Monday, December 31, 2007

ซินจ่าว เวียตนาม 1 - 10 ธ.ค. 50 (Part I)

พวกเราเริ่มต้นทริปเมื่อวันที่ 30 พ.ย. เราเอารถไปจอดไว้ที่คอนโดจุ๋ย จากนั้นก็พากันไปกินอาหารเกาหลีกันใกล้ๆ สถานีรถไฟฟ้าอโศก เป็นการเอาฤกษ์เอาชัยด้วยอาหารดีๆ ก่อนเดินทาง เสียเวลารอ PM ที่ประชุมอยู่พักใหญ่กว่าจะได้กิน มีพี่ยี้มาแจมด้วยอีกคน ทำให้อาหารมื้อนี้มากไปด้วยปริมาณและความเฮฮา เสียอยู่อย่างที่กลิ่นเนื้อย่างติดกับเสื้อผ้า โดยเฉพาะกางเกงยีนส์ที่กะจะใส่แล้วใส่อีก อิ่มหนำกันดีแล้วก็พากันกลับคอนโดที่เจ้าของห้องเตรียมขัดห้องน้ำไว้ให้ (นอน) แต่ในที่สุดเจ้าตัวเองก็ต้องระเห็จลงไปนอนที่พื้น ปล่อยให้ 2 สาวครอบครองเตียงแบบเต็มพื้นที่แทน

1 ธ.ค. 50
นอนได้ไม่ทันไรก็ต้องรีบตื่นตอนตี 3 แล้วก็ขึ้นรถไปถึงสุวรรณภูมิตี 5 ระหว่างรอเคาน์เตอร์เปิดก็เห็นคณะทัวร์คนไทยที่จะเดินทางด้วยเที่ยวบินเดียวกันเยอะแยะไปหมด เมื่อเปรียบเทียบขนาดกระเป๋าเดินทางกันแล้ว นับว่าพวกเราสามารถไปกันได้เป็นเดือน คราวนี้เสียท่าเพราะงัวเงียไปหน่อย ดันใส่โลชั่นทาผิวขวดใหญ่ไว้ในเป้ที่เอาติดตัวขึ้นเครื่อง เลยถูกยึดไปอย่างน่าเสียดาย ส่วนจุ๋ยทำตัวเป็นชาวต่างประเทศตั้งแต่ยังไม่ขึ้นเครื่องเพราะไม่ได้ยินภาษาไทยที่เจ้าหน้าที่พูดด้วยทีแรก เขาเลยต้องพูดซ้ำด้วยภาษาอังกฤษ นั่นแหละจุ๋ยถึงเข้าใจ

เครื่องออกเวลา 7.55 น. เพิ่งรู้ว่าเครื่องบินของแอร์เอเชียไม่ได้มารับที่ gate แต่เราต้องนั่งรถบัสเพื่อไปขึ้นเครื่องอีกทีหนึ่ง และแก้งค์ทัวร์อาอึ้มทำเอาพวกเราพลัดกัน หมอปุ้มไปรถบัสคันแรก ส่วนเรากับจุ๋ยไปคันที่ 2 เลยเป็นหน้าที่ของหมอปุ้มจองที่นั่งให้บนเครื่อง

พวกเราถึงสนามบินนอยไบของเวียตนาม 9.50 น. เราได้แต่เดินวนไปเวียนมาเพื่อมองหาคนจากโรงแรม Ngoh Minh ที่จะมารับเรา แต่หลังจากรออย่างไร้วี่แววประมาณครึ่งชั่วโมงผ่านไป พวกเราเลยต้องเลิกหวัง ได้แต่เรียกแท็กซี่เข้าเมืองกันเอาเอง

จากที่อ่านหนังสือมา ค่ารถแท็กซี่เข้าฮานอยจากสนามบินราคา 10 $ แต่ตอนเราไปถาม กลายเป็น 12 $ ต่อรองแล้ว ดูเหมือนว่าคนขับ (และพวกเรา) จะไม่เข้าใจ และใช้วิธีการเปิดมิเตอร์แทน ทำเอาเราใจไม่ดีว่าจะโดนโก่งราคาอยางที่หลายๆ คนโดนมาหรือเปล่า

นอกจากจะไม่สบายใจเรื่องราคาค่ารถแล้ว นั่งๆ มารู้สึกได้เลยว่าพ่อคนขับจะบีบแตรตลอด ถึงแม้ว่ารถมอเตอร์ไซค์จะเยอะสุดๆ แต่ก็เหมือนบีบแตรพร่ำเพรื่อจนแสบแก้วหู พอมาถึงแยกที่ไม่มีไฟแดง ดูเหมือนว่ารถจากทุกแยกจะพร้อมใจกันออกมา แต่ไม่ยักชน มีแต่เสียงแตรดังต่อเนื่องยาวนาน ได้แต่บอกพรรคพวกว่าถ้าขับรถเองในฮานอยซัก 2 วัน สงสัยจะเส้นเลือกสมองแตก!!

นึกถึงหนังสือนำเที่ยวที่อ่านก่อนมา คนเขียนใช้วิธีเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขี่เที่ยวเอง แล้วก็บอกเทคนิคการขี่ไว้อย่างน่าทึ่งว่า “จำไว้ อย่าชนใคร ไม่ต้องกลัวใครจะชนเรา มองข้างหน้าลูกเดียว อย่าเหลียวซ้ายขวาหรือหลังให้เสียสมาธิเปล่า อย่าชนใคร ไม่ต้องกลัวใครจะชนเรา”

พอมาถึงโรงแรม เรื่องที่เราคิดไว้ก็เป็นจริง เมื่อมิเตอร์แท็กซี่ขึ้นมาเยอะมาก ดีที่จุ๋ยขึ้นไปต่อว่าทางโรงแรมที่ไม่ส่งคนมารับแล้วก็เลยถือโอกาสบอกให้เขาต่อราคาค่าแท็กซี่ให้จนได้ 10 $

ที่พักในโรงแรม Ngoh Minh กว้างขวางใช้ได้ ในห้องใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้แกะสลักออกแนวจีน ดูแปลกตา สำหรับวันนี้เราขอเปิดห้องแบบครึ่งวัน และจะฝากกระเป๋าไว้ส่วนหนึ่งก่อนจะเดินทางไปซาปาในตอนเย็น

พักกันครู่เดียว จุ๋ยก็พาเดินไปกินเฝอร้านอร่อยที่ต้องเดินผ่านย่านขายของจำพวกเป้ กระเป๋าเดินทาง และงานฝีมือต่างๆ ทั้งผ้าพันคอ และกระเป๋า ให้เล็งไว้ว่าขากลับจะซื้ออะไรฝากพรรคพวกดี นับว่าเลือกทำเลของโรงแรมได้ไม่เลวทีเดียว

อากาศค่อนข้างเย็นแต่ไม่ถึงกับหนาว และทิวทัศน์ข้างทะเลสาบคืนดาบหรือทะเลสาบ Hoan Kiem ตามเส้นทางที่เราเดินไป ให้ความรู้สึกที่ดีมากๆ แต่ถ้าเรายกกล้องขึ้นถ่ายรูป ก็จะมีคนเร่เข้ามาขายสินค้าเพราะแน่ใจแล้วว่าเป็นต่างด้าว ส่วนผู้นำทริปชาวสิงคโปร์ของพวกเราสงสัยจะหิวเลยเดินดุ่ยๆ ไม่เปิดโอกาสให้ถ่ายรูปมากนัก

ร้านเฝอ 24 (Pho 24) เป็นร้านอาหารที่มีบรรยากาศผิดกับร้านเฝอริมฟุตบาทที่มีม้านั่งพลาสติกวางเรียงรายให้นั่งยองๆ กินกัน ถ้าเปรียบกับเมืองไทยคงประมาณซื้อพิซซ่าในตลาดนัดกินอันละ 25 บาทกับเข้าไปกินพิซซ่าที่พิซซ่าคัมปะนีกระมัง ส่วนราคาอาหารมื้อนี้เราจ่ายกันไปแค่ 2 แสนกว่าด่อง (1 บาท ประมาณ 450 ด่อง) ซึ่งท่านผู้นำให้ความเห็นว่าความสะอาดมันต่างกัน (กะไว้แล้วเชียวว่าในใบโฆษณาทัวร์ของจุ๋ยที่บอกว่า have lunch at road-side restaurant มันเป็นอย่างนี้นี่เอง)

จากนั้นเราก็เดินกันไปเรื่อยๆ ผ่านโบสถ์ดังของเมือง (จำชื่อไม่ได้แล้ว) ถ่ายรูปได้แป๊บเดียว สายตาก็ไปปะกับร้านของทอดประเภทปอเปี๊ยะ ซาลาเปาทอด เลยได้โอกาสนั่งกินแบบยองๆ ติดดินกะเขาบ้าง นั่งมองรอบด้าน มีทั้งคนหาบผลไม้ที่หมอปุ้มเห็นแล้วน้ำลายไหล รถจักรยานที่กระจาดด้านหลังคนขี่มีสารพัดของที่ขาย อย่างผลไม้ ผัก หรือดอกไม้ ไม่กล้าถ่ายรูปจะๆ เพราะรู้มาว่า ที่เวียตนามนี่ถ่ายรูปมั่วไม่ได้ เพราะเขาอาจเรียกเงินค่านายแบบนางแบบกับเราทีหลัง มีอยู่อย่างหนึ่งที่ทำให้สาวๆ ในทริปดูต่างด้าวไปทันที ก็คือสาวเวียตนามทั้งสาวใหญ่ สาวน้อย ต่างก็มีหุ่นกระทัดรัด เอวคอดกิ่ว และใส่เสื้อผ้ารัดรูป ให้เห็นกันทั้งเมือง

หลังจากนั้นเราก็เดินทอดน่องไปถ่ายรูปในสถานที่ใกล้ๆ เช่น อนุสาวรีย์จักรพรรดิ์ Ly Thai To หรือ Le Loi เจ้าของตำนานทะเลสาบคืนดาบ อนุสาวรีย์ทหารกล้า (ทำไมมีรูปปั้นผู้หญิงรวมอยู่ด้วยก็ไม่รู้) และวัด Ngoc Son ที่อยู่ติดกับสะพานแดงที่ถือเป็น high light ที่เล็งไว้แล้วว่าจะต้องมาถ่ายรูป แต่พอมาถึงจริงก็มี wedding studio มาถ่ายบนสะพานซะอีก เราเลยต้องรอให้สะพานคนน้อยลง จากนั้นแก้งค์บ้ากล้องก็เริ่มงาน พอเริ่มเบื่อนั่นแหละถึงได้ไปสนใจวัด ซึ่งไม่แตกต่างจากศาลเจ้าจีนใหญ่ๆ ในเมืองไทย เพราะว่ามีพวกเครื่องสักการะต่างๆ ที่ต่างออกไปคงจะเป็นเต่ายักษ์สีทองหน้าเหมือนแมวน้ำ ตามตำนานของทะเลสาบคืนดาบที่ว่าสวรรค์ได้ประทานดาบกายสิทธิ์ให้แก่จักรพรรดิ์ Ly Thai To เพื่อปลดแอกเวียตนามออกจากจีนจนสำเร็จ หลังจากนั้นเมื่อจักรพรรดิ์ล่องเรือสำราญในทะเลสาบนี้ ก็มีเต่ายักษ์ทองคำ ว่ายขึ้นมาแล้วกระโดด? คาบเอาดาบกายสิทธ์หายไปในน้ำ เป็นการทวงดาบคืนสู่สวรรค์

ตอนที่เรามาถึงสนามบิน แลกเงินด่องเป็นเงินกองกลางเพียง 100 $ แต่ทั้งพจและหมอปุ้มยังจะต้องซื้อเป้ขนาดค่อนข้างใหญ่เพื่อใส่เสื้อผ้าแบ่งไปใช้ที่ซาปา ทำให้เราต้องเสียเวลาเดินหาที่แลกเงินซึ่งหาได้ยากมากในวันเสาร์เช่นนี้ แต่ในที่สุดก็แลกได้ที่ tourist center ที่มีเคาน์เตอร์แลกเงินในอัตราที่ต่ำกว่าปกติ แต่มีข้อดีตรงมี internet ให้ใช้ฟรี เลยได้ส่ง mail ให้อ๋อยโทรกลับบ้านให้

เมื่อมีเงินแล้วก็ต้องนำไปจับจ่าย ร้านขายกระเป๋าแถบนั้นเป็นอะไรที่เยอะมาก แต่ดูไปดูมาเราก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะถูกใจ จนไปถึงร้านหนึ่ง (สุดท้าย) เจ้าของร้านพูดไทยได้ แต่ต่อราคาไม่ยักได้ถึง 80% อย่างที่หนังสือเขียนไว้ ...คาดว่าถ้าต่อแบบนั้นจริงคงไม่ได้เป้ แต่จะได้รองเท้า (ของเจ้าของร้าน)แทน ในที่สุดเราก็ได้เป้ North face ขนาด 55 ลิตร มาในราคา 10 $ (ไม่ต้องใช้เงินด่องซื้ออีกต่างหาก)

กลับมาโรงแรมพอมีเวลาให้อาบน้ำและออกไปหาข้าวเย็น มื้อนี้ก็เป็น road-side restaurant อีกเช่นเคย พวกเราเลือกร้าน Bunta ที่เน้นอาหารเส้น “บุ๋น” หรือคล้ายๆ ขนมจีนบ้านเรา สั่งบุ๋นจ๊ะ ที่คนเขียนหนังสือชอบนักหนามากินก็รู้สึกอร่อยดี แต่หันไปมองโต๊ะข้างๆ โอ้..แม่เจ้า นั่นมันหอยโข่ง!?! เค้านั่งกินกันอย่างน่าอร่อย เสียดายที่กระเพาะค่อนข้างเต็มแล้ว เลยไม่ได้ยุเสี่ยจุ๋ยให้สั่งมากินบ้าง

จะว่าไปแหนมเนืองของที่นี่ (ร้านไฮโซอ่ะนะ) ที่พวกเราสั่งมากินกัน มีเครื่องน้อยกว่าที่เมืองไทย คือมีแค่ ผักกาดหอม กระเทียม กล้วยดิบ และผักพื้นเมืองอีก 2 – 3 อย่างเท่านั้น ส่วนหมูก็เป็นหมูย่างชิ้นใหญ่หั่นตามยาว ขนาดเท่าแตงกวาที่กินกับไส้กรอก ไม่ใช่หมูย่างเสียบไม้เป็นก้อนกลมๆ อย่างที่เคยกิน ส่วนแผ่นก๋วยเตี๋ยวนั้นสุดยอดคือไม่ได้ชุบน้ำเปียกหมาดๆ แบบบ้านเรา เป็นแผ่นแข็งปังเวลาเคี้ยวเหมือนกลืนถุงพลาสติกยังไงยังงั้น ยังดีที่บางส่วนของพลาสติก เอ๊ย แผ่นก๋วยเตี๋ยวถูกน้ำจิ้มหวานๆ เปียกพอนิ่มบ้าง

กลับมาที่โรงแรมอีกครั้ง คราวนี้ทางโรงแรมเรียกรถแท็กซี่พาพวกเราไปที่สถานีรถไฟ โชคดีที่คนของโรงแรมพาพวกเราไปส่งถึงตู้รถเลย เพราะการเดินทางด้วยรถไฟที่เวียตนามนี้ยุ่งยากกว่าเมืองไทยโขอยู่ ทั้งการตรวจตั๋วที่สถานี อาคารหลายอาคาร และชานชาลาที่มีรถจอดอยู่หลายขบวน มองดูแล้วก็งงๆ แต่การเดินตามไปอย่างเร่งรีบทำให้หมดโอกาสถ่ายรูปสถานีรถไฟอย่างที่นึก

ตู้นอนบนรถไฟ (ชั้น1 ประสาไฮโซ) แบ่งเป็นห้องๆ ห้องละ 4 เตียง มีเตียงบน – ล่าง ฟูกเนื้อหนาและผ้านวม ดีกว่ารถไฟตู้นอนชั้น 2 (ที่เราเดินทางประจำ) ของเมืองไทยมาก ส่วนตู้นอนอื่นๆ ในขบวนก็มีเตียงต่างกันไปตามราคา อย่างเช่น ห้องที่มีเตียง 6 เตียง (3 ชั้น) จุ๋ยมองเห็นแล้วถึงกับค่อนว่าเหมือนห้องเก็บศพ

ให้เวลาหมอปุ้มกับจุ๋ยตื่นเต้นกับรถไฟตู้นอนกันพักหนึ่ง (ไม่เคยขึ้นรถนอนกันทั้งคู่) ปัญหาก็มาถึงว่าอีกเตียงบนที่ว่างใครจะ(กล้า)มานอนกับพวกเรา ก่อน 21.30 น.เวลารถไฟจะออกแป๊บเดียว คุณลุงชาวเวียตนามก็เข้ามาในห้อง เลยเป็นหน้าที่ไกด์และล่ามของเราที่จะเจรจาต้าอ่วย ได้ความว่า คุณลุงเป็นข้าราชการ ดูจากโหงวเฮ้งและอายุน่าจะเป็นข้าราชการชั้นสูงอยู่ แกจะไปบรรยายเกี่ยวกับเรื่องของ WTO ในจังหวัดที่เลยซาปาไป แถมลุงยังมีภรรยาเป็นเภสัชกรด้วย เลยคุยกันได้เป็นนาน จุ๋ยได้โอกาสทับถมว่าที่เวียตนามมีชายหาดสวยๆ เหมือนเมืองไทยบ้างหรือเปล่า เราต้องเอามือ (ก่อนที่จะเป็นเท้าของลุง) สะกิดว่าเปลี่ยนเรื่องเหอะ พอเปลี่ยนเป็นถามว่าลุงคงไปต่างประเทศบ่อย เลยได้คำตอบว่าแกไปมา 50 กว่าประเทศแล้ว ทำเอาพ่อหนุ่มนักเดินทางของเราถึงกับอึ้ง แต่อย่างไรก็ดี ลุงอุตส่าห์ให้กำลังใจว่า so young ไม่รู้ว่ายังมีเวลาที่จะไปอีกเยอะ หรือจะแปลแบบเราที่บอกจุ๋ยว่า 20 กว่าประเทศแบบเอ็งอ่ะ ...เด็กๆ เฟ้ย จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเรื่องอาหารการกินบ้าง คุณลุงบอกว่า ถ้าจะกินเฝอ รสชาติของฮานอย ให้ไปกินที่ร้าน square pho ส่วน pho 24 ที่เราไปกินกัน รสชาติจะออกไปทางใต้ เหมือนทางกรุงโฮจิมินห์มากกว่า

พอรถออกพวกเราเริ่มแยกย้ายกันนอน ได้ที่นอนหนา ค่อนข้างแข็ง แถมมีผ้านวมให้แบบนี้ แป๊บเดียวเราก็หลับแบบไม่ใส่ใจเสียงกรนรอบข้าง มาตื่นอีกทีก็เกือบถึง แต่พอเห็นห้องน้ำแล้วแทบร้องไห้ เพราะตู้หนึ่งจะมีห้องน้ำ 2 ห้อง ที่หัวตู้และท้ายตู้ ห้องนึงก็เต็มไปด้วยกระดาษทิชชูในชักโครก ส่วนอีกห้องหนึ่งก็น้ำไม่ไหล ต้องกลั้นใจฉี่ทับไปแบบเซ็งๆ

No comments: