Thursday, December 11, 2008

Central&South Vietnam (Part IV)

20 พ.ย. 51

รถมาถึง Sinh café ฮอยอัน 6.40 น. พวกเราแบ่งหน้าที่กัน โดยพจกับหมอปุ้มที่พูดภาษาเวียตนามได้นิดหน่อย แต่ภาษาอังกฤษไม่ได้เลย เฝ้าของอยู่ที่ office ส่วนจุ๋ยกับพี่ยี้ไปเดินหาโรงแรม ทั้ง 2 คนเลือกโรงแรมที่ไม่ไกลจาก office นัก เพราะติดใจความสะดวกเวลาจะขึ้นรถบัส จากนั้นเราก็เข้าคิวกันอาบน้ำ เนื่องจากห้องน้ำใช้ได้ใช้ได้ห้องเดียว ส่วนห้องจุ๋ยยังจัดห้องไม่เรียบร้อย พวกเราใช้เวลาเกือบ 10 โมงเช้า กว่าจะได้เดินไปหาข้าวเช้ากินในเขตเมืองเก่าของฮอยอัน

น้ำในเขตเมืองเก่าล้นตลิ่งขึ้นมาจนท่วมถนนด้านติดแม่น้ำ นักท่องเที่ยวบางพวกก็อาศัยเรือพายล่องไปตามแม่น้ำ พวกเราถ่ายรูปกันได้แป๊บเดียวกระเพาะอาหารก็เรียกร้องให้เดินหาร้านสำหรับกินข้าวเช้า ไปเจอเมนูแนะนำเป็นเกาเหลา (Cao lao) ซึ่งเป็นก๋วยเตี๋ยวเส้นโซบะแห้ง มีหมูและหนังหมูกรอบโรยหน้า อร่อยมาก จากนั้นเราลองเดินมั่วเข้าไปในบ้านโบราณ เลยโดนเจ้าหน้าที่เตือนให้ไปซื้อตั๋ว Ancient town of Hoian ก่อนถึงจะเข้าชมได้ ซึ่งตั๋วแบ่งออกเป็น 4 ส่วนใหญ่ คือ สะพานญี่ปุ่น (Japanese covered bridge) ที่เป็นสะพานมีหลังคาทรงญี่ป่น ส่วนอื่นๆ คือบ้านโบราณ พิพิธภัณฑ์และสมาคม (Assembly hall) ที่มีหลายแห่งให้เลือกเข้าอย่างละแห่งเดียวจาก 3 – 4 แห่ง

ถ่ายรูปกับสะพานญี่ปุ่นแล้วก็พากันเข้าไปในบ้านโบราณที่ลักษณะคล้ายบ้านคนจีน ทำด้วยไม้ทั้งหลัง ประดับภาพวาด และมีของที่ระลึกขายอยู่ข้างใน ถ่ายรูปกันอีกหลายชุดจนหิวอีกแล้ว เลยแวะกันที่ร้านไอติมทำเองแถวสะพานญี่ปุ่น แล้วก็เดินลัดเลาะไปที่ assembly hall ที่ไกด์จุ๋ยแปลให้ว่าเป็นสมาคม (แซ่ตั้ง) ที่มีลักษณะคล้ายวัด ข้างในมีธูปเป็นกรวยกลมคล้ายศาลเจ้าจีน ข้างในมีป้ายชื่อคนแขวนไว้ หลายอันที่เป็นภาษาไทย ทำให้พวกเราอยากจะแขวนมั่ง รีรออยู่จนเจอเจ้าหน้าที่พูดไทยได้ บอกว่าค่าธูป 800 บาท พวกเราถือโอกาสจ่ายด้วยเงินไทยและเขียนชื่อลงบนการ์ด มารู้ทีหลังว่าธูปนี้เรียกว่าธูปต่อชะตาที่พจนารถต่อราคาไปเรียบร้อยแล้ว...แฮ่

เราผ่านร้านขายยาร้านเล็กๆ พี่ยี้เลยได้โอกาสซื้อยาระบายแก้ปัญหาลำไส้แปลกที่ ตอนแรกเขาไม่ขายให้เพราะเภสัชกรไม่อยู่ (ก็มีอยู่ที่ลูกค้า 2 ตัวแล้วไงอ้ะ) จนพวกเราเดินผ่านรอบ 2 พี่ยี้ถึงได้ถูกฟันค่ายาระบายสมุนไพรไปถึงแผงละ 75 บาท!!

เดินผ่านตลาดสดไปนิดเดียวก็เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงสิ่งของโบราณพวกระฆัง กระเบื้อง และแผ่นจารึกต่างๆ จนผู้จัดการทริปบอกว่าไปหาอะไรกินกันเหอะ เราก็เริ่มฉุกใจคิดได้ว่าตั้งแต่ 10 โมงเช้ามานี่ เรากินกันทุก 2 ชั่วโมงเลยแฮะ เดินเข้าไปดูของในตลาดกันอีกครั้งก็เจอเส้นเกาเหลาที่วางขายแบบขนมจีนบ้านเรา และขนมหน้าตาแปลกแต่น่ากิน พอไปถึงร้านอาหารได้พี่ยี้ก็บอกว่าสังเกตมาหลายครั้งแล้วว่าถ้าจุ๋ยหิวจะอารมณ์บูดสุดๆ ประมาณว่าก๊อซซิลล่าจะอาละวาด (มีเราทำท่าและเสียง Grr….. ประกอบ) ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วยว่าสมควรต้อง feed อาหารโดยด่วน ก่อนจะถล่มฮอยอัน กินกันจนอารมณ์ดีแล้ว พวกเราก็ผ่านร้านของที่ระลึกที่ป้าเจ้าของร้านพูดไทยได้ พวกเราเลยได้กระเป๋าตังค์กันมาหลายสิบใบ รวมทั้งกระเป๋าสะพายกันอีก 2 – 3 ใบ เรากลับไปพักผ่อนกันที่โรงแรมอีกครั้ง ก่อนจะเดินกลับไปกินมื้อค่ำที่ย่านเมืองเก่า โดยทีแรกตั้งใจจะเลือกร้านอาหารที่แนะนำในหนังสือ แต่เดินผ่านร้านหนึ่งที่บรรยากาศดี มีฝรั่งนั่งกินกันเยอะ แถมแหม่มที่เพิ่งเดินออกจากร้านก็ชักชวนว่าร้านนี้ดีอาหารอร่อย ซึ่งพวกเราก็ไม่ลังเลเลยที่จะเดินเข้าไป

เราเลือก set menu ของร้าน Hai ที่คิดราคาต่อหัว ปริมาณอาหารที่ไม่มากไม่น้อยเดินไป และรสชาติอร่อย โดยเฉพาะปลาย่างใบตอง และ white rose (คล้ายข้าวเกรียบปากหม้อแต่เป็นใส้กุ้ง) อาหารอีกอย่างที่ขึ้นชื่อของฮอยอัน นอกจากเกาเหลา กลับมาที่โรงแรมอีกครั้ง ไม่รู้ว่าพี่ยี้เหนื่อยหรือว่ายาระบายแพงโครตกำลังจะออกฤทธิ์ พอเข้าห้องได้แกก็หลับยาว ปลุกให้ไปอาบน้ำเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น

21 พ.ย. 51

เช้านี้พวกเราต้องรีบตื่นกินข้าวเช้าที่โรงแรม เพื่อจะขึ้นรถไปเว้ (ระยะทาง 120 กม.) จุ๋ยบ่นว่าห้องนอนไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะหน้าต่างห้องด้านติดกับบันได ล๊อคไม่ได้ และมีคนมือบอนมาเปิด ยิ่งโดนพวกเราแซวก่อนเข้านอนว่าพนักงานต้องรับ (ชาย) ทำท่าจะติดใจจุ๋ย ทำให้ยิ่งนอนผวา นอกจากนี้ตอนกลางคืนยังมีเสียงปิดประตูดังมากเหมือนคนติดอยู่ในห้องน้ำต้องพังประตูออกหลายครั้ง หลัง check out แล้ว เราต้องวิ่งกลับมาที่โรงแรมอีกครั้งเพราะนึกได้ว่าจิ๊กกุญแจห้องไว้ไม่ยอมคืน

รถที่จะไปเว้คราวนี้เป็น sleeping bus อีก แต่พวกเรายืนยันตั๋วช้ากว่าคนอื่นเลยได้ไปนอนเรียงกันเป็นตับอยู่ท้ายรถ มีฝรั่งแนว ที่มีรอยสักตามแขนขาหน้าตาตะวันออกกลางนั่งข้างเรา ขึ้นรถได้ไม่นานจุ๋ยก็โวยเป็นภาษาอังกฤษ (ท่าทางจะตั้งสติไว้ก่อน) เพราะมีตัวชีปะขาวบินไปมาข้างกระจกที่จุ๋ยนั่ง พี่ยี้กับหมอปุ้มช่วยจับให้ก็ไม่สำเร็จ ต้องเอาถุงพลาสติกให้ฝรั่ง (หล่อเหมือนเบ็คแฮม) ที่นั่งข้างหน้าจุ๋ยจับให้ แต่พ่อเบ็คไม่ยักบี้ให้ตาย กลับเอาไปให้คนขับรถทิ้งให้...หน้าตาดีแล้วยังใจดีอีกตัวเอง

ส่วนคู่ฝรั่งที่นั่งด้านหน้าเราก็เอามือเอื้อมมาจับกันอย่าง sweet ซึ่งพอเราเหยียดเท้า (อันเหม็นสุดยอด) ไปตรงช่องว่างใกล้ๆ อย่างหมั่นไส้ มือที่จับกันไว้ก็มีอันต้องแยกจาก แถมยังต้องหันหน้าหันจมูกไปกันคนละทาง ฮี่ฮี่ เจอ aromatherapy สยบคู่รักเข้าไปถึงกับอึ้งล่ะสิ แต่รถวิ่งไปได้ไม่นานเราก็เริ่มเห็นใจ เอาด้านที่เป็นพิมเสนน้ำของยาดมออกมาทานวดเท้า เผื่อกลิ่นจะดีขึ้น

รถแวะพักที่ภูเขาหินอ่อน (Marble mountain) มีหินอ่อนสลักเป็นรูปต่างๆ ขายอยู่เยอะมาก พวกเราไม่ได้เสียเงินเข้าไปดูด้านในของภูเขา ได้แต่เดินหาห้องน้ำที่อยู่ไกลสุด พอเข้าห้องน้ำหญิงได้ก็ต้องเหวอแตกกับโถส้วมที่เรียงกันแบบไม่มีประตูกั้น จะไม่เข้าก็เสียดาย 1000 ด่องที่จ่ายไปแล้ว มองไปมองมาเห็นไม่มีคน เลยถือโอกาสล๊อคประตูใหญ่ไม่ให้ใครเข้า

รถวิ่งผ่านดานังที่เป็นเมืองใหญ่ แต่ไม่ได้จอด เลยได้แต่ชมเมืองผ่านทางหน้าต่าง เที่ยงกว่าเราก็ถึงเว้ท่ามกลางสายฝนโปรยปรายและ taxi ที่มานำเสนอโรงแรมที่พักให้จนน่ารำคาญ พอจุ๋ยซื้อ city tour ของเว้เสร็จออกมาเจอ taxi นักตื๊อถึงกับหน้าหงิก ดูนาฬิกาเวลาเที่ยงกว่าแล้ว ก๊อซซิลล่ากำลังจะกลายร่าง พวกเราเลยพากันลากกระเป๋าไปที่ร้านอาหารใกล้ๆ เราที่กำลังปวดฉี่ก็ไปรอเข้าห้องน้ำ มีคนแซงไปถึง 2 คน เพราะลุงหัวหน้าทัวร์ของฝรั่งมาจัดแจงแบบไม่มองเล้ยว่าใครรออยู่บ้าง เราเลยหน้าบูดเป็นกาเมร่าไปอีกตัว! ถึงตอนหลังลุงจะมาชวนคุยทำนองขอโทษเราก็ไม่สนใจ พูดตอบแค่ว่ามาจาก Thailand มีพึมพำเป็นภาษาไทยต่อท้ายว่า “มึงไปได้แล้วกรูจะเยี่ยว” โชคดีที่แกงกะหรี่เนื้อที่สั่งรสชาติใช้ได้ กาเมร่าเลยกลับร่างเป็นน้องแพนเค้กเหมือนเดิม....ฮิ้วววว

คราวนี้ผู้จัดการตั้งเป้าหมายว่าเรานอนที่เว้ 2 คืน ขอเป็นโรงแรมดีนิดนึง (แบบไม่ต้องนอนผวา) ด้วยว่าเงินกองกลางก็ยังเหลือ หลังจากเรียก taxi ไปส่งโรงแรม 3 ดาวตามที่หนังสือท่องเที่ยวแนะนำ แต่น่าเสียดายที่โรงแรมเต็ม ไม่มีห้องสำหรับ 2 คืน ดีที่เขาแนะนำโรงแรมระดับเดียวกันที่เพิ่งเปิดใหม่ ชื่อ New star มาให้ จุ๋ยถือโอกาสปลดผู้ช่วยเลือกห้องจากพี่ยี้ (ไม่ประทับใจโรงแรมในฮอยอัน) มาเป็นพจ ปล่อยให้อีก 2 สาวรอใน taxi พนักงานที่โรงแรมนี้ดีมาก พาพวกเราไปเลือกห้องแบบ 2 เตียงใหญ่ และแบบ 3 เตียงเล็ก ทั้ง 2 ห้องเสริมเตียง (สำหรับจุ๋ย) ให้นอนได้ 4 คน จุ๋ยเลือกห้อง 2 เตียงใหญ่ชั้น 7 โดยให้ความเห็นว่าห้องโปร่งกว่า ถึงวางเตียงเสริมแล้วก็ยังมีพื้นที่มากกว่า และที่แน่ๆ สอดคล้องกับสวรรค์ชั้น 7 (ถึงเหล่านางฟ้าที่มาด้วยจะรูปร่างหน้าตาตกเกณฑ์ไปไกลก็เถอะ) พวกเราก็เลยได้นอนโรงแรม 3 ดาวในราคาคืนละ 60 US$ ด้วยประการฉะนี้

ฝนยังตกหนาเม็ดจนพวกเราต้องอยู่กันแต่ในห้อง ดูหนังฝรั่งที่มี subtitle เป็นภาษาไทยของช่อง true ส่วนมื้อเย็นทางโรงแรมแนะนำร้านอาหารที่อยู่ในเขตพระราชวังเก่าให้ พร้อมโทรจองให้เสร็จสรรพ พอถึงเวลาพวกเราก็เรียก taxi ไปที่ร้านยี่เทา (Y thao garden) กินอาหารแบบ set menu ที่อร่อยมากโดยเฉพาะปอเปี๊ยะทอดที่ทำเป็นรูปนกยูง กินกันไปคุยกันไปจน 3 ทุ่มกว่า ก็ได้เวลากลับโรงแรม


No comments: