Sunday, November 30, 2008

เวียตนามกลาง-ใต้ 14 - 23 พ.ย. 51 (Part I)

บันทึกการท่องเที่ยว เวียตนามกลาง – ใต้ 14 – 23 พ.ย. 51

14 พ.ย. 51

พวกเรา ประกอบด้วย เรา หมอปุ้ม จุ๋ย และพี่ยี้ ไปเวียตนามกันอีกครั้ง คราวนี้เจาะจงเมืองที่ยังไม่ได้ไป คือ โฮจิมินห์ ดาลัด ยาตรัง เว้ ดานัง และฮอยอัน

เราเริ่มต้นทัวร์กันโดยไปกินติ๋มซำเอาฤกษ์กันก่อนที่ร้านครัวกรุงเทพ แถวพญาไท จากนั้นก็ออกเดินทางไปสุวรรณภูมิกัน โดยมีพี่ยี้ตามมาสมทบทีหลัง เราใช้บริการ Thai Air Asia
เช่นเคย พวกเรามาถึงสนามบินโฮจิมินห์ตามเวลา คือ 17.20 น. รอแท็กซี่ที่โรงแรมส่งมารับอยู่พักใหญ่ ทุกคนเลยถือโอกาสโทรกลับบ้าน และไม่น่าเชื่อว่า happy go inter ของ DTAC จะทรยศ โทรกลับกันไม่ได้ ดีที่เรามีซิม one two call สำรองไว้ เลยได้คุยกับแม่ ส่วนหมอปุ้มต้องอาศัยพี่ยี้โทรกลับบ้านให้

โรงแรม AnAn2 ที่พักของเราอยู่ในย่านกลางเมือง เป็นโรงแรมค่อนข้างใหม่และยังมี agency ท่องเที่ยวอยู่ชั้นล่างด้วย ห้องพักของสาวๆ อยู่ชั้น 3 นอนได้ 3 คนแบบไม่ต้องเสริมเตียง เป็นห้องริมหน้าต่าง ส่วนห้องจุ๋ยเป็นห้องเตียงคู่อยู่ชั้น 2 ค่อนข้างอับเพราะไม่มีหน้าต่างเปิดไปด้านนอกโรงแรม แต่อุปกรณ์ในห้องดีทีเดียว จากนั้นแทนที่เราจะเริ่มออกไปหาข้าวเย็นกันตามที่ตั้งใจไว้ เราก็ไปแวะถามเรื่องท่องเที่ยวกันก่อน
โชคดีที่ร้านค้าในโฮจิมินห์ปิดช้า ร้านอาหารที่ทางโรงแรมแนะนำชื่อร้าน Kim café เลยยังเปิดอยู่ และได้เงินไปหลายจากลูกค้าชาวไทย 4 คน ที่สั่งกับข้าวด้วยสูตร n + 2 จากนั้นหัวหน้าทัวร์ก็พาเราไปเดินย่อยอาหารในย่านใกล้ๆ แล้วจึงเข้าที่พัก

15 พ.ย. 51

พวกเราซื้อทัวร์ไปวัด Cao Dai และอุโมงค์ซูฉี (Cu Chi) จาก บริษัท TNK ซึ่งอยู่ที่โรงแรมนั่นเองในราคาถูกกว่า Sinh café คนละ 1 US$ พูดถึง Sinh café จากที่ค้นข้อมูลในอินเตอร์เนต ใครๆ ก็บอกว่าบริการของ Sinh café ดี และเป็น agency ท่องเที่ยวเจ้าใหญ่ในเวียตนาม แต่พอพวกเราติดต่อไปจากเมืองไทยกลับไม่ประทับใจเลยสักนิด เพราะทางนั้นทวงค่าใช้จ่ายอย่างเดียวและให้โอนเงินไปเข้าบัญชีที่ออสเตเรียอีกต่างหาก พวกเราโดยเฉพาะหัวหน้าทัวร์เกรงว่าจะโดนหลอกก็เลยมาซื้อทัวร์แบบ walk-in กันที่เวียตนาม

รถบัสที่จะพาเราไปออกแต่เช้า ทำให้ต้องรีบตื่นตามโปรแกรม 6-7-8 แล้วพากันไปกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อ หรือ pho bo กันในร้านที่เดินไปดูลาดเลาตั้งแต่เมื่อวาน น้ำพริกเผาที่พกมาจากเมืองไทย ทำให้รสชาติเฝอ ดีขึ้นเยอะ แต่ก็ยังไม่วายถูกประณามว่าไม่ยอมกินอาหารรสชาติดั้งเดิม กินกันเสร็จสรรพก็ยังมาสั่งบั้นมี่ หรือ บาแกตต์ กินกันอีกคนละชิ้นระหว่างทางในรถ

ภายในรถมีนักท่องเที่ยวประมาณ 30 คน มีคนเอเชียไม่กี่คน และก็มีแต่พวกเราที่เป็นคนไทย ไกด์ประจำรถขึ้นมาแนะนำสถานที่ และแจ้งว่าเราต้องเดินทางกัน 100 กว่า กม. ไปที่วัด Cao Dai แต่ไปได้ไม่นานรถก็จอดให้พวกเราได้ดูงานหัตถกรรมของคนพิการ
นอกจากแก๊งค์กินมากฯ อย่างพวกเราจะไม่ซื้อแล้ว ยังอาศัยภาพศิลปะของร้านเป็นฉากหลังถ่ายรูปกันอย่างหน้าตาเฉย ขึ้นรถกันอีกครั้งคราวนี้ก็หลับยาวไปจนถึงวัดตอน 11.30 น.

วัด Cao Dai เป็นวัดใหญ่นิกายหนึ่ง ตามบานหน้าต่างและหมวกของพระในวัดจะมีรูปดวงตาข้างซ้ายติดอยู่ ภายในตัวอาคารมีรูปปั้นมังกรพันไว้ที่เสาทุกต้น ด้านในสุดมีวัตถุทรงกลมมีรูปดวงตาตรงกลางตั้งอยู่ พอเวลาเที่ยงก็มีพิธีกรรมบางอย่างคล้ายการสวด โดยพระที่แต่งตัวหลายๆ สี เช่น แดง เหลือง และสาวกนั่งกันอยู่เป็นแถวรอบนอก

ไกด์บอกว่าพวกเราสามารถถ่ายรูปภายในวัดได้ แต่ไม่ให้โพสท่าถ่ายตัวเองหรือคนอื่นในวัดเพราะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หลังจากนั้นรถก็พาเราไปกินข้าวที่ร้านอาหารใกล้ๆ ที่พวกเรา 4 คน สั่งกันมาเต็มโต๊ะ แต่งวดนี้กินไม่หมดดีนักเพราะเนื้อที่สั่งค่อนข้างเหนียว ทัวร์ในโฮจิมินห์แตกต่างกับที่ฮานอยและซาปา ตรงที่ค่าทัวร์ไม่ได้รวมกับค่าอาหาร คือพวกเราจะกินอะไรก็สั่งและจ่ายกันเอาเอง ส่วนทัวร์ของทางตอนเหนือจะรวมค่าอาหารไว้ด้วย ซึ่งก็หนีไม่พ้นผัดกะหล่ำปลี ปอเปี๊ยะทอด เนื้อผัด ที่มีปริมาณน้อยมากสำหรับพวกเรา

กินข้าวเสร็จขึ้นรถได้ฝนก็ตกลงมา มีตกหนักบางช่วง ทำเอากังวลว่าน้ำจะท่วมอุโมงค์หรือเปล่าหว่า แต่พอไปถึงฝนก็หยุด เหลือแต่เส้นทางเดินที่เฉอะแฉะ พวกเราต้องจ่ายค่าผ่านประตูกันเอง จากนั้นก็มี VDO สงครามเวียตนามและการสร้างอุโมงค์เปิดให้ดู ซึ่งเป็นสิ่งน่าทึ่งมากที่ชาวบ้านใช้เพียงจอบอันเล็กๆ ขุดอุโมงค์ไปเรื่อยๆ จนมาเชื่อมต่อกันเป็นอุโมงค์ที่มีความยาวถึง 200 กม. ไกด์บอกว่าความกว้างของอุโมงค์จะขึ้นอยู่กับคนขุด ถ้าคนขุดตัวใหญ่อุโมงค์ก็จะใหญ่ตามไปด้วย

สำหรับเส้นทางที่ชาวบ้านใช้ประจำจะมีความกว้างไม่เท่ากัน เพื่อไม่ให้ทหารอเมริกันที่ตัวใหญ่กว่ามากผ่านเข้ามาได้ มีช่วงหักมุมบ้างเพื่อป้องกันอันตรายจากสารเคมีและก๊าซพิษที่จะถูกโยนใส่เข้าไปในอุโมงค์ และก็มีห้องโถงใหญ่สำหรับเป็นที่พัก ทำอาหารและรักษาพยาบาล รวมถึงมีพวกกับดักต่างๆ ด้วย

ปลายเปิดของอุโมงค์มีตั้งแต่บนดิน ในบ้าน ในค่ายศัตรู และติดกับแม่น้ำที่ต้องว่ายเข้าออก ไกด์พาไปดูปากอุโมงค์หนึ่งที่แคบมากแล้วก็ชักชวนให้ทุกคนลงไปถ่ายรูปโดยถือฝาปิดอุโมงค์ไว้แล้วก้มตัวลงไปในอุโมงค์ จากนั้นเวลาขึ้นก็จะมีการถ่ายรูปตอนที่ยังถือฝาปิดไว้ ทีแรกทุกคนอิดออดเพราะเป็นรูที่เล็กมาก ไกด์เลยต้องสาธิตโดยเอาใบไม้มาวางปนฝาเป็นการอำพราง แล้วก็สอดตัวเข้าไปในรู พอปิดฝาก็มีฝรั่งทำท่าเหยียบฝาไว้ ไม่ให้เปิดขึ้นมาได้ ทำเอาพวกเราฮากันใหญ่ จากนั้นมีอีกหลายคนถ่ายรูปตามแบบกันบ้าง เรายุให้จุ๋ยกับพี่ยี้เป็นตัวแทนกลุ่มลงไปถ่ายรูป แต่ก็ไม่สำเร็จ อุตส่าห์บอกให้พี่ยี้ทำเป็นลงไปแต่ติดหน้าอกเพราะใหญ่มาก..ก แกก็ไม่ยอม

ผ่านอุโมงค์มาก็มีการถ่ายรูปกับรถถังสมัยสงคราม หมอปุ้มปีนขึ้นไปจะถ่ายรูปแต่ดันทำกล้องหล่นลงมา เล่นเอาเจ้าของกล้องหน้าเสีย ส่วนฝรั่งที่ปีนขึ้นไปพร้อมๆ กัน ไปแอ๊คท่าแถวกระบอกปืน แล้วก็ลื่นหว่างขากระแทกกับตัวรถ ได้ยินเจ้าตัวอุทานดังลั่น กองเชียร์ที่อยู่ข้างล่างต่างพากัน Oh god! ไม่รู้ว่าสงสารกล้องหมอปุ้มที่ตกลงมา หรือสงสารฝรั่งกันแน่555

พวกเรามาพักตรงร้านขายของที่ระลึกให้ฝนซาพักหนึ่งก็ไปที่อุโมงค์ยาวสำหรับนักท่องเที่ยว ที่ปากอุโมงค์มีบันไดทอดลงไปในช่องกว้างอย่างดี แต่แป๊บเดียวก็เป็นอุโมงค์ดินที่ต้องนั่งยองๆ กระเถิบเข้าไปทีละนิด บางช่วงก็ต่างระดับให้ลอด หรือหย่อนตัวลงไปอีก ข้างในมืดตึ๊ดตื๋อ คลานไปก็อาศัยเสียงหมอปุ้มที่จ้อไม่หยุดบอกทิศทางว่าไปทางไหน ลำดับที่คลานไปมีจุ๋ยนำหน้า พี่ยี้ หมอปุ้ม และพจปิดท้าย ส่วนฝรั่งที่ตามเรามาติดๆ ก็ถ่ายรูปกันจัง ติดตูดพจนารถเข้าไปเต็มๆ พวกเราคลานตามกันไปเรื่อยๆ จนถึงทางแยก คนนำหน้าจุ๋ยคลานหายไปทางไหนแล้วก็ไม่รู้ เพราะพวกเรามัวถ่ายรูปกันอยู่ พี่ยี้เจอป้าย exit ที่ด้านหนึ่ง พวกเราเลยได้ขึ้นไปสูดอากาศกันซะที ส่วนฝรั่งที่ตามตูดเรามาก็ได้รับคำแนะนำจากพจว่า exit this way ส่วน that way you will continue ก็เลยมีฝรั่งตามขึ้นมาตรงทางออกนี้กว่าครึ่ง
ปากอุโมงค์ที่พวกเราขึ้นมาอยู่ห่างจากอุโมงค์เข้าแค่ 10 – 15 เมตร ยังมองเห็นคนต่อคิวเดินลงอุโมงค์กันอยู่เลย ส่วนปากอุโมงค์ถัดๆ ไปก็มีคนลอดต่อไปจนถึง หลังจากกลับถึงโรงแรมแบบไม่มีเวลาให้เปลี่ยนสายเดี่ยวไป dinner บนเรือสำราญ พวกเราก็เรียกแท็กซี่ไปที่ท่าเรือซึ่งมีเรือสำราญจอดอยู่หลายลำ
พวกเราเลือกเรือไซ่ง่อนซึ่งอยู่ด้านนอกสุดและดีที่สุด ตามที่โรงแรมแนะนำ พนักงานบนเรือแต่งชุดขาวคล้ายทหารเรือ โต๊ะไม่ถึงกับเต็มทำให้เราที่ไม่ได้จองโต๊ะไว้พอจะมีที่นั่งดีๆ รับลมหัวเรือ เราสั่งอาหารมากินกันมากมายเหมือนเคย พอได้เวลา 20.30 น. เรือก็ออกจากท่า ล่องไปตามแม่น้ำไซ่ง่อน มีคนเล่นไวโอลินกับกีตาร์เป็นเพลงซึ้งๆ ไปพลางระหว่างเรือวิ่ง พอจะทำให้เสียงเอะอะของเกาหลีกลุ่มใหญ่ที่มาฉลองวันเกิดเปลี่ยนเป็นเสียงเพลงร้องคลอไปกับไวโอลินได้ เรือแล่นอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง ผ่านท่าเรือขนส่งสินค้า แล้วก็อ้อมกลับมาส่งพวกเราอีกครั้ง