Wednesday, September 13, 2006

ศิลาอิงวารี กาญจนบุรี (Part II)

ศิลาอิงวารี เป็นรีสอร์ทที่ตั้งได้สมชื่อมาก ตอนนี้ความหวังของเราที่จะเล่นน้ำและเล่นสกีปลิวหายไปกับสายน้ำที่ไหลเชี่ยวเนื่องจากเป็นช่วงหน้าฝน น้ำไหลแรงและขึ้นสูง (โธ่ๆ) เพราะตอนนี้จะเดินยังลำบาก ขืนไปว่ายน้ำมีหวังเพื่อนๆ คงได้พักที่นี่กันอีกหลายคืน (รอเราขึ้นอืด)
อาหารมื้อแรกของที่นี่ คนท้องเสียเห็นแล้วแทบอยากร้องไห้ เพราะมันมีทั้งข้าวเหนียว ส้มตำ ลาบ ขนมจีน น้ำยาและแกงเขียวหวาน ยังดีที่มีหมูทอดมาให้กินกับข้าวเหนียว แต่ก็กินได้นิดหน่อย คาดว่าในท้องปลาหางนกยูงคงไม่มีที่ให้ใส่แล้ว เลยได้ใช้ประโยคของเอกคือ “พอแล้วค่ะ อิ่มแล้วค่ะ” (ฝากไว้ก่อนเหอะ เจ็บใจ เจ็บใจ) ยังดีที่สอดส่ายสายตาไปเจอตู้ยาที่มียาธาตุน้ำแดง และคาร์มิเนทีพ แก้ท้องอืด นึกถึงรสชาติของมันแล้วก็หลับหูหลับตาเลือก คาร์มิเนทีพ (ที่หมดอายุแล้ว) จากนั้นก็ยึดครองทั้งขวดไปจนถึงเย็น ส่วนพลพรรคชูชกคนอื่นก็ตั้งหน้าตั้งตากินกันอย่างเอร็ดอร่อย จนขนมจีนหมดไป 2 จาน (30 จับเห็นจะได้) พี่โจ๊กลูกเจ้าของรีสอร์ทคนที่ติดต่อกับอ๋อยยังแซวว่ามากัน 10 คนหรือเปล่า
นอกจากกลุ่มเราแล้วก็ยังมีอีกกลุ่มที่มาพักกันแบบครอบครัวประมาณ 20 คน (รวมเด็กๆ) เห็นว่ามาจาก ธ.กรุงเทพ เจ้าหนี้เก่าของเรานั่นเอง
ฝนเริ่มตกปรอยๆ พวก ธ. กรุงเทพฯ กินเสร็จแล้วก็จะไปเที่ยวต่อ ทีแรกพวกเราก็สนใจที่จะไปนั่งช้างกับเขาบ้าง แต่คงต้องใช้เวลานาน และคนขับของเราก็เริ่มตาปรือ เลยนั่งพักกันแถวนั้น โดยเอ๋อ่านหนังสือธรรมะหลวงพ่อจรัล เอกอ่าน newsweek แนวผู้บริหาร (แต่หลังๆ รู้สึกจะใช้ปิดกันแสงเวลาหลับ) อ๋อยอ่านหนังสือสารคดี เราเองเล่นกับลูกหมาสลับกับเข้าห้องน้ำ มีปริญญ์คนเดียวที่ยังผลาญพลังงานด้วยการปาเป้าแม่เหล็ก จนเมื่อคาร์มิเนทีพหมดไปประมาณ 5 ช้อนโต๊ะ เราก็รู้สึกดีขึ้น พอดีกับที่ทุกคนเริ่มเบื่อจึงได้กลับบ้านพักรอเวลาเล่นแพเปียกและสกีน้ำ
บ้านพักของพวกเราอยู่ด้านลึกที่สุดของรีสอร์ท พักได้ 6 คน พวกผู้หญิงถือเสียง (และน้ำหนัก) ข้างมากเลือกแถบที่นอนสำหรับ 4 คน เอกกับเอ๋เลยจำใจต้องนอนที่นอน 2 คน (ค่อนข้างแคบ) ตรงซอกข้างห้องน้ำ ซึ่งงานนี้ถ้าไม่นับเราที่ท้องเสียแล้ว คนที่ซวยที่สุดน่าจะเป็นเอก เพราะไหนจะต้องเป็นเบ๊ขับรถ ที่ประสาทต้องไวเวลาเนวิเกเตอร์เอ๋บอกให้เลี้ยวในระยะ 2 เมตรก่อนแยก ไหนจะต้องทนนอนตระกองกอดเอ๋ในที่แคบแถมยังอยู่ข้างห้องน้ำ (ซึ่งตอนดึกๆ ใครเข้าห้องน้ำเป็นตื่นทุกที และยังมีปริญญ์อาบน้ำตอนตี 5 !!) ที่ร้ายที่สุดคือจูนทีวีดูหมอโฮจุนไม่ได้อีก (มันสนุกตรงไหนเนี่ย) คงต้องใช้เวลาทำใจนานพอดูทีเดียวแหละสำหรับ ทริปหน้า
15.30 น. พวกเราก็พากันไปรอแถวระเบียงริมน้ำ ปริญญ์ เอก และเอ๋ ใส่ชูชีพและชุดเตรียมพร้อมเต็มที่ ส่วนเราและอ๋อยบนฝั่งก็เตรียมกล้องพร้อมถ่ายรูปภัยพิบัติ เอ๊ย รูปเล่นสกีของเพื่อนๆ อย่างขะมักเขม้น
จากท่าน้ำ มีเรือหางยาวมารับไปขึ้นแพ แต่เพื่อนๆ เราใช้วิธีที่เก๋กว่านั้นคือว่ายน้ำไปยังแพเอง เมื่อทุกคนขึ้นแพกันครบ เรือก็ลากทวนน้ำออกไป จนฝนเริ่มตกหนาเม็ดขึ้น สุดหนทางที่จะได้ภาพที่แยกความแตกต่างระหว่างคนกับมดได้ เราก็เลยทิ้งให้อ๋อยนั่งดูอยู่คนเดียว ส่วนตัวเองก็ไปหาความรื่นรมย์ในห้องน้ำตามประสา จนอ๋อยต้องมาเรียกเพราะกล้องแบตหมด และทุกคนกลับขึ้นแพเตรียมเล่นสกีกันแล้ว
กลับมาประจำที่ตากล้องอีกครั้งเลยได้ความว่าเรือลากแพไปไม่ไกล แล้วก็ให้ทุกคนกระโดดลงน้ำ ให้น้ำพัดกลับมาที่รีสอร์ท ซึ่งคนอื่นเขาก็ลอยคอกันอยู่ใกล้ๆ ฝั่ง มีแต่พวกเราที่อยู่กันกลางแม่น้ำ กว่าจะเก็บขึ้นมาได้ก็ถูกน้ำพัดไปจนเลยบ้านพักของเราโน่น อ๋อยได้แต่บ่นเสียดายที่ไม่ได้ถ่ายหมาเน่า เอ๊ย พวกเราตอนที่ลอยน้ำกลับมา
สกีของที่นี่ทำจากไม้กระดานกว้างประมาณ 1 ม. มีเชือกผูกที่หัวไม้ไว้ให้เรือลาก และเชือกอีกเส้นสำหรับจับ คนเล่นต้องขึ้นไปนอนบนกระดานก่อน พอเรือเริ่มวิ่งก็คุกเข่า แล้วก็ค่อยๆ ชันเข่าลุกขึ้นยืน แต่กว่าจะยืนได้กันก็มีอันเป็นไปหล่นกระดานกันไปซะก่อน
ปริญญ์หญิงเหล็กของกลุ่มเราเล่นก่อน พอเธอเริ่มยืนได้ก็เริ่มปล่อยลีลาประจำตัว ทั้งโบกมือ ทั้งกางปีก (ผลคือหล่นสกี) พอแล่นผ่านตรงที่พวกเราตั้งกล้องถ่ายกันอยู่ก็โบกมือให้อย่างร่าเริง น่าเสียดายที่คนถ่ายยังไม่รู้จังหวะดี ภาพของเธอก็เลยไหว ไม่ชัดเจน หุ หุ
เอกเล่นเป็นคนถัดมา พ่อนี่เป็นประเภทหล่นสกีแล้วปล่อยมือ เลยต้องใช้เวลาว่ายไปหาสกี กว่าจะยืนบนสกีได้ท่าทางลำบากลำบนยิ่งกว่าปริญญ์ แต่ก็เป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มคือพอเห็นกล้องต้องโบกมือ (ผลคือหล่นสกี) สุดท้ายเมื่อเลิกเล่นก็แรงหมด ต้องให้คนบนแพช่วยใช้ไม้เขี่ย เอ๊ย โยนเชือกให้จับแล้วลากกลับแพ
เอ๋เล่นเป็นคนสุดท้าย ที่ยังไม่ทันไรก็ลอยคออยู่ ข้าง และใต้ สกี เพื่อให้สกีพลิกกลับมาด้านบนเหมือนเดิม ทุกคนเลยได้เห็นท่าทางสุดขำของคนที่พยายามพลิกสกี กว่าเอ๋จะซึ้งว่าวิธีที่ถูกต้องคือ เอื้อมมือไปจับสกีอีกด้านแล้วพลิกหงายเข้าหาตัว ก็หมดไปแล้วครึ่งค่อนวัน และเนื่องจากจุดศูนย์ถ่วงของการตั้งเสาโทรเลขบนกระดานสกีที่เรือลากอยู่ค่อนข้างจำกัด พวกเราเลยได้เห็นเอ๋มุดเข้าไปใต้สกีและพลิกสกีอยู่ไม่น้อยกว่า 5 ครั้ง

No comments: