Sunday, January 02, 2011

สิงคโปร์ 4 - 7 ธ.ค. 53

บันทึกการท่องเที่ยวสิงคโปร์ 4 - 7 ธ.ค. 53

4 ธ.ค. 53

พวกเรา ประกอบด้วย เรา หมอปุ้ม จุ๋ย และแมว ไปสิงคโปร์กันแบบตัดสินใจนาทีท้ายๆ งวดนี้ออกเดินทางกันตอนเช้าตรู่ นัดเจอกับแมวที่สนามบินแถวเคาน์เตอร์ Jet star แอบคาดหวังเล็กๆ ว่าสายการบินลูกของแควนตัสจะมีอาหารเสริฟบนเครื่อง แต่สงสัยจะเป็นนโยบายเหมือนๆ กันของสายการบิน low cost ที่ไม่มีอาหารและเบาะนั่งที่บอกอ้อมๆ ว่าถ้าคิดจะไปด้วยห้ามอ้วนกว่านี้แล้ว โชคดีที่กินข้าวหมูแดงเป็นมื้อเช้าที่สนามบินในขณะที่คนอื่นกินโจ๊กกัน เพราะกว่าเราจะไปถึงสนามบินชางฮี (Changi) ก็ปาเข้าไป 11 โมง เดินหาช่องทางที่จะไปรถ MRT เข้าเมืองกันอยู่เป็นนานค่อยถึงบางอ้อว่าขึ้น Airport link ที่ Terminal 2 หรือ 3 (เดินไกลกว่า) แล้วไปต่อ MRT ที่สถานี Changi Airport ได้เลย พวกเราซื้อบัตร EZ link ได้ที่สถานีโดยบัตร 1 ใบ ราคา 12 เหรียญสิงคโปร์ แต่เป็นค่ามัดจำบัตรซะ 5 เหรียญ ใช้ได้ 7 เหรียญ เลยเติมเงินเพิ่มกันอีกคนละ 10 เหรียญกะว่าคงจะพอใช้ในเวลา 3 วัน แล้วก็ขึ้นรถไปลงที่สถานี Tanah Merah เพื่อต่อรถไฟสายสีเขียวไปยังสถานี Outram park ซึ่งอยู่ใกล้ที่พักของเรา นอกจากนี้บัตร EZ link ยังใช้กับรถเมล์ และรถไฟที่ข้ามไปเกาะ Sentosa ได้อีกด้วย



รถไฟฟ้าของสิงคโปร์แล่นใต้ดินบ้างบนดินบ้างแต่ก็เรียก MRT แบ่งออกเป็น 4 สาย 4 สี สายสีเขียวเริ่มที่สถานี Pasir Ris ไปสุดสายที่ Joo Koon โดยมีสีเขียวของ Airport มาเชื่อมต่อแบบต้องเปลี่ยนขบวนกันที่สถานี Tanah Merah ส่วนสายสีแดงเริ่มจาก Marina bay ไป Jurong East สายสีม่วง Punggol ไป Harbour Front และสุดท้ายสายสีเหลืองจาก Dhoby Ghaut ไป Harbour Front จะเปิดเส้นทางในปี 2011 พวกเราเลยได้อาศัย 3 สายหลักไปก่อน วิธีการเดินทางค่อนข้างสะดวกแค่ดูป้ายที่ชานชาลาว่าด้านนี้รถวิ่งไปสุดสายที่ไหนแล้วก็ขึ้นให้ถูก มีแปะบัตรผ่านทางเข้าชานชาลาเหมือนเมืองไทย ตรงช่องแปะบัตรจะมียอดเงินคงเหลือบอกทุกครั้ง เราสามารถเติมเงินกับตู้อัตโนมัติหรือพนักงานที่สถานีก็ได้ ที่สถานีจะมีแผนที่ขนาดใหญ่บอกที่ตั้งของแหล่งต่างๆ และทางออกจากสถานี

พวกเราจองที่พักกับเว็ป Agoda เป็นโรงแรม 2 ดาว ชื่อ 81 Osaka อยู่ห่างจากสถานี Outram ประมาณ 500 เมตร แต่ครั้งแรกเราก็เดินหลงและวนหากันอยู่นานกว่าจะเจอโรงแรม ดีที่พวกเราเลือกเติมพลังรอบบ่ายด้วยขนมปังและนมถั่วเหลืองก่อนออกจากสถานี จากที่คิดว่าจะซื้อขนมมายืนกินกันนอกร้านให้หมดๆ หรือเดินกินกลางทาง แต่รู้สึกยังไงๆ อยู่ว่าทำอย่างนี้ได้หรือเปล่า เพราะกฎหมายสิงคโปร์ค่อนข้างเข้มงวด ไม่ทันไรก็เงยหน้าขึ้นไปเห็นป้ายเหนือศีรษะที่ห้ามกินบริเวณที่คนอื่นๆยืนอยู่และเรากำลังจะอ้าปากงับขนมพอดี พวกเราเลยต้องลากกระเป๋าเข้าไปในร้าน สั่งเครื่องดื่มเพิ่ม แถมยังถ่ายรูปกันในร้านอยู่เป็นนาน

ผู้จัดการทริปคงรู้ดีว่าลองได้เข้าห้องแล้วถ้าไม่รีบจัดโปรแกรม เดี๋ยวจะมีรายการนอนยาว เพราะห้องในโรงแรมถึงเตียงจะกว้างเท่าหมอน แต่ก็สะอาดน่านอน ยิ่งลากกระเป๋าหลงไปซะไกลยิ่งอยากจะลงไปนอนซะให้หายเมื่อย กุศโลบายอื่นนอกเหนือจากนั้นเป็นรายการอาหารบ่าย + ค่ำที่ไหนๆ ก็อดข้าวเที่ยงกันแล้วก็ขอกินให้มันเต็มที่ไปเลยทำให้พวกเรามีแรงออกเที่ยวกันอีกครั้ง

ข้างที่พักเรายังมีมินิมาร์ทให้ซื้อ sim โทรศัพท์ไว้โทรกลับบ้าน เครือข่ายใหญ่ๆ ของที่นี่ก็มี Singtel , M1 เราเลือก M1 ราคา 25 เหรียญ จากนั้นก็โทรกลับบ้านได้ในราคาไม่ถึง 2 บาท/นาที ก่อนไปกินอาหารทะเลมื้อใหญ่ พวกเราไปเดินกันที่ Marina bay กันก่อน ด้วยการต่อรถไฟสายสีแดงไปลง Marina bay เดินกันไปเรื่อยๆ จนมาหยุดที่ Marina Bay Sands โรงแรมใหญ่ ใหม่ล่าสุดของสิงคโปร์ที่โปรโมตอย่างอลังการ ทั้งโครงสร้างสถาปัตยกรรมที่ประกอบด้วยตึกแท่งค้ำยัน 3 แท่งใหญ่ ที่ดาดฟ้าเป็นไฮไลท์คือเรือลำใหญ่มีสระว่ายน้ำกลางแจ้งที่ไม่มีขอบสระเพื่อให้รู้สึกเหมือนว่ายน้ำอยู่กลางฟ้า มองเห็นวิวเป็นท้องฟ้ากับยอดตึกอื่นๆ แต่ถ้าจะขึ้นไปดูต้องจ่ายคนละ 20 เหรียญ พวกเราก็เลยได้แต่มองไกลๆ แล้วนึกภาพตามที่เคยได้ FWD mail มา



จากอ่าวมาริน่ามองเห็นสิงโตพ่นน้ำ (Merlion) แต่ไกล แต่ไม่รู้ต้องเดินทะลุทางไหนจึงจะไปถึง เราเลยเลือกกลับไปขึ้นรถไฟไปลงสถานี Raffles place ที่อยู่ถัดไปอีกสถานีแทน ออกที่ทางออกหน้าโรงแรม Fullerton แล้วก็เดินข้ามถนนต่อไปอีกก็ถึงสัญลักษณ์ของสิงคโปร์ แต่ยังก่อน สะพานสวยหน้าโรงแรม หรือสะพาน Cavenagh ที่สร้างจากสก๊อตแลนต์แล้วนำชิ้นส่วนมาประกอบที่สิงคโปร์เป็นสะพานให้คนเดิน กับสะพาน Anderson จากแหล่งที่มาเดียวกันที่อยู่ถัดไปเป็นสะพานรถวิ่ง และรูปปั้นทองสัมฤทธิ์เด็กแก้ผ้ากระโดดน้ำดึงดูดให้เราถ่ายรูปกันต่อไป แถมยังหยุดกินไอติมแซนวิชที่คุยไปคุยมากับคนขายปรากฏว่าเป็นคนไทยซะอีก การเที่ยวแบบไม่ง้อทัวร์นี่ ถึงแม้จะทำให้ต้องหลงทางบ้าง กินไม่เป็นเวลาบ้าง แต่ก็ทำให้เรามีโอกาสได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในสถานที่ใหม่ๆ ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว



ตัว Merlion เป็นสิงโตทำจากวัสดุจำพวกซีเมนต์สีขาว จุดเด่นอยู่ตรงที่หัวเป็นสิงโตแต่ตัวมีเกร็ดและมีหางคล้ายปลา หันหน้าออกทะเล นักท่องเที่ยวก็สารพัดจะทำท่าถ่ายรูป ตั้งแต่ทำมือรองน้ำ อ้าปากกินน้ำที่พ่นออกจากปากสิงโต ส่วนพวกเราที่ไม่ได้กินข้าวเที่ยงได้แต่ไปยืนพิงรั้ว ถ่ายๆ รูปกันด้วยหน้าตาหิวโหย การที่เราเดินมาจากทางโรงแรม Fullerton จะเจอ Merlion ตัวลูกซึ่งมีขนาดเล็กกว่าก่อน โดยตัวลูกจะต่างกับตัวแม่คือมีการเพิ่มลายละเอียดของเกร็ดด้วยกระเบื้อง และนำถ้วยชาขนาดเล็กสีแดงมาทำเป็นลูกตา ยืนชมวิวรอบอ่าวมองเห็นด้านตรงข้าม ได้แก่ โรงละคร Esplanade รูปทรงหนามทุเรียนริมน้ำเหมือนกับ Sydney Opera House อาคารพิพิธภัณฑ์รูปดอกบัวบาน และ Singapore flyer

พวกเราหาที่เรียกรถแท็กซี่กันจนเดินเข้าไปในโรงแรม เจอแท็กซี่พิเศษที่ต้องเสีย service charge 7% นอกเหนือจากราคาในมิเตอร์ เพื่อจะพากันไปฝั่งตะวันออกที่รถไฟฟ้าไปไม่ถึง โชคดีที่ภัตตาคารจัมโบ้วันนี้คิวไม่ยาวทำให้เราได้กินอาหารทะเล รวมทั้งปูศรีลังกาผัดพริกไทยดำ (Srilankan king crab) อย่างอร่อยในเวลาไม่นาน ก่อนจะตบท้ายด้วยโอนิแป๊ะก๊วย แบบสิงคโปร์ที่ไม่มีข้าวเหนียว มองดูคล้ายโจ๊กเละๆ แต่ก็อร่อยใช้ได้



ได้หมอปุ้มกระตุ้นให้ไปขึ้น Singapore flyer กันต่อเพราะเห็นว่ายังไม่ดึกมาก และโปรแกรมแน่นเอี๊ยดในวันต่อๆ ไปที่จะไปทั้ง Night safari และ Universal studio ซึ่งเสี่ยงจะทำให้พลาดโอกาสนั่งชิงช้ายักษ์เอาง่ายๆ จุ๋ยเลยต้องตามใจเรียกแท็กซี่ไป Singapore firer เลยโดนแท็กซี่แซวซะเสีย self นักเรียนนอกว่า ไม่ไปอ่ะ “ไฟเออร์” ไป “ฟลายเออร์” เหอะ (ไม่นับพวกลูกทัวร์ที่พากันตื้บซ้ำ อิอิ)



พวกเราซื้อตั๋วขึ้นชิงช้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยความสูง 165 เมตร แล้วก็เดินไปรอขึ้นแคปซูลกระจกใส ภายในเป็นม้านั่งยาวไม่มีพนัก นั่งได้ประมาณ 25 คน เคลื่อนตัวมารับช้าๆ เดิมทีเรานึกว่ามันหมุนเร็วๆ เป็นรอบๆ เหมือนชิงช้าสวรรค์งานวัดซะอีก ที่ไหนได้มันหยุดรับคนได้เรื่อยๆ อย่างนี้ก็หมุนเอื่อยๆ ได้ทั้งวันแหละ ตอนแรกไม่มีใครนั่งที่ม้านั่งเลย ทุกคนกระดี๊กระด๊าไปยืนกันริมกระจกถ่ายรูปคู่กับวิวรอบนอก แต่พอชิงช้าเริ่มหมุนขึ้นสูงก็ชักจะเริ่มเสียว มีจุ๋ยไปนั่งก่อนตามด้วยเราและคนอื่นๆ ส่วนหมอปุ้มกับแมว และอีก 3 – 4 คนไม่รู้สึกกลัวก็ถ่ายรูปวิวยามค่ำคืน แสงไฟตามตึก และสะพาน double-helix ที่ประดับไฟกระพริบวนไปตามเกลียวกันต่อ ใช้เวลา 30 นาทีก็ครบรอบ โชคดีอีกอย่างที่พวกเรามาเที่ยวในเดือนธันวาคม ทุกที่มีการประดับไฟฉลองคริสมาสต์ รวมถึง Singapore flyer ที่มีดาวดวงใหญ่พร้อมไฟประดับเป็นสายยาวระย้าตั้งแต่ยอดชิงช้าไปจนถึงพื้นสวยงามมาก เดินหาแท็กซี่กันอยู่นานว่าจุดรับผู้โดยสารมันอยู่ตรงไหนกันแน่ เราก็ไปถามสาวสก๊อยน่ารักนางหนึ่งว่าแถวนี้มีสถานีรถไฟฟ้าบ้างป่าว? ซึ่งหล่อนก็ตอบแบบงงๆ ว่ามันไกลมากเลยนะป้า ถึงอย่างนั้นเดินไปเรื่อยๆ หาแท็กซี่ไปพลางแล้วก็ไปถามอีกคนก็ได้ความว่า สถานี Promenade เดินไปอีก 5 นาทีก็ถึง แถมชี้มือให้เห็นป้ายสถานีลิบๆ อีกต่างหาก.....ฮ่วย ยังไม่ปิดฉากการหลง เนื่องจากเราขึ้นรถไฟสายสีม่วงกลับ ดังนั้นทางออกของสถานีที่อยู่อีกด้านหนึ่งของถนน Outram ทำเอาเราเดินหลงอีกจนได้ กว่าจะอ้อมกลับมาที่เก่าและตั้งต้นจากทางออกของสถานีสายสีเขียวอีกครั้ง

5 ธ.ค. 53

เช้านี้พวกเรามีเป้าหมายไปกินข้าวเช้ากันที่ Chinatown ฟังชื่อสถานีก็นึกถึงโจ๊ก กาแฟร้อน ปาท่องโก๋ แล้ว แต่พอเดินออกจากสถานีก็ต้องเหวอกับร้านค้าที่ปิดตลอดแนวในเวลาเกือบ 9 โมง เดินจนมาเจอกับอีกทางออกของรถไฟฟ้าคือทางออก A ที่โผล่ขึ้นมากลางไชน่าทาวน์เลย เรายังคงเดินเรื่อยๆ ไปเจอวัดฮินดูหรือวัด Sri Mariamman ที่เป็นศิลปะแบบฮินดู มีรูปปั้นอยู่เต็มผนังและยอดปรางค์ รวมทั้งรูปปั้นวัวตัวใหญ่บนรั้ววัด พวกเราได้แต่ถ่ายรูปกันด้านนอก ไม่ได้เดินเข้าไปในวัด เพราะมีสิ่งสำคัญกว่าที่ต้องทำ คือ หาอาหารเช้า! เราผ่านวัดพระเขี้ยวแก้วให้ชั่งใจว่าจะเข้าไปดีไม่ดี ก็มาเจอศูนย์อาหาร Maxwell ฝั่งตรงข้ามวัด ให้ขาของทุกคนพาเดินข้ามถนนอย่างอัตโนมัติไปหาร้านข้าวมันไก่ที่แขวนไก่ตัวอ้วนๆ โชว์ ยั่วน้ำลายอยู่ จุ๋ยที่ปักใจกับข้าวมันไก่ไม่สนใจอะไรแล้ว แต่สาวๆ ที่เหลือยังอยากจะเดินดูให้ทั่วๆ ก่อนว่ามีอะไรกินบ้าง แต่ในที่สุดก็ย้อนกลับมากินข้าวมันไก่ ผัดคะน้าฮ่องกง กับผัดถั่วงอก โดยสั่งแบบข้าว 4 จานกับไก่ครึ่งตัว



มีคนเคยบอกว่าจะกินข้าวมันไก่ต้นตำรับต้องมากินที่สิงคโปร์ แต่ก็มีอีกพวกที่บอกว่าข้าวมันไก่สิงคโปร์ไม่อร่อยเท่าบ้านเรา สำหรับเราแล้วอร่อยกันคนละแบบ ข้าวมันไก่เมืองไทยเป็นไก่ต้มแห้งเหมาะกับน้ำจิ้มเต้าเจี้ยว แล้วก็น้ำซุปลอยด้วยฟัก ส่วนไก่สิงคโปร์เป็นไก่ต้มเนื้อนุ่ม สับเป็นชิ้นแล้วราดในน้ำมันมาอีก กินกับน้ำจิ้มพริกที่ออกเปรี้ยวนิดหน่อยก็อร่อยไปอีกแบบ แต่ไม่ว่าแบบไหนก็ดูท่าจะไม่เหมาะกับไขข้อเราเท่าไหร่นัก ยิ่งต้องเดินๆๆ เที่ยวไปด้วยแบบนี้



อิ่มกันดีค่อยมีอารมณ์เข้าวัดกันแล้ว วัดพระเขี้ยวแก้ว (Buddha tooth relic temple) เป็นวัดที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุต่างๆ มากมาย ด้านล่างมีห้องโถงใหญ่เป็นที่ทำพิธีสวดมนตร์ ที่ผนังเป็นรูปปั้นพระโพธิสัตว์ปางต่างๆ ตั้งอยู่ในช่องตลอดแนว พวกเราเกือบจะกลับกันอยู่แล้ว โชคดีที่เจอทัวร์คนไทยกำลังต้อนกันขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้น 4 ซึ่งมีพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระทนต์ของพระพุทธเจ้า เลยได้บูชาพระบรมสารีริกธาตุ จากนั้นก็เดินลงบันไดมาชั้น 3 ที่เป็นห้องแสดงพระธาตุอื่นๆ ลักษณะเป็นเม็ดใสละเอียดแยกตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย และมีหลายสี ท่าทางกำลังขยายของแว่นตาคุณชายจุ๋ยจะไม่มากพอ ผลจากการชะโงกเข้าไปดูใกล้ๆ เลยทำให้เกิดเสียง “โป๊ก” ดังลั่น ทำเอาคนแถวนั้นมองกันเป็นตาเดียว ก่อนจะมีเสียงหัวเราะหึๆ จากพวกที่มาด้วยกัน พร้อมทั้งสำรวจว่ากระจกบานใหญ่ของตู้โชว์มีแตกมีร้าวบ้างหรือเปล่า ส่วนชั้น 2 เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีพระพุทธรูปโบราณ และรอยพระพุทธบาท

เดินออกมาจากวัดได้ก็ต้องแปลกใจที่บรรยากาศผิดตาจากตอนขามา หน้ามือเป็นหลังมือ เพราะร้านค้าต่างๆ รายทางไปจนถึงสถานีรถไฟ เปิดขายกันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะร้านขายของที่ระลึก แสดงว่าในวันธรรมดาจะเปิดขายสายกว่าวันเสาร์ – อาทิตย์ แน่นอนสาวๆ ปราดเข้าไปเลือกซื้อของฝากกันพักใหญ่ ปล่อยให้จุ๋ยยืนหน้าบูดอยู่นอกร้าน ไม่รู้ว่าเจ็บหัว หรือว่ารอนานกันแน่

ขึ้นรถไฟสายสีม่วงต่อไปอีก 2 สถานีก็เป็นสถานี Little India ที่เราจะกินข้าวกลางวันสไตล์อินเดียกัน ถึงเวลาจะล่วงเข้าเที่ยงกว่าแล้ว แต่สีสันสดใสของตึกก็ดึงดูดให้พวกเราปิดถนนถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน พวกเราเดินหาร้านสำหรับกินข้าวเที่ยงจนมาเจอร้านเป้าหมาย ที่มีคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวกินกันเยอะ และดูสะอาด ชื่อร้าน Banana leaf ใช้ใบตองแทนจานข้าวสมกับชื่อร้าน อาหารที่นี่ก็เหมือนกับอาหารอินเดียทั่วไปคือเน้นเครื่องเทศ ส่วนใหญ่เป็นเนื้อไก่และเนื้อแกะ เมนูแนะนำที่นี่เป็นแกงกระหรี่หัวปลา แต่ไม่มีใครกินเป็น เลยสั่งสิ่งที่คล้ายๆ แกงมัสมั่นเนื้อแกะ และอื่นๆ มากินกับโรตีทอดกรอบ ก่อนจะมองพนักงานเสริฟตักข้าว ผักดอง โปะๆ บนใบตองกันตาปริบๆ

เรายังอาศัยรถไฟสายสีม่วงย้อนกลับมาที่สถานีสุดสายคือ Harbour Front เพื่อไปขึ้น Sentosa Express สถานีนี้มีทางเชื่อมผ่านเข้ามาในห้าง Vivo city ที่เราต้องขึ้นไปที่ชั้น 3 เพื่อไปยังสถานีรถไฟฟ้า Sentosa ตลอดทางของห้างมีป้ายบอก เพิ่มความมั่นใจว่ามาถูกทางแน่ พวกเราเสียเวลาเข้าคิวซื้อบัตรเครื่องเล่นของ Sentosa คือ Tiger sky tower และ Merlion ซึ่งจริงๆ แล้วไปซื้อเอาตรงเครื่องเล่นก็ได้ไม่ต้องรอคิวนานในยามบ่ายอย่างนี้



เส้นทาง Sentosa Express แบ่งออกเป็น 4 สถานีย่อย คือ สถานี Sentosa ที่อยู่ในห้าง Vivo city ถัดมาเป็นสถานี Waterfront ที่ใครจะไป Universal studio หรือพักที่ Resort world ก็ลงได้ ถัดไปอีกเป็นสถานี Imbian ที่มีสวนผีเสื้อ และเครื่องเล่นต่างๆ ที่พวกเราซื้อตั๋วไว้ ส่วนสถานีท้ายสุดคือ สถานี Beach ที่เป็นชายหาด เป็นที่แสดงโชว์มัลติมีเดีย Songs of the Sea ส่วน Underwater world จะอยู่ใกล้หาด Siloso นอกจากการเดินทางไปเกาะเซ็นโตซ่าด้วยรถไฟฟ้าแล้วยังสามารถไปด้วยกระเช้า (Jewel cable car) หรือรถเมล์ก็ยังได้

บ่ายคล้อยแล้ว พวกเราเลือกลงสถานี Imbian แล้วก็ขึ้นบันไดเลื่อนตรงดิ่งไปที่ Tiger sky tower ที่เป็นหอคอยสูง 110 เมตร มีห้องกระจกหมุน 360 องศารอบแกนหอคอยให้นั่งดูวิวทั่วทั้งเกาะ หอคอยค่อยๆ เคลื่อนสูงขึ้นแถมยังหมุนช้าๆ ไปด้วย ไม่ค่อยเสียวเหมือนขึ้น Singapore flyer แถมแผ่นพับที่แจกยังให้ความมั่นใจว่าหอคอยนี้รับน้ำหนักได้ 200 ตัน เท่ากับช้างอาฟริกา 16 เชือกเชียว เพราะฉะนั้นช้างไทยเชือกเดียวที่ขึ้นมาบนนี้เลยค่อยเบาใจ ลงมาได้ก็พากันไปที่ Skyline Luge ซึ่งอยู่ใกล้ๆ เหตุผลที่จุ๋ยไม่ยอมให้ซื้อตั๋วล่วงหน้า เพราะกะว่าไม่มีเวลาจะได้ไม่ต้องเล่น และยังเป็นการหลีกเลี่ยงการขึ้นที่สูง แต่จริงๆ แล้วเครื่องเล่นนี้แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ Skyline เป็นกระเช้านั่งห้อยขาที่ต้องขึ้นจากตีนบันไดเลื่อนที่เราขึ้นมาจนมาสุดทางที่นี่ กับ Luge เป็นรถเลื่อนบังคับมือ (แมวเรียกว่ารถกระเหรี่ยง) ที่อาศัยแรงโน้มถ่วงไหลลงไปตามทางจนถึงด้านล่าง เมื่อเราซื้อตั๋วตรงนี้จึงต้องเล่น Luge ลงไปก่อนแล้วถึงจะขึ้นกระเช้ากลับมาอีก หรือใครจะเล่น Luge ลงไปอย่างเดียวก็มีตั๋วขาย

คราวนี้จุ๋ยเห็นกระเช้าที่คนนั่งขึ้นมากันก็คุยว่าแบบนี้ไม่สูงเท่าไร พอจะนั่งได้ คนอื่นเลยถือเป็นคำอนุญาตของผู้จัดการทริปให้ซื้อตั๋วทั้ง luge และ skyline เราต้องรอคิวกันพอสมควรถึงจะได้นั่ง luge ที่มีคนสอนวิธีบังคับรถแบบดึงแฮนด์รถเข้าหาตัวเป็นการเบรก และโยกเลี้ยวไปตามทิศที่ต้องการ เส้นทางวิ่งมี 2 เส้น คือแบบไม่คดเคี้ยว กับแบบ expert ที่มีโค้งหักศอกหลายที่ แน่นอนว่าเราเลือกแบบ expert แต่ไม่ได้ทำความเร็วทำที่ควรเพราะได้ยินเสียงอ่อยๆ มาจากด้านหลังว่า รอเค้าด้วยยยยย

อีตอนขาขึ้นกระเช้ากลับนี่สิ ทีแรกก็เฉยๆ แต่พอนั่งไประยะนึง คู่หมอปุ้มกับแมวที่นั่งห้อยขาเฮฮาถ่ายรูปกันต่อ ชักเริ่มผิดสังเกตว่าคู่หลังเงียบกริบ หันมามองถึงได้รู้ว่าคนนึงก็หลับตาปี๋ ส่วนอีกคนก็นั่งตัวแข็งเกาะราวจับไว้แน่น บ่นกันอุบว่าเมื่อไหร่จะถึงซะทีฟระ เสียวโครต



พวกเรามาดูโปรแกรมโชว์ Songs of the Sea ที่ตั้งใจจะมาดูในคืนพรุ่งนี้หลังจากไป Universal studio แล้ว จากนั้นก็แวะกินไอติมเติมพลังเมื่อโดนพจนารถหลอกเอาว่าเดี๋ยวเราต้องเดินใต่ขึ้นไปตามทางเพื่อขึ้นไปจนถึงยอดรูปปั้น Merlion ที่สูงน้องๆ Tiger sky tower แต่จริงๆ แล้วตามทางเดินมืดๆ ข้างในตัวสิงโตนี้ มีรูปปั้นมังกรทะเลอยู่ข้างใน และห้องที่ฉายประวัติของประเทศสิงคโปร์ รวมทั้งกำเนิดตัว Merlion รูปแบบการ์ตูน (อย่างตลก) ด้วย โดยหัวรูปปั้นเป็นสิงโตหมายถึงสิงโตที่เจ้าชายซางนิลาอุตามะ (ภาษาอังกฤษได้ยินเป็น Solomon) เคยเห็นตอนที่พระองค์พบเกาะสิงกะปุระในปี ค.ศ. ที่ 11 ตามบันทึกของชาวมาเลย์ ส่วนหางที่เป็นปลาคือสัญลักษณ์ของเมืองโบราณเทมาเซ็ค (หมายความว่า "ทะเล" ในภาษาญี่ปุ่น) และปิศาจท้องทะเลมีหางเป็นปลาที่เจ้าชายบวงสรวงด้วยมงกุฎให้เรือแล่นไปอย่างปลอดภัย ซึ่งสิงคโปร์ถูกค้นพบมาแล้วก่อนที่เจ้าชายนิลาจะตั้งชื่อเกาะนี้ว่า "สิงกะปุระ" (หมายความว่า "สิงโต" (สิงห์) และ "เมือง" (ปุระ) ในภาษาสันสกฤต) เสร็จแล้วเราก็ขึ้นลิฟท์ไปชั้น 10 ถ่ายรูปกันที่ปากด้านในของตัว Merlion แล้วก็ขึ้นไปชมวิวที่ดาดฟ้าบนหัวสิงโตจนเบื่อก็กลับลงมาแลกของที่ระลึกกันด้านล่าง



กลับมาถึงสถานี Harbour Front อีกครั้ง ถ่ายรูปกับต้นคริสมาสต์ประดับไฟยามค่ำคืนที่ใหญ่มากของห้าง Vivo city แล้วค่อยไปหาข้าวเย็นกินกันที่ศูนย์อาหารของห้าง Ion บนถนนออร์ชาร์ด ที่สถานี Orchard โดยเปลี่ยนรถไฟฟ้าเป็นสายสีแดง ที่ศูนย์อาหารนี้มีอาหารหลายอย่างให้เลือก เรากิน Raksa ที่เป็นก๋วยเตี๋ยวแกงกระหรี่ใส่เต้าหู้ กุ้ง ปลา ปลาหมึก หอยแครง อร่อยและเสียเวลางมหอยในน้ำแกงอยู่เป็นนาน

จุดหมายต่อไปของค่ำคืนนี้คือ Night Safari ที่เราต้องขึ้นรถไฟสายสีแดงต่อไปลงที่สถานี Ang Mo Kio จากนั้นก็นั่งรถบัส (ใช้บัตร EZ link แปะตอนขึ้นกับตอนลงรถ) สาย 138 ที่มีทางเชื่อมต่อจากสถานีรถไฟฟ้าให้เดินมาต่อคิว ประมาณครึ่งชั่วโมงรถเมล์ก็ไปสุดสายที่ Night Safari หรือตอนกลางวันคือ Singapore Zoo เราซื้อบัตรผ่านประตูแล้วก็นั่งรถรางรอบสวนสัตว์ มีไฟส่องให้เห็นสัตว์ต่างๆ ที่ออกมากินมื้อเย็น พร้อมคำบรรยายที่ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แถมยังมืดและง่วงนอน ก่อนจะหลับรถรางก็แล่นครบรอบให้ทันไปดูโชว์รอบสุดท้ายเป็นการแสดงของสัตว์ แต่ก็ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่นัก อาศัยว่าเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ทำหน้าที่เป็นพิธีกรชวนคุยเอาสนุกซะมากกว่า มีตื่นเต้นตรงที่เอางูเหลือมตัวเบ้อเร่อมาซ่อนไว้ใต้ที่นั่งคนดูให้วี้ดว้ายกันเล่น แมวยังอยากเดินป่ารอบดึกต่อ แต่สังขารของแต่ละคนเริ่มล้ากันแล้วเลยต้องตัดใจกลับกันดีกว่า แทนที่จะรอรถเมล์เหมือนเดิม พวกเรามีทางเลือกที่ฉลาดกว่านั้นคือนั่งรถตู้ไปลงที่ Little India โดยรถตู้จะจอดที่ Orchard กับ Little India ที่เลือกลงแหล่งหลังเพราะไม่ต้องเปลี่ยนสายรถไฟ แต่ Little India ที่พวกเราคิดว่าเป็นสถานีรถไฟฟ้านั้น กลายเป็นย่าน Little India แถมยังอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้แน่ ทำเอาต้องถามทางอีกครั้งที่ร้านสะดวกซื้อ ก็ได้ความว่าเดินย้อนกลับไปขึ้นรถที่สถานี Dhoby Ghaut อันเป็นชุมทางของรถไฟทั้ง 3 สายจะสะดวกกว่า (และถ้ามาอีกครั้งควรเลือกโรงแรมที่อยู่ใกล้สถานีนี้จะเดินทางง่ายและสะดวก) แต่พอถามว่าแล้วสถานี Little India ล่ะ ก็ได้คำตอบว่าเดินไปอีก 5 นาที พวกเราเลยเลือกเดินไปข้างหน้า ที่ยิ่งมายิ่งมืด ต้องถามทางอีกครั้ง คราวนี้พี่สาวเชื้อสายอินเดียใจดีมากๆ บอกทางอย่างละเอียด ชวนคุยไปพลางเดินไปพลาง พอถึงทางที่เธอต้องแยกไปยังอุตส่าห์ชี้บอกทางต่อไปที่สถานี ซึ่งเราก็ยังหลงกันอยู่ดี แล้วก็ไม่คิดว่าเธอจะวิ่งตามมาแล้วพาพวกเราเลี้ยวไปส่งจนถึงสถานีจนได้ ต้องขอบคุณในน้ำใจของคนต่างถิ่นจริงๆ คุยกันต่ออีกนิดถึงได้รู้ว่าเธอเป็นพยาบาลเพิ่งออกเวร ค่ำคืนนี้คะแนนความประทับใจต่อประเทศสิงคโปร์และคนสิงคโปร์ของพวกเราสูงขึ้นมามากมาย หลังจากหลงไปหลงมา พรรคพวกก็สรุปว่า ต่อไปไม่ต้องให้พจไปถามทางแล้ว เป็นเรื่องทุกที และก่อนเข้าที่พักเรายังต้องเติมเงินบัตร EZ link กันอีก 10 เหรียญ ตามข้อแนะนำบนบัตรที่ว่าไม่ควรปล่อยให้ยอดเงินคงเหลือน้อยกว่า 3 เหรียญ

6 ธ.ค. 53

อาหารเช้าของวันนี้เริ่มที่ศูนย์อาหาร Chinatown อีกเช่นเคย พวกเราเลือกร้านโจ๊กที่เห็นคนต่อคิวกันยาวเมื่อวาน สั่งไม่เป็นเลยแทนที่จะได้ไข่เยี่ยวม้าก็กลายเป็นไข่ไก่ไป โจ๊กที่นี่มีแต่เนื้อไก่กับเนื้อปลาให้เลือก ไม่ยักมีเนื้อหมู แถมยังมีเมนูยำปลาดิบมาให้กินแกล้ม ไม่รวมปาท่องโก๋ น้ำเต้าหู้ กาแฟ น้ำเกาลัด+แห้ว ที่พวกเราเอามาวางกินกันเต็มโต๊ะ ให้คนท้องถิ่นมองกันใหญ่ ว่าแก๊งค์นี้มาจากไหนกันฟะเนี่ย

หลังอาหารเช้าพวกเราก็กลับไปเซ็นโตซ่ากันอีกครั้งเพื่อไป Universal studio ถึงแม้ว่าเราตั้งใจจะไปวันธรรมดา ที่ราคาตั๋วถูกกว่าเสาร์ – อาทิตย์ แต่ผู้คนก็ยังล้นหลามตั้งแต่ช่องขายตั๋ว และที่แตกต่างจากสวนสนุกบ้านเราก็คือเป็นตั๋วราคาเดียว รวมเครื่องเล่นและค่าผ่านประตู ไม่มีให้ซื้อที่หน้าเครื่องเล่นอีก แต่จะเล่นกันกี่รอบก็ได้ ถ้าคุณรอคิวไหว

ภายใน Universal studio แบ่งเป็น 7 โซน คือ Hollywood และ New York ที่อยู่คนละด้านของทางเข้า โซนอื่นๆ ถ้าเดินตามเข็มนาฬิกาก็ได้แก่ Madagascar , Far Far Away, The lost world, Ancient Egypt, Sci-Fi city และมาสุดที่ New York ให้แมวที่มีข้อมูลมาแน่นกว่าเพื่อนเป็นผู้นำ เริ่มจากไปเข้าแถวรอดูหนัง 4 มิติเรื่อง Shrek ที่ปราสาทในโซน Far Far Away ถึงจะรอนานมากแถมยังมีอาหมวยและครอบครัวมาแซงคิว แต่หนังก็สนุกคุ้มกับการคอยทั้งตัวหนังแบบ 3 มิติ รวมทั้งน้ำและลมที่พ่นออกมาใส่ผู้ชม ออกมาได้ก็หาอาหารเที่ยงกินกันอย่างรวดเร็ว เพื่อจะไปต่อคิว Jurassic Park Rapid Adventure ที่โซน The lost world แต่คิวไม่ยักจะเร็วเหมือนชื่อเครื่องเล่น เพราะระยะเวลารอที่แจ้งด้านหน้าก็ปาเข้าไป 2 ชั่วโมงแล้ว เราได้แต่มองคนที่มีบัตร VIP หรือ Universal express ที่ไม่ต้องเข้าคิวกับคนอื่น แต่จะมีช่องทางเดินลัดไปได้อย่างรวดเร็ว จะมีบัตรนี้ได้ก็ต้องติดต่อกับ Guest service หรือ email ติดต่อกับทาง Universal ก่อน เครื่องเล่นนี้เป็นแพยางรูปกลม มีเบาะนั่งล้อมวงแล้วก็ไหลไปตามลำน้ำ ที่พื้นดินบริเวณข้างๆลำธาร มีหุ่นไดโนเสาร์เคลื่อนไหวได้ ยังไม่ทันได้ตื่นเต้นแพก็มาสุดปลายน้ำ ต่อจากนั้นก็ทิ้งตัวลงมาจากหน้าผา ด้านที่เรานั่งกระทบพื้นน้ำก่อนก็เลยเปียกหมด ส่วนคนอื่นๆ โดนละอองน้ำกันไปมากบ้างน้อยบ้าง เราแวะพักให้เสื้อผ้าแห้งด้วยการไปดูโชว์ที่ Water world ในโซนเดียวกัน เป็นการแสดงหนังย่อยๆ เน้นฉากต่อสู้ และระเบิดที่มีน้ำเป็นฉากใหญ่ จบแล้วไปที่โซน Ancient Egypt เพื่อต่อคิวเล่น Revenge of the Mummy ที่ต้องเอาของติดตัวมาเก็บไว้ในล๊อกเกอร์ให้หมด ชั่วโมงกว่าๆ เราก็ได้เข้าไปนั่งบนขบวนรถไฟที่เดินหน้าถอยหลัง มีฉากในเรื่องมัมมี่ออกมาเป็นระยะ ก่อนจะพุ่งตัวลงไปในความมืด แล้วก็เลี้ยวโค้งไปมาด้วยความเร็วสูง ให้กรี๊ดจนหายเครียด แน่นอน คราวนี้ผู้จัดการทริปถูกหลอกให้ไปเล่นด้วยประโยคที่ว่า “มันมืดจนไม่เห็นว่าสูง ไม่เสียวร๊อก” เจ้าตัวยังภูมิใจไปอีกนานว่าออกมาได้แบบครบ 32 อิ อิ

เสียดายที่เครื่องเล่นหลัก คือ รถไฟเหาะตีลังการางคู่ หรือ Battlestar Galactica ในโซน Sci-Fi city ปิดปรับปรุง ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาชั่งใจว่าจะเล่นหรือไม่เล่นดี แต่ก็ไม่แน่เพราะพอผ่านมัมมี่มาได้แล้วอาจจะฮึกเหิมแบ่งพวกกันเป็นพระเอก (Human) รางสีแดง หรือตัวร้าย (Cylon) รางสีน้ำเงิน แล่นฉวัดเฉวียนเหมือนจะสู้กันบนรางรถไฟเหาะที่ความเร็ว 90 กม./ชม. ถ้าหากว่าได้มาอีกในครั้งหน้าน่ะนะ



ก่อนสวนสนุกจะปิดในเวลา 1 ทุ่ม พวกเราก็เดินถ่ายรูปกันต่อในเวลาเย็นย่ำ บางเครื่องเล่นคนน้อย มองเห็นเวลารอไม่ถึง 20 นาที ถ้าตั้งใจจะมาเล่นให้คุ้ม พักที่โรงแรมในเซนโตซ่าก็คงจะดีไม่น้อย จะได้เข้าตั้งแต่เวลาเปิด คือ 9 โมงเช้า น่าแปลกที่สัญลักษณ์ลูกโลกของ Universal ไม่หมุนไปเรื่อยๆ อย่างที่ควรจะเป็นตั้งแต่เช้ายันมืด พวกเราเดินผ่านไปยังส่วนที่เป็นรีสอร์ทเพื่อพาคุณชายไปซื้อของสะสมที่ Hard Rock shop ตรงโรงแรม Hard Rock กว่าจะได้หมวกมาก็เกือบจะวางมวยกับคนขาย

เราขึ้นรถไฟฟ้ามาลงสถานี Imbiah แบบลืมไปว่า ลงที่สถานี Beach จะใกล้กว่า ซื้อตั๋วดู Songs of the Sea ที่สถานี Beach แล้วเราก็ได้ดูความอลังการของการฉายภาพยนตร์โดยยิงเลเซอร์ไปที่ฉากหลังซึ่งน้ำทะเลที่พุ่งขึ้นมา รวมทั้งแสงสีเสียงตลอดครึ่งชั่วโมง ก่อนกลับมาชมแสงไฟช่วงวันคริสมาสต์ที่ถนนออชาร์ดกันอีกครั้ง ถ่ายรูปกันจนได้กินรอบดึกแล้วก็พากันกลับที่พัก

7 ธ.ค. 53

เช้านี้ผู้จัดการทริปขอไปกินข้าวมันไก่ส่งท้ายกันที่เดิม ส่วนเราและแมวเป็นพวกกินเส้นกัน ก็พากันไปกินก๋วยเตี๋ยว เรายังคงกิน Raksa ด้วยความติดใจหอยแครง จากนั้นก็เดินซื้อหมูย่างกลับมาเป็นของฝากที่บ้าน ไปแวะกินข้าวที่ห้าง Ion กันอีกครั้ง คราวนี้เรากับหมอปุ้มเลือกร้านสุกี้ที่ให้เลือกหยิบของตามสบายใส่ชามให้คนขายลวกให้ ส่วนแมวกับจุ๋ยกินอาหารแนะนำของสิงคโปร์อีกอย่างคือ Padang เป็นข้าวสวย มีกับข้าวเป็นถั่วทอด ไก่ทอด ไข่ดาว ผัดเปรี้ยวหวาน และน้ำพริกคล้ายน้ำพริกกะปิ

กลับไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรม พอตั้งท่าจะแพ็คกระเป๋าใส่ของฝากเข้าไปถึงได้รู้ว่าทำลูกกุญแจไขกระเป๋าหายไปไหนก็ไม่รู้ เลยต้องอาศัยฝากของไปในกระเป๋าจุ๋ยที่มีที่ว่างมากกว่าเขาเพื่อน ไปถึงสนามบินหมอปุ้มก็เตรียมกางใบสั่งซื้อของปลอดภาษี อีก 3 คนที่เหลือได้เครื่องสำอางกันมาคนละนิดหน่อยก่อนเครื่องออก ถึงสุวรรณภูมิ 20.35 น.