หลังจากเดินบนสะพานจนเกือบครบรอบ และเจอแต่อากาศร้อนๆ พอได้มานั่งเรือให้ลมพัดเข้าหาตัวแล้วก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาก ถึงแม้จะมีไอน้ำเค็มเกาะตัวให้เหนียวๆ และความร้อนจากดวงตาก็เริ่มบรรเทาเบาบางลง (เพราะมีคนมาถ่ายรูปชุดวิวาห์กันบนสะพานด้วย – แต่เจ้าบ่าวไม่หล่อ อิ อิ)
ล่องเรือมานิดเดียวก็เจอปูก้ามดาบอยู่เต็มตลิ่งจริงด้วย ทีแรกคิดว่าจะเป็นปูตัวใหญ่ ที่ไหนได้เป็นปูตัวเล็กๆ ขนาดเท่าลูกปูลม มองเห็นก้ามใหญ่สีขาวเต็มพรืดแต่ไกล พอเรือของพวกเราเข้าใกล้ตลิ่งมันก็หลบลงไปในรู ต้องรอสักพักถึงจะขึ้นมาขยับก้ามกันใหม่ จากนั้นเรือก็ล่องออกไปทางแม่น้ำปราณ มองเห็นเรือประมงขนาดเล็กจอดอยู่ริมฝั่งเต็มไปหมด ที่ตลกก็คือเขาเอาเรือผูกไว้กับต้นมะพร้าวกลับหัวคือเอายอดมันปักลงในน้ำให้ส่วนโคนต้นที่ใหญ่กว่าชี้ขึ้นฟ้า อ๋อยลองถามกันเองก็ได้คำตอบชวนถีบจากเราว่า ถ้าเอาโคนต้นปักเดี๋ยวมันงอกขึ้นมาอีก แต่หลังจากกลับไปถามกูรู (พ่อเราเอง) ก็ได้คำตอบว่า เค้าใช้ส่วนยอดปักเพราะมันเรียวเล็กกว่าจะปักลงดินง่าย.....แค่นั้นเอง
เรือแล่นผ่านศาลเจ้าแม่ทับทิม ที่คนขับเรือเล่าว่าจะมีประเพณีแห่เจ้าแม่ทับทิมทางเรือทุกปี เพื่อบูชาเจ้าแม่ทับทิมให้เดินเรือปลอดภัยและได้ปลากลับมาเยอะๆ ในอดีตอันไกลโพ้นยังมีเรื่องเล่าว่าตอนที่แห่เจ้าแม่ทางเรือ จะมีจระเข้ตัวใหญ่ลอยน้ำตามขบวนเรือไปด้วย ที่ศาล (เห็นลิบๆ อยู่บนเขา) จึงมีรูปปั้นจระเข้สีเขียวแปร้ดอยู่ด้านหน้า และว่ากันว่าถ้ำจระเข้ก็อยู่ในน้ำใต้ศาลเจ้าแม่นั่นเอง
เรือล่องกลับโดยล่องออกไปถึงปากน้ำปราณที่มองเห็นทะเลใหญ่ตรงหน้า จากนั้นก็กลับไปท่าเรือในวนอุทยาน กินเวลา 1.5 ชั่วโมงพอดี ทำเอาหมอปุ้มที่ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงหิวแทบแย่ พวกเราก็เลยไปแวะกินข้าว (เฉพาะหมอปุ้ม ส่วนพจกับอ๋อยกินไอติมกับน้ำอัดลมดับร้อน) กันที่ร้านในวนอุทยาน จากนั้นก็กลับรีสอร์ทไปเล่นน้ำ (คราวนี้เฉพาะเรากับหมอปุ้ม) ตั้งแต่ตอนเช้า เรากับอ๋อยเล็งร้านอาหารที่ปากน้ำปราณไว้ร้านนึง สร้างเป็นบ้านทรงไทยสวยเชียวอยู่ตรงข้ามกับศาลกรมหลวงชุมพรฯ แต่พอไปถึงกันตอนเย็นปรากฏว่าร้านปิดไฟซะมืด ไม่มีวีแววว่าจะเปิดทำการเลย เราเลยรีบแนะนำร้านที่ติดป้ายโฆษณาไว้เยอะๆ แทน ก่อนที่สมาชิกทั้งหลายจะโมโหหิว เป็นร้านใหญ่ชื่อว่า เอ็กซ์โอ คราวนี้สั่งปูนึ่งอีกครั้ง หวังว่าจะได้กินปูอวบๆ ก็ยังผิดหวังที่ปูไม่สดถูกใจ หอยเชลล์อบเนยก็ไม่มีกลิ่นเนยซักกระผีก แต่ต้มข่าทะเล และ กุ้งยำยอดมะพร้าวอร่อยใช้ได้ คืนนี้ได้ทำเลดีคือเตียงเสริม (ควรเรียกว่าที่นอนเสริมมากกว่าเพราะมีแต่ที่นอนกับหมอนและผ้าห่มบางๆ ปูกับพื้น อยู่ห่างจากโรงสี เอ๊ย เตียงของอ๋อยและหมอปุ้มพอสมควร (ที่จริงจะลากที่นอนไปให้ไกลกว่านั้นก็ยังได้) จากนั้นก็ได้นอนหลับอย่างผาสุก
No comments:
Post a Comment