมีตุ๊กตาหมีตัวเบ้อเร่ออยู่ตรงบานกระจก แต่พอลงจากรถบัส ที่คุณลุงคนเดิมขับมาจอดฝั่งตรงข้ามป้ายรถเดิม เดินหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ หันมามองเพื่อนร่วมทางที่ทำท่าจะกินหมีใหญ่ตัวที่เดินนำอยู่นี่แทนแล้ว เราก็รีบเปลี่ยนร่างเป็นริวจิตสัมผัสแทน...ม่ายช่าย ใช้จมูกสอดส่ายจนได้กลิ่นเนื้อวัวตุ๋นที่ถนนฝั่งตรงข้าม ว่าแล้วก็พาเพื่อนๆ เดินไปที่ร้าน ถึงจะไม่มีหมีใหญ่ แต่ด้วยความหิว พวกเราก็มีมติเอกฉันท์เลือกร้านนี้แหละ

ถึงระยะหลังๆ นี้จะไม่ค่อยได้กินเนื้อวัวแล้ว แต่พอมาเจอก๋วยเตี๋ยวเนื้อชามใหญ่ รสชาติดีมาก ไม่นาน ทั้งเนื้อทั้งเส้นที่คล้ายราเม็งก็ลงมาอยู่ในพุงป่องๆ อย่างรวดเร็ว ไม่ทันได้พิสูจน์ว่าพอมากินเนื้ออีกจะรู้สึกเหม็นสาบเหมือนที่เขาว่าไว้หรือเปล่า

แมวแนะนำขนมเค้กน่ากินในร้านกาแฟที่ซื้อก่อนไปกู้กง พวกเราก็ไม่ขัดแต่ขอเวลาย่อยเนื้อด้วยการช้อปปิ้งในร้านวัตสันกันก่อน ซึ่งก็ได้ผล เพราะต่างคนต่างก็ถูกใจเครื่องสำอางญี่ปุ่นที่ราคาพอๆ กับต้นตำรับ บางอย่างที่จัดรายการยังจะถูกกว่าซื้อที่ญี่ปุ่นด้วยซ้ำ ได้เวลาสมควรพวกเราก็เดินเข้าไปสั่งเค้กและน้ำปั่นมากินกันต่อตามประสาสาวๆ ไม่แคร์แคลอรี่ ช็อคโกแลตบานาน่าสมูตตี้ของพจนารถยังดึงดูดหนุ่มไต้หวันมาสะกิดถามว่า ป้าๆ ไอ้นี่คืออัลไล? จะได้สั่งบ้าง อีกต่างหาก...เวลาเที่ยวเมืองนอกนี่มีเสน่ห์ต่อหญ้าอ่อนนะเนี่ย โฮะ โฮะ

หมอปุ้มยังติดใจแวะวัตสันอีกรอบ ต่อจากนั้นพวกเราก็ยังช้อปร่มพับที่ร้านรายทาง ร่มของไต้หวันก็ถือเป็นของฝากคุณภาพอย่างหนึ่งที่มีผู้แนะนำไว้ เนื่องจากแข็งแรงทนทาน สวยงาม หาซื้อง่าย และราคาไม่แพง จนกลับมาที่สถานีซื่อหลินนั่นแหละ ถึงได้เห็นว่าร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อหมีใหญ่มันก็อยู่ตรงฝั่งขวามือของ Exit 1 นั่นเอง...เฮอะ!

บ่ายคล้อยแล้ว พวกเรากลับมาที่ main station เปลี่ยนจากรถไฟฟ้าสายสีแดง เป็นสายสีน้ำเงินไปลงสถานี Zhongxiao Fuxing เป้าหมายต่อไปก็คือห้างสรรพสินค้า SOGO ซึ่งมี 2 ห้าง คนไทยเรียกว่า ตึกเขียวกับตึกขาวจากสีของตัวตึก ตึกเขียวคือ SOGO สาขา Fuxing จะเน้นแบรนด์เนมเป็นหลัก ส่วนตึกขาวคือสาขา Zhongxiao สินค้าจะมีราคาถูกกว่าหน่อย พวกเรามองหาร้านเสี่ยวหลงเปาเจ้าดังที่ชั้น B2 ของตึกเขียว เห็นว่าคนรอคิวเยอะ และยังอิ่มอยู่ จึงเดินดูของ และชิมพายสับปะรดเจ้าต่างๆ ที่มีให้เลือกแทน (ไหนว่ายังอิ่มอยู่?)

แมวตรงดิ่งไปที่ชั้นแสดงรองเท้าโอนิสึกะซึ่งราคาถูกกว่าเมืองไทยมาก แต่ก็ยังคิดว่าจะลองเปรียบเทียบราคาจากหลายๆ ที่ อย่างเช่นถนนคนเดินซีเหมินติง กับซื่อหลินก่อน ซึ่งตามแผนในคืนนี้ พวกเราจะเริ่มที่ตลาดซื่อหลิน (Shilin night market)

การไปตลาดซื่อหลินนั้น แทนที่จะลงสถานีซื่อหลินเหมือนตอนเช้า พวกเราลงที่สถานี  Jiantan Exit 1 ซึ่งใกล้ตลาดมากกว่า เดินออกมาก็เริ่มเห็นผู้คนทะยอยกันเดินไปเรื่อยๆ ร้านริมถนนส่วนใหญ่เป็นพวกเสื้อผ้า หมวก กระเป๋า แต่มาถึงร้านรองเท้าผ้าใบร้านแรกพวกเราก็หยุดดูอยู่เป็นนาน เพราะทั้งแมวและหมอปุ้มเป็นพวกนิยมรองเท้าผ้าใบกันทั้งคู่ ส่วนพจได้แต่นั่งเป็นนางกวักมองหนุ่มๆ เอ๊ย ติชมรองเท้าที่เพื่อนๆ เลือกมาให้ดูเป็นพักๆ

พจกับแมวใส่รองเท้าเบอร์เดียวกัน เสียแต่ว่าถ้าเป็นรองเท้าทรงเรียวหน้าแคบ เป็นเท้าแมวก็ต้องเพิ่มไซส์ขึ้นอีก ส่วนเท้าพจที่หนากว่าอีกขั้นหนึ่งเรียกได้ว่าไปลองรองเท้าผู้ชายเสียเลยจะดีกว่า หมอปุ้มนั้นใช้กระเป๋าเดินทางใบเล็กบอกว่าไม่คิดจะซื้ออะไรมาก แค่วันแรกก็ได้เครื่องสำอางกับรองเท้าผ้าใบอีกคู่ พจนารถก็เลยชี้ชวนให้ซื้อกระเป๋าเดินทางใหม่อีกใบตามประสาเพื่อนที่ดี

ดูของใช้กันมาก็มาก พอเข้าไปในซอยย่อยๆ ก็เริ่มได้กลิ่นอาหาร พวกเราเปิดเมนูเดินกินกันที่น้ำสมุนไพรสีเหลืองอ่อนที่มีโลโก้เป็นไข่กบ ตามด้วยปลาหมึกตัวใหญ่ชุบแป้งทอด เห็ดออรินจิย่าง ไส้กรอกหมูป่า หอยเชลล์ย่าง ไก่ทอดกรอบร้าน hot star เจ้าดัง แล้วตบท้ายกันด้วยน้ำแข็งไสหน้าผลไม้ เรียกว่าหมอปุ้มเหรัญญิกจดบัญชีตามแทบไม่ทันทีเดียว (เพราะเธอมัวแต่กินอยู่)

ท้ายที่สุดก่อนกลับถึงสถานีรถไฟฟ้า เราก็ยังได้กินชานมไข่มุกกันต่อ ถึงจะไม่ใช่ร้านลุงแว่นเจ้าดัง แต่ก็รสชาติดีตามที่รีวิวของหลายๆ คนเขียนไว้ว่าชานมไข่มุกของไต้หวัน ตัวไข่มุกจะออกหวานและเคี้ยวหนึบ ส่วนชานมก็ไม่ถึงกับจืดจนรับไม่ได้

กลับมาถึงโรงแรมอีกครั้งเกือบ 4 ทุ่ม แวะทักทายน้องหล่อพนักงาน แล้วก็พากันหาข้อสรุปจากการแทะโลมหนุ่มๆ ด้วยสายตาบนรถไฟฟ้ามาทั้งวัน ว่าหนุ่มไต้หวันหน้าตาดีกว่าหนุ่มจีนและญี่ปุ่น...ฟันธง!

10 .. 57

วันนี้แหล่งอาหารเช้าของพวกเราเป็น 7 -11 หน้าโรงแรม ก่อนจะไปยังสถานีรถไฟ HSR เราเผื่อเวลากันไว้พอสมควร ดังนั้นแทนที่จะกินอาหารเช้ากันบนรถไฟเลยเปลี่ยนมากินให้เสร็จตรงที่นั่งรอ พอรถไฟมาถึงและนั่งตรงที่นั่งที่จองไว้ พวกเราก็เล่นโทรศัพท์กันอย่างเพลิดเพลินเพราะบนรถไฟมีสัญญาณ Wifi ให้ด้วย

ใช้เวลา 45 นาทีก็มาถึงสถานีไถจงที่ใหญ่โตราวกับสนามบิน ลงบันไดเลื่อนมาก็จะเจอเคาน์เตอร์ขายตั๋วรถบัสไปทะเลสาบสุริยันจันทรา โดยตั๋วนี้ขายเป็นแพคเกจ ประกอบด้วยตั๋วรถบัสไป-กลับ ไถจง-หนานโถว (Nantou) เมืองที่ตั้งทะเลสาบสุริยันจันทรา ตั๋วกระเช้าชมวิว ตั๋วรถบัสรอบทะเลสาบ เรือโดยสาร และบัตรส่วนลดเช่าจักรยาน พร้อมกับตารางเดินรถ

และเนื่องจากพวกเราจองตั๋วรถไฟกลับเที่ยว 11 โมงเช้า ดังนั้นตามตารางเดินรถที่เห็นทำให้หมดโอกาสเที่ยวบริเวณอื่นๆ ของทะเลสาบรวมทั้งขี่จักรยานในวันพรุ่งนี้ เพราะต้องขึ้นรถเที่ยวแรกเวลา 8.45 น. รถบัสจะมีช่วงเวลาเร่งด่วนที่ไม่จอดตามเมืองต่างๆ ซึ่งจะใช้เวลาวิ่งเร็วกว่าช่วงเวลาปกติถึง 20 นาที

เกือบ 2 ชั่วโมงต่อมาเราก็มาถึงทะเลสาบสุริยันจันทรา เมืองที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวไทย ถึงจะเที่ยงแล้ว แต่เราก็เดินหาที่พักกันก่อนซึ่งไม่ยากนัก เพราะเป็นโฮมสเตย์ที่คนไทยรีวิวกันหลายคน เจ้าของดูเป็นกันเองและใช้ภาษาอังกฤษได้ดีมาก เราไปถึงก็ยังได้เจอคนไทยที่กำลังคืนห้อง พวกเราจองห้องสำหรับ 3 คนไว้ และต้องฝากของไว้ด้านล่างก่อน

จากนั้นหาข้าวกินกันแถวๆ ที่พักเป็นปลาทอด ผัดผัก และเต้าหู้ทรงเครื่อง นับว่าเป็นมื้อแรกที่กินกันเป็นชิ้นเป็นอันในร้านอาหาร อิ่มกันดีแล้วก็ขึ้นเรือที่ท่าเรือหน้าที่พัก

เรือแล่นผ่านเกาะเล็กๆ ชื่อว่าเกาะล่าลู่ ซึ่งเดิมเป็นเกาะใหญ่ที่แบ่งทะเลสาบออกเป็น 2 ฝั่ง คือฝั่งตะวันออกที่รูปทรงคล้ายพระอาทิตย์ กับฝั่งตะวันตกที่คล้ายพระจันทร์เสี้ยว ซึ่งเป็นที่มาของชื่อทะเลสาบสุริยันจันทรา แต่พอสร้างเขื่อนทำให้ระดับน้ำเพิ่มขึ้น เกาะล่าลู่ถูกน้ำท่วมเหลือเพียงพื้นที่เหนือน้ำให้เห็นเป็นเกาะเล็กๆ มีทุ่นปลูกต้นไม้ลอยน้ำ กระจายอยู่รอบๆ คล้ายรัศมีพระอาทิตย์ ทำเอาทีแรกเราเข้าใจผิดว่านี่คือที่มาของชื่อทะเลสาบสุริยันจันทราเสียอีก

ท่าเรือวัดซวงกวง (Xuanguang temple) เป็นจุดจอดเรือแรก พวกเราต้องเดินขึ้นเขาที่ชันเล็กน้อยไปที่วัดซวงกวง หรือวัดพระถังซัมจั๋ง เพื่อไหว้พระและชมวิวทะเลสาบ แต่ชมได้ไม่นานฝนก็ตกลงมาหนาเม็ด เลยลงมานั่งเรือต่อไปยังท่าเรือ Ita Thao แล้วเดินต่อไปยังสถานีรถกระเช้าเพื่อขึ้นกระเช้าชมวิว ระหว่างทางฝนตกหนักขึ้นเลยได้โอกาสหลบฝนและแวะซื้อเสื้อสัญลักษณ์ไต้หวัน พอฝนเริ่มซาเราก็ได้ขึ้นกระเช้าที่ค่อยๆ ใต่ระดับความสูงขึ้นไปท่ามกลางหมอกบางๆ จนถึงหมู่บ้าน Formosan aboriginal culture village หรือหมู่บ้านวัฒนธรรม 9 เผ่า ต้องซื้อบัตรผ่านประตูเพิ่มต่างหากเพื่อเข้าไปดูการแสดงและวิธีชีวิตของชนเผ่าต่างๆ พวกเราเดินดูสินค้าด้านนอกอยู่สักพักก็ขึ้นกระเช้ากลับ 


ฝนหยุดแล้วจึงค่อยมีเวลาชมทิวทัศน์ทางเดินเลียบทะเลสาบผ่านต้นไม้เขียวชอุ่มและฝูงปลาน่ากินกลับมาที่ท่าเรือ แต่เนื่องจากเป้าหมายต่อไปคือวัดเวิ่นวู (Wenwu) หรือวัดกวนอูนั้นต้องขึ้นเขาโดยรถบัสรอบทะเลสาบต่อไปอีก เราจึงต้องถามทางจากจุดบริการนักท่องเที่ยว ก็ได้ความว่าต้องเดินขึ้นเนินต่อไปที่ท่ารถ ถึงทางจะเริ่มชันแต่ก็ไม่เหนื่อยเพราะมีถนนคนเดินเป็นร้านค้า 2 ข้างทาง ให้พวกเราแวะดูของที่ระลึก กินเห็ดหอมย่างและขนมโมจิกันไปพลางๆ


วัดเวิ่นวูเป็นวัดขนาดใหญ่สร้างขึ้นบนเขาทดแทนวัดที่จมน้ำจากการสร้างเขื่อน จุดเด่นคือรูปปั้นสิงโตเหยียบลูกบอลยักษ์อยู่ด้านหน้า ภายในวัดมีทวนของเทพเจ้ากวนอู และเทพเจ้าอื่นๆ สร้างไว้ให้ขอพร ด้านนอกวัดมีบันไดเวียนลงไปถึงริมทะเลสาบด้านล่าง เรียกว่าบันไดสวรรค์ประกอบด้วยขั้นบันไดทั้งหมด 366 ขั้น เท่ากับจำนวนวันใน 1 ปี วิธีสักการะคือผูกกระดิ่งใว้ให้ตรงขั้นบันไดที่เป็นวันเกิดเดือนเกิดของตนเองโดยนับวันที่ 1 มกราคมเป็นบันไดขั้นล่างสุด...คนเกิดช่วงครึ่งปีแรกอย่างเราขอเลือกใช้วิธีไปไหว้ในวัดเอาดีกว่า เพราะหากเดินลงไปนับขั้นบันไดไปด้วยแล้วเกรงว่าจะขึ้นมาไม่ได้ แค่เดินขึ้นประตูสวรรค์ที่จางเจียเจี้ยหนเดียวคงไปสวรรค์ถูกแล้วล่ะน่า

ฟ้าเริ่มมืดแล้ว พวกเราก็กลับมารอรถบัสรอบทะเลสาบที่จุดจอดรถ รอเกือบครึ่งชั่วโมงจนต้องดูตารางรถวิ่ง ก็ไม่เห็นจะมีรถบัสผ่านมา ครอบครัวที่รออยู่พร้อมกันถึงกับบ่นพึมพำ แต่ที่สุดแล้วรถบัสเที่ยวสุดท้ายก็ผ่านมาจนได้ ท่ารถเป็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่เดียวกับจุดจอดรถจากไถจง แวะซื้อฝรั่งขี้นกไส้แดงราคา 3 แพค 100 NT หลังจาก 3 คนช่วยกันชิมที่เขาผ่าไว้ให้ไปเกือบหมดลูก เจอคนไทยให้ทักทายกันอีก และสุดท้ายเมื่อกลับถึงที่พักก็ยังมีคนไทยอีก 4 คนพักที่เดียวกัน ก่อนเข้าห้องพัก เจ้าของที่พักมานำเสนอรูปวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามจากยอดเขาแถวๆ นั้น โน้มน้าวจนพวกเรายอมตกลงแหกขี้ตาตื่นตี 4 เพื่อเดินขึ้นเขาระยะทาง 5 กม. ไปชมวิว แต่เห็นห้องนอนที่กว้างขวางราวกับบ้านพร้อมสัญญาณ Wifi แล้ว แทบจะเดินกลับลงมาบอกเจ้าของว่าพรุ่งนี้อั๊วขี้เกียจตื่นมาชมวิวแระ อาหารเย็นคืนนี้เป็นปลาทะเลสาบนึ่งซีอิ๊ว ผัดผัก ก๋วยเตี๋ยวเนื้อฯลฯ จนโต๊ะข้างๆ เบิ่งตามองว่าผู้หญิง 3 คนจะกินกันหมดแน่หรือเปล่า?

11 .. 57

เช้านี้พจนารถตื่นขึ้นมาก่อนอีกเช่นเคย เห็นว่ายังไม่ถึงเวลาเลยเผลอเล่นเกมอยู่ในห้องน้ำซะนาน กว่าจะปลุกเพื่อนๆ ได้ก็อีก 5 นาทีเป็นเวลานัดพบ! พวกเราสายไป 10 นาทีจนเจ้าของที่พักบ่นพึมว่าจะไม่ทันดูพระอาทิตย์ขึ้น แล้วก็รีบพาเดินขึ้นเขา มาถึงทางชันให้เริ่มเหนื่อย เราก็คิดได้ว่าไม่ควรปลุกเพื่อน แต่ควรใช้เวลา 5 นาทีนั้นลงมาบอกยกเลิกการเดินขึ้นเขาดูพระอาทิตย์ขึ้นซะยังจะดีกว่า

ฟ้ายังไม่สว่างเลยรู้แค่ว่ากำลังเดินผ่านป่าขึ้นไปตามทางรถยนต์เรื่อยๆ มีแมวเดินเป็นเพื่อนรั้งท้ายกันเราหนี สุดท้ายพวกเราก็ไปถึงศูนย์วิจัยใบชา ซึ่งเป็นสถานที่ราชการ รู้สึกว่าพ่อของเจ้าของที่พักทำงานอยู่ในนี้ เลยมีกุญแจไขประตูเข้ามาได้ แต่เขาก็กำชับไม่ให้พวกเราถ่ายรูปตัวอาคารและป้ายต่างๆ ให้ถ่ายรูปแค่วิวและห้ามเผยแพร่ พร้อมกับบ่นว่าถ้ามาเร็วกว่านี้จะเห็นทะเลหมอกซึ่งในปีหนึ่งจะมีให้เห็นไม่กี่วัน เห็นเขาภูมิใจกับรูปทะเลหมอกของทะเลสาบสุริยันจันทราแล้วก็ไม่อยากคุยว่ายังด้อยกว่าทะเลหมอกภูชี้ฟ้าและภาคเหนือของเมืองไทยนัก ได้แต่ขอโทษที่ทำให้สายแบบง่วงๆ ถ่ายรูปกันเสร็จก็เดินลงเขามาถ่ายรูปริมทะเลสาบกันต่อ แมวถึงกับบ่นว่าถ้าไม่ขึ้นเขายังจะมีเวลานอนและถ่ายรูปสวย (กว่า) ริมทะเลสาบได้อีกตั้งนาน

กินอาหารเช้าเสร็จแล้วเราก็ออกจากที่พักขึ้นรถบัสกลับมาที่สถานีรถไฟ โดยก่อนลงต้องสอบถามคนขับให้ดีเพราะรถบัสจะจอดที่สถานี HSR ไถจง แล้วจะเลยไปจอดที่สถานี TRA ไถจง ซึ่งอยู่คนละป้ายกัน และบังเอิญรถคันแรกที่พวกเราขึ้นมาเป็นรถด่วนไม่จอดระหว่างทาง เราจึงถึงสถานีไถจงตั้งแต่ 10.00 . มีเวลาให้เดินดูร้านค้า กินกาแฟสตาร์บัคสาขาไต้หวัน ก่อนจะขึ้นรถกลับไทเป

พวกเราเอาของมาเก็บของกันที่โรงแรมเดิมก่อน แล้วก็พากันขึ้นรถไฟฟ้าไปลงที่สถานีไทเป 101 ซึ่งเป็นสถานีในเส้นทางใหม่ของรถไฟสายสีแดง สถานีนี้ยังไม่มีในรีวิว ดังนั้นการใช้แผนที่ของท้องถิ่นแทนการยึดแผนที่จากหนังสือท่องเที่ยว จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้เราได้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันที่สุด

หลังจากใช้ความมานะจองคิวร้าน Din Tai Fung ติ๋มซำเจ้าอร่อย เมื่อเห็นว่าเวลารอคิวถึง 1 ชั่วโมง จึงเดินไปซื้อตั๋วขึ้นตึกไทเป 101 กันก่อน กลับมาวนเวียนที่ป้ายเมนูภาษาอังกฤษจนได้เวลาสั่งอาหารล่วงหน้า ก็ไปเอาใบรายการอาหารที่คล้ายๆ ร้านส้มตำเมืองไทย มาใส่ตัวเลขจำนวนที่สั่ง เทียบเลขที่รายการและตัวอักษรจีนกับป้าย พอได้โต๊ะนั่ง พนักงานก็ปราดเข้ามาถามว่าแม่นางทั้ง 3 สั่งอาหารมากขนาดนี้จะกินกันไหวหรือ พร้อมกับแนะนำจำนวนที่เหมาะสม เช่น เสี่ยวหลงเปาบางชนิดจะมีทั้งจำนวน 5 และ 10 ชิ้น พวกเราควรเลือกแค่ 5 ชิ้นก็พอ สุดท้าย ถือว่าเห็นแก่หน้าพนักงานเลยยอมลดจำนวนลงบ้าง

ติ๋มซำของที่นี่อร่อยสมราคาจริงๆ โดยเฉพาะเสี่ยวหลงเปาไส้มันปู นอกจากนี้ยังมีวิธีกินสำหรับฝรั่งเป็นภาษาอังกฤษไว้เสร็จสรรพ เริ่มจากผสมน้ำจิ้มที่ประกอบด้วยซีอิ๊ว น้ำส้ม และขิงเส้น จากนั้นนำเสี่ยวหลงเป่าลงไปจิ้ม แล้วค่อยคีบมาใส่ช้อนใช้ตะเกียบเจาะรูแป้งที่หุ้มอยู่ให้น้ำซุปเสี่ยวหลงเปาไหลลงมาที่ช้อน แล้วก็หม่ำได้ ส่วนวิธีกินแบบพจนารถคือพอจิ้มน้ำจิ้มเสร็จเอาใส่ปาก กัดให้น้ำซุปไหลออกมาจนชุ่มลิ้น แล้วก็ทำตาโปน อ้าปากพะงาบๆ เพราะมันร้อน...แฮ่!

กินกันเกลี้ยงจนพนักงานเสริฟไม่กล้าเดินมาใกล้...กลัวจะสั่งอีกให้คนแนะนำเสียเซลฟ์ เราก็หันไปถามพรรคพวกว่าอิ่มหรือเปล่า โดยเฉพาะแมวที่ผอมบางกว่าคนอื่น กลัวจะกินไม่ทัน แมวบอกว่าตั้งแต่คบกับพวกเราก็ปรับกระบวนการกิน ไม่ใช่ว่ากินให้เร็วขึ้น แต่เป็นคีบอาหารมาพักในจานของตัวเองซะก่อน และเมนูต่างๆ ก็เฉลี่ยโควต้าแต่ละคนกันไว้อย่างดีแล้ว จนใจที่เราใช้ภาษาจีนได้แค่นิดหน่อย (ภาษาอังกฤษไม่ได้เลย) เลยไม่ได้เสนอแนะพนักงานว่าต่อไปเรื่องจำนวนเสี่ยวหลงเปา ขอลดจาก 10 ชิ้นเป็น 9 ชิ้นก็พอ ไม่ใช่ 5 เพราะมันสิ้นเปลืองสมองตอนหารโควต้าของป้า!

ได้เวลาขึ้นลิฟท์ที่เร็วที่สุดในโลกใช้เวลา 37 วินาทีไปที่ชั้น 89 ของตึกไทเป 101 กันซะที ในช่วงท้ายของขาขึ้นก่อนจะถึง บนเพดานลิฟท์จะเปิดไฟให้เป็นแสงหมู่ดาวระยิบระยับ ดูสวยงามอลังการและไม่รู้สึกถึงความกดอากาศให้หูอื้อ เวียนหัวเลย

พวกเราไปที่ชั้น 5 ซึ่งเป็นที่ขายตั๋วและทางขึ้นก่อน (แต่วิธีไปต้องขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้น 4 แล้วเดินไปขึ้นบันไดเลื่อนอีกฟากหนึ่ง) จากนั้นก็เข้าแถวคอย เดินไปตามแถวแป๊บเดียวจะมีซุ้มบริการถ่ายรูปที่ระลึก คนส่วนใหญ่จะตั้งตัวไม่ทัน ได้แต่ทำท่ายืนตรงเคารพธงชาติกัน นอกจากก๊วน 3 สาวที่โพสท่าซารางเฮโยกันอย่างสวยงามมุ้งมิ้งแล้วก็ไม่เอารูปที่ระลึก

ตึกไทเป 101 สูง 509.2 เมตรจากพื้นดิน ภายในมีสำนักงาน ร้านค้า ตัวตึกมี 101 ชั้นตามชื่อตึก รูปทรงเป็นปล้องคล้ายต้นไผ่ ติดกระจกสีน้ำเงินเขียวใช้สะท้อนความร้อนและรังสี UV ออกแบบอิงฮวงจุ้ย ตรง 4 มุมของตึกทุกช่วงจะมีหัวมังกรติดไว้เพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้าย (แต่สิ่งชั่วร้ายบางตัวก็ซื้อบัตรเข้าไปชมได้หน้าตาเฉย คิคิคิ) ภายในมีแกนกลางเป็นลูกตุ้มยักษ์ (damper) ทำจากโลหะ หนัก 660 ตัน ขึงอยู่กับลวดสลิง (มีขายเป็นของที่ระลึก ว่าจะซื้อมาแขวนคานอยู่เหมือนกัน) สำหรับถ่วงสมดุลของตัวตึกรองรับลมพายุและแผ่นดินไหว

ที่กระจกชมวิวรอบๆ จะมีหมายเลขกำกับ เอาไว้ฟังคำบรรยายจาก audio guide ว่าบริเวณที่มองเห็นเป็นสถานที่ใดของเมืองบ้าง น่าเสียดายที่ฝนตกลงมาอีก พวกเราเลยไม่ได้ไปที่ชั้น 91 ซึ่งเปิดให้เดินออกไปชมวิวนอกอาคาร นอกจากนี้ยังมีไปรษณีย์ไว้คอยบริการนักท่องเที่ยว เราเลยถือโอกาสซื้อโปสการ์ดหวังจะส่งให้เพื่อน แต่สุดท้ายก็ได้แต่ซื้อ ไม่ได้ส่งเพราะไม่ได้พกที่อยู่มา...เฮ้อ

ออกจากตึก 101 ก็เกือบเย็นแล้ว เรายังต้องไปวัดหลงซาน (Longshan) กันอีก เวลาเหลือน้อย ว่าจะลงมาดูร้านค้าในงานนิทรรศการเกมและการ์ตูนที่ชั้น 2 ก็เลยต้องงดไป ได้แต่มองเด็กวัยรุ่นถือถุงเกมมายืนรอรถไฟฟ้าใกล้ๆ กันด้วยความอิจฉา

วัดหลงซานเป็นวัดเก่าแก่ของไต้หวัน ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกเครื่องบินทิ้งระเบิดจนเสียหาย แต่เจ้าแม่กวนอิมในวิหารยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ถือเป็นอิทธิปาฏิหารย์ที่ทำให้ชาวไต้หวันศรัทธาเลื่อมใสกันมาก ตัววัดที่สร้างขึ้นใหม่มีหินสลักลายมังกรมากมายตั้งแต่บนหลังคาจนถึงเสาแต่ละต้นสมชื่อวัด ไหว้พระแล้วก็ถือโอกาสเช่าเครื่องรางกลับมาฝากคนอื่นๆ เสียดายที่ทางวัดยังหัวการค้าไม่เท่าญี่ปุ่น จึงไม่มีคำบรรยายภาษาอังกฤษใต้รูปเครื่องรางว่า แบบ และสีนี้ให้พรอะไรบ้าง มีแต่ภาษาจีนล้วนๆ และพนักงานขายก็ยุ่งอยู่ตลอดเวลา เลยได้แต่บอกว่างั้นเอาประเภทร่ำรวยมาให้ละกัน

ใช้เวลาไหว้พระเร็วกว่าช้อปปิ้งถึง 10 เท่าแล้วพวกเราก็ไปต่อกันที่ถนนคนเดินแหล่งที่ 2 นั่นคือ ซีเหมินติ่ง หรือ สยามสแควร์ไต้หวัน แต่เนื่องจากไปตลาดซื่อหลินกันมาก่อน ซึ่งร้านค้าส่วนใหญ่ของซื่อหลินอยู่ในตึกแคบๆ อารมณ์จึงประมาณเดินตลาดนัดจตุจักรกับสยามสแควร์ และของกินน้อยกว่าเห็นๆ พวกเราเลยได้แค่กินน้ำมะระผสมน้ำผึ้ง ออส่วน แป้งผัด แกงส้มต๊อก (น้ำแกงเผ็ดรสเดียวกับแกงส้มใส่ต๊อกหรือแป้งที่เป็นแท่งๆ แบบเกาหลี) สเต็กเนื้อลูกเต๋า ชิมลูกชิ้นเนื้อเป็ด ซื้อไข่เหล็ก ตบท้ายด้วยหมี่ราดหน้า และชานมไข่มุก ไม่นับเชอร์รี่ลูกแดงใหญ่ที่ซื้อกลับมาด้วย

เดินหลงไปหลงมาก็เจอร้านบุพเฟ่ต์ชาบู มีรูปไอศกรีมฮาเก้นด๊าซรวมอยู่ในเมนูด้วย พวกเราจึงคิดว่านี่น่าจะเป็นร้านหมาล่าตามที่น้องเมื่อวันแรกแนะนำ ได้แต่ถ่ายรูปเก็บไว้เพราะตอนนี้กินอะไรไม่ไหวแล้ว จากนั้นก็เดินเข้าร้านรองเท้าบ้าง ร้านตุ๊กตาโมเดลบ้าง ดูของที่ระลึก ซึ่งราคาแพงกว่าตลาดซื่อหลินนิดหน่อย ก่อนกลับก็ยังจะหลงทางจนได้ซื้อถั่วเคลือบถ่านไม้ไผ่มาเป็นของฝากกันอีก


12 .. 57

วันกลับนี้ทีแรกพวกเราจะไปอุทยานแห่งชาติเย่หลิวที่อยู่ทางชายฝั่งตะวันออกซึ่งมีไฮไลท์คือหินเศียรราชินี รูปร่างคล้ายกับรูปปั้นของพระนางเนเฟอร์ติติของอิยิปต์ แต่สุดท้ายก็ตกลงกันว่าถ้าฝนตกก็เปลี่ยนเป็นไปกินบุพเฟ่ต์ที่ร้านหมาล่าซีเหมินติ่งแทน แล้วฟ้าก็เมตตานักกิน จากพยากรณ์อากาศและฟ้าครึ้มฝนตั้งแต่เช้า พวกเราเลยเปลี่ยนโปรแกรมเป็นไปอนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ค แล้วค่อยไปซีเหมินติ่งกัน

อนุสรณ์สถานเจียงไคเช็คเป็นสถานที่กว้างใหญ่มาก ประกอบด้วยลานกว้าง ด้านข้างเป็นโรงละครแห่งชาติและอาคารสำหรับจัดนิทรรศการและคอนเสิร์ตต่างๆ ตัวอนุสรณ์สถานอยู่ตรงกลาง ภายในมีทหารผลัดเวรกันยืนเฝ้ารูปปั้นเจียงไคเช็ค พวกเรามาไม่ตรงเวลาเลยไม่ได้ดูพิธีการผลัดเปลี่ยนเวรของทหาร ในส่วนจัดแสดงก็จะมีประวัติ แผนผังอนุสรณ์สถาน รวมไปถึงไปรษณีย์และร้านค้า

ออกจากอนุสรณ์สถานได้ไม่นาน ฝนก็ตกลงมาจนถึงซีเหมินติ่ง เราพากันเดินไปที่ร้านหมาล่าโดยไม่หลงแบบเมื่อคืน นั่งรอพักหนึ่งจนร้านเปิดก็ได้เข้าไปชื่นชมกับความหลากหลายของอาหาร ตั้งแต่อาหารทะเลนานาชนิด ผัก(ไม่เน้น) เบียร์ไต้หวัน ชานม ส่วนที่เป็นเนื้อมีมาให้เลือก 3 อย่าง น่าจะเลือกจำนวนตามรายหัว พวกเราจึงเลือกเนื้อวัว 2 ชนิดที่ทางร้านแนะนำ และเนื้อแกะ ส่วนน้ำซุปมีให้เลือก 2 แบบใส่ในหม้อต้มคล้ายชาบูชิ เมื่อเลือกน้ำซุปใสกับน้ำหมาล่า ซึ่งเป็นน้ำพริกเผาเผ็ดนิดๆ ไม่เผ็ดจัดเหมือนที่เมืองจีน แล้วก็แยกย้ายกันไปหยิบอาหารกันตามสะดวก จวบจนไอศกรีมลูกที่ 8 หมดลง พจนารถก็ยอมวางช้อน

เมื่อคืนวานไปเกาะกระจกตู้โชว์ที่ร้านของเล่นโมเดลไม่ยอมไปไหนอยู่พักใหญ่ คนขายก็ไม่เห็นใจลดราคาให้ เลยลั่นปากไว้ว่าถ้ามาอีกจะซื้อ ดังนั้นกินเสร็จก็เลยกัดฟันกรอดไปถอยตุ๊กตา danboard mini มาไว้ในครอบครองจนได้ ได้แต่แบ่งร่าง ซีกนึงก็ด่าตัวเองในใจว่าไม่ใช่ต้องมีเงินอย่างเดียวนะ...ต้องโง่ด้วย ส่วนอีกซีกนึงก็ทำตาบ้องแบ๊วเถียงกลับว่า ก็ตูอยากได้นี่หว่า พอเงินออกนอกกระเป๋าได้ครั้งหนึ่งแล้ว เข้าร้านเครื่องสำอางต่อมาก็ถอยน้ำหอมอีกขวดมาอย่างง่ายดาย คำเค้าว่าอย่าซื้อของกินตอนหิว กับอย่าซื้อของใช้ตอนอิ่ม (เพราะเลือดไปเลี้ยงกระเพาะมากกว่าสมอง) มันก็เป็นอย่างงี้นี่เอง

พนักงานขายร้านชาช่าพูดภาษาอังกฤษเก่งมาก แป๊บเดียวป้าๆ ก็หลวมตัวจ่ายเงินซื้อของกันเป็นแถว สุดท้ายมาตายตอนเชียร์เครื่องสำอางให้กับพจนารถ บอกว่าคุณพี่ต้องบำรุงผิวหน้าด้วยครีมตัวนี้นะฮ๊า และเพราะใช้ภาษาอังกฤษเก่งเกินไปเลยไม่เข้าใจว่า ที่ชะนีอ้วนตอบกลับไปว่าหน้ารุ่นตูเนี่ยเกินเยียวยาแระ...It’s too late เขาหรือหล่อนก็ไม่รู้แหละ เลยรีบบอกว่าถึงต้องเสียเวลาหน่อยแต่ก็ต้องบำรุงนะ แล้วก็เล่ายาวว่าเนี่ย my girlfriend น่ะแนะนำให้ใช้ตัวนี้เหมือนกัน ใช้ดีมั่กเรยฮ่า (ทำเอาพจกับแมวถึงกับมองหน้ากัน) จากนั้นมามุกไม่เชื่อลองทายดูสิว่าผมอายุเท่าไหร่? อิป้าก็เลยรับมุกทำเป็นเพ่งนิดนุง แล้วก็บอกว่า 25 แค่นั้นฮีก็เป็นปลื้มบอกว่า 30 แล้วนา ออกจากร้านมาได้เลยโดนแมวแหนบเข้าให้ บอกว่าเดี๋ยวนี้ตอแหลเป็นภาษาอังกฤษก็ได้นะยะเอ่อ แบบว่าเพื่อนนึกชื่อเลขภาษาอังกฤษไม่ค่อยออกต่างหากอ่ะ ส่วนที่มองหน้ากันตอนนั้นก็ออกมาหัวเราะกันข้างนอกว่าเจ๊นั่นเขามี girlfriend ด้วยรึ? พจก็ได้แต่บอกว่าหรือมันจะแปลว่าเพื่อนสาวกันวะ...ภาษาอังกฤษนี่ซับซ้อน!

ว่าจะแวะช้อปต่อกันที่ main station แต่เวลาก็ล่วงเข้าบ่าย 3 แล้ว พวกเรารีบกลับไปแพคกระเป๋าเตรียมเดินทางกลับ จากที่ผ่านมาเวลาเดินทางไปกินช้อปแต่ละที่ ทุกอย่างที่รีวิวมาจำได้ขึ้นใจเดินไม่มีหลง มาตายกันตรง bus station ที่จะต้องขึ้นกลับสนามบินนี่แหละ ตอนแรกพวกเราลากกระเป๋ามุ่งหน้าไปที่ทางออก (Y4) ซึ่งมีเป็นอาคาร bus station เชื่อมต่อกับ main station แต่พอไปถึงจุดขายตั๋วกลับสนามบิน เขาบอกว่าอยู่คนละอาคาร ให้เราเดินออกไปด้านนอก จะมองเห็นตึกอยู่ฝั่งตรงข้าม ขณะนั้นกำลังลนลานว่าไม่มีทางข้ามและจะใช่ตึกที่ว่าหรือเปล่า พวกเราเลยย้อนกลับมาที่ main station แล้วถามพนักงานในนั้นกันใหม่ กว่าจะรู้ว่ามันคืออาคารที่เรียกว่า Taipei west bus station terminal A (ทางออก Z3) เป็นที่เดียวกับสถานที่ขึ้นรถไปเย่หลิ่วซึ่งเราไม่ได้ไป และอยู่ใกล้กับโรงแรมของพวกเรามากกว่าจะเดินมายัง main station เสียอีก เดินวนกลับมากันอย่างรีบเร่ง จนถึงที่ขายตั๋วและช่องรอรถ ในที่สุดก็มาถึงสนามบินกันจนได้

ขากลับนี้เครื่องบินก็ยัง delay โชคดีที่มาถึงสุวรรณภูมิตามเวลาที่นัดแท็กซี่เผื่อเอาไว้ หลังจากส่งหมอปุ้มแล้วก็กลับถึงบ้านเวลา 0.30 น.

Saturday, July 05, 2014

อวตาร จางเจียเจี้ย

บันทึกการท่องเที่ยว จางเจียเจี้ย 20 – 25 พ.ค. 57

20 .. 57

คราวนี้เราอาศัยทัวร์เต็มรูปแบบพาไปเที่ยวบ้าง เพียงแต่ว่าสมาชิกทัวร์คราวนี้รู้จักกันหมด ตั้งแต่กลุ่มที่อายุรวมกันเกิน 200 ปี อย่างพี่อุไร พยาบาล รพ.ห้วยพลู พี่หมวย พยาบาล รพ.กำแพงแสน พี่อ้อย อ.จาก ม.เกษตร และพี่โอ๋ ส่วนอีกกลุ่มใหญ่มาจากคณะเภสัชศิลปากร ทั้งพี่แอร์ที่พาน้องเอ็กซ์ น้องสาวมาด้วย (โดนล้อไปแล้วว่าคือ Air X) พี่ก้าและหลานชาย ครอบครัวพี่ฝน พี่เล้งและลูกสาวอีก 2 คน พี่เต่ากับน้องสาว พี่เปี๊ยก เจ้าหลุก พี่ไหม และสามสาว ปิ๊ก ปริ้นท์ อร รวมทั้งหมด 21 ชีวิต เดินทางไปกับ พับบลิค ฮอลิเดย์ ทัวร์ โปรแกรมอวตารจางเจียเจี้ย 6 วัน 5 คืน ราคาทัวร์คนละ 22,900 บาท แต่เนื่องจากพวกเราไม่เอาไกด์คนไทยที่จะเดินทางไปด้วย เลยลดค่าทัวร์ได้อีกคนละเกือบ 1,000 บาท

เช้ามืดวันแรกของการเดินทาง พี่อุไรกับแท็กซี่มารับเราตั้งแต่ตี 3 กว่า ไปถึงสนามบินดอนเมืองยังไม่ตี 5 ดี ส่วนคนอื่นๆ ก็ค่อยทยอยกันมา ทางทัวร์นำพาสปอร์ตมาแจกจ่ายและบริการก่อนผ่านเข้า ตม. หลังจากนั้นพวกเราก็ทำความคุ้นเคยกัน เราก็ไปฝากเนื้อฝากตัวกับพี่ไหม รูมเมทในอีก 5 คืนต่อจากนี้

อาหารบนเครื่องแอร์เอเชียเป็นข้าวมันไก่แข็งๆ ได้แต่บ่นกับเจ้าหลุกที่นั่งข้างๆ หลังจากนั้นก็กินจนหมด ตบท้ายด้วยป๊อกกี้ที่พกมาด้วยเป็นของหวาน หลับไปเป็นพักๆ 3 ชั่วโมงครึ่งต่อมาก็มาถึงสนามบินฉางซาอย่างราบรื่น

เวลาของเมืองจีนเร็วกว่าเมืองไทย 1 ชั่วโมง มาถึงเป็นเวลาเที่ยงแล้ว กว่าจะผ่าน ตม. มาเจอไกด์ดาว ที่ยืนรอพวกเราอยู่แล้วก็เริ่มจะหิวอีกรอบ

รถทัวร์ที่จะพาเราเที่ยวตลอด 6 วันค่อนข้างใหม่ และมีพื้นที่มากพอให้พวกเราจับจองที่นั่งอย่างไม่แออัด รวมทั้งให้เด็กเล็กอย่างลูกสาวพี่ฝนนอนยาวที่เบาะหลังสุดอย่างสบาย

จากทิวทัศน์นอกหน้าต่างรถจะเห็นว่าเมืองฉางซาเป็นเมืองค่อนข้างใหญ่ ภายในตัวเมืองมีอาคารใหญ่ๆ ทันสมัยหลายหลัง แถบที่เป็นมหาวิทยาลัยก็เต็มไปด้วยตึก แต่ค่อนข้างเงียบสงบ พวกเราแวะกินข้าวแบบโต๊ะจีน ประกอบด้วยผัดผักหลายจานที่จะมีเหมือนกันไปตลอด เกือบทุกมื้อนับจากนี้ ได้แก่ ผัดแตงกวา ผัดมะเขือยาว ผัดเห็ดออรินจิ ผัดสารพัดผัก พะโล้หมูสามชั้น ไข่เจียว และปลานึ่งก้างเยอะมาก

หลังอาหารเที่ยง พวกเราประเดิมไหว้พระกันที่วัดไคฝูซื่อ กลางเมืองฉางซา พอได้ธูปก็พากันนำไปใส่ในเตาเผาขนาดใหญ่ทั้งห่อ ดูเหมือนทิ้งขยะในเตาเผาไงก็ไม่รู้ ก่อนจะเดินไปไหว้พระและเจ้าแม่กวนอิมในวิหารด้านหลัง วัดนี้ค่อนข้างใหญ่ แต่ผู้คนบางตา อาจเป็นเพราะเป็นวันธรรมดา บรรยากาศร่มรื่นก็พาเอาเกือบหลับ

นั่งรถอีกหลายชั่วโมงต่อไปยังเมืองฉีลี่ (Cili) ผ่าน 2 ข้างทางที่เป็นท้องนา สลับกับป่าโปร่งเป็นระยะ นับว่าเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์เมืองหนึ่งทีเดียว ฝนตกลงมาประปรายเมื่อรถเริ่มขึ้นเขา ไกด์เห็นว่าบางคนยังไม่หลับก็อธิบายไปเรื่อยๆ ว่าสาวภูเขาแถบนี้จะผิวพรรณดี เนื่องจากอากาศดี แดดไม่ร้อนเกือบทั้งปี คนภูเขาชอบร้องเพลงและงานรื่นเริง บางครั้งหนุ่มสาวจะหาคู่ด้วยการเหยียบเท้า ถ้าถูกใจก็จะเหยียบตอบ ดังนั้นเวลาเดินเล่นในเมืองให้ระวัง โดยเฉพาะหนุ่มๆ ที่ไกด์ดาวบอกว่าสเปคของสาวๆ แถวนี้คือผู้ชายใส่แว่นดูมีความรู้ พี่เปี๊ยกเลยรีบถอดแว่น ส่วนเรารีบชวนพี่ไรว่างั้นคืนนี้เราพากันออกไปกระทืบ เอ๊ย เหยียบเท้าหนุ่มๆ ท้องถิ่นกันดีกว่า

พวกเราแวะกินข้าวเย็นกันก่อนจะเข้าที่พัก ฝนยังคงตกอยู่ ในย่านโรงแรมพอจะมีซุปเปอร์มาเก็ตให้เดินไปซื้อของ โดยไกด์ดาวบอกว่าถนนคนเดินของเมืองฉีลี่นี้ไม่ค่อยมีสินค้าน่าสนใจและยังราคาไม่ต่างกับในเมืองฉางซา ทีแรกเราก็กะว่าจะออกไปเดินชมเมืองเพราะยังไม่ดึกนัก แต่พอเข้าไปในห้องก็ปรากฎว่าแอร์ใช้งานไม่ได้ ไกด์บอกจะแจ้งที่ล็อบบี้ให้ ระหว่างรอรวมพลไปเดินซื้อของก็เล่น Wifi กันอยู่ที่ชั้นล่าง กะว่าจะโทรหาแม่แต่ True net talk ไม่ยักใช้งานได้ ยุงก็กัดและเหม็นบุหรี่จากคนจีนที่มาเล่น wifi เหมือนกัน เลยหมดอารมณ์เดินซื้อของ ได้แต่บอกให้คนอื่นๆ ไปกันส่วนเรากลับห้องพัก

เหมือนขุดเจอสมบัติมีค่าเมื่อในห้องมีสาย lan ม้วนอยู่ขดหนึ่ง จากนั้นอุปกรณ์ที่นำมาจากเมืองไทย ทั้ง mini router  ปลั๊กต่อพ่วง ก็ได้ฤกษ์นำออกมาใช้งาน คราวนี้โทรกลับบ้านได้ หายเหม็นบุหรี่ ถึงแม้แอร์ในห้องจะใช้งานไม่ได้อารมณ์จึงเริ่มดีกว่าเดิมเยอะ

อาบน้ำจนเสร็จแต่พี่ไหมก็ยังไม่กลับมา รู้สึกในห้องร้อนกว่าเดิมเลยจนใจต้องใช้ภาษาอังกฤษห่วยๆ โทรลงไปที่ล็อบบี้อีกครั้ง บ่นว่าแอร์เสียทำไมไม่มาทำให้ซะที พนักงานอึ้งไปแป๊บ แล้วในที่สุดก็มีคนใช้ภาษาไทยตอบกลับมาว่า ถ้าอุณหภูมิต่ำกว่า 20 องศา แอร์จะไม่ทำงานฮ่ะคุณพี่ เราก็เลยบอกว่านี่มันน่าจะเกือบ 30 แล้วอ่ะ แต่สรุปแล้วชีก็บอกได้แค่ว่าระบบมันตัดเอง แอร์ไม่ได้เสียแต่อย่างใด ให้คุณพี่เปิดหน้าต่างเอา

พี่ไหมกลับมา 4 ทุ่มกว่าแล้ว บอกว่านั่งเล่นเน็ตอยู่ที่ล็อบบี้ยุงก็เยอะ เหม็นบุหรี่ (เจอเหมือนกัน อิอิอิ) ถึงกลับเหวอพอมาเห็นเรานอนเล่นเน็ตอยู่ในห้องสบายๆ ...โธ่ งวดนี้พจนารถขนอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์มาแทบจะครึ่งกระเป๋าเดินทางนี่คะ
อากาศร้อนไปนิดแต่ก็พอนอนได้ ดึกๆ เริ่มเย็นลงเลยนอนสบายขึ้น ได้ยินเสียงพี่ไหมตีแปลงถีบผ้าห่มเป็นระยะ ไม่ถึงกับตีลังกานอนกลับด้านอย่างที่พี่โหน่งนินทาไว้ ส่วนเราก็คงนอนกรนเสียงดังสนั่นเหมือนเคย

21 .. 57

เช้านี้พี่ไหมปอกผลไม้ที่ซื้อมาเมื่อคืน มีทั้งลูกพีชและแนคทารีน ดูจากอุปกรณ์ที่เตรียมมาพร้อม ทั้งมีด และกล่องพลาสติกมีฝาปิด แสดงว่าพี่ไหมชอบกินผลไม้ยามไปเที่ยวสูสีกับหมอปุ้มทีเดียว ผิดกับ IT girl ที่ไม่มีเอ็นไซม์ย่อยผักกับผลไม้อย่างเราอย่างชัดเจน

อาหารบุฟเฟ่ต์ที่โรงแรมค่อนข้างน้อย แต่ก็ยังดูน่ากินมากกว่าอาหารขึ้นโต๊ะมื้อเที่ยงกับมื้อเย็น สงสัยจะเข็ดผัดผักไปอีกนานเลยเรา กลับไปเก็บของที่ห้องพักแล้วก็ขึ้นรถต่อไปยังแกรนด์แคนยอนจางเจียเจี้ย มรดกโลกปี 1992 ของ UNESCO ฝนตกลงมาจนเกือบทุกคน ยกเว้นเรากับพี่เล้ง ต้องซื้อเสื้อกันฝนพลาสติกใส่ก่อนจะเดินลงระเบียงบันได 700 ขั้น ผ่านซอกเขา และชมทิวทัศน์ยามฝนโปรยปรายไปเรื่อยๆ นับเป็นโชคดีของพจนารถที่ไม่มีปัญหาเรื่องการเดินลงเขา เพราะไม่มีหนทางให้เดินกลับแล้วสำหรับคนที่เดินลงไม่ไหว รถบัสจะอ้อมมารับพวกเราอีกที่หนึ่งหลังจากล่องเรือเสร็จ

สภาพก้อนเนื้อห่อด้วยพลาสติกของเพื่อนร่วมทัวร์ ที่เดินกันไป เสื้อกันฝนก็ส่งเสียงดังกรอบแกรบกันไป แต่ละคนยังต้องกางร่มถ่ายรูป ทำเอาเรานึกชมเชยตัวเองที่คิดถูกใช้ร่มอย่างเดียว ส่วนเสื้อกันลมที่ใช้อยู่นั้นเป็นแบบแห้งเร็ว ยอมเปียกไม่นานเดี๋ยวก็แห้ง กลับมาจะได้ไม่มีรูปตัวเองแปลงร่างเป็นถัง 200 ลิตรห่อด้วยถุงพลาสติก ออกประจานตามโซเชียลมีเดียต่างๆ

พอหมดจากระเบียงบันไดลงก็มาเจอสไลเดอร์ทำด้วยหินขัดมัน หรือคนนั่งเลื่อนกันจนมันวับก็ไม่แน่ พวกเราได้รับแจกผ้ารองก้น และถุงมือกันคนละคู่ จากนั่นก็อาศัยน้ำหนักตัวลื่นไถลลงไปตามลู่ ถ้าเร็วไปก็ใช้มือที่สวมถุงมือไว้จับขอบทางเลื่อนเพื่อจะเบรค แรกๆ ความชันก็ทำให้ลื่นลงไปดีอยู่ แต่พอเจอโค้งหักศอกที่ต้องเบรคและตั้งตัวใหม่ก็ชักจะขยับก้นให้กลับมาอยู่ในลู่ยากซะแล้ว

ทางเลื่อนนี้มี 2 ระยะด้วยกัน พอสุดทางระยะแรก ต้องเดินออกมาเพื่อจะเล่นต่อ ซึ่งเราก็ไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าผ้าที่ใช้รองก้นซึ่งทำเป็นทรงกางเกง มีเชือกผูกอ้อมมาที่เอวกับน่องทั้ง 2 ข้าง มันเลื่อนขึ้นมาอยู่เหนือหัวเข่าไปแล้ว ปมเชือกที่ผูกเอาไว้เริ่มจะมัดแน่น พอไถลอีกครั้งผ้ารองก้นที่ร่นขึ้นไปอีกก็ดึงจนเจ็บขาไปหมด คราวนี้เลยต้องใช้แรงแขนยกลำตัวอันมหึมาของตัวเองให้ขยับลื่นไปทีละนิดจนปวดแขนไปหมด

หลุดมาได้พวกเราก็เดินเลาะโตรกผาธรรมชาติไปตามทาง ผ่านน้ำตกที่ถ้าเป็นหน้าร้อนคงมีคนลงไปเล่น ทางน้ำที่ขนานไปกับทางเดินของเราเริ่มลึกขึ้นและเห็นเป็นสีฟ้าอ่อนสวยงามมาก ช่วงที่เป็นสะพานข้ามลำน้ำยังใช้วัสดุเป็นกระจกหนาใส มองลงไปเห็นผืนน้ำให้คนถ่ายรูปกันอย่างไม่มีเหนื่อย

ทางเดินพาพวกเราผ่านถ้ำมืดช่วงหนึ่งเรียกว่าถ้ำโจรแล้วจึงจะถึงท่าเรือ นั่งรอให้คนเต็มลำแล้วเรือก็พาพวกเราชมโตรกผาให้เห็นชัดๆ อีกครั้ง สวยงามก็จริงแต่คนที่เคยไปแกรนด์แคนยอนมาแล้วก็บอกว่ายังเทียบแกรนด์แคนยอนไม่ได้หรอกนะอาหมวยอาตี๋

ทางขึ้นจากท่าเรือไปที่จอดรถบัสมีของขายมากมายรายทาง ส่วนใหญ่จะเป็นงานหัตถกรรมพวกกำไล กระเป๋า ตุ๊กตา สลับกับของกิน เช่น เกาลัดคั่ว ข้าวโพดย่าง และขนมหวานคล้ายถั่วตัด ซึ่งเราจะเห็นของขายคล้ายๆ กันตลอด 5 วัน

หลังกินข้าวเที่ยงพวกเราก็เข้าไปในเขตอุทยานมรดกโลกทางธรรมชาติจางเจียเจี้ย หรือภูเขาฮัลเลลูย่าห์ จากทางเข้าเราต้องซื้อบัตรเข้าชมแบบ 3 days pass ซึ่งต้องแตะบัตรและสแกนนิ้วชี้ตรงทางเข้าก่อน โดยการเดินทางต้องใช้รถบัสนักท่องเที่ยวของอุทยานเท่านั้น รถบัสจะมีเส้นทางและจุดจอดรถในแต่ละสถานที่ไม่เหมือนกัน ถ้าเดินทางด้วยตนเองไม่ง้อทัวร์ จำเป็นต้องมีแผนที่อุทยานที่มีเส้นทางเดินรถ และหาจุดจอดรถบัสคันที่จะไปให้แม่นๆ

รถบัสนำพวกเราขึ้นเขาแบบผ่านโค้งน่าหวาดเสียว ในวันนี้เราจะไปในส่วนของลำธารแส้ทองหรือลำธารจินเปียนซีซึ่งเป็นลำธารที่ไหลวนไปตามช่องเขาและชะง่อนผาสูงชันเข้าไปกลางภูเขาวงกต ระยะทาง 7.5 กม. แต่พวกเราไม่ต้องเดินกันไปจนสุดทางเจอภูเขาวงกตเพราะคงจะค่ำมืดพอดี พอถึงจุดไฮไลท์ที่ถ่ายรูป ซึ่งมองเห็นภูเขาหินตั้งตระหง่าน มีป้ายสีแดงที่อ่านไม่ออกติดไว้ก็พากันกลับ ไกด์บอกว่าที่เรียกลำธารแส้ทองเพราะนอกจากน้ำในลำธารเล็กๆ นี้จะใสสะอาดปราศจากมลภาวะแล้ว ยามเมื่อแสงแดดส่องกระทบสายน้ำที่คดโค้งจนเกิดประกายสีทองระยิบระยับนั้นดูคล้ายแส้สีทองซึ่งสวยงามมาก

แต่ในวันฝนตก ท้องฟ้าครึ้มเช่นนี้ คนฟังอย่างเราได้แต่มโนเอาเอง ว่ามันก็คงสวยดียามแดดส่อง เพราะอีกฝั่งของแสงสว่างที่งดงาม จะมีโกโบริยืนรออยู่...(รู้สึกนั่นเขาจะเรียกว่าทางช้างเผือกนี่หว่า แหะๆๆ)

กลับมาที่ทำการอุทยาน ไกด์พาเราเดินกลับโรงแรมซึ่งอยู่ในละแวกเดียวกันนี้เอง ช่วงเย็นก่อนออกจากห้องไปกินข้าวก็มีเวลาให้ต่อสาย lan เล่นอินเตอร์เน็ตอีกแล้ว ห้องข้างๆ ที่เปิดมือถือเจอสัญญาณ wifi แปลกปลอม ก็พากันหาว่ามันมาจากห้องไหนเพราะ network phar แบบนี้คงมาจากพวกกันเองนี่แหละ

ห้องพักที่นี่มีห้องน้ำกว้างขวางและอ่างอาบน้ำให้แช่ผ่อนคลายจากการเดินได้ดีทีเดียว เสียแต่ว่าพจนารถไม่ใช่คนติดอ่างเลยเลือกที่จะทายาหม่องตราเสือที่เอามาแทน ก่อนจะผลัดกันนวดกับพี่ไหมก็หายปวดได้เหมือนกัน

22 .. 57

เช้านี้มีข่าวรัฐประหารจากเมืองไทยมาให้คุยกันในรถ ก่อนที่เราจะไปแวะร้านหยก เด็กประจำร้านบอกว่าวันนี้ผู้จัดการใหญ่เข้ามาและจะเป็นคนต้อนรับพวกเราเอง ไม่นานน้องรินสาวสวยก็เดินเข้ามาแนะนำวิธีการเลือกหยก โดยใช้ไฟฉายส่องจะเห็นว่าหยกดีเนื้อจะแน่น สีสม่ำเสมอไม่อ่อนบ้างเข้มบ้างจากการฉีดสี พร้อมทั้งออกตัวว่าไม่ซื้อไม่เป็นไรเพราะหยกพม่าของที่นี่ราคาค่อนข้างสูง ตั้งราคาไว้ขายทัวร์เกาหลีที่ทำข้อตกลงว่าอายุเกิน 45 เข้ามาเที่ยวฟรีพักฟรีที่เมืองจีน จากนั้นก็เอาหยกงานคุณภาพที่จะขายในงานเซี่ยงไฮ้ Expo ออกมาให้ดู หยอดท้ายด้วยลูกปัดหยกหิมะที่เธอเป็นคนออกแบบทำเป็นสร้อยข้อมือและสร้อยคอเอง ซึ่งขายดีมาก น้องรินให้ประวัติว่าเคยมาอยู่เมืองไทยตอนยังเด็กและชอบเมืองไทย เป็นหนี้บุญคุณคนไทย ถ้าใครสนใจเธอก็จะเอากำไรนิดหน่อยสำหรับงานของเธอ ถือซะว่าเป็นของที่เธอมาเซ็นเบิกไป (คือไม่ได้ขายออกตามราคาป้าย) ก็แล้วกัน ดังนั้นสร้อยข้อมือราคาเส้นละ 100 บาทกับสร้อยคอเส้นละ 200 บาท จึงขายดีราวกับให้ฟรี ส่วนเราได้ปี่เซียะหยกมาเป็นของฝาก 2 ตัวด้วยกัน

จากนั้นไปต่อกันที่ศูนย์สมุนไพรจีนบัวหิมะ มีบริการนวดเท้าให้ฟรี ระหว่างนวดก็มีคนมาบรรยายสรรพคุณสมุนไพรให้ฟัง รวมทั้งการรักษาด้วยกำลังภายในชี่กง ครั้งนี้เน้นยาอยู่ 4 อย่าง นอกจากบัวหิมะรุ่นปรับ (ราคา) ปรุงใหม่ เพิ่มปริมาณสมุนไพร ราคา 300 หยวน (เดิม 250 หยวน) แต่น่าแปลกที่กล่องไม่ยักใช้ชื่อฟูจือเป่าเหมือนของเดิม เลยไม่แน่ใจว่าเป็นคนละสูตร หรือคนละสถานที่ผลิตหรือเปล่า ครั้งนี้เราไม่ได้สนใจเพราะที่ซื้อมาจากปักกิ่งยังมีอยู่ เลยซื้อกอเอี๊ยะแปะแก้ปวดมาฝากแม่แทน อีก 2 อย่างที่นำมาเสนอขายก็เป็นผงแช่เท้ากับแคปซูลสมุนไพรบำรุงร่างกาย

นอกจากขายยาแล้ว ยังมีซินแสมาตรวจให้ฟรีอีกด้วย เราตรวจแล้วก็เหมือนกับครั้งก่อน คือ น่าจะมีปัญหาระบบมดลูกสืบพันธุ์ แกล้งบอกซินแสว่าผ่าตัดออกไปแล้ว อาแปะทำท่าตกใจว่าทำไมผิดหลักการ ตรวจเจอได้ไง เลยอธิบายกับล่ามว่าตัดรังไข่ออกแค่ 1 ข้าง อาแปะก็พยักหน้าให้เดาว่า กลับไปนี่ตูต้องไปตัดอีกข้างใช่มั๊ย?

หลังจากไม่สนใจคอร์สการรักษาราคาหลักหมื่นของแปะ เราก็นั่งให้คนนวดเท้าพลางมองดูคนอื่นทดลองรักษาด้วยพลังชี่กงบ้าง ก็เห็นซินแสคนอื่นเอาครอบแก้ววางตรงที่ปวดแล้วทำให้เกิดสูญญากาศดูดติดกับผิวหนังตรงนั้นไว้ จากนั้นก็ใช้พลังดัชนีสุริยัน เอ๊ย ชูนิ้วกลาง...เอ่อ นิ้วชี้กับนิ้วกลางจ่อไปที่ครอบแก้ว จะเห็นประจุไฟฟ้าเล็กๆ วิ่งแว้บๆ สัมภาษณ์คนที่ถูกทดลองส่วนใหญ่บอกว่ารู้สึกเหมือนมีเข็มเล่มเล็กๆ แทง พอเอาครอบแก้วออกก็เห็นเป็นเลือดคั่งสีแดงบ้าง ม่วงบ้าง และช้ำต่อไปอีกหลายวัน

หมอนวดที่นวดให้เราก็พยายามชวนคุยเหมือนหมอนวดคนอื่นๆ แต่คุยกันไม่รู้เรื่อง พอเห็นว่าเราซื้อยาแล้วก็ไม่ชวนคุยอีก พอนวดเท้าเสร็จก็กลับมานวดบ่า เราเริ่มทนการขยำมั่วไม่ได้ เลยสาธิตบอกให้ทำแบบที่ต้องการบ้าง ปรากฎว่าชีหาว่ามือเราหนักไปซะอีก

เช้านี้ไม่ได้ไปเที่ยวไหนแต่ใช้เงินที่แลกมาไปเกือบหมดซะแล้ว หลังอาหารเที่ยง เราก็กลับไปเริ่มต้นที่ท่ารถอุทยานจางเจียเจี้ยกันอีกครั้ง หลังจากสแกนนิ้วและขึ้นรถบัสแล้วเราก็ไปที่เขตอนุรักษ์ธรรมชาติเทียนจื่อซาน ซึ่งเป็นภูเขาคนละลูกกับภูเขาฮัลเลลูย่าห์ แต่ก็นับได้ว่าเป็นเทือกเขาเดียวกัน พวกเราขึ้นกระเช้าที่มองเห็นเสาหินลักษณะเฉพาะของจางเจียเจี้ยได้อย่างใกล้ชิด แต่ละคนก็ยกกล้องของตนขึ้นมาถ่ายรูปกันอย่างตื่นเต้น ยกเว้นพจนารถที่นั่งตัวแข็งทื่อ หลับตาเป็นพักๆ ไม่กล้ามองซ้ายมองขวา รู้สึกหวิวๆ จะเป็นลม จนกระเช้าเคลื่อนขึ้นมาสูงสุด ลงจากกระเช้าได้เป็นจุดชมวิว ถ้าไม่มีหมอกมากอย่างวันนี้ก็จะได้เห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของยอดเขาน้อยใหญ่นับร้อยยอด พวกเราต้องนั่งรถตู้ลงเขาต่อมาที่สวนสาธารณะเฮ่อหลง มีรูปปั้นนายพลเฮ่อหลงตั้งประดับไว้อย่างน่าเกรงขาม ไกด์ดาวบอกว่าสัญลักษณ์ของนายพลเฮ่อหลงที่รูปปั้นนำเสนอไว้ทั้งหมดมี 3 อย่างด้วยกันก็คือม้า ไปป์ และหนวด

ที่สวนนี้มีจุดชมวิวซึ่งมีหมอกหนาเป็นอุปสรรคเช่นเดียวกัน จุดที่สำคัญคือเซียนหนี่ว์ซ่าฮวา หรือนางฟ้าโปรยดอกไม้ และหน้าผาเจียงจวิน เราเห็นว่าหมอกหนาจึงเดินไปแค่จุดชมวิวเดียวซึ่งก็ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไรใน 2 จุดนี้ ระยะทางเดินลงไปไกลพอสมควร ขาที่ปวดอยู่แล้วก็กลับมาปวดอีก ถ่ายรูปกับหมอก แล้วก็กลับขึ้นมารอคนอื่นๆ จนไกด์ดาวเดินลงไปตามคนอื่นแล้วขึ้นมาบอกว่าหมอกจางแล้วให้ลงไปดูวิวกัน เราก็เลยต้องลากสังขารเดินลงไปอีกจนได้เฮ้อ!


เรานั่งรถตู้ต่อไปยังจุดชมวิวอีกที่ซึ่งเป็นระเบียงทางเดินแนบไปกับภูเขา คราวนี้ไม่มีหมอก ทำให้มองเห็นภูเขาหินที่รายล้อมอยู่อย่างชัดเจน เป็นวิวใหม่ซึ่งมุมมองจะต่ำกว่าจุดชมวิวบริเวณยอดเขาและสวนเฮ่อหลิง เดินเลาะมาเรื่อยๆ จะพบว่ามีส่วนของแท่งภูเขาหินซึ่งทอดขวางเชื่อมติดกันระหว่างภูเขา 2 ลูก เป็นสะพานธรรมชาติ เรียกว่าสะพานหนึ่งในใต้หล้า (เทียนเสี้ยตี้อี้เฉียว) มีต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นคลุมจนเขียวชอุ่ม ถ่ายรูปกันจนพอใจก็นั่งรถต่อมายังสถานีลิฟท์แก้วไป่หลงที่สูงที่สุดในโลก (326 เมตร) ซึ่งไม่เสียวอย่างที่คิด เพราะลิฟท์ไม่ได้เคลื่อนเร็วมากและเราก็ไม่ได้ยืนอยู่ตรงกระจกลิฟท์แก้ว ฮี่ฮี่

เย็นนี้เรายังคงพักที่โรงแรมเดิม เนื่องจากยังเที่ยวอยู่ในเขตอุทยานจางเจียเจี้ยที่ทางเข้าออกต้องผ่านที่ทำการใกล้ๆ โรงแรม แต่เนื่องจากแต่ละคนกระปลกกระเปลี้ยจากการเดิน หลังจากมาถึงโรงแรมแล้วก็แยกย้ายกันเปิด wifi พักผ่อนตามอัธยาศัย

23 พ.ค. 57

เช้านี้เราไปแวะร้านของฝากภาคบังคับของทัวร์จีนร้านที่ 3 นั่นคือร้านชา น่าเสียดายไม่มีใครซื้อชาหอมๆ แบบที่นำมาเสริฟเลย ที่น่าสนใจจะเป็นชาดำเก็บไว้ได้นาน ในก้อนใบชาจะมีเส้นใยของเห็ดหลินจืองอกอยู่ด้วย แต่ก็ราคาแพงเกินไป ออกจากร้านน้ำชา เราก็ไปที่ศูนย์วัฒนธรรมเผ่าถูเจีย ยังคงมีฝนตกอยู่ ภายในศูนย์วัฒนธรรมเป็นบ้านเรือนของชนเผ่าถูเจีย ที่คล้ายๆ ชาวเขาของเมืองไทย ที่บ้านหัวหน้าเผ่ามีหลายชั้นมาก มีการนำรูปปั้นมังกรมาประดับ ราวกับจะสื่อว่ามังกรนั้นเลื้อยลงมาจากบ้านนั้น นอกจากบ้านเรือนและภาชนะโบราณแล้ว ยังมีโชว์แสดงให้ชมอีกด้วย อย่างแรกเป็นพิธีเข้าหอของเจ้าสาว ที่ทั้งเจ้าสาว แม่เจ้าสาว และผู้ติดตามจะต้องร้องไห้รำพึงรำพัน เป็นความเชื่อว่าร้องไห้ไปจนถึงวันแต่งงาน ชีวิตต่อมาจะมีความสุข ไม่ต้องร้องไห้อีก (ก็แน่นอน เพราะหลังจากนั้น เจ้าบ่าวหรือสามีนั่นแหละจะต้องร้องไห้แทน) เดิมจะเริ่มร้องไห้ก่อนแต่งงาน 3 เดือน แต่เดี๋ยวนี้ไกด์ดาวบอกว่า พวกที่ยังยึดถือประเพณีอยู่ก็ร้องไห้พอเป็นพิธีเท่านั้น ส่วนอีกโชว์เป็นการร้องรำทำเพลงเพื่ออวยพร และรำมีดให้คนดูเสียวเล่น

หลังกินข้าวเที่ยง พวกเราใช้บัตรผ่านเข้าอุทยานเป็นวันสุดท้าย รถบัสของอุทยานพามาที่สถานีกระเช้าที่จะขึ้นไปยังยอดเขาเทียนเหมินซาน พอรู้ว่าเส้นทางกระเช้ายาวที่สุดคือ 7.5 กม. ใช้เวลา 40 นาที เราก็เริ่มเหงื่อตก เพราะเมื่อวานนั่งแค่ 20 นาทียังแทบใจจะขาด คราวนี้เสร็จแน่ แต่พอทุกคนเริ่มคุ้นเคยจากการเที่ยวด้วยกันมาหลายวัน เลยหาหัวข้อสนุกสนานมาคุยเล่นระหว่างนั่งกระเช้า ทำให้ลืมเรื่องกลัวกระเช้าไปได้รอดแล้ว

บนยอดเขาเทียนเหมินซานก็เป็นจุดชมวิวเช่นเดียวกับเทียนจื่อซาน แต่ทางเดินระเบียงเลียบเขานั้นมีช่วงหนึ่งที่เป็นกระจกใส มองเห็นหุบเหวด้านล่าง แต่ไม่ค่อยหวาดเสียวเท่าไหร่ เนื่องจากหมอกลงจนมองไม่ค่อยเห็นเบื้องล่างที่ลึกลงไป

พวกเราเจอกับทัวร์เกาหลีทุกวัน ที่น้องรินบอกว่าทางการส่งเสริมให้ชาวเกาหลีมาเที่ยวฟรีนี่ท่าจะจริง และสัญลักษณ์ที่ว่าต้องมาจากเกาหลีแน่ๆ ก็คือแม่กุญแจที่คล้องกันไปมาจนคล้ายพวงองุ่นติดอยู่กับกิ่งไม้ที่ยื่นออกไปนอกระเบียงทางเดิน จนบางแห่งต้องสงสัยด้วยซ้ำว่ากิ่งไม้อยู่ไกลขนาดนั้นยังมีคนอุตสาหะนำกุญแจไปแขวนไว้อีก

เรานั่งรถผ่านโค้งซับซ้อน ที่ถ้าถ่ายรูปได้จากกระเช้าจะสวยงามมาก แต่ถ้ามานั่งรถผ่านแล้วไม่แน่จริงก็อาจจะอ้วกได้ จุดที่จะไปต่อคราวนี้คือถ้ำประตูสวรรค์ เป็นถ้ำธรรมชาติลักษณะคล้ายบานประตูขนาดใหญ่ (นึกถึงบานประตูสัมฤทธิ์จากเรื่องบันทึกจอมโจรแห่งสุสานขึ้นมาเลย) สูง 131.5 เมตร กว้าง 57 เมตร และลึก 60 เมตร ชื่อประตูสวรรค์นั้นบอกเป็นนัยๆ อยู่แล้วว่าต้องอยู่สูง การจะไปถึงได้จึงต้องขึ้นบันไดไปอีก 999 ขั้นแม่เจ้า! นี่ตูมาเที่ยวหรือมาฝึก รด.

จากสถานีกระเช้ามีวีดีโอของกิจกรรม extreme ในหน้าร้อน เช่น ดิ่งพสุธาลอดผ่านประตูสวรรค์ หรือเดินไต่เชือกทักทายคนในกระเช้า นอกจากนี้ยังมีโชว์เครื่องบินผาดโผนลอดประตูสวรรค์พร้อมกัน 3 ลำ น่าทึ่ง แต่ไม่น่าลอง

พี่แอร์บอกไว้ตั้งแต่ลงรถว่าจะรออยู่ด้านล่าง ส่วนคนที่จะเดินขึ้นไปก็ฝากของไว้ได้ ส่วนเราก็กะว่าเดินเท่าที่เดินได้ละกัน หลังจากสลัดเป้หลังออกไป เหลือแต่ร่มกับกล้องถ่ายรูป ก็ชวนกับพี่ไหมเดินกันไปเป็นบัดดี้ ตามคนอื่นๆ ไปอย่างช้าๆ

ชคดีที่อากาศเย็นพอจะทำให้ไม่เป็นลม และเสื้อผ้าอย่างบางที่จงใจจะไม่ใช้เสื้อกันหนาวเพราะจะอบ ทำให้พอจะลากข้อเข่าที่ถ้าพูดได้มันคงด่าเจ้านายมันเป็น 100 รอบ ขึ้นไปทีละขั้น ในที่สุดกลุ่มผู้สูงอายุอย่างป้าไรก็เริ่มแซง ส่วนเราชักจะถอดใจ เลยบอกให้พี่ไหมเปลี่ยนบัดดี้ไปกับกลุ่มพี่อุไรเถอะ เพราะเกรงใจที่พี่ไหมต้องหยุดรอบ่อยมาก อาศัยถ่ายรูปรอ แต่หลังๆ ฝนเริ่มหนาเม็ดขึ้น เปิดกล้องรอแทบไม่ได้แล้ว

แต่พอเข้าไปที่จุดพัก แล้วเงยหน้าขึ้นมองเท่านั้นแหละ (ตลอดมาก้มหน้าก้มตาเดิน) หมอกจางลงจนเห็นแสงสว่างลอดออกมาจากประตูสวรรค์ แรงใจก็มาเลยเพราะรู้แล้วว่าไปอีกนิดเดียว พี่ไหมกับแก๊งค์ป้าถึงกับงงว่าตกลงมันจะกลับหรือไปต่อเนี่ย

เดินลอดประตูสวรรค์ไปอีกฟากที่ไม่ไกลนักได้ (ถ้าเดินลอดไปไกลจะตกเหว) ฝนก็กระหน่ำลงมาสุดๆ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจุดถ่ายรูปกลางประตูสวรรค์ทามม้ายถึงแขวนหัวใจกิ๊บเก๋ไว้ราวกับอยู่หน้างานแต่ง ดูจะเด่นกว่าหินสลักรูปสัตว์ประจำทิศอย่างเต่า กับมังกร ที่ด้านหน้าและหลังประตูสวรรค์ซะอีก

ปลื้มปริ่มกับตัวเองที่ลากสังขารขึ้นมาจนถึงครู่ใหญ่ ก็เดินกลับลงไปด้านล่าง มาโม้ให้คนไม่ได้ขึ้นฟัง จากนั้นก็ได้เวลานั่งกระเช้ากลับ อำลาเขตอุทยานสวรรค์บนดิน

เหนื่อยกันมาพอสมควร ไกด์ดาวเห็นว่าไม่เย็นมากเลยพาพวกเราเข้าร้านผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่ ที่นำใยไผ่มาเป็นเสื้อผ้า ชุดชั้นใน หมอน ฯลฯ กินข้าวเย็นกันต่อเพื่อจะรอเวลาไปดูโชว์ตระการตา The love story of a woodenman and a fairy fox ที่เป็นเวทีแสดงกลางแจ้ง ดูเหมือนฝนจะเป็นใจที่ตกลงมาปรอยๆ เท่านั้น พวกเราจึงได้ดูโชว์อลังการแสงสีเสียง มีนักร้องประสานเสียงร้องเพลงประกอบ ถึงไกด์ดาวจะเล่าเนื้อเรื่องให้ฟังคร่าวๆ แต่ที่มุมเวที 2 ด้านก็มีตัวอักษรวิ่งบรรยายไว้ให้ผู้ชมอ่านเหมือนกัน
ที่ประทับใจที่สุดเห็นจะเป็นการผสมผสานเทคโนโลยีด้วยคอมพิวเตอร์กราฟฟิกทำให้พระจันทร์ขึ้นหรือการแปลงร่างของนางจิ้งจอกดูมหัศจรรย์ราวกับเกิดขึ้นจริง รวมกับฉากหลังเป็นภูเขาจริงๆ และทิวทัศน์พาโนราม่าที่ทอดยาวไปไกล นับว่าโชว์ของคนจีนนำหน้าคนไทยไปไกลทีเดียว

24 พ.ค. 57

วันนี้ไกด์ปล่อยให้พักขากันเต็มที่ เพราะโปรแกรมค่อนข้างน้อย ตอนเช้าพวกเราไปดูภาพสวยงามที่สร้างสรรค์จากทรายและวัสดุธรรมชาติที่พิพิธภัณฑ์หินทรายของศิลปินแห่งชาติ หลี่หวินเจิง ภาพที่เราชอบที่สุดเห็นจะเป็นภาพวิวภายในบ้านที่ต้องใช้มือเปิดหน้าต่างออกไปจะเห็นทางเดินและวิวภูเขาจางเจียเจี้ย ที่ดูแล้วมีคำผุดขึ้นมา 2 คำ นั่นคือ ความหวัง และเส้นทางไปต่อ


4 ชั่วโมงหลังจากนั้นเราก็นั่งรถไกลเพื่อจะกลับฉางซา ก่อนถึงที่พัก แวะกันที่เกาะส้มซึ่งเป็นสวนสาธารณะกลางแม่น้ำในเมืองฉางซา ว่ากันว่าท่านประธานเหมาเจ๋อตุงสมัยที่ยังเป็นนักศึกษา ชอบว่ายน้ำมาพักผ่อนที่เกาะนี้ บนเกาะมีรูปปั้นครึ่งตัวของเหมาเจ๋อตุงตอนหนุ่ม แต่ดูแล้วจะเป็นฝรั่งและคล้ายรูปสลักประธานาธิบดีอเมริกาที่หน้าผาเม้าต์รัชมอร์ไปนิด ส่วนอื่นๆ ของเกาะปลูกต้นไม้ดอกไม้ไว้สมกับเป็นสวนสาธารณะ ได้เวลาพวกเราก็กลับโรงแรม


คืนนี้ไกด์ดาวพาพวกเราไปหาซื้อของฝากกันที่ถนนคนเดินหวงซิงลู่ของฉางซา ดูเหมือนฟ้าฝนจะไม่เป็นใจเพราะร้านค้าตามถนนเก็บของไปเกือบหมด พวกเราเลยเข้าไปซื้อของกันในซุปเปอร์มาเก็ตแทน หลังจากได้ของมาพอสมควรก็กลับไปแพ็คกระเป๋าเตรียมกลับ

25 พ.ค. 57

วันนี้ถึงจะออกเดินทางสาย แต่ก็ไม่คิดจะออกไปเดินรอบๆ โรงแรมนัก ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะยังปวดขาอยู่ อีกส่วนก็เพราะมัวแต่เล่นอินเตอร์เน็ตนั่นเอง เดิมทีไกด์บอกให้เราดีใจว่าแอร์เอเชียจะเลื่อนไฟต์ให้เร็วขึ้น 1 ชั่วโมง จะได้กลับถึงบ้านเร็วขึ้นอีก แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าดีเลย์ไปอีก 1 ชั่วโมงฮือ...คุณหลอกดาว...แล้วดาวก็มาหลอกเรา

สนามบินฉางซาอัตคัตของฝากมาก กะว่าจะซื้อแม่เหล็กเพิ่มเติม ก็เจอของไม่สวยแถมยังแพง ได้แต่นั่งหลับรอเวลาขึ้นเครื่อง คราวนี้อ๋อยใจดีมารับถึงสนามบินดอนเมือง กลับถึงบ้าน 18.30 น.