4 ธ.ค. 50
วันนี้เราต้องออกเช้ากว่าเดิมคือ 9.00 น. ไปหมู่บ้าน Ta Phin ทีแรกนึกว่าต้องเดินเหมือนทุกวัน แต่มอบอกว่ามีรถมารับไปที่หมู่บ้าน พวกเราแค่เดินกันภายในหมู่บ้านก็พอ เลยมีเสียงไชโยกัน 2 เสียง คือ พจกับจุ๋ย ปล่อยให้หมอปุ้มทำสีหน้าไม่ค่อยดีเวลารถวิ่งเข้าโค้งไปยังหมู่บ้าน
หมู่บ้านตาฟินเป็นหมู่บ้านของพวกเย้าแดง สภาพทั่วๆไปก็เหมือนๆกับหมู่บ้านทาวานหรือแคทแคทที่พวกเราผ่านมาแล้ว จะผิดกันก็แต่ที่นี่มีชาวเย้าที่เดินตามจนเรียกได้ว่า “รุม” นักท่องเที่ยวอย่างเอาจริงเอาจังเลยทีเดียว แต่ที่เจ๋งกว่าคือ พจนารถพูดภาษาอังกฤษแค่ประโยคเดียว ชาวเย้ากระเจิง ไม่มาวอแวขายของให้อีกเลย คือ “I have no money” จากนั้นเราก็เดินกันไปอย่างปลอดโปร่ง ผิดกับฝรั่งกลุ่มอื่น
นอกจากดูวิถีชีวิตของชาวเขาแล้ว ที่หมู่บ้านนี้ยังมีถ้ำตาฟินให้เดินเข้าไปชมได้อีกด้วย มอถามพวกเราก่อนว่าจะเข้าไปหรือเปล่าเพราะต้องเสียค่าเข้าเพิ่ม ซึ่งอ่านจากหนังสือนำเที่ยวแล้วไม่ค่อยน่าเข้าเท่าไหร่เพราะไม่มีอะไรเลย แต่อย่างไรก็ดี จุ๋ยให้เหตุผลว่าหนังสือก็บอกไปตามความเห็นของผู้เขียน อย่าเอาประสบการณ์ของคนอื่นมาตัดโอกาสที่จะมีประสบการณ์ของตัวเอง แหม ไหนๆ ให้แง่คิดได้ขนาดนี้แล้วก็เอาก็เอา เข้าก็เข้า
ข้างในถ้ำมีไฟติดเป็นแนว ทางเดินค่อนข้างแคบ บางครั้งต้องก้มตัวลอดเข้าไป หรือไม่ก็ไต่บันไดขึ้นไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้เหนื่อย พวกเราเดินเข้าไปจนสุดทางโดยมีจุ๋ยรั้งท้ายและคอยพูดเรื่องภูตผีทำลายความเงียบเป็นระยะ สังเกตว่าไกด์มอของพวกเราไม่ค่อยชอบฟังซักเท่าไหร่ เรากับหมอปุ้มก็เลยเปลี่ยนเรื่องมาอำไกด์ว่าเนี่ยที่มากัน 3 คนเพราะจุ๋ยเป็นเพื่อนสาวของพวกเรา และ he have a boyfriend ด้วย ทำเอาไกด์มอตาโต เชื่อเข้าไปแล้ว 80% ถึงจุ๋ยจะแก้เกมกลับด้วยการบอกว่า 2 สาวถึกที่มาด้วยเคยเป็นผู้ชายมาก่อนก็ลบล้างอะไรไม่ได้ ...ฮ่า

หมู่บ้านนี้มีการนำเส้นใยจากต้นพืชที่เรียกว่า Hemp ที่ต้นคล้ายกัญชา ใบหยักๆ มาทอเป็นผ้า ซึ่งดูจากขั้นตอนแล้วยุ่งยากมาก ไม่แปลกเลยที่ผ้าทอที่วางขายอยู่ตรงร้านแสดงสินค้าจะมีราคาค่อนข้างแพง และไม่แปลกอีกนั่นแหละที่พวกเราก็ไม่ซื้อเหมือนเคย
รถกลับมาส่งที่โรงแรม ทันกินข้าวเที่ยง รู้สึกใจหายเหมือนกันที่ต้องบอกลามอซะแล้ว เพราะวันนี้เริ่มคุยกันอย่างเป็นกันเองได้นานขึ้น และไม่รู้ว่าทำไม ก่อนจาก มอมากระซิบกับเราว่าขอให้ได้แต่งงานเร็วๆ แล้วก็หัวเราะหุ หุ
จากนั้นพวกเราต้องรอจนถึง 6 โมงเย็น เพื่อกลับไปที่สถานีรถไฟเลาไก ดังนั้นกิจกรรมที่ทำได้ก็คือเดินเที่ยวรอบเมืองอีกครั้ง เพราะคืนห้องไปเรียบร้อยแล้ว อากาศในวันนี้หนาวกว่าทุกวัน ทำให้เราไม่ลังเลเลยที่จะกินมันเผาหลังอาหารกลางวัน จากนั้นจุ๋ยก็มองหาร้านนวดเท้า และพากันเดินหากันอยู่พักใหญ่ท่ามกลางลมหนาว จนกระทั่งทั้งเมื่อยและหนาวสุดๆ จึงได้เลิกล้มความตั้งใจ เตรียมกลับไปนั่งที่ห้องรับแขกของโรงแรมกันต่อ แต่แล้วก็มีเด็กหนุ่มมายื่นใบปลิวร้านนวดเท้าให้ที่หน้าโรงแรมนั่นเอง สถานที่นวดก็อยู่ชั้นใต้ดินด้านล่างของห้องอาหาร เสียค่านวดเท้ากันไป 3 คน 2 แสนกว่าด่อง แต่ก็ถือว่าเป็นการหลบหนาวที่ไม่เลว เพราะมีแถมนวดตัวให้นิดหน่อยพอจั๊กจี้ ไม่ซาดิสม์เหมือนกับหมอนวดที่ รพ.ห้วยพลู และวิธีการนวดก็ต่างกัน แต่ยังไงก็เชื่อมือหมอนวดไทยที่ได้รับการอบรมตามหลักการมากกว่าอยู่ดี นอกจากนวดเท้าแล้ว ที่นี่ยังมีบริการนวดตัว แต่จากบรรยากาศที่ทึบทึม และไม่มีการตกแต่งอย่างอื่นนอกจากรูปภาพ 2 – 3 ภาพ มีห้องอบสมุนไพรที่มีอ่างไม้คล้ายถังเบียร์ให้ลงไปแช่ในน้ำสมุนไพรข้นคลั่กเหมือนน้ำคลองแสนแสบ ส่วนห้องนวดตัวเป็นประตูเลื่อนเหมือนห้องญี่ปุ่นที่อยู่ในมุมมืดด้านข้าง เห็นครั้งแรกจุ๋ยที่เริ่มรู้ตัวว่าจะถูกปล่อยให้นวดอยู่คนเดียว ถึงกับขอร้องเสียงอ่อยว่าให้นวดเป็นเพื่อนด้วยนะ 
เวลาที่ยังเหลืออยู่ หมดไปกับการส่งอีเมล์ไปป่วนชาวบ้าน กินอาหารค่ำแบบเดิมๆ สั่งลาโรงแรมครั้งสุดท้าย ก่อนที่รถตู้จะพาพวกเราไปสถานีรถไฟ ไม่นึกว่ารถจะรับคนจนเต็ม ทั้งสัมภาระและฝรั่งตัวโตๆ เบียดกันในรถตู้เป็นปลากระป๋อง แถมอากาศที่ไม่ระบายและยังมีกลิ่นน้ำหอมผสมกับเหงื่อรอบๆ ตัว ทำเอาพจนารถอ้วกจนได้เมื่อเข้าโค้งที่ 100 ส่วนหมอปุ้มกินยาเข้าไปเลยรู้สึกดีกว่า (แค่นิดเดียว) เรื่องอ้วกเนี่ยทำเอาเสีย self เพราะทุกทีจะถึก ดีที่ถือถุงใส่ส้มและน้ำไว้ที่ตัว เลยไม่ต้องหันไปอ้วกใส่จุ๋ยหรือหมอปุ้มที่ด้านข้าง แต่กระนั้นก็ทำเอากางเกงเปื้อนตรงขาไปนิดนึง ส่วนส้มกับน้ำ(ฟักมีของจุ๋ย) ก็เลยต้องทิ้งอย่างไม่ต้องรอถามความเห็นคนอื่นว่าจะให้เอาไปล้างให้มั๊ย?
สถานีรถไฟของที่นี่แปลกมาก มีเวลาเปิดประตูให้เข้าอย่างกับอิมแพคตอนมีคอนเสิร์ต ตอนที่เราไปถึงนั้นต้องรออีกประมาณครึ่งชั่วโมงถึงจะเข้าไปได้ รถตู้เลยเอาคนมาปล่อยไว้ที่ร้านอาหารแถวสถานี แต่ก็ดีที่ทำให้มีเวลาปรับสภาพร่างกายให้เป็นปกติเหมือนเดิม..และเปลี่ยนกางเกง หลังจากเข้าไปในตัวสถานีรถไฟแล้ว พวกเรายังต้องเอาตั๋วรถไฟไปรับตั๋วใบเล็กอีกใบหนึ่งจาก agency ก่อนขึ้นรถอีก และ agency ก็นั่งกันอยู่ตามโคนต้นไม้ ไม่แตกต่างจากผู้โดยสารคนอื่นๆ ดีที่ฝรั่งที่เราเข้าไปถามใจดี พาไปหา agency เลยไม่ต้องเสียเวลามาก
เพื่อนร่วมห้องคืนนี้เป็นหนุ่มญี่ปุ่น ท่าทางไม่ค่อยชอบคุย มาถึงได้แกก็เอาของออกมาเรียงรอบๆ เตียง คลับคล้ายจะเป็นยันต์กันหมอปุ้มที่นอนเตียงล่างเหมือนกันเข้าหา ส่วนเราเองงวดนี้ต้องนอนเตียงบน ถึงจะเคยนอนบนรถไฟไทยมาแล้ว แต่ก็รู้สึกว่าหลับไม่ค่อยสนิท
วันนี้เราต้องออกเช้ากว่าเดิมคือ 9.00 น. ไปหมู่บ้าน Ta Phin ทีแรกนึกว่าต้องเดินเหมือนทุกวัน แต่มอบอกว่ามีรถมารับไปที่หมู่บ้าน พวกเราแค่เดินกันภายในหมู่บ้านก็พอ เลยมีเสียงไชโยกัน 2 เสียง คือ พจกับจุ๋ย ปล่อยให้หมอปุ้มทำสีหน้าไม่ค่อยดีเวลารถวิ่งเข้าโค้งไปยังหมู่บ้าน

นอกจากดูวิถีชีวิตของชาวเขาแล้ว ที่หมู่บ้านนี้ยังมีถ้ำตาฟินให้เดินเข้าไปชมได้อีกด้วย มอถามพวกเราก่อนว่าจะเข้าไปหรือเปล่าเพราะต้องเสียค่าเข้าเพิ่ม ซึ่งอ่านจากหนังสือนำเที่ยวแล้วไม่ค่อยน่าเข้าเท่าไหร่เพราะไม่มีอะไรเลย แต่อย่างไรก็ดี จุ๋ยให้เหตุผลว่าหนังสือก็บอกไปตามความเห็นของผู้เขียน อย่าเอาประสบการณ์ของคนอื่นมาตัดโอกาสที่จะมีประสบการณ์ของตัวเอง แหม ไหนๆ ให้แง่คิดได้ขนาดนี้แล้วก็เอาก็เอา เข้าก็เข้า

ข้างในถ้ำมีไฟติดเป็นแนว ทางเดินค่อนข้างแคบ บางครั้งต้องก้มตัวลอดเข้าไป หรือไม่ก็ไต่บันไดขึ้นไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้เหนื่อย พวกเราเดินเข้าไปจนสุดทางโดยมีจุ๋ยรั้งท้ายและคอยพูดเรื่องภูตผีทำลายความเงียบเป็นระยะ สังเกตว่าไกด์มอของพวกเราไม่ค่อยชอบฟังซักเท่าไหร่ เรากับหมอปุ้มก็เลยเปลี่ยนเรื่องมาอำไกด์ว่าเนี่ยที่มากัน 3 คนเพราะจุ๋ยเป็นเพื่อนสาวของพวกเรา และ he have a boyfriend ด้วย ทำเอาไกด์มอตาโต เชื่อเข้าไปแล้ว 80% ถึงจุ๋ยจะแก้เกมกลับด้วยการบอกว่า 2 สาวถึกที่มาด้วยเคยเป็นผู้ชายมาก่อนก็ลบล้างอะไรไม่ได้ ...ฮ่า


หมู่บ้านนี้มีการนำเส้นใยจากต้นพืชที่เรียกว่า Hemp ที่ต้นคล้ายกัญชา ใบหยักๆ มาทอเป็นผ้า ซึ่งดูจากขั้นตอนแล้วยุ่งยากมาก ไม่แปลกเลยที่ผ้าทอที่วางขายอยู่ตรงร้านแสดงสินค้าจะมีราคาค่อนข้างแพง และไม่แปลกอีกนั่นแหละที่พวกเราก็ไม่ซื้อเหมือนเคย
รถกลับมาส่งที่โรงแรม ทันกินข้าวเที่ยง รู้สึกใจหายเหมือนกันที่ต้องบอกลามอซะแล้ว เพราะวันนี้เริ่มคุยกันอย่างเป็นกันเองได้นานขึ้น และไม่รู้ว่าทำไม ก่อนจาก มอมากระซิบกับเราว่าขอให้ได้แต่งงานเร็วๆ แล้วก็หัวเราะหุ หุ


เวลาที่ยังเหลืออยู่ หมดไปกับการส่งอีเมล์ไปป่วนชาวบ้าน กินอาหารค่ำแบบเดิมๆ สั่งลาโรงแรมครั้งสุดท้าย ก่อนที่รถตู้จะพาพวกเราไปสถานีรถไฟ ไม่นึกว่ารถจะรับคนจนเต็ม ทั้งสัมภาระและฝรั่งตัวโตๆ เบียดกันในรถตู้เป็นปลากระป๋อง แถมอากาศที่ไม่ระบายและยังมีกลิ่นน้ำหอมผสมกับเหงื่อรอบๆ ตัว ทำเอาพจนารถอ้วกจนได้เมื่อเข้าโค้งที่ 100 ส่วนหมอปุ้มกินยาเข้าไปเลยรู้สึกดีกว่า (แค่นิดเดียว) เรื่องอ้วกเนี่ยทำเอาเสีย self เพราะทุกทีจะถึก ดีที่ถือถุงใส่ส้มและน้ำไว้ที่ตัว เลยไม่ต้องหันไปอ้วกใส่จุ๋ยหรือหมอปุ้มที่ด้านข้าง แต่กระนั้นก็ทำเอากางเกงเปื้อนตรงขาไปนิดนึง ส่วนส้มกับน้ำ(ฟักมีของจุ๋ย) ก็เลยต้องทิ้งอย่างไม่ต้องรอถามความเห็นคนอื่นว่าจะให้เอาไปล้างให้มั๊ย?
สถานีรถไฟของที่นี่แปลกมาก มีเวลาเปิดประตูให้เข้าอย่างกับอิมแพคตอนมีคอนเสิร์ต ตอนที่เราไปถึงนั้นต้องรออีกประมาณครึ่งชั่วโมงถึงจะเข้าไปได้ รถตู้เลยเอาคนมาปล่อยไว้ที่ร้านอาหารแถวสถานี แต่ก็ดีที่ทำให้มีเวลาปรับสภาพร่างกายให้เป็นปกติเหมือนเดิม..และเปลี่ยนกางเกง หลังจากเข้าไปในตัวสถานีรถไฟแล้ว พวกเรายังต้องเอาตั๋วรถไฟไปรับตั๋วใบเล็กอีกใบหนึ่งจาก agency ก่อนขึ้นรถอีก และ agency ก็นั่งกันอยู่ตามโคนต้นไม้ ไม่แตกต่างจากผู้โดยสารคนอื่นๆ ดีที่ฝรั่งที่เราเข้าไปถามใจดี พาไปหา agency เลยไม่ต้องเสียเวลามาก
เพื่อนร่วมห้องคืนนี้เป็นหนุ่มญี่ปุ่น ท่าทางไม่ค่อยชอบคุย มาถึงได้แกก็เอาของออกมาเรียงรอบๆ เตียง คลับคล้ายจะเป็นยันต์กันหมอปุ้มที่นอนเตียงล่างเหมือนกันเข้าหา ส่วนเราเองงวดนี้ต้องนอนเตียงบน ถึงจะเคยนอนบนรถไฟไทยมาแล้ว แต่ก็รู้สึกว่าหลับไม่ค่อยสนิท
No comments:
Post a Comment