Thursday, September 14, 2006

ทีลอซู-ทีลอเร 24 - 29 พ.ย. 47 (Part I)

พวกเราประกอบด้วย เรา หมอปุ้ม และแก๊งค์ 6/4 มีปริญญ์ เอก (ไพศาล) เอ๋ (วีระศักดิ์) รวมเป็น 5 คน เดินทางด้วยรถทัวร์กรุงเทพฯ-แม่สอด ต่อด้วยบุญล่ำทัวร์ ค่าใช้จ่ายทั้งหมด 4,590 บาท/คน

เราออกเดินทางเย็นวันที่ 24 พ.ย. เวลา 18.00 น. นัดหมอปุ้มไว้ที่ท่ารถตู้ ก่อนจะเดินทางไปที่สถานีขนส่งหมอชิต 2 ซึ่งกว่ารถจะออกก็ 21.00 น. เลยถือโอกาสไปกินข้าว (รอบ 2) ระหว่างรอเวลา โดยหารู้ไม่ว่ารถทัวร์แวะให้กินข้าวรอบดึกด้วย พวกเราไปถึงสถานีขนส่งแม่สอดกันตอนตี 4 กว่าจะไปถึงได้ก็ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเป็นระยะ ทำให้หมอปุ้มเกิดอาการเซ็งเพราะไม่ได้พกบัตรประชาชนมาด้วย และคนนั่งข้างๆ (เราเอง) ก็คอยแซวให้ร้องเพลงชาติอยู่ร่ำไป หลังจากที่รถไปถึงสถานีขนส่งแม่สอด (ดันมี 2 แห่ง) พวกเราก็ไปลงกันที่ขนส่งเก่าซึ่งอยู่สุดสายจริงๆ และเป็นที่โล่งกว้าง แถมยังหนาวเหน็บ พวกที่ลงมาด้วยกันประมาณ 10 คน ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวก็ได้แต่มองหน้ากันว่าสงสัยจะมาผิดที่เพราะมืดมาก หลังจากโทรไปหลายเบอร์ เอ๋ก็ติดต่อให้พี่ศรีคนขับรถที่ไปรอพวกเราอยู่ที่ขนส่งใหม่ มารับจนได้

สรุปแล้วงวดนี้ทางบุญล่ำทัวร์จัดกลุ่มอื่นมารวมกับพวกเราอีก 3 คน เป็น 8 คนพอดี กว่าพวกพี่ๆ (ที่ทีแรกนึกว่าเป็นสาวเอ๊าะๆ) อีก 3 คนจะมาก็เกือบตี 5 ในกลุ่มเลยมีแต่เรา หมอปุ้มและปริญญ์เป็นผู้หญิงอยู่ 3 คน ทำให้ได้นั่ง รถไปข้างหน้า ส่วนหนุ่มๆ ทั้ง 5 คนที่เหลือ ต้องสัมผัสกับลมหนาวกันอยู่ท้ายรถ

พูดถึงผู้ชาย พ.ป. ในกลุ่มเรา ทีแรกก็หนักใจเหมือนกัน (เนื่องจากรู้จักหนุ่มๆ 6/4 แต่ละคนไม่ค่อยธรรมดาทั้งนั้น) เพราะไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่เห็นท่าทางเรียบร้อยก็เบาใจ และท่าทางจะพึ่งพาได้ (คงแบกหมอปุ้มไหว)

Toyota Vego พาพวกเราไปยังบุญล่ำรีสอร์ทที่ อ.อุ้มผาง ผ่าน 1,219 โค้ง พี่ศรีขับรถค่อนข้างเร็ว จากเส้นทางที่ลาดชัน และคดโค้งทำให้หมอปุ้มอ้วกอีกเช่นเคย ขนาดกิน dimen ไปตั้ง 2 เม็ดก็ยังสู้ไม่ไหว ดีที่ยังมีแวะพักกลางทางให้ร่างกายปรับตัวบ้าง (คนอื่นๆ เลยถือโอกาสถ่ายรูปกันอย่างหนุกหนาน) กว่าจะถึงรีสอร์ท ก็ 9.30 น. หมอปุ้มก็หมดสภาพ ทำท่าจะไปไม่ไหว แต่ด้วยเวลาที่จำกัด หลังจากที่เรากินข้าวเช้ากันแล้ว ก็ต้องเตรียมแยกเสื้อผ้าสำหรับไปค้างในเต้นท์ที่ทีลอเร โดยจะมีช้างขนตามไปให้ พอมาถึงนี่ถึงได้รู้ว่ามีกลุ่มอื่นๆ ที่จะไปพร้อมกันอีก รวมเป็น 32 คน

หลังจากพยุงหมอปุ้มโยนเข้าไปในรถอีกครั้ง พวกเราก็ไปกันที่หมู่บ้านปะหละทะเพื่อลงแพยาง หลังจากสัมภาษณ์พี่ๆ ทั้ง 3 คนแล้วก็ได้ความว่าทุกคนทำงานที่บริษัทคอมพิวเตอร์ IBM ชื่อพี่หนุ่ย พี่โจ้ และพี่ซวง
แพยางแต่ละลำนั่งได้ 10 คน มีพวกเรา 8 คนและคนพายหัว-ท้าย ซึ่งทีแรกนึกว่าจะได้พายเองเลยเอากล้องถ่ายรูปไว้กับสัมภาระ พอได้นั่งเฉยๆ เลยได้แต่มองวิวข้างทาง บ่อยเข้าก็เล่นซ่อนตาดำแทน ยัยหมอปุ้มตอนแรกนั่งด้านหน้า พอหลับไปได้ซักพักก็ฟื้นคืนชีพ ถึงแก่งที่เปียกน้ำก็ย้ายมาตรงกลางแพ

แก่งที่นี่เยอะกว่าที่ลำน้ำว้า แล้วก็มีบางแก่งที่สนุกๆ อย่างแก่งเลกะติ แก่งบันได แก่งหักศอก แก่งคนมอง ฯลฯ พี่แสงคนพายหน้า อายุ 44 แล้วแต่แข็งแรงมาก พาพวกเราผ่านแก่งได้อย่างไม่ทุลักทุเล แต่แพยางลำอื่นที่คนพายคงจะไม่ชำนาญเท่า เพราะหลังจากที่พวกเราได้ยินเสียงกรี๊ดดังมาก ก็ปรากฏว่าแพยางลำหน้าไปเกี่ยวกับต้นไคร้ (เป็นต้นไม้ใหญ่ขึ้นในน้ำได้) ส่วนสมาชิกในแพก็ยืนเกาะกันตามกิ่งต้นไคร้เป็นลิง แพของพวกเราเลยต้องรับสมาชิกเพิ่มอีก 2 คน

เมื่อถึงเวลาพักเที่ยงก็เริ่มรู้แล้วว่ากำลังจะลำบากเพราะไม่มีห้องน้ำเข้า พี่แสงที่ทำหน้าที่เป็นไกด์ด้วยบอกว่าตรงที่พักก็เป็นห้องน้ำธรรมชาติ (ซวยล่ะตู) และอาบน้ำในลำธาร กินข้าวเสร็จก็ขึ้นแพต่อ แต่ก็เหลือแก่งให้สนุกอีกไม่กี่แก่งแล้ว อย่างเช่นแก่งคนมอง จะเห็นเป็นหน้าผาที่บนยอดมีก้อนหินเป็นปุ่มๆ มองแล้วเหมือนคนนั่งมองอยู่ พอพายไปเรื่อยๆ เลยให้พี่แสงสอนภาษาพม่าให้ อย่างทีลอเร ที – น้ำ , ลอ – ไหลหรือตก , เล – หน้าผา คือมีหน้าผารองรับน้ำตก ทีลอจ่อ จ่อ – สายฝน ไหนๆ ก็ไหนๆ คนไข้พม่าเราเยอะ เลยถามว่ากินยาหลังอาหาร ต้องพูดว่าอะไร พี่แสงแกนึกอยู่นานแล้วก็บอกว่า “อ้อ-เหม่-หวี่-หลี” กินข้าว “อ้อ-เหม่-ต่า-ซี่” กินยา คือกินข้าวแล้วกินยา แต่ท่าทางแกไม่ค่อยสันทัดเท่าไหร่ เลยไม่ได้ถามอีก

No comments: