Thursday, December 11, 2008

Central&South Vietnam (Part III)

18 พ.ย. 51

วันนี้เราซื้อ city tour แบบเต็มวันของ Sinh café มีรถบัสมารับแต่เช้า พวกเราได้เปรียบตรงที่โรงแรมมีอาหารเช้าให้และเป็นท่ารถด้วยเลยไม่ต้องเสียเวลามากนัก รถแล่นผ่านทะเลสาบที่สวยมากในยามฝนไม่ตก (ถึงน้ำจะเป็นสีดินแดงขุ่น) ไกด์พาเราผ่านสวนดอกไม้ (Vuon hoa Dalat) โดยไม่แวะตามโปรแกรม เพราะสวนกำลังจะลงดอกไม้ใหม่ให้ทันฉลอง 150 ปีดาลัด กลางเดือนธันวาคม จากนั้นพวกเราไปกันที่น้ำตก Datanla ซึ่งต้องลงไปตัวน้ำตกด้านล่างด้วย sliding car ที่วิ่งในรางคล้ายรถไฟเหาะให้เราบังคับรถวิ่งไปตามรางโค้งไปมา บางครั้งก็ลาดชัน เราซิ่งไปเป็นคนแรกแบบไม่กลัวแหกโค้ง จนต้องจอดรอคนอื่นๆ หลายครั้งกว่าจะตามกันทัน ตั๋วรถมีแบบไปกลับและไปอย่างเดียวเดินกลับ พวกเราซื้ออย่างแรกเมื่อรถลงมาถึงด้านล่างก็มองเห็นน้ำตก แวะถ่ายรูปกันสักพัก และถ่ายรูปกับพ่อแม่ลูกชาวมาเลเซีย ที่คนพ่อพูดไทยได้ แถมยังบอกว่ามีชื่อไทย ชื่อสมศักดิ์ นามสกุลภักดี (หลังจากนั้นอีก 3 วันเราจึงค่อยสงสัยกันว่าจะเป็นมุขตลกของแกหรือเปล่าที่ชื่อและนามสกุลเหมือนกับพระเอกลิเกสมัยเก่า) ขากลับหมอปุ้มทำตั๋วหาย ดีที่ไกด์ช่วยติดต่อกับเจ้าหน้าที่ให้ขึ้นรถกลับได้ โดยยืนยันว่าพวกเราซื้อตั๋วแล้วแน่นอน

เราไปแวะน้ำตกอีกที่ ชื่อ น้ำตก Prenn ที่ขนาดเล็กกว่า มีกระเช้าพาดผ่านเลียบน้ำตก (ซึ่งเราไม่ได้ขึ้น) ไกด์ถามตั้งแต่อยู่บนรถว่าใครจะขี่ช้างบ้าง ซึ่งช้างตัวนึงนั่งได้ 3 คนและราคาแพงมากคือ 15 นาที 9 US$ พวกเราลังเลว่าจะขึ้นช้างดีหรือเปล่าเพราะมีกัน 4 คน (คงต้องมีใครเป็นฝ่ายไป) แต่เดินไปเดินมาก็ไม่เห็นเจอช้างซักที มีแต่ม้า เลยได้แต่ถ่ายรูปกับทางเดินลอดใต้น้ำตก ที่ไม่ได้เดินไปจนถึงเพราะกลัวเปียก พี่ยี้ไปเปลี่ยนชุดชาวเขาเดินแบกกระบุงมาถ่ายรูปกันอย่างสนุก เสียดายที่พวกเรามาเห็นว่ามีขี่นกกระจอกเทศกันด้วยก็ตอนหมดเวลา เลยได้แต่มองดู จุ๋ยบอกว่านกกระจอกเทศดวงดีคอไม่หักเพราะโดนพวกเราขี่

ออกจากน้ำตกเราไปกันต่อที่ Linh Phuoc pagoda เป็นวัดที่มีสวนดอกไม้สวยมาก โดยเฉพาะดอกไฮเดรนเยียพวงใหญ่กว่าหน้าคน ถ่ายรูปกับดอกไม้และทะเลสาบจนเกือบไม่มีเวลาไปอธิษฐานที่ระฆังใหญ่ ซึ่งไกด์บอกว่าให้เราเขียนคำอธิษฐานบนกระดาษแล้วแปะเข้าไปด้านในของระฆัง พวกเราหากระดาษได้ก็เขียนๆๆ แบบรีบเร่ง ดีที่มีสก๊อตเทปอยู่แถวนั้น หมอปุ้มเลยเอามาติดกระดาษของพวกเราเรียงกันเป็นตับ (จริงๆ แล้วไม่ค่อยอยากแปะในแนวเดียวกันเลยนะเนี่ย กลัวได้อยู่บนที่สูงระดับเดียวกัน) ส่วนจุ๋ยได้แต่รอข้างล่างให้สาวๆ อธิษฐานกันไป

ที่ข้างๆ pagoda มี cable car อยู่ คราวนี้ไกด์ให้ซื้อแต่ตั๋วขาไป และจะเอารถไปรับอีกฝั่ง พวกเราได้กระเช้าสีน้ำเงินนั่งได้ 4 คนพอดี คราวนี้จุ๋ยไม่ยักกลัวเพราะไม่ค่อยสูงเท่าไหร่ แต่เวลาย้ายข้างถ่ายรูปจนกระเช้าแกว่งก็พาให้เสียวอยู่เหมือนกัน

กระเช้าไปถึงอีกฝั่งที่ใกล้โรงแรมที่พักของเรามาก พวกเราแวะพักกินสเต็กหมูค่อนข้างอร่อยและรวมอยู่ในค่าทัวร์ในโต๊ะเดียวกับสาวชาวแคนาดาที่มาเที่ยวคนเดียว และคู่รักชาวฝรั่งเศสที่สาวๆ ทุกคนในทีมเราลงความเห็นว่าหล่อมั่กๆ พี่ยี้อุตส่าห์ชวนคุยและแทะโลมว่านึกว่าเป็นคนอเมริกันที่ชื่อ คีนู รีฟซะอีก เล่นเอาพ่อหนุ่มถึงกับเขิน (แต่แฟนทำตาเขียว) พวกเราใช้เวลาที่เหลือกลับขึ้นห้องไปนอนย่อยอาหารก่อนจะไปต่อในช่วงบ่าย

ที่แรกที่เราไปถึงตอนบ่ายเป็นบ้านที่ออกแบบพิสดาร เป็นช่องโพรง มีบันไดเชื่อมต่อขึ้นลง เรียกว่า crazy house แก๊งค์บ้ากล้องเข้าไปถ่ายรูปตามห้องต่างๆ ที่ประดับไปด้วยรูปปั้นสัตว์ จนกลับมาที่รถบัสช้ากว่าคนอื่น หลังจากนั้นเราไปกันที่พระราชวังฤดูร้อนที่ใช้ล่าสัตว์ของกษัตริย์องค์สุดท้ายของเวียตนาม (Bao Dai ‘s summer palace) ซึ่งเป็นอาคารเล็กๆ ข้างในสามารถเดินเข้าชม แถมยังนั่งเก้าอี้ที่เคยทรงงานได้อีกต่างหาก อาเฮียมาเลเซียไปลองนั่งดูก่อนและพอดีพี่แกใส่หมวกคาวบอย เลยถูกไกด์แซวว่า king cowboy ส่วนจุ๋ยใส่หมวกแก๊ปนั่งเป็นอันดับต่อมา เราเลยตั้งให้เป็นคิงลี่ที่ 1

ในพระราชวังมีชุด king กับ queen ให้เช่าถ่ายรูปบนบัลลังก์กันด้วย ซึ่งแน่นอนว่าพวกเราพากันไปใส่ชุด ไม่สนใจห้องหับอื่นแล้ว แต่คราวนี้หมอปุ้มไม่ยอมบ้าด้วย บอกจะเป็นตากล้องให้ ส่วนพี่ยี้ที่ถูกชาวเวียตทึกทักว่าเป็นชาติเดียวกันมาหลายวัน ต้องรอตั้งนานกว่าจะได้เปลี่ยนเป็นชุดเจ้าหญิง แล้วรีบวิ่งดุ๊กๆ มาถ่ายรูปกับพวกเรา ได้เป็นภาพชุดสถาปนาคิงลี่ที่ 1 และหลังจากนั้นก็เป็นคิงลี่ที่ 1 ถูกเตะตกบัลลังก์ รวมมิตรเจ้าหญิงกำมะลอ คู่เลสควีนกะเจ้าหญิง ฯลฯ

เราไปกันต่อที่ Traditional embroidery village ที่เป็นส่วนแสดงงานปักด้วยมือที่สวยมาก บางรูปใช้เวลาและคนปักหลายคนอยู่ ทำให้นึกถึงรูปปักงานแต่งสุนันท์ขึ้นมาได้ ว่าใช้เวลากับคนปักหลายคนเหมือนกัน(ก็ยังไม่เสร็จ) พวกเราถ่ายรูปกับสวนดอกไม้ของที่นี่มากกว่างานปักซะอีก

สำหรับที่สุดท้ายของวันนี้คือ Valley of love ที่เป็นสวนดอกไม้ ประดับด้วยรูปปั้นต่างๆ เน้นแนวคู่รัก เราพาจุ๋ยกับพี่ยี้ไปถ่าย wedding ได้แป๊บเดียวก็ไปเจอสวนดอกไม้งามแงะ เลยทิ้งให้คู่รักมองตาปริบๆ แล้วโลดเข้าไปถ่ายรูปกับดอกไม้อย่างเมามัน (ไม่ลืมส่งกล้องไปให้ถ่ายให้ด้วย) วันนี้โชคดีมากที่แดดดี มีฝนปรอยๆ แค่พักเดียว ทำให้เราเที่ยวกันได้อย่างสนุก

ตอนบ่ายพวกเราพากันออกไปเดินเล่นในเมืองกันต่อ ผู้จัดการทริปเริ่มหิวอีกแล้ว เลยได้แวะ café ที่ข้อมูลบอกว่ากาแฟของดาลัดเป็นกาแฟชั้นดี ทั้ง 3 คน (ยกเว้นเรา) เลยสั่งกันมากิน กาแฟที่นำมาเสิร์ฟเป็นถ้วยแก้วแบบที่มีหม้อกรองอยู่ด้านบน ใส่เมล็ดกาแฟที่คั่วเสร็จชงน้ำร้อนเอาไว้ ส่วนแก้วกาแฟด้านล่างใส่นมข้นหวาน (คงมีเมลามีน) ไว้อย่างเดียว พวกเราเอาช้อนเขี่ยๆ ให้น้ำกาแฟไหลลงในถ้วยเร็วๆ ทำเอาเจ้าของร้านรีบเข้ามาห้ามบอกม่ายช่ายๆ แล้วเอาช้อนเขี่ยด้านบนแผ่นกรองนิดเดียวให้ค่อยๆ ไหลแบบ iv infusion ส่วนเราได้แต่ขำกลิ้งพลางจิบช็อคโกแลตที่สั่งมาเยาะเย้ย เพิ่งสังเกตได้ว่าค่าอาหารแต่ละมื้อรวมทั้งอาหารว่างอย่างมื้อนี้ราคารวมเป็นแสนด่องขึ้นไป นับว่าเป็นทัวร์ไฮโซพากินโดยแท้ กลับมานอนผึ่งพุงกันอีกครั้งก่อนออกไปกินอาหารเกาหลีที่เล็งไว้เมื่อคืนวาน อาหารรสชาติใช้ได้ยกเว้น hot pot ที่จุ๋ยสั่งไว้ว่าเลิกกินกันได้แล้ว มื้อนี้เรียกว่าปิดร้านกินเอาทีเดียว เพราะมีมีแต่พวกเรา 4 คนที่เป็นลูกค้าของร้าน สำหรับเครื่องเคียงอาหารเกาหลีพวกกิมจิ รากบัวดอง มีเสิร์ฟไม่อั้น ทำเอาพวกเรากินกันอย่างปรีเปรม (เค้าคงต้องเลิกนโยบายแบบนี้แล้วล่ะ) ฝนตกลงมาอีกครั้งพอดีกับที่พวกเรากลับถึงห้องใต้หลังคาอันอบอุ่นของโรงแรม

19 พ.ย. 51

วันนี้พวกเราออกเดินทาง 205 กม. ไปยาตรัง (Nha Trang) แต่เช้า เลยต้องตื่นและกินข้าวเช้ากันเร็วหน่อย รถวิ่งผ่านภูเขาได้สักพัก หมอปุ้มก็ทำท่าจะแย่เพราะเส้นทางโค้งไปโค้งมา รถแวะจอดที่ทางเบี่ยงบนภูเขาให้ได้เข้าห้องน้ำแบบที่เป็นแผ่นกระสอบมากั้นเป็นคอก เลยมีแต่จุ๋ยคนเดียวที่ไปเข้า แถมยังมาบอกว่าไม่ได้เข้าในห้องน้ำ แต่ไปฉี่ข้างห้องน้ำแทน....แป่ว ระหว่างทางบนเขามีดอกบัวตองบานสลับกับป่าสนสวยงามมาก แต่ถึงจะสวยยังไงหมอปุ้มก็อ้วกซะ..ดีที่ยังชมว่า Dramamine ออกฤทธิ์ดีกว่า Dimen ของโรงพยาบาลเยอะ หลังจากนั้นก็หลับเกือบตลอดทาง

รถมาแวะพักที่ปราสาทจามแถว Phan Rang ที่ดูคล้ายปราสาทหินพิมาย แต่ต้องเดินขึ้นเขาไปดูและเสียค่าผ่านประตู พวกเราเลยได้แค่เข้าห้องน้ำแถวที่จอดรถ และนั่งพักให้ลมพัดผ่าน พอให้หมอปุ้มหายเมารถและทิ้งถุงอ้วกไป จากนั้นรถไปจอดที่ร้านอาหารใกล้ๆ ทะเลให้ได้กินข้าวเที่ยง คาดว่าพี่ยี้คงจะเล็งลูกพลับมาตั้งแต่แผงลอยบนเขา มาเจอเจ้าของร้านอาหารเรียกให้ซื้อเลยได้มา 2 ลูก (ฝาดสนิท)

รถแล่นฝ่าฝนไปเรื่อยๆ ตลอดทางจนถึงยาตรัง เมืองริมทะเลและเป็นสถานที่ประกวดนางงามจักรวาล 2008 กว่าจะถึงสำนักงาน Sinh café สาขายาตรังก็ 14.30 น. พวกเราฝากของไว้ที่สำนักงาน เนื่องจากคืนนี้จะต้องเดินทางต่อไปฮอยอัน จากนั้นก็ข้ามถนนไปที่ทะเลซึ่งคลื่นลมแรงมากๆ แต่ยังมีฝรั่งนอนเกยตื้นกันตามเก้าอี้ชายหาด น้ำทะเลหน้านี้สีเทาแก่ผิดกับในโปสเตอร์ที่สีฟ้าสวย นั่งกันริมทะเลได้พักเดียวเราก็เรียก taxi (ก่อนพจนารถจะอ้อนกินอาหารทะเลนึ่งริมหาด) ไปวัดพระใหญ่ Long Son pagoda ที่ต้องเดินขึ้นบันไดไป 100 กว่าขั้น ฝนเริ่มตกลงมาจนชักจะขี้เกียจขึ้น แต่แล้ว ส.ว. (สูงวัย) ขาลุย 2 ท่านก็เดินนำขึ้นไป จุ๋ยกับพจเลยต้องจำใจเดินตาม องค์พระใหญ่ทำด้วยหยกสีขาว ที่ฐานเป็นห้องพระเล็กๆ มีลุงคนดูแลใจดียืนรอเปิดให้ได้เข้าไปไหว้พระในตอนเย็นแล้ว กลับลงมาด้านล่าง taxi คันเดิมยังรอให้เราเหมาไปรอบเมือง พวกเราเห็นว่ายังมีเวลาเหลืออีกมากเลยตกลง

เราไปแวะชมโบสถ์คริสต์ในเมือง ภายในตกแต่งสวยงามพอกันกับโบสถ์นอตเตอดามที่โฮจิมินห์ taxi ชักชวนให้ไปดูปราสาทหิน Ponagar Cham Tower นอกเมืองที่ไม่ไกลนัก แต่พอไปถึงได้แป๊บเดียว ฝนก็ตกลงมาราวกับฟ้ารั่ว แรกๆ พวกเราไปอาศัยหลบฝนในร้านค้าที่ปราสาทโดยอุดหนุนไอติมกัน แต่พอนานไปเราก็เลยต้องซื้อเสื้อกันฝนเพิ่มหลังจากลืมไว้ในรถ หลังจากนั้นก็พากันเดินกลับโดยที่ไม่ได้ถ่ายรูปให้สะใจอย่างที่คิดไว้ taxi พาเรากลับมาที่ชายหาดเดิมให้เดินถ่ายรูปกันทั้งเสื้อกันฝน แต่สรุปแล้วพวกเราก็ยังถือได้ว่าเที่ยวในเมืองได้ทั่วแล้ว ยังขาดการแช่โคลนบำบัดกลางแจ้ง ที่เป็นสิ่งขึ้นชื่อของเมืองอีกอย่างเดียว มื้อเย็นคราวนี้เป็นอาหารทะเลที่ไม่อร่อยเท่าเมืองไทย นั่งกินกันไปคุยกันไปจนเกือบได้เวลา เราก็มารอ sleeping bus ของ Sinh café ที่จะพาเรานอนไปฮอยอัน (ระยะทาง 530 กม.)

Sleeping bus เป็นรถค่อนข้างใหม่ มีเตียง 2 ชั้น บน-ล่าง แบ่งเป็น 3 แถวคือริมหน้าต่าง 2 ข้าง และตรงกลาง แต่ละเตียงเป็นเบาะเอนนอนได้เกือบ 180 องศา มีช่องให้เสียบเท้าเข้าไป(ใต้หัวคนอื่นที่นอนอยู่ข้างหน้า) และมีเหล็กกั้นเตียงพร้อมเข็มขัดรัดไม่ให้หล่น ทีแรกเรากะว่ากลิ่นรองเท้าคงตลบจนนอนไม่หลับ ดีที่เค้าให้เอารองเท้าใส่ถุงพลาสติกมัดให้แน่นเลยไม่มีปัญหา แรกๆ รถวิ่งโคลงเคลงนิดหน่อย แต่จุ๋ยกับพี่ยี้ที่นอนด้านริมหน้าต่าง (เรากับหมอปุ้มนอนแถวกลาง) บอกว่าถนนเสียและรถโคลงมาก นอนไม่ค่อยหลับ รถจอดให้เข้าห้องน้ำอีกครั้งตอนเที่ยงคืน จากนั้นเราก็หลับยาวไปจนเช้า

No comments: