Monday, December 31, 2007

เวียตนาม (Part V)

5 ธ.ค. 50
รถไฟมาถึงสถานีฮานอย 4.30 น. จากนั้นเราก็เรียกแท็กซี่กลับโรงแรม ช่วงเช้ามืดนี่ทำให้ฮานอยดูไม่เหมือนฮานอยเลย เพราะรถน้อยมาก ไม่มีเสียงแตรให้หนวกหูรำคาญ พอมาถึงโรงแรมปรากฏว่าประตูล๊อคสนิท ลุงกับป้าที่ขายของอยู่ฝั่งตรงข้ามใจดีมาก อุตส่าห์ถือไฟฉายมาฉายปลุกคนที่นอนเฝ้าเคาน์เตอร์ แต่พวกเราก็ยังเช็คอินไม่ได้อยู่ดี ได้แต่นั่งคุย และคงจะเสียงดังไปหน่อย พนักงานโรงแรมเลยมาเปิด internet ให้เล่นแล้วกลับไปนอนต่อ จน 6 โมงเช้าถึงได้เปิดประตู ให้พวกเราเดินออกไปหาของกิน ยังทันได้เห็นฮานอยที่ไร้ยานยนต์อีกชั่วครู่ แต่ร้านรวงส่วนใหญ่ยังไม่เปิด พวกเราเลยได้แต่เดินกันไปเรื่อยๆ แวะกินซาลาเปาที่ขายอยู่ข้างทาง พอหมดก็ย้ายที่ต่อ จนไปเจอร้านเฝอ อุตส่าห์สั่งบุ๋นจ๊ะที่ยังติดใจเมื่อมาถึงฮานอยครั้งก่อน แต่ที่ร้านนี้ไม่มีขาย
เลยต้องกล้ำกลืนกินเฝอหมูยอชามพิเศษไปพลางๆ หลังจากนั้นพลพรรคชูชกก็แวะซื้อส้ม บั้นหมี่ (ขนมปังบาแกตแบบมีไส้) ไปนั่งกินกันริมทะเลสาบคืนดาบ เพื่อรอเวลาจะมีห้องว่าง ซึ่งกว่าจะเช็คอินได้ก็ 9.30 น. เนิ่นนานให้หลังเมื่อพวกเราอาบน้ำอาบท่ากันเรียบร้อยแล้วถึงได้ออกไปหาข้าวเที่ยงกินกัน ร้านที่เลือกวันนี้ชื่อร้าน Little Hanoi ที่ตอนแรกนึกว่าเป็นอาหารพื้นเมืองของเวียตนาม ที่ไหนได้กลายเป็นอาหารตามสั่งสไตล์ฝรั่งไปซะอีก หลังจากอิ่มหนำกันดีแล้ว วันนี้เราจะเที่ยวกันในฮานอย โดยนั่งแท็กซี่ไปที่จตุรัสดาบิง ไม่น่าเชื่อว่าเราต้องเสียค่าแท็กซี่ตามมิเตอร์ไปเกือบ 140,000 ด่อง (สามร้อยกว่าบาท) ทั้งๆ ที่นั่งไปไม่นาน ทำเอาผู้จัดการทริปบ่นพึมว่าสงสัยจะเสียท่าแท็กซี่ซะแล้ว

จตุรัสดาบิงเป็นลานกว้างคล้ายลานพระรูป ร.5 มองเห็นสุสานโฮจิมินห์ซึ่งเป็นอาคารหลังใหญ่มหึมาอยู่ด้านหน้า น่าเสียดายที่เปิดเฉพาะช่วงเช้า พวกเราก็เลยได้แต่เมียงมองและถ่ายรูปกันอยู่ด้านหน้าเขตที่กั้นไว้ โดยมีทหารคอยยืนรักษาการอยู่หน้าประตูและตามจุดอื่นๆ เป็นระยะ สถานที่อยู่ติดกันเป็นทำเนียบประธานาธิบดีและบ้านพักของท่านโฮจิมินห์ ซึ่งก็ปิดเหมือนกัน เราเดินอ้อมกลับมาที่พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ด้านหลังสุสานก็ปิดอีก ยืนเซ็งกันพักนึง ก่อนที่จะไปที่วัดเจดีย์เสาเดียว หรือ One Pillar Pagoda
ซึ่งเป็นวัดที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการขอลูก (แต่เราดันอธิษฐานขอแฟนไปอ้ะ) เห็นร้านค้าแถววัดมีป้ายเป็นภาษาไทยด้วยก็รู้แน่แล้วว่าคนไทยมากันเยอะ ซึ่งก็จริงดังคาด ร้านขายของฝากแถวนั้นถึงกับเรียกลูกค้าเป็นภาษาไทยให้พวกเราสนใจเดินเข้าไป จนได้เสื้อยืดตัวละ 50 บาท กลับมาคนละหลายตัว เสียดายที่ไม่ได้ซื้อเสื้อพื้นแดงสกรีนรูปดาวสีเหลือง (แต่ทำไมเราเรียกดาวแดงก็ไม่รู้แฮะ) แบบธงชาติของเวียตนามมาด้วย เพราะตอนจับๆ รู้สึกรักชาติ (ไทย) ขึ้นมาซะงั้น เจ้าของร้านรีบบอกเลยว่าเนี่ย 50 บาทราคาคนไทยเลย (รับเงินไทยอีกต่างหาก) ซึ่งเราไปถามที่อื่นก็รู้สึกว่าจะแพงกว่าตรงนี้โขอยู่...ดีใจได้ของถูกอีกแระ

ซื้อของเสร็จสรรพ เดินกลับมาที่พิพิธภัณฑ์อีกครั้ง คราวนี้มองไปที่ฝั่งตรงข้ามที่คาดว่าน่าจะเป็นบ้านพักของลุงโฮ เห็นคนเดินออกมาหลายคนอยู่ พวกเราก็เลยเดินไปดูมั่ง ปรากฎว่าแค่เข้าไปถามที่ตู้ยามกลับถูกไล่อย่างไม่ใยดีแถมยังชี้ให้ดูป้ายว่านี่ทางออกเฟ้ย...แหม แค่อยากจะถามว่าทางเข้ามันอยู่ทางไหนแค่นั้นแหละย่ะ ดีที่อาหารเมื่อเที่ยงยังมีฤทธิ์ยับยั้งไม่ให้ถลกผ้าถุง เอ๊ย กางเกง ด่าคนเวียตเป็นภาษาไทยให้หายมะโห...ชิ

เราเสียเวลาเดินผ่านสุสานอีกครั้ง เพื่อเข้าไปเยี่ยมชมบ้านพักของลุงโฮ ถึงได้รู้ว่าช่วงบ่ายจะเปิดให้เข้าชมตั้งแต่บ่าย 2 โมง เสียดายที่คราวนี้น่าจะมีการเตรียมต้อนรับใครซักคน (ที่ไม่ใช่พจนารถ) ที่ทำเนียบประธานาธิบดี เราเลยได้แต่ถ่ายรูปอยู่ไกลๆ จากทำเนียบเดินผ่านถนนต้นมะม่วง 100 ปี
ซึ่งมีมะม่วงต้นสูงใหญ่มากปลูกเป็นแนว ก็ถึงบ้านพักของลุงโฮ ซึ่งเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น สร้างแบบเรียบง่ายมีแค่ห้องอาหาร ห้องทำงานและห้องนอน มีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่หน้าบ้านพอดี ถ่ายรูปกันคนละนิดหน่อยเพราะนักท่องเที่ยวชักจะเยอะ รวมถึงแก้งค์คนไทยด้วย พวกเราก็พากันเดินจากจตุรัสดาบิง ไปที่วิหารวรรณกรรมซึ่งไกลโขอยู่ ผ่านทำเนียบเอกอัครราชทูตไทยประจำเวียตนามที่ไกด์จุ๋ยกำชับให้จำไว้เผื่อพลัดหลงกันหรือพาสปอร์ตหาย จะได้ไปเจอกันที่เมืองไทย..ฮ่วย

เดินกันไกลโข เพราะชะรอยว่าไกด์ยังเข็ดกับแท็กซี่มิเตอร์อยู่ ก็ถึงวิหารวรรณกรรม ที่ด้านหน้ามีเสาจารึกตัวอักษร (ว่าอย่างไรก็ไม่รู้) อยู่ 4 เสา มองเห็นเป็นเอกลักษณ์ หลังจากที่เสียค่าเข้าชมทางด้านหน้าแล้วเราก็ได้เดินเข้าไปเห็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของเวียตนามกันอย่างเต็มตา ถัดจากซุ้มประตูสีแดงเข้าไปก็เจอสระน้ำสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ให้ต้องนึกถึงบารายในศิลปะเขมร ด้านข้างมีหินแกะสลักเป็นรูปเต่าแบกป้ายชื่อบัณฑิตที่สอบผ่าน (Doctor Laureates) ถ้าเป็นคนจีนคงจะเรียกว่าจอหงวน เห็นวัยรุ่นเวียตนามบางคนเดินไปลูบที่หัวเต่า (ซึ่งมันแผล็บ) แล้วพึมพำอะไรเบาๆ ท่าทางจะเป็นเคล็ดให้สอบผ่านหรืออะไรเทือกๆ นั้น ส่วนวัยรุ่นไทยอย่างเรากลับนึกอยากให้มีชอล์กหรือปากกาเมจิก จะได้เขียนชื่อตัวเองไว้บนแผ่นป้ายต่อจากชื่อชาวบ้านเขาบ้างตามประสาคนมือบอน

วิหารด้านในสุดมีรูปปั้นของกษัตริย์องค์ก่อนๆ มีเครื่องสักการบูชาคล้ายกับศาลเจ้าของไทย ด้านข้างเป็นรูปปั้นนกกระสาขี่เต่า ซึ่งน่าจะหมายถึงความรู้ ปัญญา หรืออะไรทำนองนี้ ด้านล่างของวิหารเป็นร้านขายของที่ระลึก มีสาวๆ ใส่ชุดประจำชาติร้องเพลงและเล่นเครื่องดนตรีอยู่ ว่าจะเดินเข้าไปฟังใกล้ๆ แล้ว แต่ไม่อยากเสียค่าทิปนักร้อง (ที่ไม่นุ่งน้อยห่มน้อย) ก็เลยยืนแอบฟังอยู่ข้างประตูแป๊บเดียว

จนได้เวลากลับ เพราะจองตั๋วดูละครหุ่นกระบอกน้ำไว้ พวกเราเลยเรียกแท็กซี่แถวนั้น โดยคราวนี้เราไม่ใช้ระบบมิเตอร์และใช้ต่อรองราคากับคนขับเอาเองได้ในราคา 40,000 ด่อง (คนขับเปิดมิเตอร์ไว้ด้วย พอไปถึงที่หมาย มิเตอร์บอกราคา 31,000 กว่าๆ)

โรงละครหุ่นกระบอกน้ำอยู่ริมถนนเลียบทะเลสาบคืนดาบ เป็นโรงเล็กๆ 2 ชั้น เหมือนโรงหนังรุ่นเก่าของเมืองไทย ตอนที่เราไปถึงนั้นเริ่มมีคนมารอกันแล้ว และส่วนมากเป็นคนไทยเสียด้วย ชั้นล่างเป็นห้องโถงให้นั่งรอโดยที่เราถือโอกาสหลับรอ ส่วนชั้น 2 เป็นสถานที่แสดง หน้าห้องมีลังใส่พัดกระดาษแจกเป็นที่ระลึกให้ผู้ชม สำหรับคนที่จะถ่ายรูปตอนแสดงจะต้องซื้อตั๋วสำหรับกล้องเพิ่มด้วย

การแสดงจะแบ่งออกเป็น 17 ชุดด้วยกัน มีคนบรรยาย คนร้องเพลง นักดนตรี และผู้เชิดหุ่น เวทีแสดงเป็นอ่างน้ำขนาดใหญ่ น้ำสีเขียวอื๋อ พอเริ่มแสดงก็จะมีหุ่นหลากหลายลอดผ่านผ้าม่านฉากหลังออกมา ถึงตัวหุ่นจะไม่ถึงกับสวยงามน่ารัก แต่ถ้ามองไปถึงเทคนิคที่ต้องขบคิดไปจนจบว่ามันชักยังไงฟะ ก็ถือว่าดีมาก โดยเฉพาะการบังคับหุ่นอย่างเช่นกบ กระโดดไปบนผิวน้ำ โดยอาศัยการชักอยู่ใต้น้ำ เพราะส่วนใหญ่เราจะคุ้นเคยกับการเชิดหุ่นหรือชักใยหุ่นจากทางด้านล่างหรือด้านบน ไม่ใช่ด้านหลังแบบนี้ ส่วนการบรรยาย หรือเพลงที่เป็นภาษาเวียตนามก็ไม่เป็นอุปสรรคในการทำความเข้าใจแต่อย่างใด

ผ่านไปเกือบชั่วโมง หลังจากออกจากโรงละคร ฟ้าก็มืดแล้ว ต่างคนต่างก็หิว แต่ก็ยังเดินหาของกินที่เหมาะๆ กันอยู่ ถือโอกาสแวะถามข้อมูลเรื่องร้านอาหารที่ศูนย์ข้อมูลแล้วก็เดินหากันอยู่พักใหญ่ ทีแรกจะแวะร้านปิ้งย่างอาหารทะเลแบบหมูกระทะ มีม้านั่งให้นั่งยองๆ แต่คนเยอะมาก พวกเราเลยได้ร้านที่คนเข้าเยอะอีกร้านแทน ชื่อร้าน new day หลังจากนั้นการสั่งด้วยความหิวก็เริ่มขึ้น ทั้งหม้อร้อน เป็ดย่างราดครีมมะนาว ผัดผัก ผัดหมู ฯลฯ จนคนขายต้องเตือนว่ามันมากพอสำหรับ 3 คนแล้ว พวกเราคิดว่าไอ้หม้อร้อนหรือ hot pot จะเป็นแบบหมูกระทะที่คิดจะกินกันในตอนแรก แต่กลายเป็นว่ามันคล้ายกับพวกสุกี้หรือชาบูชาบูแทน ซึ่งทางร้านต้องต่อหม้อไฟฟ้าให้ จากนั้นก็คอยแวะเวียนมาดูหม้อร้อนที่พวกเรากินกัน แล้วก็คงตะลึงว่าไอ้พวกนี้นอกจากจะกินกันหมดแล้ว ยังหมดในเวลาอันรวดเร็วอีกต่างหาก (ถ้ามากันทั้งทีมมีหวังร้านนี้คงจะถ่ายรูปพวกเราไว้เป็นแน่แท้) ที่จริงร้านก็อยู่ใกล้กับโรงแรมนี่เอง ขากลับจึงโชคดีไม่ต้องแบกท้องอืดกลับอย่างลำบาก

1 comment:

Coolgang said...

อะโห พจไปบนขอแฟนกันถึงเวียดนามเชียวเรอะ แล้วอีตอนที่จะต้อไปแก้เนี่ย สนใจจะพาเพื่อนร่วมทางที่แสนดีไปมั๊ย..แต่ขอตั๋วฟรีที่นึงด้วยนะ