Sunday, April 19, 2009

ฮ่องกง - มาเก๊า 11 - 13 เม.ย. 52

บันทึกการท่องเที่ยว ฮ่องกง – มาเก๊า 11 – 13 เม.ย. 52

พวกเราประกอบด้วย เรา แม่ และฟลุ๊ค (ลูกพี่ลูกน้อง) เดินทางด้วยแพคเกจทัวร์ฮ่องกง - มาเก๊า ของ Yip holiday ค่าใช้จ่ายคนละ 23,900 บาท

11 เม.ย. 52
วันนี้ตื่นแต่เช้า พาแม่นั่งรถตู้มาลงหมู่บ้านชัยพฤกษ์ จากนั้นก็รอน้าจำลองมารับไปสนามบิน รอเช็คเข้าเกทซะนานสองนาน มองเห็นคนไทยรอเช็คสายการบินเดียวกันเยอะมาก ได้แต่บ่นในใจว่าทำไมตูหาทัวร์ได้ยากจังฟะ ทั้งที่คนเที่ยวก็เยอะแยะ ปลดภาระจากกระเป๋าซะได้ก็พากันไปกินข้าวเที่ยง แม่ได้ฤกษ์บ่นหนแรกกับอาหารราคาสนามบิน เราได้แต่บอกว่าให้ทำใจให้ชินเพราะเดี๋ยวจะได้เจออาหารราคาฮ่องกง

ครั้งนี้แม่ไม่ค่อยตื่นเต้นที่ได้ขึ้นเครื่องแล้ว ถึงจะไปต่างประเทศเป็นหนแรก อาหารเสิร์ฟบนเครื่องรสชาติดีพอจะทำให้ลืมๆ เรื่องไดเอ็ทอันสุดแสนรันทดไปได้ แต่ที่ดีกว่านั้นคือสจ๊วตที่หล่อมั่กๆ คมเข้มสมกับสายการบิน Emirates หลังจากเลิกจ้องหนุ่มได้เราก็หันมาเล่นเกมประจำเบาะนั่งจนเกือบถึงจุดหมาย

สนามบินฮ่องกงเป็นอะไรที่น่างงงวยมาก เริ่มจากออกจากเครื่องได้เราก็ต้องผ่านบันไดเลื่อนไปขึ้นรถไฟใต้ดิน เพื่อเข้าถึงตัวสนามบิน แล้วก็มาเจอผู้คนล้นหลามที่ 70% เป็นคนไทยเพื่อผ่าน ตม. เข้าไป ที่นี่เราได้รู้จักเพื่อนร่วมทัวร์อีก 2 คนแม่ลูก คือพี่เล็กและน้องเบลล์ ที่ซื้อโปรแกรมเดียวกับพวกเราคือ ฮ่องกง – มาเก๊า 3 วัน 2 คืน ใจชื้นขึ้นที่น้องเบลล์เรียนชั้น ม. 5 โรงเรียนนานาชาติ คงพออาศัยภาษากันได้ นอกเหนือจากยัยฟลุ๊คลูกพี่ลูกน้องที่มาด้วยที่ไปร่ำเรียนภาษาอังกฤษเป็นพิเศษที่ออสเตเรียมาตั้ง 3 เดือน จากนั้นก็เป็นการกวาดตามองหากระเป๋าจากป้ายบอกตัวเล็กมาก ใช้เวลาร่วมชั่วโมงค่อยมาถึงจุดนัดพบ ไกด์ที่มารับพวกเราชื่อแครี่ พูดไทยเก่งเพราะมีแม่เป็นคนไทยและเรียนที่เมืองไทยอยู่ระยะนึง นอกจากคนที่ซื้อทัวร์ฮ่องกง – มาเก๊า อย่างพวกเรา 5 คนแล้ว ก็ยังมีคนอื่นๆ ที่ซื้อทัวร์ฮ่องกง และฮ่องกง – ดิสนีย์แลนด์อีก รวมแล้ว 20 กว่าคน หลังจากแครี่ฟังลูกทัวร์บ่นจนหูชาเรื่องความไม่สะดวกแล้วก็พาพวกเราขึ้นรถบัสเข้าเมืองไปที่โรงแรม Holiday Inn Golden Mile ย่านจิมซาจุ่ย

มีผู้สูงอายุ (แม่เราเอง) มาด้วยก็ดีเหมือนกันเพราะเขาจัดให้นั่งหน้ารถ มองเห็นวิวฮ่องกงยามค่ำคืนชัดเจนมากผ่านกระจกหน้ารถ มองไปทางไหนก็มีตึกสูงเหมือนกล่องเต็มไปหมด รถแล่นผ่านสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในโลก และผ่านอุโมงค์ใต้ภูเขาเพื่อเข้าสู่เกาะเกาลูน

ไกด์ทนแรงออดอ้อนของบรรดาลูกทัวร์ที่จะให้พาไปดู Symphony of lights ที่อ่าววิคตอเรียไม่ได้ เลยต้องให้รถพาพวกเราออกไปอีกครั้งก่อนจะเช็คอินเข้าโรงแรม พวกเราไปจับจองที่ยืนดูแถว Avenue of stars ที่มีรอยประทับมือของบรรดาดาราฮ่องกงต่างๆ บนซีเมนต์พื้นถนน แสงไฟอันมัวสลัวทำให้มองเห็นไม่ชัดนักว่าเป็นของใครบ้าง พอได้เวลา 2 ทุ่มเสียงเพลงประกอบการยิงแสงเลเซอร์จากตึกต่างๆ ก็เริ่มขึ้น มัลติมีเดียเหล่านี้ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็เลิก ไม่แน่ใจว่ามุมที่พวกเราดูจะเป็นมุมที่มองเห็นได้น้อยหรือเปล่า เพราะแสงไฟที่เห็นกับภาพในหนังสือท่องเที่ยวแตกต่างกันมาก จนคิดว่าไม่คุ้มที่จะให้คุณนายสุนีย์มายืนตากลมริมอ่าวซะเลย เราซื้อ sim card โทรศัพท์จากไกด์ในราคา 100 HKD ถึงจะศึกษามาก่อนว่าไปซื้อที่เซเว่นจะถูกกว่า แต่ตอนนั้นก็นึกซะว่าไหนๆ ก็เป็นหมูมาให้เขาเชือดแล้วก็รีบๆ เชือด จะได้ให้แม่รีบๆ โทรหาพ่อจะได้หมดกังวลกันไปซะที

รถกลับมาส่งพวกเราที่โรงแรมอีกครั้ง คราวนี้คุณลุงที่ท่าทางจะมาบ่อยชวนพวกเราไปกินข้าวเย็นกันที่ร้าน Guangdong barbecue ที่ต้องเดินจากโรงแรมไปประมาณ 10 นาที ไกด์ไม่ได้มาส่งพวกเรา แต่ให้คำแนะนำว่าถึงอาหารร้านนี้จะรสชาติดีพอสมควร แต่แบ่งเป็นราคานักท่องเที่ยวอย่างชัดเจน เพราะตัวแครี่เองไปพูดภาษาไทยในร้านเลยได้อาหารราคานักท่องเที่ยว ครั้นทักท้วงก็ได้รับคำตอบว่าอาหารที่ได้จานใหญ่กว่าคนท้องถิ่นนะ (และแครี่บอกว่าไม่จริง) เลยไม่อยากบากหน้าไปเจอเจ้าของร้านที่เคยทะเลาะกันอีก พวกเรามองหาเมนูบาร์บีคิวกันใหญ่แต่ไม่เห็นมี (เมนูเป็นภาษาไทยและบรรทัดล่างสุดระบุไว้เลยว่าคิดค่าบริการเพิ่มอีก 10% จากราคาอาหาร) ในที่สุดก็สั่งข้าวห่านย่างปนหมูแดงและไก่ต้ม กับผัดหมี่กรอบราดหน้าเนื้อมากินกัน 3 คน ได้แต่เดาเอาว่าบาร์บีคิวที่ว่าคืออาหารย่าง เช่น เป็ดย่าง ห่านย่าง หมูแดงหรือเปล่าหว่า? อาหารจานใหญ่และมี 2 รสชาติคือเค็มกับจืด อย่างที่ไกด์บอก

เดินกลับมาที่โรงแรมผ่านร้านค้ามากมาย แต่ดูราคาแล้วก็ยังซื้อไม่ลงอยู่ดี ไกด์แนะนำให้ไปช้อปปิ้งกันที่ย่านนาธานและมงก๊ก โดยจะเดินไปหรือขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินหน้าโรงแรมไปก็ได้ แต่เวลาล่วงเลยมา 3 ทุ่มกว่าแล้ว เป็นห่วงว่าคุณนายสุนีย์จะได้ไข้ซะก่อนจะได้ช้อป เลยได้แต่ชวนกันไปนอน โชคดีอีกอย่างคือพวกเรา 3 คนทีแรกได้ห้องเพียงห้องเดียว 2 เตียง ต้องมานอนเบียดกัน (แบบที่ทางทัวร์ออกตัวว่าเตียงกว้างค่าคุณพี่) แต่ห้องคงว่างมากเลยได้เพิ่มอีกห้องโดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม ที่แย่คือยัยฟลุ๊คดันกลัวผีสุดๆ ไม่กล้านอนคนเดียว เราเลยต้องเล่นบทพี่ผู้เสียสละไปนอนคนเดียว แต่ให้แม่มาอาบน้ำแปรงฟันที่ห้อง (เพราะเตรียมเครื่องอาบน้ำมาใช้ด้วยกันและหยิ่งไม่ยอมใช้ของโรงแรม) ห้องนอนของโรงแรม 4 ดาวกลางย่านธุรกิจมีสาย wifi และปลั๊กไฟต่อพ่วงให้ด้วย เลยได้ชาร์ตถ่านกล้องถ่ายรูปแบบอยากจะขว้างปลั๊กไฟอินเตอร์ที่อุตส่าห์ซื้อมาแต่ดันใช้ไม่ได้ทิ้งไปซะไวๆ

12 เม.ย. 52

วันนี้ตื่นมาค่อยมีเรี่ยวแรง จากการกินเต็มที่ (ซะที) และนอนเต็มที่ ไกด์โดนลูกอ้อนให้พาไปกินติ๋มซำเลยนัดพวกเราตั้งแต่ 7.30 น. พวกเราไปถึงล๊อบบี้กันก่อนเลยได้โอกาสเดินถ่ายรูปรอบๆ โรงแรม จากนั้นไกด์ก็พาเราเดินกันประมาณ 15 นาทีเข้าไปในตึกเล็กๆ ขึ้นลิฟท์ไปถึงร้านอาหารที่ชั้น 2 ร้านนี้เป็นบุฟเฟ่ต์ติ๋มซำคิดค่าหัวคนละ 45 HKD มีที่นั่งแบบโต๊ะจีนตรงกลางหมุนได้ เริ่มเสิร์ฟจากโจ๊กฮ่องกง (ใส่เห็ดหอมแต่ไม่เห็นใส่ไข่เยี่ยวม้า)ที่มีเกี๊ยวทอดกรอบหักเป็นชิ้นเล็กๆ ให้เติม จากนั้นก็มีขนมจีบ ฮะเก๋า ก๋วยเตี๋ยวหลอด ปอเปี๊ยะทอด ซาลาเปาไส้หมูแดง และไส้ครีมใส่ไข่เค็ม เข่งใหญ่กว่าเมืองไทย 3 เท่าทยอยเข้ามา โต๊ะเราคนน้อยกว่าพวกที่มาด้วยกันเพราะมีคนสละสิทธิ์ไม่มา แถมยังมีคนไม่กินเนื้อสัตว์ต้องสั่งต่างหาก แต่อาหารกลับหมดเร็วกว่าอีกโต๊ะ ขนาดพจนารถใช้ตะเกียบได้ระดับเทพ (แห่งความไม่ได้เรื่อง) แล้วก็ยังใช้ได้ดีกว่าคุณนายสุนีย์และฟลุ๊ค เลยต้องเป็นคนคอยคีบให้ หนักเข้าเมื่อยมือกับทนแรงกดดันทางสายตาของอาเจ็กอาซิ่มที่นั่งโต๊ะเดียวกันไม่ไหว เลยต้องใช้ไม้ตายสุดท้ายคือ “มือ” ทำเอาที่เหลือได้แต่ทำตาปริบๆ แล้วก็ใช้มือหยิบซาลาเปากันมั่ง ไม่งั้นคงกินไม่ทันนังอ้วนนี่เป็นแน่แท้ ถึงกระนั้นก็มีของเหลืออยู่มาก จนแครี่เข้ามาถามว่าจะเอา “จี๋หับ” มั๊ย ทุกคนพากันงง เลยไม่ได้ยินที่เราแอบถามว่า “ให้ผวนป่าว?” ไกด์เลยรีบเฉลยว่า “เอากล่องมั๊ย?” ยัยฟลุ๊กยังคงคิดว่าเป็นกล่องทิชชูเลยพยักหน้าหงึกๆ แล้วก็ได้กล่องโฟมมาใส่อาหารที่เหลือแทน โดยกลุ่มอื่นแครี่ให้กลุ่มละกล่อง แต่มีกลุ่มเราได้ถึง 2 กล่อง!!

กลับมาที่โรงแรมอีกครั้งได้แต่บอกลาคนอื่นที่ไม่ใช่ทัวร์เดียวกันแล้วเช็คเอ๊าท์ ให้แครี่พาไปซิตี้ทัวร์ต่อ แต่กว่าจะได้ไปจริงๆ จากเวลาเดิม 8.30 น. ก็ปาเข้าไป 9 โมงกว่า เราไปแวะกันที่ Avenue of stars กันอีกครั้ง ทิวทัศน์ริมอ่าวสวยงามมาก แต่หมอกหรือไม่ก็ละอองน้ำคลุมบางๆ ทำให้มองเห็นตึกฝั่งตรงข้ามไม่ชัดซะทีเดียว เราเดินก้มหน้ามองพื้นตั้งหน้าตั้งตาหารอยมือเฮียเหลียงเฉาเหว่ยตามประสาแฟนคลับอยู่เป็นนาน เงยหน้าขึ้นมาอีกทีเจอป้ายโฆษณาเฮียแบบเต็มตัวเลยอดไม่ได้ต้องเรียกยัยฟลุ๊คมาถ่ายรูปให้ จะยกป้ายกลับบ้านด้วยก็จนใจ...ฮี่ แล้วรอยพิมพ์มือที่หาอยู่นานก็อยู่ตรงนั้นนั่นเอง แต่เห็นจะมีเรากรี๊ดอยู่คนเดียว นักท่องเที่ยวคนอื่นที่เดินผ่านไปมาไม่เห็นจะมีใครสนใจ.........โถ เฮียเหลียงขาลง!

หลังจากนั้นก็ไปทาบรอยมือกับเฉินหลง จะทำท่ากระโดดเตะกับบรู๊ซลีก็อายนักท่องเที่ยวด้วยกัน (ถ้ามากะแก๊งค์ลูกยางก็ไม่แน่) แครี่แนะนำเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่ขึ้นรถมาด้วยบอกว่าเค้ามาถ่ายรูปให้พวกเราเพื่อหาทุนการศึกษา เหตุผลแค่นี้เลยทำให้คุณนายสุนีย์ใจอ่อนซื้อจานพิมพ์รูปพวกเราในราคาตั้ง 150 HKD

พวกเราไปนั่งเรือกันต่อที่หมู่บ้านชาวประมง ที่อาศัยกันอยู่บนเรือ มีอาม่าวัยเดียวกับแม่เราเป็นคนขับเรือซึ่งต้องเสียค่าเรือกันเองอีกคนละ 50 เหรียญ เรือวิ่งผ่านภัตตาคาร Jumbo เป็นภัตตาคารลอยน้ำอยู่ด้านตรงข้ามกับท่าเรือเหมาะจะไปดินเนอร์อาหารทะเลยิ่งนัก ถึงแม้ว่าไกด์จะบอกว่าคนไม่ค่อยมากินเพราะไม่ค่อยอร่อยก็เถอะ เรือแล่นวนอ่าวให้ได้ดูเรือลำอื่นๆ ประมาณ 15 นาทีก็กลับเข้าฝั่ง จากนั้นเราไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมกันต่อที่อ่าวรีพลัลส์บนเกาะฮ่องกง ไกด์เสี้ยมสอนมาอย่างดีบนรถว่าให้ไปยืนตรงพื้นกระเบื้องขนาดประมาณ 12 x 12 นิ้วหน้าเจ้าแม่กวนอิมจะเป็นจุดที่พลังอธิษฐานดีที่สุด จากนั้นให้สบตาเจ้าแม่พร้อมทั้งอธิษฐานแบบระบุชื่อเรา ว่าต้องการขออะไรบ้าง....ให้ตาย ขอไปเยอะแยะดันลืมขอให้ผอมง่ะ ที่ข้างๆ รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมมีรูปปั้นนักรบอยู่ เป็นรูปปั้นที่ใช้ขอพรให้ร่ำรวย โดยให้ลูบจากหน้าผาก (เมตตามหานิยม) ลงมาที่มือถือดาบ (อำนาจ) และกระเป๋าย่าม (เงินทอง) จากนั้นก็กำมาใส่กระเป๋าของเรา แต่เห็นทัวร์กลุ่มอื่นใช้ธนบัตร หรือหนักกว่านั้นเป็นกระเป๋าตัง ลูบตั้งแต่หัวถึงเท้าเลย คุณนายสุนีย์สูงแค่ 140 เซนต์เลยเขย่งลูบได้แค่แขน ข้างรูปปั้นอีกทีมีรูปปั้นทองคำ 2 ก้อนซ้อนกัน ไกด์ให้จับก้อนเล็กแล้วทำเป็นโยนทิ้งไปก่อนแล้วค่อยคว้าก้อนใหญ่ด้านล่างมาใส่กระเป๋า คราวนี้แม่เราได้แต่ถามว่าอะไรน่ะ เพราะถึงเงยหน้าก็ยังมองไม่เห็น555

เดินมาอีกด้านมีรูปปั้นเจ้าแม่ทับทิมองค์ใหญ่เท่าเจ้าแม่กวนอิม แล้วก็ไปต่อที่ริมอ่าวเป็นสะพานต่ออายุให้เดินข้ามแบบทางเดียว ข้าม 1 ครั้ง อายุยืน 3 ปี เราพาแม่เดินอ้อมมาข้ามใหม่ได้ 3 รอบคุณนายสุนีย์ก็ส่ายหน้าบอกไม่เดินแระ ด้านหน้าสะพานเป็นหินโชคชะตา แครี่บอกให้อธิษฐานถึงคนที่รักจะสมหวัง ต่อให้ไล่ให้ถีบยังไงก็ไม่ไปจากเรา ด้วยความเหนื่อยจากการพยุงผู้สูงอายุเดินข้ามสะพาน 3 รอบ เราก็เลยลืมว่าให้อธิษฐานเพื่ออะไร ได้แต่ไหว้เฉยๆ มานึกขึ้นได้ทีหลัง พี่ติ๊กเจษฎาภรณ์ก็เลยรอดตัวปาย...

เห็นคนอื่นไม่เดินมาเก็บแต้มขอพรอย่างเรากันซะที เลยพาแม่ไปเข้าห้องน้ำ แล้วก็ถ่ายรูปตรงโน้นตรงนี้ตามประสาบ้ากล้อง พอกลับไปที่รถปรากฏว่าคนอื่นๆ มากันครบหมดแล้ว ได้แต่หัวเราะแหะๆ ไกด์เริ่มออกตัวว่าต่อไปจะพาไปร้านค้าตามนโยบายของทัวร์ แต่ไม่ซื้อก็ไม่เป็นไร เข้าไปชมดูได้ ที่แรกเป็นฮ่องกง จิวเวอร์รี่ ที่มีคอลเลคชั่นใหม่เป็นกังหันปัดเป่าอุปสรรค ตามแบบกังหันลมของวัด Che Kung ที่ใช้พัดพาสิ่งชั่วร้ายออกจากตัว นำสิ่งโชคดีเข้ามา แต่จะดู จะชม ทั้งแหวน สร้อยข้อมือ จี้ห้อยคอยังไง ราคาต่ำสุดร่วมหมื่นบาทไทยก็ยังคงไม่ดึงดูดเราอยู่ดี โชคดีที่ไม่นาน คณะของคุณหญิงประณีตศิลป์และอรพรรณ วัชรพล รวมทั้งเจ๊ตือเจ้าของร้านเพชรมาถึง พวกเราเลยไม่ต้องโดนตื๊อขายของเพราะมีแขกกระเป๋าหนักเข้ามาแทน ออกจากร้านเพชรได้รวดเร็วกว่ากลุ่มอื่นที่มาด้วยกันกะว่าถ้ามีคนถามจะได้บอกว่าเจ้าคุณพ่อไม่ถูกกับเจ้าของร้านฮ่ะ แต่ทุกคนก็ทยอยตามมาด้วยความหิวโหยเนื่องจากเป็นเวลาเกือบบ่ายโมงแล้ว ติ๋มซำในกล่องเมื่อเช้าเลยเป็นประโยชน์แถมยังแบ่งให้คนอื่นที่ไม่ได้เอามาด้วย รอพี่เล็กกับน้องเบลล์เป็นเจ้าสุดท้ายเพราะ 2 คนแม่ลูกเลือกสร้อยข้อมือกันอยู่ เพื่อเตรียมตัวจะไปเสี่ยงโชคในคาสิโนที่มาเก๊า

ร้านต่อไปเป็นร้านยาจีน มีชาสมุนไพรรอท่าไว้สำหรับผู้มาเยี่ยมเยือน หรือภาษาบ้านๆ ก็คือพวกหมูมาให้เชือด ที่นี่มีหมอแมะตรวจร่างกายพร้อมทั้งสั่งยาให้ด้วย (ตรวจฟรีแต่ต้องซื้อยา) เราได้แต่เดินดูสมุนไพรที่รู้จักน้อยกว่าน้อย เห็นเขากวางอ่อนและเขาคล้ายๆ เขาแพะหลายอัน ส่วนสมุนไพรอื่นๆ ใส่ขวดโหลตั้งเรียงกัน ดูสะอาดสะอ้านกว่าร้านยาจีนที่เคยเห็นมาก ไปลองอมโสมแผ่นดูแล้วก็ทำหน้าประหลาดเพราะขมฝาด อมอยู่เป็นนานก็ไม่รู้สึกว่าจะหวานขึ้นมาได้ซักที ขณะที่อีกฝ่ายถึงกับชั่งรอให้ซื้อ โปรโมชั่นของร้านเป็นครีมรกแกะจากออสเตเรียที่ใช้กับผงไข่มุก ลองทาดูได้กลิ่นหืนๆ ชอบกล ผิดกับที่เคยซื้อ ส่วนครีมบัวหิมะราคากระปุกละ 180 HKD คิดว่าแพงกว่าที่เคยได้ยินเลยได้แต่ดึงแม่ออกไปรอคนอื่นนอกร้าน

ทัวร์นี้ไม่มีแวะให้กินข้าวจนเกือบบ่าย 2 โมง นึกขอบใจติ๋มซำอยู่ครามครันที่ช่วยรองท้องมาได้ แครี่ให้รถไปส่งคนอื่นในเมือง แล้วก็ไปส่งพวกเราที่ท่าเรือเฟอร์รี่ เราทั้ง 5 คนเดินหาศูนย์อาหารของท่าเรือจนเจอ แล้วก็แยกย้ายกันไปซื้ออาหาร เราใช้วิธีมองรูปแล้วก็ซื้ออาหารชุดมา เป็นเกี๊ยวน้ำ 1 ถ้วย กับผัดหมี่ราดด้วยพริกเผา (รสชาติเหมือนน้ำพริกกุ้งเสียบ) แถมด้วยชามะนาวอีก 1 แก้ว ตอนแรกคนขายพูดภาษาจีนด้วย พอเห็นเราขมวดคิ้วเลยพูดใหม่เป็นภาษาอังกฤษ แค่นี้ก็ได้อาหารชุดเดียวสำหรับ 2 คนแม่ลูก มากินเย้ยคนอื่นที่ได้อาหารหน้าตาประหลาดๆ มาตามวิธีซื้อของแต่ละคน

ท่าเรือที่นี่เป็นอะไรที่คล้ายสนามบินมาก เริ่มจากรอให้ประตูเปิดก่อนเรือออก 1 ชั่วโมง คนตรวจตั๋วติดสติ๊กเกอร์ที่นั่งให้บนตั๋วแล้วก็ใช้พาสปอร์ตผ่าน ตม. ก่อนที่จะเข้าไปถึงที่นั่งรอตามแต่ละท่าที่จะไป เรือกว้างกว่าที่คิด จุคนได้เป็นร้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังโคลงเคลงให้พอมึนหัว ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงท่าเรือมาเก๊า เรายังต้องผ่าน ตม. ของมาเก๊าต่ออีก เสร็จแล้วจึงจะลงบันไดเลื่อนเดินลอดใต้ถนนไปโผล่อีกฝั่งเพื่อขึ้นรถรับส่งของโรงแรมเวเนเชี่ยนที่อยู่ด้านหน้าสุดของบรรดารถโรงแรมที่มารอรับลูกค้า

รถวิ่งจากตัวเมืองมาเก๊าข้ามมาที่เกาะไทปาโดยผ่านทางสะพานแขวน ครึ่งชั่วโมงจึงจะถึงโรงแรมเวเนเชียน ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่เรียกว่าโคไท ซึ่งเกิดจากการถมดินลงในทะเล อยู่ระหว่างเกาะไทปากับเกาะโคโลอาน เช็คอินเข้าไปในห้องพักสุดหรูได้ก็มัวแต่ชื่นชมห้องที่มี LCD ทีวีให้ 2 เครื่อง เครื่อง fax และผงแร่สบาให้แช่ตัวในอ่าง จนได้เวลากินข้าวเย็น ร้านอาหารที่พวกเราเลือกไปกินอยู่ชั้นล่างสุดข้างคาสิโนขนาดใหญ่เท่าสนามฟุตบอล มีกลิ่นบุหรี่ของนักพนันโชยมาเป็นระยะ

การเดินเที่ยวในเวเนเชี่ยนต้องอาศัยแผนที่เพราะอาจจะหลงได้ง่ายๆ และแต่ละจุดตามทางแยกต่างๆ ก็มีจอคอมพิวเตอร์ให้บริการค้นหาข้อมูลตั้งแต่ร้านค้าแบรนด์เนม แผนที่และเส้นทางไปถึง ตัวร้านค้าต่างๆ สร้างเป็นตึกสไตล์อิตาเลี่ยน สูงขึ้นไปเป็นท้องฟ้าสร้างจำลองขึ้นมาให้เป็นปุยเมฆตัดกับสีฟ้าใสให้นักช้อปและผีพนันทั้งหลายไม่ต้องกังวลเรื่องกลางวันกลางคืน ร้านค้าบางร้านเปิดถึงตี 4!! ที่เขาว่าคาสิโนที่เวเนเชียนไม่เคยหลับเป็นอย่างนี้นี่เอง เสียดายที่โทรศัพท์ของฮ่องกงใช้ไม่ได้ที่นี่ ทั้งที่มีเวลามากมายแต่ก็ไม่ได้โทรกลับไปหาพ่อ

พวกเราไปล่องเรือกอนโดล่าในคลองเวนิสจำลองกันก่อน โดยนั่งรวมกันหมด 5 คนในเรือลำเดียว ค่าเรือต่อคนอยู่ที่ 108 HKD พวกเราได้คนพายเรือชาวฟิลิบปินส์ที่หน้าเหมือนคนไทยมากๆ กว่าจะได้ฟังเพลงสไตล์โอเปร่าก็ต้องคอยขัดคอให้คนเรือเลิกจีบน้องเบลล์แล้วร้องเพลงซะที แถมยังเป็นเพลง Santa de Lucia ที่เป็นเพลงมหาลัยเราซะอีก เลยรู้ว่ามันร้องผิด! ...รู้งี้ไปดูคอนเสิร์ตทาทายัง ที่มาเปิดแสดงที่เวเนเชี่ยนเหมือนกันยังจะดีซะกว่า

ปล่อยให้ 2 คนแม่ลูกช้อบปิ้งร้านแบรนด์เนม (แพง) ได้พักนึงก็ได้รับคำชวนให้ไปเสี่ยงโชคกันที่คาสิโน ซึ่งเรารีบปฏิเสธด้วยว่ากลัวคืนนั้นนักเล่นจะโดนกินกันยกบ่อน เหมือนคนที่ รพ.โดนกินกันยกโพยร่วมหมื่นตอนที่เรานึกสนุกอยากจะเล่นหวยใต้ดินกะเขาบ้าง ได้แต่ฝากยัยฟลุ๊คไปเสี่ยงโชค ส่วนเราก็พาแม่กลับห้อง ฟลุ๊คยังมากระซิบก่อนแยกกันว่าเดี๋ยวเสร็จแล้วไปเป็นเพื่อนซื้อของที่ร้านทีมแมนยูหน่อย

หลังจากแยกกัน เราก็พาแม่ไปหาขนมกินกลัวจะหิวรอบดึก เพราะอาหารเย็นผสมกลิ่นบุหรี่ทำให้ไม่ค่อยเจริญอาหารเท่าไหร่ เสียดายที่ร้านขายทาร์ตไข่ของเวเนเชี่ยนขายหมดซะแล้ว เหลือแต่ขนมประมาณถั่วตัดเลยต้องไปฝากท้องกับเบเกอรี่ร้านสตาร์บักส์แทน

ครู่เดียวฟลุ๊คก็มาเคาะเรียก ได้แต่ถามว่าเล่นเสร็จแล้วเหรอ? ฟลุ๊คบอกว่าไม่ได้เล่นเพราะราคาต่อเกมของตู้ slot ที่เล็งไว้แต่แรกตั้ง 20 HKD แน่ะ ส่วนพี่เล็กกับน้องเบลล์ก็กลับห้องแล้วเหมือนกัน ฟลุ๊คบอกว่าเล่นเสียไป 2 เกม เลยเลิก นอกจาก slot machine ที่มีเป็นร้อยตู้แล้วก็เห็นมีไพ่บาคารัตที่มีเจ้ามืออยู่ตามโต๊ะ เห็นมีคนไทยบ้างเหมือนกัน พวกเราเดินไปหาร้านแมนยูร่วมชั่วโมง อาศัยทั้งแผนที่และคอมพิวเตอร์บอกทางก็ยังหลงไปหลงมากันอยู่นั่น จนเป็นห่วงว่าแม่อยู่ในห้องคนเดียวตั้งนานแล้ว แต่ในที่สุดก็เจอเลยรีบเชียร์ให้ยัยฟลุ๊คซื้อๆ ซะ จะได้กลับไปอาบน้ำนอนซะที

13 เม.ย. 52
วันนี้ตื่นเช้ามากๆ เพราะหลับไม่ค่อยสนิทเนื่องจากไปนอนขดอยู่ที่โซฟาหน้าแอร์โดยมีแถบผ้าคลุมเตียงกว้างแค่ 2 ฟุตมาเป็นผ้าห่ม ให้อีก 2 คนยึดครองเตียงแบบนอนสบายๆ ได้แต่นึกในใจว่าเปลี่ยนทีวีเป็นผ้าห่มหรือเตียงอีกซักหลังจะดีกว่า วันนี้วางแผนไว้ว่าจะไปเที่ยวเซนาโด สแควร์กัน โดยเช็คอินแต่เช้าแล้วนั่งรถรับส่งของโรงแรมไปฝากของที่ท่าเรือ โชคร้ายที่รถโรงแรมไปท่าเรือเที่ยวแรก 9.30 น. ทำเอาพวกเราคิดจะไปแท็กซี่แทน แต่ที่นี่เขากำหนดให้บรรทุกผู้โดยสารแค่ 4 คน แต่พวกเรามี 5 คน ต้องไป 2 คัน เลยขนของลงจากรถแท็กซี่ท่ามกลางเสียงด่าเป็นภาษาจีนตามหลัง ไปรอรถโรงแรมอีกกว่าชั่วโมง ไปถึงท่าเรือด้วยความหิวโหยพลางสรรเสริญความรอบคอบของตัวเองที่ให้คุณนายสุนีย์กินขนมปังที่เหลือเมื่อคืนให้หมด เดี๋ยวโรคกระเพาะกำเริบจะลำบาก

กว่าจะหาที่ฝากกระเป๋าในท่าเรือเจอก็ผ่านไปนานพอสมควร เดินวนไปวนมาหาร้านอาหารก็ไม่เจอ เลยได้แต่เลยตามเลยนั่งรถเมล์ไปหาที่กินเอาดาบหน้าที่เซนาโด สแควร์ พี่เล็กบ่นเบาๆ ว่ามากับทัวร์ไม่เคยได้ขึ้นรถเมล์เลย เราได้แต่ยิ้มๆ นึกในใจว่าถ้าให้หนูเป็นหัวหน้าทัวร์เดี๋ยวจะได้ทำอะไรที่ไม่เคยอีกหลายอย่างค่า... รถเมล์ที่นี่ต้องหยอดเหรียญแล้วไปหาที่นั่ง ราคาคนละ 3.2 HKD ตลอดสาย ดีเหมือนกันที่เราไม่ได้แลกเงินมาเก๊าไว้ เพราะใช้เงินฮ่องกงก็ได้เวลาแลกคืนก็ไม่ต้องโดนกดราคาเวลาแลกอีก

เรายังหยิ่งนั่งเฉยๆ ไม่ถามคนท้องถิ่นว่าเซนาโด สแควร์ต้องลงป้ายไหน ดูว่าคนอื่นจะทำอย่างไร แต่ดูเหมือนทุกคนจะเชื่อใจหัวหน้าทัวร์กันเต็มเปี่ยม นั่งมองโน่นมองนี่กันตามสบาย รถไม่ได้วิ่งเร็วนัก ครึ่งชั่วโมงต่อมาเราก็เห็นวิวถนนปูด้วยซีเมนต์เป็นลายลอนคลื่นตามหนังสือท่องเที่ยว เลยบอกให้เตรียมตัวลงกันได้

ข้ามถนนมาที่จัตุรัสเซนาโดได้ ไม่ต้องคำนึงถึงการถ่ายรูปกันแล้ว เราแวะกินข้าวร้านแรกสุด ถัดจากร้านนมตุ๋นที่อยากเข้าไปกินใจแทบขาด ร้านที่เราแวะคงเน้นเรื่องโจ๊กเพราะเห็นแต่ละโต๊ะสั่งกันทั้งนั้น แต่เวลาที่ล่วงเลยมาจนเกือบ 11 โมง ได้แต่คิดว่าขอเป็นข้าวแบบจานใหญ่ๆ จะดีกว่า ซึ่งข้าวแกงกะหรี่ที่เราสั่งรสชาติไม่เลวเลย ขณะที่พี่เล็กอยากกินโจ๊ก พอถามหัวหน้าทัวร์ว่าจะสั่งว่าไงดี (เพราะทั้งร้านไม่พูดภาษาอังกฤษ) เราก็เลยได้แต่บอกว่าชี้ไปที่โต๊ะที่เค้ากินอยู่ก็ได้พี่ เขาคงรู้ว่าเราจะเอาเหมือนกัน ส่วนน้องเบลล์สั่งข้าวผัด ไม่คิดจะกินแบบเบาๆ เหมือนแม่ ผ่านไปไม่นานพี่เล็กเอาปาท่องโก๋มาให้ลองชิม ส่วนเราได้ข้าวก็ไม่สนใจใครอื่น จนเกือบอิ่มจึงได้ถามพี่เล็กว่า โจ๊กพี่ยังไม่มาอีกเหรอ เลยได้คำตอบแบบเซ็งๆ ว่าสงสัยเค้าเข้าใจที่พี่ชี้ว่าจะเอาปาท่องโก๋อ่ะ แต่ 2 คนแม่ลูกก็แบ่งข้าวผัดจานใหญ่กินกันจนไม่ต้องสั่งเพิ่ม (หรือเข็ดไม่กล้าชี้อีกก็เป็นได้555)

พอท้องอิ่มอารมณ์บ้ากล้องก็ทำงาน จนคนอื่นๆ บอกเดี๋ยวเรามาเจอกันดีกว่าแล้วก็แยกย้ายกันไปช้อป ส่วนคุณนายสุนีย์นางแบบคนเดียวของเราได้แต่มองแผงขายเสื้อผ้าตาละห้อย จนเข้าไปดูใกล้ๆ ถึงได้รู้ว่าไม่ถูกอย่างที่คิด เสื้อก็ตัวละเกือบ 500 บาทเหมือนกัน เดินไปเดินมาก็ชวนแม่ไปกินนมตุ๋นร้าน Leitaria I Son กันดีกว่า คุณนายสุนีย์อิดออดตอนแรก แต่พอเข้าไปกินได้กลับกินหมดเร็วกว่าเราที่ค่อยๆ ละเลียดความนุ่มและหอมของนมที่ใส่ถ้วยกระเบื้องคล้ายไข่ตุ๋น ที่จริงนมตุ๋นมีแบบร้อนด้วย คิดว่าคล้ายเต้าฮวยร้อน แต่เราเลือกแบบเย็นให้ผ่อนคลายจากอากาศร้อนด้านนอกจะดีกว่าพร้อมทั้งกำชับแม่อย่างดีว่าอย่าไปบอกคนอื่นว่าเราแอบมากินนะ...เผื่อคนอื่นอยากกินจะได้มากินอีกรอบ...ฮี่

พอคนมาพร้อมกันได้เราก็ย้ายไปจุดหมายต่อไปคือซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล (Ruins of St.Paul’s) ที่ทีแรกเดินเลยแยกไปซะไกลเพราะลืมดูป้ายตรงแยก แต่ก็พอให้น้องเบลล์ได้เสื้อตัวยาวถูกใจ ก่อนถึงซากประตูโบสถ์เป็นย่านขายขนม เราเลยถือโอกาสซื้อทาร์ตไข่ไว้ก่อน เพราะเห็นนักท่องเที่ยวเยอะ เดี๋ยวจะชวดของฝากชื่อดังซะเปล่าๆ แต่เสียเวลาแวะร้านขนม Pastelaria Koi Kei อยู่นานพอสมควร ทั้งวนเวียนชิม ทั้งไปตักทาร์ตไข่เอาเองเพราะลูกค้าเยอะเลยไม่มีพนักงานมาสนใจ ออกจากร้านได้ก็เดินฝ่าแดดร้อนไปถ่ายรูปกับคนเรือนพันที่ซากประตูได้แป๊บเดียวก็มาแวะกินลูกชิ้นรวมมิตรลวกใส่ถ้วยโฟม ที่คนนิยมกินกันเยอะแยะ ระหว่างรอเจ้าฟลุ๊คไปซื้อของเล่นฝากลูกชายที่ร้าน Toy Kingdom ข้างๆ นั่นเอง

ได้เวลาอันสมควรและฝนเริ่มลงเม็ดเราก็เลยมองหาป้ายรถเมล์ขึ้นรถกลับมาที่ท่าเรือกันอีกครั้ง คราวนี้ฝนตกหนักและรถก็ยังคนแน่นด้วย ดีที่ขึ้นไปได้ไม่นานก็มีคนลงพอให้คุณนายสุนีย์นั่งได้ ส่วนพวกเราที่เหลือยืนกันไปจนสุดสายคือท่าเรือ ขากลับพวกเรานั่ง Turbo jet ที่จะไปถึงสนามบินฮ่องกง ซึ่ง Turbo jet ก็มีความเร็วสมชื่อต่างกับเรือเฟอร์รี่ที่มาตอนแรกแถมยังไม่โคลงเคลงให้เมาเรือ

จากเวลาที่มาถึงสนามบินตอน 5 โมงเย็น ทำเอาฝันหวานว่าอย่างนั้นเอาของไปฝากไว้แล้วไปช้อปต่อในฮ่องกงก่อนเวลาเครื่องออกคือ 22.45 น. ก็ยังทัน แต่ปรากฏว่าเมื่อเข้าไปในท่าเรือที่เป็นส่วนเชื่อมต่อกับสนามบินแล้วก็เหมือนกับเช็คผ่าน ตม. เข้าไปแล้ว จะกลับออกมาอีกไม่ได้ ทั้ง 5 คนเลยต้องไปหาข้าวเย็นกินกัน เราที่ยังติดใจอาหารชุดอยู่ก็ไปสั่งหมี่หมูแดงกับฮะเก๋าให้แม่ ส่วนตัวเองกินบะหมี่สิงคโปร์ที่คล้ายกับบะหมี่น้ำแกงกะหรี่ แต่ก็อร่อยดี แถมยังแย่งหมูแดงที่แยกกับบะหมี่ของแม่มากินได้อีก เดินไปเดินมาในสนามบินจนรู้ว่าไม่ได้เอาเงินภาษีสนามบินคืนที่ท่าเรือ เลยต้องไปใช้ภาษาอังกฤษ(ระดับพัทยา) อีกครั้งที่ประชาสัมพันธ์ โดยเค้าแนะนำว่าให้เข้าเวปไปกรอกแบบฟอร์มแล้วส่งมาเพื่อเอาเงินคืน หลังจากนั้นก็เดินไปเดินมาจนได้ของฝากพอให้ครบทุกคน แล้วก็ไปนั่งรอกันที่เกทจนถึงเวลาขึ้นเครื่อง กลับมาถึงสุวรรณภูมิ ปรับเวลาประเทศไทยเรียบร้อย 23.55 น. พ่อเจ้าฟลุ๊คมารับไปค้างที่บ้านนนทบุรีก่อนจะไปส่งเรากะแม่ในวันรุ่งขึ้น