Monday, December 31, 2007

เวียตนาม (Part III)

3 ธ.ค. 50
วันนี้ไกด์มอจะมารับพวกเราตอน 9.30 น. เลยมีเวลาให้นอนเหลือเฟือ ก่อนจะกินข้าวเช้ายังมีเวลาออกไปเดินถ่ายรูปกัน เช้านี้เราได้คุยกับคนไทยอีกกลุ่มใหญ่เป็นคุณลุงเชื้อสายจีนกับลูกหลาน แกตั้งใจว่าจะเลยไปถึงเทือกเขาฟานสีผัน แต่อากาศหนาว แกเลยเปลี่ยนใจไม่ไปเพราะจะต้องนอนค้างบนเขาอีก 2 คืน

ก่อนถึงเวลานัดกับไกด์เล็กน้อย มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาเรียกพวกเราถึงห้องพัก บอกว่าพวกเราต้องไปหมู่บ้าน Lao Chai และ Ta Van พร้อมกับกลุ่มอื่นๆ อีกและเริ่มออกเดินทางเวลาเดิม เราเลยต้องลงมารอกันที่ชั้นล่างของโรงแรมก่อนเวลา ดีที่ไกด์มอมาถึงพอดี ให้เธอไปคุยกับพ่อหนุ่มคนนั้นได้ความว่าเป็นการเข้าใจผิด เพราะทัวร์ที่เราซื้อมาคราวนี้เป็นการจ้างไกด์ส่วนตัวและไกด์มอจะอยู่กับเราทั้ง 3 วัน

เช้านี้เราใช้เส้นทางด้านหลังโรงแรม แค่เห็นทางเดินลงอย่างเดียวก็ยิ้มได้แล้ว ยิ่งไกด์บอกว่าขากลับมีรถมารับยิ่ง..โอ้ สวรรค์ แต่นอกจากฝรั่งที่เดินกันล่วงหน้าไปก่อนจนดูเหมือนพวกเรามาเข้าค่ายเดินทางไกลแล้ว ก็มีชาวเขาเดินตามประกบพวกเรามาด้วย และพยายามชวนคุย ทีแรกเราก็นึกว่าเขาคงมาจ่ายตลาดกัน แต่ดูๆ ก็เหมือนไม่ใช่ เลยถามมอว่าเพื่อนเธอหรือเปล่า ก็ได้ความว่าพวกเขาตามมาขายสินค้า แต่ละคนที่เดินตามจะมีเด็กเล็กๆ อายุไม่เกิน 2 ขวบแบกติดหลังมาด้วย เดินกันไป แม่เด็กก็ป้อนลูกไป อย่างข้าวโพดคั่ว อ้อย (ทั้งแท่ง) เห็นแล้วหวาดเสียวว่าเด็กจะติดคอหรือเปล่า

วันนี้พวกเราได้เห็นนาขั้นบันไดเยอะกว่าเมื่อวาน และยังเข้าไปเดินตามคันนาอีกด้วย มีธารน้ำไหลผ่านอยู่เบื้องล่าง แต่น้ำที่ใช้ในนาซึ่งอยู่บนไหล่เขา จะมีท่อต่อลงมาตามชั้นของขั้นบันไดอีกทีหนึ่ง คาดว่าตามยอดเขาจะมีแหล่งน้ำอยู่ด้วย พอลงมาถึงพื้นราบด้านล่างก็มาเจอกับสะพานไม้ไผ่ทอดข้ามลำธารอยู่ แก้งค์บ้ากล้องอย่างพวกเราอาศัยจังหวะที่ฝรั่งหยุดพักเหนื่อยและยังตามกันมาไม่ถึงถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน หารู้ไม่ว่าภายหลังต้องจ่ายค่าถ่ายรูปบนสะพานด้วย เพราะเป็นสะพานส่วนบุคคลที่ชาวเขาแถวนั้นสร้างกันเอง ค่าถ่ายรูปกับสะพาน 5,000 ด่อง แต่เราฟอร์มเนียนๆ ว่าไม่มีแบงค์ย่อย เลยจ่ายไปแค่ 4,000 ด่อง จากนั้นเดินต่อจนเริ่มเมื่อย (แต่สีหน้าจุ๋ยเมื่อยมากๆ แถมเจ้าตัวยังเดินท่าไฮโซเหยียบทุ่งนาให้ฮากันอีก) จนได้เวลากินข้าวเที่ยงที่หมู่บ้านลาวชัย อาหารมื้อนี้เป็นบาแกตอีกแล้ว แกล้มด้วยไข่เจียวหั่นแบบลูกเต๋า แตงกวาและมะเขือเทศ มีน้ำผลไม้กระป๋องให้กินแก้น้ำตาลตก ทั้งน้ำเสาวรส น้ำมะขาม น้ำฟัก(มี – ที่จุ๋ยเรียก)

ยังต้องเดินกันต่อไปยังหมู่บ้านทาวานที่ไม่ค่อยมีอะไรแปลกใหม่ให้ดู นอกเสียจากเด็กๆ ชาวเขาที่เดินตามให้ช่วยซื้อของ อ่านในหนังสือนำเที่ยวบอกไว้ว่าเด็กๆ ชาวเขาจะมีของมาขายซึ่งราคาแพงมาก พวกเราเลยทำใจแข็งไม่ซื้อ และพอเราแกล้งเอาที่รัดผมไปขายเด็กบ้าง กลับทำท่าจะขายได้อีกต่างหาก เดินจนเกือบพ้นหมู่บ้าน หมอปุ้มเกิดใจดี เอากล้วยหอมให้เด็กไป ได้เห็นสีหน้าดีใจแล้วคิดว่าน่าจะเอากล้วยที่เหลือจากร้านกินข้าวเมื่อกลางวันติดมาเยอะๆ

หลังจากผ่านทุ่งนาขั้นบันได เข้าไปในหมู่บ้านจะเห็นการเพาะปลูกเล็กๆ น้อยๆ ทั้งพวกกะหล่ำ และผักคล้ายๆ ผักกวางตุ้ง ชาเขียว (ลองชิมชาเวียตนามที่โรงแรมดูแล้ว ขมมากๆ และไม่หอม) ที่หมู่บ้านก็มีสถานที่ราชการอย่างเช่น โรงเรียน ห้องสมุด ที่ตัวอาคารทาสีเหลืองส้ม พอให้สังเกตได้ว่าแตกต่างจากบ้านเรือน ส่วนบ้านส่วนใหญ่จะสร้างด้วยไม้ มีประตูไม้แกะสลัก หน้าต่างน้อยมาก ข้างๆ บ้านเป็นยุ้งฉางที่ปิดทึบไว้เก็บผลิตผล ส่วนบ้านที่สร้างใหม่จะมียันต์สีแดงคล้ายธงผืนใหญ่แขวนอยู่ตรงกลางบ้าน ส่วนเสาทั้ง 4 ด้านก็มียันต์สีแดงแผ่นเล็กติดอยู่เช่นเดียวกัน

มอพามาแวะร้านหัตกรรมร้านหนึ่ง บอกว่าเป็นร้านของแม่เธอเอง พวกเราเข้าไปดูๆ แต่ก็ไม่ซื้ออะไรเหมือนเคย ก่อนออกจากหมู่บ้านทาวานมีสะพานข้ามน้ำที่เป็นลักษณะเด่นคู่กัน 2 สะพาน สะพานหนึ่งเป็นสะพานใหญ่คาดว่ารถจะข้ามได้ ส่วนอีกสะพานเป็นสะพานเชือกแขวนต่อกับชั้น 2 ของโฮมสเตย์หลังหนึ่งไปยังต้นไม้ฝั่งตรงข้าม มองเห็นฝรั่งเดินข้ามไป แต่ก็ไม่ปีนต้นไม้ลง ได้แต่เดินกลับทางเดิม โชคดีเป็นของจุ๋ยที่จะเข้าไปดูสะพานต้องเสียค่าเข้าชม 5,000 ด่อง พวกเราเลยไม่ไป ไม่อย่างนั้นคงมีรายการข้ามสะพานแขวน (แบบแกว่งได้ และพื้นไม้ใต้เท้าผุเป็นบางส่วน) ให้จุ๋ยได้ phobia กันอีก ข้างๆ โฮมสเตย์มีชิงช้าเสาสูงที่เด็กๆ เล่นกันอยู่ ผู้ใหญ่ใจดีอย่างพวกเราเลยใช้ไกด์มอไล่เด็กออกไปเพื่อจะถ่ายรูปและโล้ชิงช้าเล่นเสียเอง

14.30 น. ก็มีรถมารับพวกเรากลับโรงแรม ไม่นอนพักให้เป็นการเสียเวลา เพราะเมื่อวานพี่จิตรกรรมแกมาโฆษณาไว้ว่าทะเลสาบซาปาสวยมาก มีบ้านเรือนทรงตะวันตกรอบๆ เหมือนสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งไปแล้วก็เป็นจริงดังว่า เสียอย่างเดียวที่ต้นไม้ตามสวนหย่อมรอบทะเลสาบดูจะแห้งแล้งไปหน่อย หลังจากถ่ายรูปกันจนหนาวเหน็บ พวกเราก็มาแวะกินมันเผา ข้าวโพดย่าง แถวโบสถ์คริสต์ที่เล็งไว้ตั้งแต่เมื่อวาน แต่ไม่อร่อยเท่าที่คิด ยิ่งไข่ปิ้งจิ้มเกลือที่แย่งจุ๋ยกินนิดหนึ่ง รสชาติและความหอมก็ผิดกับที่คิดไว้มาก 15 นาทีต่อมาเราก็กลับมากินข้าวเย็นกันที่โรงแรม และบอกลาพวกพี่จิตรกรรมที่จะกลับฮานอยกันคืนนี้ รู้สึกโหวงเหวงอยู่เหมือนกันว่าพรุ่งนี้พวกตูก็ต้องเดินกันต่อในขณะที่คนอื่นไปเริงร่ากันที่อื่นแล้ว

No comments: