Wednesday, September 13, 2006

ศิลาอิงวารี กาญจนบุรี 26 - 27 ส.ค. 49 (Past I)

จากการที่อ๋อยจองที่พักล่วงหน้านานนับเดือน พร้อมทั้งใช้ทุกยุทธวิธีในการให้เพื่อนๆ ตกลงใจมาพักกันที่ศิลาอิงวารี (ที่อ๋อยเห็นใน net) ทั้งโน้มน้าว บังคับ ขู่เข็ญ ทำให้เราตั้งความหวังเอาไว้มาก เพราะไม่ได้ไปเที่ยวไหนมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว แต่เหมือนสวรรค์แกล้ง พอถึงวันที่ 25 สค. อันเป็นวันก่อนเดินทาง เราก็มีอันต้องท้องเสีย โดยที่อ๋อยปฏิเสธการยกเลิกทัวร์เที่ยวนี้อย่างไม่มีเยื่อใย
เช้าวันรุ่งขึ้นอันเป็นวันเดินทาง เราก็ฟื้นคืนชีพได้ราวปาฏิหาริย์ ถึงจะยังถ่ายไม่หยุดแต่ก็ยอมกินยาที่ทำให้เกิดผลข้างเคียงกับตัวเอง (ปากบวม) อย่างเต็มใจ หวังจะให้หายๆ ไปซะ หลังจากออกจากบ้านตอน 7.00 น. เราก็ขับรถไปจอดที่คณะเภสัชฯ ศิลปากร พร้อมทั้งเขียนโน้ตฝากรถกับอาจารย์ที่ปรึกษาไว้อย่างดิบดี แปดโมงกว่าๆ Toyota Fortuner ของเอก พร้อมกับเอ๋ อ๋อย และปริญญ์ก็มาแวะรับ ในขณะที่พรรคพวกพกเสบียงมากันตรึม มีเพียงแต่เราที่อาศัยสปอนเซอร์ 2 กระป๋องเป็นเครื่องประทังชีวิต
เอกขับรถค่อนข้างนิ่ง ถึงจะมีเบรกแรงบ้าง แต่พอเห็นคนขับหาวบ่อย พวกเราที่เหลือก็เลยไม่กล้าหลับกัน ได้แต่ชวนคุยและมีดีเจ (ปริญญ์) คอยเปลี่ยน CD เพลง (โบราณ) เป็นระยะๆ ส่วนลำไส้ของเราได้แต่พองลมขึ้น และก็ทั้งร้องทั้งดิ้นอยู่ภายในพุงใหญ่ๆ อย่างเมามัน
ชั่วโมงกว่าๆ ผ่านไป ที่แรกที่เรามาแวะคือพิพิธภัณฑ์บ้านเก่า ที่ดูเก่าและวังเวงมากๆ เพราะมีแต่พวกเราคณะเดียวที่มาแวะ ส่วนใหญ่จะมีพวกหม้อ ไห เครื่องประดับที่ขุดได้โชว์ไว้ในตู้กระจก (ไปขุดฮวงซุ๊ยชาวบ้านเขาแล้วยังมีหน้ามาโชว์อีก) และโลงศพโบราณที่ทำจากไม้ทั้งต้นผ่าครึ่งแล้วสกัดเอาเนื้อไม้ด้านในออกจนเป็นแอ่งคล้ายเรือ ถากหัวท้ายให้แหลม เวลาใช้ก็เอาศพใส่แล้วมัดปิดเข้าด้วยกันเหมือนข้าวต้มมัด เก็บไว้ในถ้ำ ที่จริงใช้ฝังเอาง่ายกว่าแท้ๆ แต่เราก็ไม่ได้อ่านละเอียดว่าใช้เก็บเฉพาะศพคนสำคัญหรือเปล่า เพราะส่วนที่ฝังแล้วขุดเจอก็มี ส่วนอื่นๆ ก็ดูผ่านๆ โดยเราจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการสำรวจห้องน้ำมากกว่า
มาถึงที่นี่สัญญาณโทรศัพท์ไม่ค่อยมี ตรงช่วงที่มีคลื่น ก็จะมีสายเข้ามาทักถามประมาณว่ายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าเนี่ย
เดินออกมาที่ทางออกก็เห็นปริญญ์กับอ๋อยดูพวกเครื่องประดับกันอยู่ หลังจากที่ปริญญ์ได้พลอยขาว 2 เม็ด กับสร้อยข้อมือแล้ว ก็ถึงเวลาถ่ายรูปหมู่กันอย่างเมามัน โดยอาศัยขาตั้งกล้องของเอก (ที่เจ้าของยังใช้ไม่เป็น)
ออกจากพิพิธภัณฑ์พวกเราก็มุ่งหน้าไปที่ปราสาทเมืองสิงห์ ตามกำหนดการของไกด์เอ๋ เดินถ่ายรูปได้ซักพัก เราก็เริ่มเกิดอาการ หางนกยูง syndrome (ท้องอืดเหมือนปลาหางนกยูงท้องแก่) จะเดินตามพรรคพวกไปดูหลุมฝังศพก็ไม่ไหว เลยปักหลักนั่งรออยู่ที่ปราสาท
แหล่งท่องเที่ยวแห่งที่ 2 นี่เองคุณนายนักช้อปของเราก็ได้ต้นโฮย่าลูกศรไปฝากแม่
ตอนนี้ทางรีสอร์ทเริ่มโทรหาอ๋อยแล้วว่าตกลงมาแน่หรือเปล่า และบอกทางให้คร่าวๆ ซึ่งกว่าจะรู้ว่าต้องผ่านทางลูกรัง 2 กม. ก่อนถึงรีสอร์ทก็เกือบจะถึงที่หมายกันแล้ว (โถ...ลำไส้ตู)

No comments: