Friday, March 30, 2007

บ้านลอนทราย (Part V)

เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก แป๊บเดียวก็ถึงวันที่พวกเราจะกลับกันแล้ว อ๋อยก็เพิ่งจะได้มาพักผ่อนจริงๆ เอาค่อนวันเมื่อวาน หลังจากเครียดกับงานที่มาทางโทรศัพท์จนฝันร้าย ส่วนเราเรียกได้ว่าพักผ่อนกับกินอย่างเดียวเลย สังหรณ์ใจว่าครั้งนี้คงจะยืดตัวออกอีกมากพอดู

เช้านี้ตกลงกันว่าจะขี่จักรยานเล่นกันรอบๆ หาด จากจักรยานของรีสอร์ท 4 คัน พอมาดูจริงๆ ใช้ได้แค่ 2 คัน อ๋อยเลยสละสิทธิ์นอนต่อ แต่ไม่ลืมกำชับให้พวกเราขี่จักรยานไปหาซื้ออาหารเช้ามาให้ด้วย ถึงแม้ว่าแดดอ่อนๆ ลมเย็นๆ ยามเช้าจะทำให้สดชื่นสักแค่ไหน แต่จักรยานเสือหมอบของรีสอร์ทก็ไม่เอื้อให้ขี่มากนัก เราไปกันแค่สุดทางลาดยาง ก่อนที่จะถึงทางลูกรังก็กลับมาแวะซื้อข้าวที่รีสอร์ทใกล้ๆ และก็ถ่ายรูปกันอย่างกับมาพักที่นั่นซะเอง
แถมตอนจะกลับไปบ้านลอนทรายเราขี่รถแฉลบไปนิดเลยเอาเท้าเบรก เลยทำให้นิ้วโป้งซ้นและเริ่มปวด มาถึงอ๋อยบอกว่ารอจนขับรถไปเที่ยวทางหาดเขากะโหลกที่อยู่ใกล้ๆ มาแล้ว

หลังจากจัดการกับอาหารเช้าที่สั่งข้าวผัดดันได้ผัดกระเพราค่อนข้างเผ็ด (ภาษาท้องถิ่นแถวนั้น) พวกเราก็ออกเดินทางกลับ ไปแวะซื้ออาหารทะเลฝากที่บ้านที่ปากน้ำปราณ ตรงที่เขาเอาพวกปลาหมึกขึ้นตาก มีการคัดขนาดตากตามตะแกรงเป็นแถวๆ ที่ตัวใหญ่หน่อยก็ใช้ไม้หนีบแขวนไว้กับราวลวด แต่ปลาหมึกที่นี่ก็ไม่ถึงกับถูก เมื่อเทียบกับ 3 – 4 ปีที่แล้ว อาจจะเป็นเพราะว่าราคาน้ำมันสูงขึ้นมากก็เป็นได้ จากนั้นพวกเราก็ไปแวะซื้อชีสเชคไส้สัประรดตามข้างทาง และเม็ดขนุนเผือกที่อ๋อยโปรโมตว่าอร่อยนักหนา (แต่ก็อร่อยจริงๆ) ที่หัวหิน แวะกินปูนึ่ง (อีกแล้ว) แถวสะพานปลาชะอำ อ๋อยให้โอกาสหอยเชลล์แก้ตัวด้วยการสั่งอบเนยมาอีกครั้ง คราวนี้ดีกว่าเมื่อวาน ส่วนปูดีมั่กๆ ทำเอาปลาเก๋านึ่งซีอิ๊วเป็นม่าย ต้องห่อกลับ เพราะปูกับหอยนี่มากันเป็นกิโล แถมหมอปุ้มยังสั่งปูนึ่งกลับบ้านอีกหลายกิโลอยู่
แล้วก็ถึงจุดหมายจริงๆ ที่คิดจะมาเที่ยวครั้งนี้คือ พรีเมียมเอ๊าท์เลต แต่มาถึงนี่เราก็ปวดนิ้วเท้ามากจนเดินแทบไม่ไหวแล้ว ต้องปล่อยให้เพื่อนๆ เดินช้อปปิ้งกันตามสบาย ส่วนตัวเองเดินโขยกเขยกไปซื้อเฉพาะของที่ตั้งเป้าไว้ คือ ที่หุ้มพวงมาลัยรถ ตุ๊กตาของขวัญ แล้วก็ยังได้เสื้อกับรองเท้า ตอนที่แวะรายทางขากลับไปที่รถอีก (ถึงเดี้ยงแต่ยังช้อปขาดใจ) ขึ้นรถได้งวดนี้ก็นั่งยาวจนถึงบ้าน อ๋อยแวะส่งหมอปุ้มที่บ้าน แล้วก็แวะมาส่งเรา ที่ตัดสินใจไป รพ. ต่อ เพราะตอนนี้นิ้วหัวแม่เท้าเริ่มบวมตุ่ยแล้ว เผื่อนิ้วหักจะได้ถือโอกาสหยุดงานต่อไป แต่ก็ไม่ยักกะหัก (แหม่..) ถึงบ้านจริงๆ 18.30 น.

บ้านลอนทราย (Part IV)

เส้นทางเดินธรรมชาติของวนอุทยานปราณบุรี เป็นสะพานไม้ท่ามกลางต้นแสม โกงกาง มีป้ายบอกว่ามีสัตว์อะไรอาศัยอยู่บ้างเป็นระยะ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นปู แต่ก็ยังหาปูที่ท่าทางจะเป็นปูก้ามดาบไม่ได้ซักตัว จนคนขับเรือที่เดินผ่านมาบอกว่า เฉพาะปูตัวผู้เท่านั้นที่จะมีก้ามใหญ่ข้างนึงเหมือนดาบ (แต่เราว่าเหมือนโล่มากกว่า) แล้วก็ชักชวนพวกเราให้ไปล่องเรือกัน ซึ่งจะเห็นปูพวกนี้เยอะมากๆ ริมตลิ่งที่เรือผ่าน และหลังจากสอบถามราคาก็รีบตกลงโดยไม่ลังเลเลยคือคิดลำละ 350 บาท นั่งได้ประมาณ 6 – 8 คน (แต่พวกเรา 3 คน น้ำหนักก็คงได้ 6 คนแล้วล่ะ)

หลังจากเดินบนสะพานจนเกือบครบรอบ และเจอแต่อากาศร้อนๆ พอได้มานั่งเรือให้ลมพัดเข้าหาตัวแล้วก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาก ถึงแม้จะมีไอน้ำเค็มเกาะตัวให้เหนียวๆ และความร้อนจากดวงตาก็เริ่มบรรเทาเบาบางลง (เพราะมีคนมาถ่ายรูปชุดวิวาห์กันบนสะพานด้วย – แต่เจ้าบ่าวไม่หล่อ อิ อิ)

ล่องเรือมานิดเดียวก็เจอปูก้ามดาบอยู่เต็มตลิ่งจริงด้วย ทีแรกคิดว่าจะเป็นปูตัวใหญ่ ที่ไหนได้เป็นปูตัวเล็กๆ ขนาดเท่าลูกปูลม มองเห็นก้ามใหญ่สีขาวเต็มพรืดแต่ไกล พอเรือของพวกเราเข้าใกล้ตลิ่งมันก็หลบลงไปในรู ต้องรอสักพักถึงจะขึ้นมาขยับก้ามกันใหม่ จากนั้นเรือก็ล่องออกไปทางแม่น้ำปราณ มองเห็นเรือประมงขนาดเล็กจอดอยู่ริมฝั่งเต็มไปหมด ที่ตลกก็คือเขาเอาเรือผูกไว้กับต้นมะพร้าวกลับหัวคือเอายอดมันปักลงในน้ำให้ส่วนโคนต้นที่ใหญ่กว่าชี้ขึ้นฟ้า อ๋อยลองถามกันเองก็ได้คำตอบชวนถีบจากเราว่า ถ้าเอาโคนต้นปักเดี๋ยวมันงอกขึ้นมาอีก แต่หลังจากกลับไปถามกูรู (พ่อเราเอง) ก็ได้คำตอบว่า เค้าใช้ส่วนยอดปักเพราะมันเรียวเล็กกว่าจะปักลงดินง่าย.....แค่นั้นเอง

เรือแล่นผ่านศาลเจ้าแม่ทับทิม ที่คนขับเรือเล่าว่าจะมีประเพณีแห่เจ้าแม่ทับทิมทางเรือทุกปี เพื่อบูชาเจ้าแม่ทับทิมให้เดินเรือปลอดภัยและได้ปลากลับมาเยอะๆ ในอดีตอันไกลโพ้นยังมีเรื่องเล่าว่าตอนที่แห่เจ้าแม่ทางเรือ จะมีจระเข้ตัวใหญ่ลอยน้ำตามขบวนเรือไปด้วย ที่ศาล (เห็นลิบๆ อยู่บนเขา) จึงมีรูปปั้นจระเข้สีเขียวแปร้ดอยู่ด้านหน้า และว่ากันว่าถ้ำจระเข้ก็อยู่ในน้ำใต้ศาลเจ้าแม่นั่นเอง
เรือล่องกลับโดยล่องออกไปถึงปากน้ำปราณที่มองเห็นทะเลใหญ่ตรงหน้า จากนั้นก็กลับไปท่าเรือในวนอุทยาน กินเวลา 1.5 ชั่วโมงพอดี ทำเอาหมอปุ้มที่ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงหิวแทบแย่ พวกเราก็เลยไปแวะกินข้าว (เฉพาะหมอปุ้ม ส่วนพจกับอ๋อยกินไอติมกับน้ำอัดลมดับร้อน) กันที่ร้านในวนอุทยาน จากนั้นก็กลับรีสอร์ทไปเล่นน้ำ (คราวนี้เฉพาะเรากับหมอปุ้ม) ตั้งแต่ตอนเช้า เรากับอ๋อยเล็งร้านอาหารที่ปากน้ำปราณไว้ร้านนึง สร้างเป็นบ้านทรงไทยสวยเชียวอยู่ตรงข้ามกับศาลกรมหลวงชุมพรฯ แต่พอไปถึงกันตอนเย็นปรากฏว่าร้านปิดไฟซะมืด ไม่มีวีแววว่าจะเปิดทำการเลย เราเลยรีบแนะนำร้านที่ติดป้ายโฆษณาไว้เยอะๆ แทน ก่อนที่สมาชิกทั้งหลายจะโมโหหิว เป็นร้านใหญ่ชื่อว่า เอ็กซ์โอ คราวนี้สั่งปูนึ่งอีกครั้ง หวังว่าจะได้กินปูอวบๆ ก็ยังผิดหวังที่ปูไม่สดถูกใจ หอยเชลล์อบเนยก็ไม่มีกลิ่นเนยซักกระผีก แต่ต้มข่าทะเล และ กุ้งยำยอดมะพร้าวอร่อยใช้ได้ คืนนี้ได้ทำเลดีคือเตียงเสริม (ควรเรียกว่าที่นอนเสริมมากกว่าเพราะมีแต่ที่นอนกับหมอนและผ้าห่มบางๆ ปูกับพื้น อยู่ห่างจากโรงสี เอ๊ย เตียงของอ๋อยและหมอปุ้มพอสมควร (ที่จริงจะลากที่นอนไปให้ไกลกว่านั้นก็ยังได้) จากนั้นก็ได้นอนหลับอย่างผาสุก

บ้านลอนทราย (Part III)

เข็ดกับอาหารเผ็ดสุดยอดเมื่อวานและอ๋อยอยากกินปาท่องโก๋ร้อนๆ พวกเราก็เลยพากันไปที่ตลาดปากน้ำปราณ เจอปาท่องโก๋เจ้าแรกก็อร่อยแล้วกับความกรอบนอกนุ่มใน ที่อ๋อยกินคนเดียว 10 อัน!! หลังจากนั้นเราก็ไปสั่งโจ๊กหมู ใส่ตับ ไข่ต้มกับผักคะน้า รสชาติประหลาด อาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่ได้กินโจ๊กมาเป็นปีๆ แล้ว แถมเห็นเด็กๆ ในห้องยากินทีไรเป็นต้องถามว่า “ไปเอาอ้วกใครมากินอ่ะ” ก็เลยต้องฝืนใจกินอ้วก เอ๊ย โจ๊กกับปาท่องโก๋เป็นเพื่อนอ๋อยไปพลางๆ

หลังจากนั้นเราก็กะจะไปแวะวนอุทยานปราณบุรีที่อยู่ใกล้ๆ เพื่อล่องเรือชมปากน้ำปราณกันก่อนจะไปรับหมอปุ้มตอนเที่ยง ปรากฏว่าป้ายที่บอกว่าวนอุทยานปราณบุรี 7.2 ก.ม. ใกล้ๆ ปากน้ำปราณนั้น มันดันเป็นทางลูกรังขึ่นเขาที่ชันมากๆ และดูจะไกลโข จนอ๋อยบอกว่าไว้ขับโฟร์วิลมาแล้วค่อยไปกัน พวกเราเลยต้องถอยทัพเพื่อออกไปทางอื่นแล้วก็พากันหลงออกไปถึงตลาดปราณบุรี ....ถือซะว่ามาดูลาดเลากันล่วงหน้าว่าหมอปุ้มจะลงรถตรงไหน

ออกจากแยกตลาดปราณบุรีก็วิ่งรถย้อนมาทางหัวหินมาถึงสี่แยกต่อมาที่เป็นแยกที่ว่าการอำเภอปราณบุรี ที่พวกเรามาถึงกันในวันแรก เรานึกขึ้นได้ว่าขามามองเห็นว่ามีป้ายรับพาล่องเรือปากน้ำปราณ เลยชวนอ๋อยเข้าไปดูกัน เจอคุณลุงเจ้าของอยู่พอดี ที่นี่ทำเป็นแบบโฮมสเตย์ มีที่พัก พาล่องเรือ และพาชมสวนผลไม้ รวมถึงไร่สับปะรดไร่แรกของปราณบุรี สอบถามราคาค่าล่องเรือแล้วต่างจากที่สอบถามจากรีสอร์ทมาก โดยที่นี่อยู่ในราคาลำละ 600 บาท แต่ถ้าพวกเราไปล่องเรือข้างในวนอุทยานปราณบุรีจะเสียลำละ 300 บาท ยังไงก็ตามอ๋อยเริ่มติดใจคารมคุณลุงที่ชวนคุยเรื่องการท่องเที่ยว การเกษตรเชิงนิเวศน์ แล้วก็พาไปดูปลาแรด ปลาตะเพียนตัวใหญ่ๆ ในลำน้ำปราณที่โฮมสเตย์ของแก (ส่วนเราไม่ค่อยรู้เรื่องระบบนิเวศน์เท่าไหร่ แค่เห็นสัตว์น้ำก็เริ่มหิว ยิ่งลุงแกบอกว่ามีกวางมาเดินป้วนเปี้ยนในสวนแกก็ยิ่งหิว) แต่หลังจากที่คิดได้ว่าแพงเลยจำเป็นต้องรอหมอปุ้มมาเป็นตัวหารเพิ่ม และตามที่คุณลุงบอกว่าถ้าล่องเรือเวลาที่น้ำลงแล้วจะได้เห็นปูก้ามดาบเต็มตลิ่งพรืดไปหมด ซึ่งต้องรอประมาณบ่าย 3 โมงค่อยไปกัน เลยบอกลุงว่าบ่ายๆ จะเข้ามาอีกครั้ง

กลับมาที่บ้านลอนทรายอีกครั้ง โชคดีมากๆ เพราะเราทำท่าจะท้องเสียอีกแล้ว (หลังจากกระหน่ำกินอาหารทะเลเข้าไป) และช่วงนี้รู้สึกว่าถ้าท้องเสียทีไร น้ำหนักจะขึ้นทุกครั้ง เหมือนเด็กกำลังยืดตัว (แต่เรายืดออกทางด้านข้าง) รอหมอปุ้มจน 11 โมง อ๋อยเริ่มหมดแรงโจ๊ก เลยให้โอกาสรีสอร์ททำอาหารจานเดียวมาให้กิน คราวนี้ใช้ได้ อ๋อยชมว่าข้าวผัดกำลังดี ไม่แข็งเกินไป จากนั้น 12.30 ถึงได้ไปรับหมอปุ้ม คราวนี้เจ้าของรีสอร์ทเอารถออกไปรับลูกค้า เลยได้โอกาสขับตามไปตามทางที่ดีกว่าทางที่พวกเรามาตั้งเยอะ ถึงกระนั้นอ๋อยก็ยังขับตกหลุมจนกระทะล้อข้างซ้ายหน้าหลุดหายไป ซึ่งตอนนั้นพวกเราไม่ได้รู้ตัวเลยซักนิด มารู้อีกครั้งก็ไปแวะรับหมอปุ้มและพากันไปถึงวนอุทยานปราณบุรี ที่คุณลุงเจ้าของโฮมสเตย์บอกว่าให้ไปเข้าทางแยกเขาเต่า (คราวนี้เป็นทางลาดยางอย่างดีไม่ต้องขึ้นเขา) ถึงเส้นทางจะวนเวียนและป้ายเก่า รวมถึงมีเถาต้นไม้พันบังจนมองแทบไม่เห็น (มีอยู่ป้ายนึงทำให้ขับรถวนตั้ง 2 รอบ เนวิเกเตอร์อย่างเราเลยหงุดหงิด ลงไปโค่นป้าย เอ๊ย ดึงต้นไม้ออกซะ) พวกเราก็ไปถึงวนอุทยานปราณบุรีกันจนได้ โดยไม่ต้องขึ้นเขา

บ้านลอนทราย (Part II)

บ้านลอนทรายเป็นรีสอร์ทติดกับชายหาด ผิดกับรีสอร์ทที่ผ่านๆ มา ที่มีถนนกั้นระหว่างรีสอร์ทกับชายหาด คิดว่าคงเป็นเพราะถนนเริ่มเบนออกจากหาดไปแล้วเลยมีที่พอจะให้สร้างรีสอร์ท และถัดจากบ้านลอนทรายที่พวกเราพักก็มีรีสอร์ทอื่นๆ ต่อกันเป็นแนวยาว

เมื่อเปิดประตูห้องออกมาดูก็พบว่าห้องกว้างกว่าที่คิด หลังจากขนข้าวของกันเรียบร้อยแล้ว อ๋อยก็นอนเอกเขนกอ่านนิยายที่เอามาบนเตียงอย่างมีความสุข ส่วนเราได้ล้างหน้าล้างตาซะหน่อยก็ออกไปเดินถ่ายรูป เก็บวิวมาฝากพรรคพวกแล้วก็นอนหลับหลังจากอิ่มตาปรือมานาน

จนอ๋อยเรียกถาม (ก่อนที่จะใช้อวัยวะส่วนอื่นสะกิดปลุก) ว่าจะลงเล่นน้ำได้ยัง ถึงได้ตื่นขึ้นมาทาครีมกันแดดด้วยความกลัวดำก่อนไปเล่นน้ำ อ๋อยเล่าให้ฟังว่าระหว่างที่เราหลับก็มีโทรศัพท์จากที่ทำงานมาหาอ๋อยเรื่องงานที่กำลังมีปัญหาอยู่ ทำเอาอ๋อยเครียด แต่ก็ลงไปเล่นน้ำแต่โดยดีถึงจะว่ายน้ำไม่เป็นก็เถอะ ........แหมก็หาดสะอาดๆ น้ำใสๆ น่าเล่นน้อยอยู่เมื่อไหร่ล่ะ

คลื่นค่อนข้างแรงเพราะดูจากบางลูกซัดอ๋อยจนเซ (แต่ไม่สามารถซัดจนอ๋อยไปเกยตื้นได้ อิ อิ) อ๋อยก็เลยไม่กล้าลงไปที่ระดับน้ำลึกกว่าเอว หารู้ไม่ว่ายิ่งไปลึกขึ้นลูกคลื่นก็จะแรงน้อยลง แต่เอาเถอะ เพราะถ้าเกิดอ๋อยจมน้ำไปจริงๆ เราคงจะไม่มีปัญญาจะช่วย และถึงช่วยได้ก็คงไม่มีปัญญาหาหนุ่มหล่อระดับเรน มาผายปอดให้อ๋อย
หลังจากเล่นน้ำจนพอใจ และอ๋อยก็เริ่มเซ็งกะฟองคลื่นแล้ว พวกเราก็พากันไปที่สำนักงานเพื่อสั่งอาหารเย็น ดูว่าจะอร่อยอย่างที่ลงในเวบหรือเปล่า อีกอย่าง อ๋อยก็ขับรถเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว จะได้ไม่ต้องออกไปหากินกันข้างนอก มื้อนี้เลยมีปลาหมึกครึ่งแดด (น้อยกว่าแดดเดียว) กุ้งชุบแป้งทอด ปูผัดผงกระหรี่และต้มยำโป๊ะแตก แล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ถามว่าเผ็ดหรือเปล่า หลังจากบอกว่าเอาน้ำข้น ดีที่เจ้าของตอบตามจริงว่าอาหารค่อนข้างเผ็ด อ๋อยก็เลยขอแยกพริก พอได้กินจริงๆ (โดยยังไม่ใส่พริก) เลยได้รู้ว่าค่อนข้างเผ็ดที่เป็นภาษาถิ่นของเขา ภาษาถิ่นของพวกเราเรียกว่าเผ็ดอิ๊บอ๋าย แล้วปลาหมึกครึ่งแดดก็แข็งมั่กๆ ไม่รู้ว่าอีกครึ่งแดด (ที่จะรวมเป็นแดดเดียว) นั้นมันไปนอนอยู่ในฟอร์มาลินหรือเปล่า อ๋อยยังบ่นว่าข้าวแข็งสุดๆ สรุปว่าอาหารที่รีสอร์ทนี้ไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่

ถึงกระนั้นเราก็ยังกินกันจนเกือบหมด เหลือน้ำแกงแดงๆ ของต้มยำและเห็ดเทวดา (อร่อยสู้เห็ดนางฟ้าไม่ได้) ไว้ แต่แทนที่คืนนี้เราจะได้หลับเต็มที่ กลายเป็นหลับยากไป เพราะว่านอนเอาแรงไว้ตั้งแต่ก่อนว่ายน้ำนานโข และอีกอย่างโรงสีไฟวนิดาที่อยู่ข้างๆ ก็เปิดทำงานเสียงดังสนั่น พลิกไปพลิกมาอยู่นานกว่าจะหลับได้ นึกถึงหมอปุ้มที่จะมาสมทบอีกคนแล้วสยอง กลัวว่าการท่องเที่ยวงวดนี้จะกลายเป็นทัวร์หมีแพนด้า ขอบตาดำคล้ำไปซะ ยานอนหลับก็ไม่ได้เอามาซะด้วย (ทุกทีจะหลับก่อนชาวบ้านเขา)

เช้าตื่นตี 5 ครึ่งตามปกติของการนอนที่อื่นที่ไม่ใช่บ้าน จากนั้นไม่นานอ๋อยก็ลุกขึ้นมาบอกให้ไปดูพระอาทิตย์ขึ้น เราก็งงว่าเคยได้ยินแต่พระอาทิตย์ตกทะเล ลืมไปว่าเป็นชายฝั่งด้านตะวันออก แต่ก็เหมือนโดนหลอกให้ไปชะแง้รอตั้งนาน เห็นแต่ก้อนเมฆ กับแสงเงินแสงทอง ขาดแต่พระอาทิตย์!! ตั้งขากล้องรอจนเมื่อยเลยเข้าไปรับแอร์ในห้อง จนอ๋อยออกไปดูมั่งแล้วเข้ามาเรียกว่าเห็นพระอาทิตย์แล้ว (โปรดสังเกตว่าไม่ใช้คำว่าพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว) เลยได้รูปพระอาทิตย์ขึ้น (สูง) มาอวดชาวบ้านเขา

Thursday, March 22, 2007

บ้านลอนทราย ปราณบุรี 16 - 18 มี.ค. 50 (Part I)








หลังจากผิดหวังจากทริปเขาสก พวกเราก็ไม่ยอมแพ้ จัดทริปใหม่กันทันควัน โดยอ๋อยไปค้นจากเนตมาหลายที่ จนตกลงกันได้ที่บ้านลอนทราย ปราณบุรี งานนี้อ๋อยหลวมตัวยอมรับเป็นสารถีให้ มีหมอปุ้มเป็นสมาชิกสมทบ รวมเป็น 3 คน

เช้าวันศุกร์หลังจากลา (หนี) งานกันเรียบร้อย เราก็นั่งรถเมล์มารออ๋อยที่สถานีตำรวจนครปฐม ปล่อยให้อ๋อยเลือกนิยายเตรียมไปหย่อนอารมณ์ริมหาดตามสบาย ส่วนหมอปุ้มติดราชการจะนั่งรถทัวร์ตามไปทีหลังในวันเสาร์

พวกเราแวะเติมพลังรอบเช้ากันที่ปั๊มเจ็ทหนองดินแดง เสียเวลากันไปพักใหญ่เนื่องจากไปจ๊ะเอ๋กับคณะทัวร์ลูกเป็ดฝูงใหญ่ชาวญี่ปุ่น จากนั้นจึงค่อยเคลื่อนทัพต่อลงไปทางใต้ กะไปตี เอ๊ย กินอาหารทะเลตลอดการเดินทาง

ที่แรกที่สองหญิงโฉดพากันไปแวะ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นวัด ที่ต้องขึ้นเขาไปไกลถึงเขาหินเหล็กไฟ หัวหิน ชื่อวัดห้วยมงคล ไหว้หลวงพ่อทวดเอาฤกษ์เอาชัยในการเดินทาง ถึงแม้แดดจะแรงไปนิด แต่ปลาพะยูน 2 ตัวก็เกาะกันแน่นไม่กลัวร้อน และโชคดีอีกอย่างที่ช่วงนี้ที่วัดมีพระบรมสารีริกธาตุให้นมัสการอีกด้วย จากนั้นเราก็อาศัยหลบร้อนเข้าไปเช่าพระหลวงพ่อทวดในห้องแอร์จนได้มาบูชา 2 องค์พอสมควรกับทุนทรัพย์ ที่ไม่น่าเชื่ออีกอย่าง คือมีจตุคามรามเทพให้บูชาด้วย.........โอ้ มาถึงนี่

ออกจากวัดได้พักนึงจนท้องร้องจ๊อกๆ ก็ถึงเขาตะเกียบ จากที่ไกด์เอ๋แนะนำมาทางโทรศัพท์ว่าต้องไปกินหลังเขาจะมีร้านอร่อย ซึ่งก็มีเป็นแถวเป็นแนวเต็มไปหมด พวกเราเลยเลือกได้ร้านนึงที่ติดป้ายโฆษณาว่าปูสด อร่อย สำหรับคนรักปู แล้วก็มีป้ายของนิตยสารคู่สร้างคู่สมรับประกันว่ามาชิมแล้ว

อันที่จริงมากันกับเพื่อนฝูงก็ดีไปอย่างคือ เวลากินไม่ต้องมากมารยาท ยิ่งกินปูด้วยแล้ว นึกถึงที่ ผอ. เก่าเคยบอกให้ฟังว่าถ้าไปกินข้าวกับแฟนอย่าสั่งปูมากินเด็ดขาด ถึงจะกินยากเย็นแค่ไหน แต่ความสดอร่อยก็นับว่าคุ้ม อ๋อยมีติอยู่หน่อยตรงที่ปู 3 ตัว มีปูนางแบบ (อย่างผอม) มาซะ 2 ตัว แต่ก็เกือบเก็บภาพ (ตามที่อ๋อยบอกให้ถ่ายไว้เยาะเย้ยบางคนที่พลาดทริปนี้) ปู (ที่เหลือแค่ตัวเดียว) หอยตลับผัดพริกเผา กับต้มยำปลาเก๋า เอาไว้แทบไม่ทัน

กว่าจะออกจากร้านและล้างมือจนหมดกลิ่นก็ปาเข้าไปบ่ายกว่า แต่เหลืออีกไม่กี่กิโลก็จะถึง (ถ้าไม่หลงซะก่อน) เลยต้องยอมถ่างตา ทั้งที่หนังท้องตึง บอกทางไปตามแผนที่ที่ดาวน์โหลดมา

ตั้งแต่ทางแยก อ. ปราณบุรี ทางก็ลาดยางดีตลอด จะแวะเข้าไปทักทายพี่เหน่งพี่รหัสที่ รพ. ปราณบุรีก็เกรงใจที่ไม่ได้ซื้ออะไรติดไม้ติดมือมาฝากแก แล้วก็คงอดใจไม่ไหวรีดไถให้แกไปเลี้ยงเหมือนเมื่อตอนเป็นน้องรหัสไม่ได้ เลยตัดใจเป็นคนดี (ไม่รู้เป็นเพราะบารมีหลวงพ่อทวดที่เช่ามารึเปล่า) ไม่สร้างความหายนะให้ใคร (ในวันนี้)

ทางมาเสียเอาตรงถนนเลียบหาด ช่วงที่มีรีสอร์ทหรูๆ เต็มไปหมด มีสระน้ำกลางแจ้ง และฝรั่งในชุดว่ายน้ำ อาบแดดเต็มไปหมด...วู้ เสียอย่างเดียวที่ฝรั่งค่อนข้างมีอายุ เลยมีไขมันส่วนเกินเยอะไปหน่อย (ดูจากน้ำที่ล้นสระออกมา) จากนั้นพอหมดทางลูกรังก็เป็นทางลาดยางเก่าทอดยาวไปอีก มองเห็นชายหาดตลอดแนวจนต้องโทรหาทางรีสอร์ทอีกครั้งว่าพวกเราเลยไปหรือยัง โชคดีที่ยังไม่ถึง ความมั่นใจในการเป็นเนวิเกเตอร์เลยกลับมาอีกครั้ง