
กะไว้แล้วเชียวว่าทัวร์ต้องแจ้งคนขับรถตู้ที่เราเช่าไว้ว่าออก 9.00 น. เลยโทรตาม ซึ่งกว่ารถตู้ที่มีคุณมาหมาดเป็นคนขับจะมารับก็เกือบ 8.30 น. เลยต้องบอกเวลากันใหม่ว่าพรุ่งนี้ขอเป็นออก 8.00 น.เพราะพวกเราจะต้องกลับกันเวลา 17.00 น.
ความจริงพวกเรากะว่าจะเช่ารถและขับกันเอง แต่ติดปัญหาที่ว่าสมาชิกแต่ละคนตัวไม่ใช่เล็ก รถจึงต้องใหญ่ขนาด Toyota altis ขึ้นไป แต่ปรากฏว่ารถที่ว่างให้เช่ากลับเป็นพวกรถเล็ก เช่น Jass Civic และ Vios ส่วนรถรุ่นใหญ่ๆ เช่น camry หรือ fortuner ก็ราคาพอๆ กับรถตู้ที่มีคนขับให้ เราก็เลยเลือกรถตู้พร้อมคนขับที่เช่ารวมกับน้ำมันรถด้วย แต่ต้องระบุเส้นทางที่จะไปแทน

พี่มาหมาดออกตัวว่าเพิ่งจะมารับพาทัวร์ที่กระบี่ไม่นาน เลยไม่รู้จะแนะนำที่เที่ยวตรงไหน แต่พาไปถูกเพราะเป็นคนกระบี่ ซึ่งตามโปรแกรมของเราที่แรกที่จะไปคือ

คลองสองน้ำมีลักษณะพิเศษคือ ถ้าน้ำทะเลลดก็จะเป็นน้ำจืด เมื่อน้ำทะเลขึ้นก็จะเป็นคลองน้ำเค็ม 
หลังจากนั้นเราก็ไปอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี อ.อ่าวลึก มีสระโบกขรณีซึ่งเป็นสระขนาดใหญ่ และต่างระดับกันทำให้มองเห็นคล้ายน้ำตกเตี้ยๆ น่าเสียดายที่น้ำเป็นสีโคลน เวลาถ่ายรูปเลยดูไม่ค่อยเหมือนพวกกินนอน 5 ตัว อยู่ข้างสระ

หลังจากนั้นเราก็ไปอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี อ.อ่าวลึก มีสระโบกขรณีซึ่งเป็นสระขนาดใหญ่ และต่างระดับกันทำให้มองเห็นคล้ายน้ำตกเตี้ยๆ น่าเสียดายที่น้ำเป็นสีโคลน เวลาถ่ายรูปเลยดูไม่ค่อยเหมือนพวกกินนอน 5 ตัว อยู่ข้างสระ

เราไปกันต่อที่ถ้ำลอดและถ้ำผีหัวโต โดยต้องนั่งเรือไป มีเรือหางยาวที่จุคนได้เป็นสิบกับเรือคายัคที่ต้องพายไปกันเอง พวกเราเลือกเรือหางยาวที่ถูกกว่าเป็นเท่าตัวเพื่อไปดูภาพเขียนก่อนประวัติศาสตร์ที่ถ้ำผีหัวโต
ผ่านถ้ำลอดที่เป็นหินงอกหินย้อยเป็นโพรงให้เรือลอดผ่าน หลังจากเดินและปีนป่ายดูรูปในถ้ำผีหัวโตพอประมาณก็พักกินข้าว พี่คนขับแนะนำร้านให้ ชื่อร้าน แหลมสักซีฟู้ด บรรยากาศดีทีเดียว แถมพวกเรายังได้กินอาหารทะเล โดยเฉพาะหอยชักตีน ที่มีในไม่กี่จังหวัด เช่น กระบี่ พังงา ภูเก็ต 


มื้อเที่ยงนี้ทำเอาพวกเรามีแรงเที่ยวกันอีกครั้ง หลังจากพลาดหวังจากพายคายัคตอนเช้า โปรแกรมตอนบ่ายที่จะไปน้ำตกห้วยโต้ที่อุทยานแห่งชาติเขาพนมเบญจา เลยเปลี่ยนเป็นพายคายัคที่อ่าวท่าเลนแทน
ไปถึงเรือคายัคจำนวนมากมายรอพวกเราอยู่ ซึ่งเจ้าของก็อธิบายเส้นทางพาย ดูๆ ไปก็ไม่น่ายาก แต่คิดถูกจริงๆ ที่จ้างไกด์ไปด้วย พวกเราเช่าเรือ 3 ลำ คนที่พายเรือเป็นอย่างเรากับจุ๋ยแยกกัน มีหมอปุ้มไปกับจุ๋ย และเราไปกับเอ๋ ส่วนอ๋อยไปกับไกด์
งานนี้อ๋อยได้แต่นั่งนิ่งๆ ไม่กล้าขยับตัวเพราะว่ายน้ำไม่เป็น เอ๋มีพักถ่ายรูปเป็นระยะ ทำให้ลำของเรารั้งท้าย พวกเราพายผ่านหน้าผาหินเข้าไปใน lagoon ที่ร่มรื่น
ลมเย็นๆ กับทิวทัศน์รอบด้านทำเอาลืมเมื่อย แวะพักหาดทรายที่เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ไกด์บอกว่าโดนซึนามิกับเค้าด้วย เหลือแต่โครงไม้เอาไว้

จากนั้นพายต่อไปตรงที่ห้อมล้อมด้วยผาหินที่เรียก canyon ช่วงหลังนี่เอ๋พักถ่ายรูปบ่อยเลยชักเมื่อยมือที่ต้องจ้ำคนเดียวตามลำอื่น มีอ๋อยหันมาแซวบางครั้ง แต่ก็ถูกแซวกลับว่าเป็นขบวนแห่ที่มีพระสังกัจจายน์นั่งหน้า ทำเอาอ๋อยค้อนทำปากหมุบหมิบสรรเสริญเพื่อนๆ

ที่ป่าข้างทางมีฝูงลิงให้เห็นบ้าง แล้วก็มีปลาปักเป้าขึ้นมาหายใจด้วยท่าทางแปลกๆ ทำเอานักท่องเที่ยวอย่างพวกเราสรุปว่ามันจะตาย แต่ไกด์บอกว่าขึ้นมาหายใจ (แบบเอียงๆ และพะงาบๆ) จากนั้นเราพายผ่านรูปปลาโบราณริมหน้าผา เข้าคลองเล็กคลองน้อย จนกลัวว่าคอเอ๋จะไปเกี่ยวกับต้นแสมริมน้ำต้นใดต้นหนึ่ง สักพักลำของอ๋อยที่นำหน้าก็สั่งให้ถอยเพราะไปเจอน้ำตื้น ลำอื่นๆ ได้แต่หัวเราะกันหึๆ ที่เห็นอ๋อยเกยตื้น แต่ก็ถอยคายัคกลับกันด้วยความยากลำบาก
ผ่านไปเกือบ 3 ชั่วโมงที่บากบั่นพายกันไป จากทีแรกเราคิดว่าค่าเช่าเรือแพงโคตร คือ ลำละ 500 คราวนี้เรียกได้ว่าคุ้มจริงๆ แต่ก็สนุกมากจนลืมเรื่องแขนที่ยกแทบไม่ขึ้นหลังจากนั้น


ร้านอาหารเป้าหมายเย็นนี้ชื่อร้านเรือนไม้ ที่คนรู้จักของหมอปุ้มแนะนำมาอีกที ตัวร้านอยู่ค่อนข้างไกลจากที่พัก ดีที่ว่าเราให้รถตู้มาส่งก่อนโดยยอมกินข้าวกันทั้งที่ตัวเปียกๆ เมนูหอยชักตีนกลับมาอีกครั้งโดยคราวนี้สั่งเป็น 1 กิโลกรัม และก็เหมือนเดิมคือ ไม่ค่อยหิวกันเท่าไหร่ แต่อาหารก็หมดลงอย่างรวดเร็ว
เดินกลับที่พักและอาบน้ำกันแล้ว จุ๋ยก็ชวนไปตะลุยราตรีต่อ มีเอ๋กับอ๋อยที่เหนื่อยจากการพายเรือ !?! ขอนอนเฝ้าห้อง ส่วนเราถึงแขนจะยกแทบไม่ขึ้นแต่ก็ (จำใจ) ไปด้วย ผับหรือคาราโอเกะแถวนั้นดูมืดๆ ไม่ค่อยปลอดภัย (กับจุ๋ย) เท่าไหร่ จุ๋ยเลยได้แต่ชวนเดินดูตลาดยาม 3 ทุ่มกันไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็แวะร้านน้ำชา สั่งโรตีมากินกับน้ำชากันก่อนนอน
No comments:
Post a Comment