รถมาถึง Sinh café ฮอยอัน 6.40 น. พวกเราแบ่งหน้าที่กัน โดยพจกับหมอปุ้มที่พูดภาษาเวียตนามได้นิดหน่อย แต่ภาษาอังกฤษไม่ได้เลย เฝ้าของอยู่ที่ office ส่วนจุ๋ยกับพี่ยี้ไปเดินหาโรงแรม ทั้ง 2 คนเลือกโรงแรมที่ไม่ไกลจาก office นัก เพราะติดใจความสะดวกเวลาจะขึ้นรถบัส จากนั้นเราก็เข้าคิวกันอาบน้ำ เนื่องจากห้องน้ำใช้ได้ใช้ได้ห้องเดียว ส่วนห้องจุ๋ยยังจัดห้องไม่เรียบร้อย พวกเราใช้เวลาเกือบ 10 โมงเช้า กว่าจะได้เดินไปหาข้าวเช้ากินในเขตเมืองเก่าของฮอยอัน
น้ำในเขตเมืองเก่าล้นตลิ่งขึ้นมาจนท่วมถนนด้านติดแม่น้ำ นักท่องเที่ยวบางพวกก็อาศัยเรือพายล่องไปตามแม่น้ำ พวกเราถ่ายรูปกันได้แป๊บเดียวกระเพาะอาหารก็เรียกร้องให้เดินหาร้านสำหรับกินข้าวเช้า ไปเจอเมนูแนะนำเป็นเกาเหลา (Cao lao)
เราผ่านร้านขายยาร้านเล็กๆ พี่ยี้เลยได้โอกาสซื้อยาระบายแก้ปัญหาลำไส้แปลกที่ ตอนแรกเขาไม่ขายให้เพราะเภสัชกรไม่อยู่ (ก็มีอยู่ที่ลูกค้า 2 ตัวแล้วไงอ้ะ) จนพวกเราเดินผ่านรอบ 2 พี่ยี้ถึงได้ถูกฟันค่ายาระบายสมุนไพรไปถึงแผงละ 75 บาท!!
เดินผ่านตลาดสดไปนิดเดียวก็เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงสิ่งของโบราณพวกระฆัง กระเบื้อง และแผ่นจารึกต่างๆ จนผู้จัดการทริปบอกว่าไปหาอะไรกินกันเหอะ เราก็เริ่มฉุกใจคิดได้ว่าตั้งแต่ 10 โมงเช้ามานี่ เรากินกันทุก 2 ชั่วโมงเลยแฮะ เดินเข้าไปดูของในตลาดกันอีกครั้งก็เจอเส้นเกาเหลาที่วางขายแบบขนมจีนบ้านเรา และขนมหน้าตาแปลกแต่น่ากิน พอไปถึงร้านอาหารได้พี่ยี้ก็บอกว่าสังเกตมาหลายครั้งแล้วว่าถ้าจุ๋ยหิวจะอารมณ์บูดสุดๆ ประมาณว่าก๊อซซิลล่าจะอาละวาด (มีเราทำท่าและเสียง Grr….. ประกอบ) ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วยว่าสมควรต้อง feed อาหารโดยด่วน ก่อนจะถล่มฮอยอัน กินกันจนอารมณ์ดีแล้ว พวกเราก็ผ่านร้านของที่ระลึกที่ป้าเจ้าของร้านพูดไทยได้ พวกเราเลยได้กระเป๋าตังค์กันมาหลายสิบใบ รวมทั้งกระเป๋าสะพายกันอีก 2 – 3 ใบ เรากลับไปพักผ่อนกันที่โรงแรมอีกครั้ง ก่อนจะเดินกลับไปกินมื้อค่ำที่ย่านเมืองเก่า โดยทีแรกตั้งใจจะเลือกร้านอาหารที่แนะนำในหนังสือ แต่เดินผ่านร้านหนึ่งที่บรรยากาศดี มีฝรั่งนั่งกินกันเยอะ แถมแหม่มที่เพิ่งเดินออกจากร้านก็ชักชวนว่าร้านนี้ดีอาหารอร่อย ซึ่งพวกเราก็ไม่ลังเลเลยที่จะเดินเข้าไป
21 พ.ย. 51
เช้านี้พวกเราต้องรีบตื่นกินข้าวเช้าที่โรงแรม เพื่อจะขึ้นรถไปเว้ (ระยะทาง 120 กม.) จุ๋ยบ่นว่าห้องนอนไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะหน้าต่างห้องด้านติดกับบันได ล๊อคไม่ได้ และมีคนมือบอนมาเปิด ยิ่งโดนพวกเราแซวก่อนเข้านอนว่าพนักงานต้องรับ (ชาย) ทำท่าจะติดใจจุ๋ย ทำให้ยิ่งนอนผวา นอกจากนี้ตอนกลางคืนยังมีเสียงปิดประตูดังมากเหมือนคนติดอยู่ในห้องน้ำต้องพังประตูออกหลายครั้ง หลัง check out แล้ว เราต้องวิ่งกลับมาที่โรงแรมอีกครั้งเพราะนึกได้ว่าจิ๊กกุญแจห้องไว้ไม่ยอมคืน
ส่วนคู่ฝรั่งที่นั่งด้านหน้าเราก็เอามือเอื้อมมาจับกันอย่าง sweet ซึ่งพอเราเหยียดเท้า (อันเหม็นสุดยอด) ไปตรงช่องว่างใกล้ๆ อย่างหมั่นไส้ มือที่จับกันไว้ก็มีอันต้องแยกจาก แถมยังต้องหันหน้าหันจมูกไปกันคนละทาง ฮี่ฮี่ เจอ aromatherapy สยบคู่รักเข้าไปถึงกับอึ้งล่ะสิ แต่รถวิ่งไปได้ไม่นานเราก็เริ่มเห็นใจ เอาด้านที่เป็นพิมเสนน้ำของยาดมออกมาทานวดเท้า เผื่อกลิ่นจะดีขึ้น
รถวิ่งผ่านดานังที่เป็นเมืองใหญ่ แต่ไม่ได้จอด เลยได้แต่ชมเมืองผ่านทางหน้าต่าง เที่ยงกว่าเราก็ถึงเว้ท่ามกลางสายฝนโปรยปรายและ taxi ที่มานำเสนอโรงแรมที่พักให้จนน่ารำคาญ พอจุ๋ยซื้อ city tour ของเว้เสร็จออกมาเจอ taxi นักตื๊อถึงกับหน้าหงิก ดูนาฬิกาเวลาเที่ยงกว่าแล้ว ก๊อซซิลล่ากำลังจะกลายร่าง พวกเราเลยพากันลากกระเป๋าไปที่ร้านอาหารใกล้ๆ เราที่กำลังปวดฉี่ก็ไปรอเข้าห้องน้ำ มีคนแซงไปถึง 2 คน เพราะลุงหัวหน้าทัวร์ของฝรั่งมาจัดแจงแบบไม่มองเล้ยว่าใครรออยู่บ้าง เราเลยหน้าบูดเป็นกาเมร่าไปอีกตัว! ถึงตอนหลังลุงจะมาชวนคุยทำนองขอโทษเราก็ไม่สนใจ พูดตอบแค่ว่ามาจาก Thailand มีพึมพำเป็นภาษาไทยต่อท้ายว่า “มึงไปได้แล้วกรูจะเยี่ยว” โชคดีที่แกงกะหรี่เนื้อที่สั่งรสชาติใช้ได้ กาเมร่าเลยกลับร่างเป็นน้องแพนเค้กเหมือนเดิม....ฮิ้วววว
คราวนี้ผู้จัดการตั้งเป้าหมายว่าเรานอนที่เว้ 2 คืน ขอเป็นโรงแรมดีนิดนึง (แบบไม่ต้องนอนผวา) ด้วยว่าเงินกองกลางก็ยังเหลือ หลังจากเรียก
ฝนยังตกหนาเม็ดจนพวกเราต้องอยู่กันแต่ในห้อง ดูหนังฝรั่งที่มี subtitle เป็นภาษาไทยของช่อง true ส่วนมื้อเย็นทางโรงแรมแนะนำร้านอาหารที่อยู่ในเขตพระราชวังเก่าให้ พร้อมโทรจองให้เสร็จสรรพ พอถึงเวลาพวกเราก็เรียก taxi ไปที่ร้านยี่เทา (Y thao garden) กินอาหารแบบ set menu ที่อร่อยมากโดยเฉพาะปอเปี๊ยะทอดที่ทำเป็นรูปนกยูง กินกันไปคุยกันไปจน 3 ทุ่มกว่า ก็ได้เวลากลับโรงแรม
No comments:
Post a Comment