2 ธ.ค. 50
เสียงเรียกว่าจะถึงสถานีเลาไกตั้งแต่ตี 5 แต่จริงๆ แล้วกว่าจะถึงก็อีกเกือบครึ่งชั่วโมง แต่พวกเราก็รีบตื่นขึ้นมาสัมผัสกับอากาศบนรถไฟที่เย็นขึ้นกว่าตอนหัวค่ำ เลยพอจะเดาได้ว่าเราคงจะต้องเจออากาศหนาวเมื่อลงจากรถไฟแน่นอน
ไม่คิดว่าผู้ร่วมขบวนที่มาด้วยกันจะเยอะขนาดนี้ เพราะหลังลงจากรถไฟ เราก็ต้องต่อแถวออกจากสถานี (มีตรวจตั๋วขาออกอีกต่างหาก) ดีที่ไม่นานนักเราก็เจอคนที่มารับพาไปยังรถตู้ แต่ยังต้องรอคนอื่นๆ จนเต็มรถพักหนึ่ง หลังจากนั้นรถก็ขับพาพวกเราไปตามทางขึ้นเขาที่คดโค้ง หมอปุ้มเลยต้องกินยาแก้เมารถ แต่ก็ไม่วายกางถุงพลาสติกไว้เผื่อฉุกเฉิน
พวกเรามาถึงโรงแรม Royal (แค่ชื่อคงพอรู้ว่าเราพักโรงแรมแบบไหนกัน) ประมาณ 6.50 น. อากาศค่อนข้างหนาว ถึงจะยัง check-in ไม่ได้ แต่ก็ได้คูปองอาหารเช้ามากินให้อิ่มอุ่น มื้อนี้ยังมีเฝอที่รสชาติปานกลางค่อนข้างแย่ ทีแรกดูเหมือนจะน้อยแต่ก็ยังกินเหลือ จากนั้นก็นั่งรอไกด์ที่จะพาเราไปเดินเที่ยว จนเกือบ 8.30 น. ได้น้องชนเผ่าม้งคนหนึ่ง ชื่อ มอ (ถ้าฟังไม่ผิด) มารับพวกเราพร้อมทั้งบอกโปรแกรมคร่าวๆ ว่าครึ่งวันของวันนี้จะพาไปที่หมู่บ้าน Cat Cat ส่วนของวันพรุ่งนี้จะไปหมู่บ้าน Lao Chai และ Tavan ส่วนของวันมะรืนจะไปหมู่บ้าน Ta Phin

ทีแรกฟังดูก็รู้ว่าเราจะต้องเดิน แต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นการเดินขึ้นเขา! ทั้งที่ช่วงแรกได้แต่เหลียวซ้าย แลขวา ตื่นตาตื่นใจกับตลาดนัดวันอาทิตย์ที่ชาวเขาพากันเอาสิ่งของออกมาขายและซื้อของจำเป็นกลับบ้าน แต่หลังจากหมดช่วงตลาดแล้ว โอ้...พระเจ้า มันเป็นการเดินอย่างเดียว จะถอยหลังกลับก็ไม่ได้แล้วเนี่ย เมื่อถึงปากทางหมู่บ้าน Cat Cat เห็นเป็นทางเดินลงตลอดก็เริ่มเบาใจ มองเห็นนาขั้นบันไดอยู่ตรงหน้าเต็มไปหมด จุ๋ยถึงกับบ่นเสียดายที่พวกเรามาในช่วงที่เก็บเกี่ยวข้าวไปแล้ว เลยไม่เห็นสีเขียวเหมือนกำมะหยี่ของต้นข้าวคลุมนาขั้นบันไดเอาไว้ คงเหลือให้เห็นต้นข้าวที่ถูกเกี่ยวไปเหลือแต่ตอสีเหลืองๆ มียอดอ่อนงอกออกมาเล็กน้อย ที่ไกด์เรียกมันว่า baby rice ให้พวกเราแซวหมอปุ้มอย่างเมามันว่ายูจะ eat baby rice บ้างมั๊ย

ที่หมู่บ้านมีการทำหัตถกรรมในครัวเรือน ทั้งทอผ้าจากเส้นใยของไม้ไผ่ และย้อมดำด้วยพืชต้นเล็กๆ ดอกสีม่วง มอพาเราเข้าไปที่บ้านหลังหนึ่งให้มองเห็นวิถีชีวิตที่อยู่รวมกันแบบครอบครัว มีหลุมเตาฟืนอยู่กลางบ้าน ตอนที่พวกเราเข้าไปฟืนก็มอดแล้ว รอบๆ เตาเลยกลายเป็นที่นอนของบรรดาแมวๆ จุ๋ยได้ลองหัดเป่าเครื่องดนตรีพื้นบ้าน ลักษณะคล้ายๆ แคน ทำด้วยไม้ไผ่ลำเล็กๆ ต่อกัน
แต่เจ้าตัวทำหน้าแหยๆ ไม่ค่อยอยากลองซักเท่าไหร่ เพราะคิดไปถึงว่านักท่องเที่ยวทุกคนที่มอ (หรือไกด์คนอื่นด้วยก็ไม่รู้) พามา คงจะต้องอมไอ้เจ้าเครื่องนี้เข้าไปหมดนั่นแหละ 555

จากนั้นเราไปกันที่น้ำตก Cat Cat เป็นน้ำตกไม่ใหญ่นัก แต่ได้แค่ดูอย่างเดียวเพราะอยู่ห่างจากจุดชมวิวค่อนข้างมาก มีการใช้พลังน้ำมาหมุนกังหันและตำข้าวด้วย พวกเราได้โอกาสแวะกินมันเผา เกาลัดเผาที่ร้านเล็กๆ ข้างน้ำตก
จากนั้นทางที่ไปต่อมีแต่เดินขึ้นเขา มีสะพานแขวนพาดเชื่อมระหว่างเขา 2 ลูกอีกต่างหาก เวลาเดินข้ามจุ๋ยถึงกับเกาะหลังเราแน่น ไม่กล้ามองลงไปที่ลำธารด้านล่างที่อยู่ใต้สะพานลงไปประมาณ 50 เมตร แซวจุ๋ยได้ไม่นาน เนินที่เดินขึ้นได้ช้าๆ ก็ชันขึ้นอีกจนต้องหยุดพักเป็นระยะ จนไปถึงด่านที่พักรถ ก็ไม่รู้ว่าอะไรเข้าสิงเราที่ดันหยิ่งไม่ยอมนั่งรถมอเตอร์ไซค์กลับตลาดซาปา ต้องเดินกันต่อไปอีก จนเห็นว่าทางค่อนข้างอ้อม เสียงส่วนใหญ่เลยบอกให้เดินตัดเขาในแนวดิ่งขึ้นไป เราก็เอาก็เอาวะ เดิน..ควรต้องเรียกว่าไต่ ขึ้นไปได้ครึ่งเดียวก็พาลจะเป็นลม พอจุ๋ยบอกให้นั่งพักเท่านั้นแหละ อาการหน้ามืดตาลายก็ตามมา จนต้องติดแหง็ก พักอยู่ตรงนั้นอีกหลายนาที จุ๋ยแสดงน้ำใจช่วยพัดแล้วก็ถือของให้ (น่าจะดีกว่าแบกมันไป) จนดีขึ้น ฟื้นคืนชีพได้ก็เดินต่อจนกลับถึงตลาด แค่เห็นของกินเท่านั้นเรี่ยวแรงเราก็กลับมา น่าเสียดายที่ได้แต่ซื้อผลไม้ พวกส้ม แอปเปิ้ล และขนมคล้ายๆ ขนมเข่ง กลับมากินที่โรงแรม ส่วนอาหารอื่นๆ ไม่ค่อยมี (เนื้อสัตว์) สำเร็จรูปให้ซื้อเท่าไหร่ มอยังชี้ให้ดูแผงขายเนื้อหมาที่ก็มีลูกค้ามาซื้อกันประปราย
หลังกินข้าวเที่ยง พวกเราก็ check-in ทีแรกได้ห้องชั้นล่างสุด ที่จุ๋ยไปดูแล้วมองไม่เห็นวิวของเทือกเขาฟานสีปัน ที่มียอดเขาสูงที่สุดในอินโดจีน แต่พอดีที่ห้องชั้น 4 ว่าง พวกเราเลยเลือกห้องนั้นที่เห็นวิวได้ทั่ว โดยแลกกับการเดินขึ้นลงโดยไม่มีลิฟต์แทน สภาพห้องที่นี่ต่างจากในเมืองฮานอยตรงที่มีเตาผิง (เป็นเครื่องประดับเฉยๆ) ส่วนเตียงมีมุ้งคลุมให้ดูโรแมนติก ทั้ง 2 เตียง จนนึกว่าเป็นห้องสวีตบนโรงแรมที่มองเห็นวิวเทือกเขาอะไรทำนองนั้น
ชื่นชมได้ไม่กี่นาที แต่ละคนก็สลบเหมือดไปตามๆ กัน จากที่คิดว่าบ่าย 2 โมง จะออกไปเดินเที่ยวและถ่ายรูปกันในเมือง กลายเป็นตื่นกันบ่าย 4 โมง หมอปุ้มกับเราเลยถือโอกาสอาบน้ำซะก่อนที่อากาศจะเย็นลงจนทำนายไม่ได้ (14 องศา และเริ่มมีหมอกลงแล้ว)
จากนั้นเราพากันไปเดินเล่นแถวโบสถ์คริสต์ ที่ประดับกระจกสีเป็นรูปเซนต์ต่างๆ สวยมาก ยามเย็นตามทางเดินจะมีร้านขายของเยอะแยะ รวมทั้งร้านขายของปิ้งเป็นแถวเป็นแนว พวกเรายังติดใจมันเผากันอยู่ ได้แต่หักห้ามใจว่าเตรียมไปกินมื้อเย็นที่โรงแรมกันจะดีกว่า

มีคนไทยมาพักที่โรงแรมนี้ 3 กลุ่มนอกจากพวกเรา กลุ่มแรกเป็นทัวร์ประมาณ 8 คนเข้าพักตอนเย็นเลยไม่ได้ทักทาย อีก 2 กลุ่มมาถึงตอนเช้าพร้อมๆ กัน เป็นคู่ของพี่จิตรกรรมศิลปากรที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างพวกเรา กับกลุ่มของน้องๆ อีก 3 คน
ไม่คิดว่าคนไทยเจอกันในต่างแดนจะรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งพี่จิตรกรรมเป็นคนคุยเก่ง ถึงแม้ตอนแรกจะให้เกียรติเรียกพวกเราว่าพี่ แถมยังทายอีกว่าพจกับหมอปุ้มมีอาชีพเป็น NGO อีกต่างหาก (ไม่รู้เอาริ้วรอยบนใบหน้ามาทายหรือเปล่า) แต่พอพจทายกลับบ้างว่าแกทำงาน decorate ดันถูกเผง แหม ก็ดูแกออกจะเซอร์ คุยไปคุยมาถึงได้รู้ว่าเรียนจบศิลปากร (เข้าปี 27 รุ่นพี่ของเภสัชรุ่น 1 อีกต่างหาก) ส่วนน้องๆ อีก 3 คน ได้ยินแว่วๆ ว่าออฟฟิตอยู่แถวสีลม นอกจากพี่จิตรกรรมและแฟนแก (มั้ง) แล้ว น้องๆ 3 คนก็คล้ายพวกเราคือมากันหญิง 2 ชาย 1 โดยน้องผู้ชายออกจะตื่นๆ หน่อย เพราะไปกับพี่จิตรกรรม พี่แกก็เรียกน้องว่าตัวเอง พอมาคุยกับกลุ่มเราก็ถึงกับต้องไปแอบหลังเพื่อนสาวเวลาหมอปุ้มคุยด้วย ...สงสัยจะได้กลิ่นโคแก่ 555
เสียงเรียกว่าจะถึงสถานีเลาไกตั้งแต่ตี 5 แต่จริงๆ แล้วกว่าจะถึงก็อีกเกือบครึ่งชั่วโมง แต่พวกเราก็รีบตื่นขึ้นมาสัมผัสกับอากาศบนรถไฟที่เย็นขึ้นกว่าตอนหัวค่ำ เลยพอจะเดาได้ว่าเราคงจะต้องเจออากาศหนาวเมื่อลงจากรถไฟแน่นอน
ไม่คิดว่าผู้ร่วมขบวนที่มาด้วยกันจะเยอะขนาดนี้ เพราะหลังลงจากรถไฟ เราก็ต้องต่อแถวออกจากสถานี (มีตรวจตั๋วขาออกอีกต่างหาก) ดีที่ไม่นานนักเราก็เจอคนที่มารับพาไปยังรถตู้ แต่ยังต้องรอคนอื่นๆ จนเต็มรถพักหนึ่ง หลังจากนั้นรถก็ขับพาพวกเราไปตามทางขึ้นเขาที่คดโค้ง หมอปุ้มเลยต้องกินยาแก้เมารถ แต่ก็ไม่วายกางถุงพลาสติกไว้เผื่อฉุกเฉิน
พวกเรามาถึงโรงแรม Royal (แค่ชื่อคงพอรู้ว่าเราพักโรงแรมแบบไหนกัน) ประมาณ 6.50 น. อากาศค่อนข้างหนาว ถึงจะยัง check-in ไม่ได้ แต่ก็ได้คูปองอาหารเช้ามากินให้อิ่มอุ่น มื้อนี้ยังมีเฝอที่รสชาติปานกลางค่อนข้างแย่ ทีแรกดูเหมือนจะน้อยแต่ก็ยังกินเหลือ จากนั้นก็นั่งรอไกด์ที่จะพาเราไปเดินเที่ยว จนเกือบ 8.30 น. ได้น้องชนเผ่าม้งคนหนึ่ง ชื่อ มอ (ถ้าฟังไม่ผิด) มารับพวกเราพร้อมทั้งบอกโปรแกรมคร่าวๆ ว่าครึ่งวันของวันนี้จะพาไปที่หมู่บ้าน Cat Cat ส่วนของวันพรุ่งนี้จะไปหมู่บ้าน Lao Chai และ Tavan ส่วนของวันมะรืนจะไปหมู่บ้าน Ta Phin

ทีแรกฟังดูก็รู้ว่าเราจะต้องเดิน แต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นการเดินขึ้นเขา! ทั้งที่ช่วงแรกได้แต่เหลียวซ้าย แลขวา ตื่นตาตื่นใจกับตลาดนัดวันอาทิตย์ที่ชาวเขาพากันเอาสิ่งของออกมาขายและซื้อของจำเป็นกลับบ้าน แต่หลังจากหมดช่วงตลาดแล้ว โอ้...พระเจ้า มันเป็นการเดินอย่างเดียว จะถอยหลังกลับก็ไม่ได้แล้วเนี่ย เมื่อถึงปากทางหมู่บ้าน Cat Cat เห็นเป็นทางเดินลงตลอดก็เริ่มเบาใจ มองเห็นนาขั้นบันไดอยู่ตรงหน้าเต็มไปหมด จุ๋ยถึงกับบ่นเสียดายที่พวกเรามาในช่วงที่เก็บเกี่ยวข้าวไปแล้ว เลยไม่เห็นสีเขียวเหมือนกำมะหยี่ของต้นข้าวคลุมนาขั้นบันไดเอาไว้ คงเหลือให้เห็นต้นข้าวที่ถูกเกี่ยวไปเหลือแต่ตอสีเหลืองๆ มียอดอ่อนงอกออกมาเล็กน้อย ที่ไกด์เรียกมันว่า baby rice ให้พวกเราแซวหมอปุ้มอย่างเมามันว่ายูจะ eat baby rice บ้างมั๊ย

ที่หมู่บ้านมีการทำหัตถกรรมในครัวเรือน ทั้งทอผ้าจากเส้นใยของไม้ไผ่ และย้อมดำด้วยพืชต้นเล็กๆ ดอกสีม่วง มอพาเราเข้าไปที่บ้านหลังหนึ่งให้มองเห็นวิถีชีวิตที่อยู่รวมกันแบบครอบครัว มีหลุมเตาฟืนอยู่กลางบ้าน ตอนที่พวกเราเข้าไปฟืนก็มอดแล้ว รอบๆ เตาเลยกลายเป็นที่นอนของบรรดาแมวๆ จุ๋ยได้ลองหัดเป่าเครื่องดนตรีพื้นบ้าน ลักษณะคล้ายๆ แคน ทำด้วยไม้ไผ่ลำเล็กๆ ต่อกัน


จากนั้นเราไปกันที่น้ำตก Cat Cat เป็นน้ำตกไม่ใหญ่นัก แต่ได้แค่ดูอย่างเดียวเพราะอยู่ห่างจากจุดชมวิวค่อนข้างมาก มีการใช้พลังน้ำมาหมุนกังหันและตำข้าวด้วย พวกเราได้โอกาสแวะกินมันเผา เกาลัดเผาที่ร้านเล็กๆ ข้างน้ำตก

หลังกินข้าวเที่ยง พวกเราก็ check-in ทีแรกได้ห้องชั้นล่างสุด ที่จุ๋ยไปดูแล้วมองไม่เห็นวิวของเทือกเขาฟานสีปัน ที่มียอดเขาสูงที่สุดในอินโดจีน แต่พอดีที่ห้องชั้น 4 ว่าง พวกเราเลยเลือกห้องนั้นที่เห็นวิวได้ทั่ว โดยแลกกับการเดินขึ้นลงโดยไม่มีลิฟต์แทน สภาพห้องที่นี่ต่างจากในเมืองฮานอยตรงที่มีเตาผิง (เป็นเครื่องประดับเฉยๆ) ส่วนเตียงมีมุ้งคลุมให้ดูโรแมนติก ทั้ง 2 เตียง จนนึกว่าเป็นห้องสวีตบนโรงแรมที่มองเห็นวิวเทือกเขาอะไรทำนองนั้น
ชื่นชมได้ไม่กี่นาที แต่ละคนก็สลบเหมือดไปตามๆ กัน จากที่คิดว่าบ่าย 2 โมง จะออกไปเดินเที่ยวและถ่ายรูปกันในเมือง กลายเป็นตื่นกันบ่าย 4 โมง หมอปุ้มกับเราเลยถือโอกาสอาบน้ำซะก่อนที่อากาศจะเย็นลงจนทำนายไม่ได้ (14 องศา และเริ่มมีหมอกลงแล้ว)
จากนั้นเราพากันไปเดินเล่นแถวโบสถ์คริสต์ ที่ประดับกระจกสีเป็นรูปเซนต์ต่างๆ สวยมาก ยามเย็นตามทางเดินจะมีร้านขายของเยอะแยะ รวมทั้งร้านขายของปิ้งเป็นแถวเป็นแนว พวกเรายังติดใจมันเผากันอยู่ ได้แต่หักห้ามใจว่าเตรียมไปกินมื้อเย็นที่โรงแรมกันจะดีกว่า

มีคนไทยมาพักที่โรงแรมนี้ 3 กลุ่มนอกจากพวกเรา กลุ่มแรกเป็นทัวร์ประมาณ 8 คนเข้าพักตอนเย็นเลยไม่ได้ทักทาย อีก 2 กลุ่มมาถึงตอนเช้าพร้อมๆ กัน เป็นคู่ของพี่จิตรกรรมศิลปากรที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างพวกเรา กับกลุ่มของน้องๆ อีก 3 คน
ไม่คิดว่าคนไทยเจอกันในต่างแดนจะรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งพี่จิตรกรรมเป็นคนคุยเก่ง ถึงแม้ตอนแรกจะให้เกียรติเรียกพวกเราว่าพี่ แถมยังทายอีกว่าพจกับหมอปุ้มมีอาชีพเป็น NGO อีกต่างหาก (ไม่รู้เอาริ้วรอยบนใบหน้ามาทายหรือเปล่า) แต่พอพจทายกลับบ้างว่าแกทำงาน decorate ดันถูกเผง แหม ก็ดูแกออกจะเซอร์ คุยไปคุยมาถึงได้รู้ว่าเรียนจบศิลปากร (เข้าปี 27 รุ่นพี่ของเภสัชรุ่น 1 อีกต่างหาก) ส่วนน้องๆ อีก 3 คน ได้ยินแว่วๆ ว่าออฟฟิตอยู่แถวสีลม นอกจากพี่จิตรกรรมและแฟนแก (มั้ง) แล้ว น้องๆ 3 คนก็คล้ายพวกเราคือมากันหญิง 2 ชาย 1 โดยน้องผู้ชายออกจะตื่นๆ หน่อย เพราะไปกับพี่จิตรกรรม พี่แกก็เรียกน้องว่าตัวเอง พอมาคุยกับกลุ่มเราก็ถึงกับต้องไปแอบหลังเพื่อนสาวเวลาหมอปุ้มคุยด้วย ...สงสัยจะได้กลิ่นโคแก่ 555
No comments:
Post a Comment