Thursday, August 07, 2008

ภูชี้ฟ้า (Part V)

ด้วยความมั่นใจว่าพระตำหนักดอยตุงนั้นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิต จึงน่าจะมีป้ายบอกทางที่ชัดเจน และก็มีจริงๆ เพียงแค่ออกจากตัวเมืองแม่สายก็พบป้ายทางเข้า บนเส้นทางที่ไต่ระดับความสูงขึ้นไปมองเห็นทะเลขุนเขาที่สลับซับซ้อน นั่งมองวิวไปกันเพลินๆ แต่ทำไมรู้สึกว่าระยะทางมันช่างยาวไกลเช่นนี้ ถนนก็ดูแคบๆต่างจากที่เคยมา แถมระหว่างทางยังพบด่านตรวจของทหารถึง 3 ด่าน ในเวลานั้นยังไม่คิดหรอกว่ามาผิดทาง จนมาพบทางแยก มีป้ายไปพระตำหนักดอยตุง 2 ป้าย ป้ายหนึ่งสีน้ำเงินชี้ให้ไปทางซ้าย ส่วนอีกป้ายสีขาวชี้ให้ไปทางขวา ลังเลอยู่สักพักก็มีรถยนต์ผ่านมา จึงสอบถาม เขาบอกว่าให้ไปทางขวา จึงเชื่อตามนั้น ไม่อยากคิดเลยว่าคนไทยจะหลอกกันได้ ทางนั้นพาผ่านดอยช้างมูบ สุดท้ายเจอทางแยก พบป้ายพระตำหนักให้ย้อนกลับไปทางเดิม แต่พี่ชาตรีคันขับรถก็คิดว่าหมายถึงชี้ให้ไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งทางนั้นกลับเป็นทางไปสถานีความคุมไฟป่า

เสียงโทรศัพท์ของอรดังขึ้น พี่ตี๋โทรมาว่าถึงไหนกันแล้ว รถตู้ 3 คันถึงกันหมดแล้ว เราออกกันมาก่อนแต่ยังไม่ถึง เรากำลังหลงทาง หลงทางบนดอยตุง อย่าที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะทางขึ้นดอยตุงจริงๆแล้วอยู่ระหว่างอ.แม่สายกับอ.แม่จัน ไม่ใช่เป็นทางสายนี้ เป็นอันว่าเส้นทางสายนี้เป็นเส้นทางสายความมั่นคงที่เลาะตะเข็บชายแดนไทย-พม่า จึงได้มีทหารตั้งด่านตรวจมากขนาดนี้ เป็นอันว่ากำหนดการสำหรับรถเรานั้นต้องเปลี่ยน โดยไปพระธาตุดอยตุงก่อน เพราะขณะนี้รถเราถึงพระธาตุอย่างไม่ตั้งใจ เหมือนมีสิ่งใดดลใจให้เราหลงทาง ให้เรามาไหว้พระธาตุดอยตุงก่อน เหมือนอย่างแผนการเดินทางในทริปนี้ของเราที่ต้องเปลี่ยนแปลงไม่เป็นตามแผนที่วางไว้ แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ก็นำความสุขอย่างที่เราคาดไม่ถึงมาทดแทน และการหลงทางครั้งนี้ก็ทำให้กำหนดเวลาเราเปลี่ยนไป ซึ่งนำพาให้เราพบสิ่งที่ดีกว่ารถคันอื่นในช่วงเวลาเย็น

เราหลงทางแต่เวลาที่เสียไปไม่ใช่สาเหตุให้เครียด เพราะอย่างน้อยเราก็ได้ชมทิวทัศน์ที่แปลกตาออกไป แต่สิ่งที่ทำให้เครียดคือปริมาณน้ำมันในถังที่เหลือน้อยลงทุกที น้ำมันหมดบนดอยไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเลย ซึ่งสาเหตุนี้เราจึงต้องประหยัดน้ำมัน แทนที่จะนำรถขึ้นไปถึงพระธาตุดอยตุง เราก็พากันเดินขึ้นไปตามบันไดนาคราช (จะมีใครไหมที่บ่นในใจว่า เอาอีกแล้วเดินขึ้นดอยอีกแล้วตู) สุดบันไดเป็นทางเดินที่เรียงรายไปด้วยระฆังนับร้อยใบ หาไม้มาได้หนึ่งท่อนก็เดินตีระฆังไปเรื่อย ในที่สุดเราแม้จะหลงทางอย่างไรเราก็เดินกันมาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ปฐมเจดีย์แห่งล้านนา หากย้อนกลับไปนับพันปี พระมหากัสสะปะเถระพร้อมด้วยพระเจ้าอชุตราช กษัตริย์ผู้ครองนครโยนกนาคพันธ์ (ปัจจุบันคือเมืองล่ม ในพื้นที่อ.แม่จัน) ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้ามาประดิษฐานณ.ยอดดอยแห่งนี้ พร้อมปักตุงเพื่อบูชา ปลายชายตุงปลิวสบัดถึงที่ใดให้หมายถึงเป็นแดนดินศักดิ์สิทธิ์ ในวันนี้ยังคงปรากฏพระธาตุทอง 2 องค์ ตั้งอยู่คู่กัน ธูป เทียนและดอกคำมั่นสัญญาถูกใช้เป็นเครื่องสักการะในการเวียนเทียนรอบพระธาตุ ใกล้ๆกันนั้นมีระฆังอันใหญ่ แต่การที่จะทำให้ระฆังใบนี้ดังต้องใช้วิธีการแกว่งที่ตีซึ่งแขวนห้อยจากแกนกลางด้านในระฆัง หากแต่ต้องแกว่งอยู่หลายที ระยะทางจากแรงแกว่งจึงทำให้ระฆังเกิดส่งเสียงดังกังวาน เหมือนดังให้ผู้คนด้านล่างได้รับยิ่งเสียงระฆังจากดินแดนศักดิ์บนยอดดอยแห่งล้านนา

มาช้ายังดีกว่าไม่มา ถึงพระตำหนักดอยตุงกันจนได้ ยังไม่ต้องไปเที่ยวชมอะไร เพราะจุดหมายของทุกคนเหมือนกันคือมุ่งตรงไปที่ร้านอาหารก่อน เพราะตอนนี้เป็นเวลาบ่ายแล้ว ราคาอาหารของที่นี้ค่อนข้างแพง ข้าวราคาจานละ 45 บาท น้ำจำพวกน้ำกระเจี๊ยบ น้ำมะตูม แก้วละ 25 บาท ขนมถ้วยละ 12 บาท มื้อนี้หมดไป 82 บาท หากคิดจากเงินค่าอาหารมื้อนี้ที่ TKT คืนให้เราแค่ 50 บาท นับว่าไม่คุ้ม แต่หากคิดโดยรวมถึงรสชาด ปริมาณอาหาร และบรรยากาศของสถานที่นับว่าทดแทนกันได้ แต่มีสิ่งที่น่าปรับปรุงนั้นคือเรื่องการติดราคาอาหาร เพราะเป็นการให้ลูกค้าเลือกซื้อแล้วมาลุ้นกันที่ที่จ่ายเงินว่า ราคาอาหารของฉันเท่าไหร่หนอ?

รอเข้าพระตำหนักดอยตุงในรอบบ่าย 2 ระหว่างรอก็ถ่ายรูปกับทิวทัศน์และดอกไม้เมืองหนาวที่บานสะพรั่งรอบพระตำหนัก จนถึงเวลาผู้คนที่เฝ้ารอก็ทะยอยเดินเข้าไปในพระตำหนัก โดยมีเจ้าหน้าที่อธิบายรายละเอียดถึงประวัติความเป็นมา จุดสำคัญและห้องต่างๆภายในพระตำหนัก โดยพระตำหนักแห่งนี้เป็นที่แปรพระราชสถานของสมเด็จย่าหรือสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี แม้ว่าจากภายนอกจะมองเหมือนพระตำหนักนั้นมี 4 ชั้น แต่หากจริงๆแล้วพระตำหนักเป็นอาคารสองชั้น มีรูปทรงผสมผสานระหว่างศิลปะล้านนากับชาเลย์ของสวิส มีการแกะสลักไม้ตามกาแล เชิงชายและขอบหน้าต่างเป็นลวดลายต่างๆ ฝีมือช่างชาวเหนือ มีเพียงแผ่นพื้นเท่านั้นที่ทำจากไม้สักทองที่กรมป่าไม้ถวาย ส่วนผนังที่เป็นไม้นั้นภายในเป็นปูน ปัจจุบันนี้สมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดา ทรงแปรพระราชสถานที่นี้เป็นครั้งคราวเพื่อทรงงานต่อจากสมเด็จย่า ฉะนั้นห้องต่างๆจึงไม่อนุญาตให้เข้าชม ยกเว้นท้องพระโรง โดยผู้ที่เข้าชมทั้งหมดจะมานั่งร่วมกันที่นี้เพื่อสักการะพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จย่า และที่สำคัญเหนือขึ้นไปของท้องพระโรงเป็นเพดานดาว โดยประกอบด้วยตำแหน่งดาวในระบบสุริยะจักรวาล และหมู่ดาวจักราศี นอกจากนี้บนฝาผนังด้านหลังมีภาพวาดดอยตุงที่ใช้ความสว่างของแสงจากด้านนอกสร้างความเปลี่ยนแปลงของช่วงเวลาตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า เพียงแค่เราเดินจากมุมหนึ่งไปสู่อีกมุมหนึ่งของภาพก็จะพบความเปลี่ยนแปลงอันเกิดจากแสง ภายในพระตำหนักนั้นไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป แต่ที่ระเบียงซึ่งอยู่ด้านนอกท้องพระโรงนั้นสามารถถ่ายรูปได้ แต่เป็นการถ่ายรูปออกไปด้านนอก ซึ่งเป็นทิวทัศน์ของทะเลทิวเขาและดอกไม้นับแสนดอกที่กำลังบานสะพรั่งในสวนแม่ฟ้าหลวง

No comments: