Thursday, December 14, 2006

สวัสดีเมืองไทย (11 ธ.ค.49)

มาถึงวันกลับซะที ใจนึงก็ยังสนุกอยากเที่ยวต่อ อีกใจนึงก็คิดถึงบ้าน (และคิดถึงงาน HA สุดหินที่รอ accredit อยู่) แต่เมื่อได้เวลาอันสมควร (กับสภาพคล่องทางการเงินในกระเป๋า) ก็ต้องตัดใจกลับบ้านมาทำงานใช้หนี้จุ๋ย (ที่จ่ายด้วยบัตรเครดิต) ซะที (จะขอใช้ด้วยร่างกายมันก็ไม่เอาอ่ะ)
เช้านี้ปล่อยให้นอนกันเต็มที่ ก่อนจะไปสนามบินก็ไปแวะเติมน้ำมันโดยที่เราเป็นเด็กปั๊มงวดที่ 2 ที่คราวนี้เริ่มคล่อง ไม่หกเลอะเทอะเหมือนคราวแรกอีก แล้วก็เริ่มรู้ทันคนขับที่ปลายตามามองประมาณว่า “พจไปเติมเด่ะ” จากนั้นก็แวะกันที่ Antarctic center ได้ดูนกเพนกวินสีน้ำเงินตัวเล็กในห้องกระจก แล้วก็เข้าไปในห้องสภาพจำลองขั้วโลกใต้ ที่มีทั้งรถสกีหิมะ ถ้ำน้ำแข็ง และก็พายุหิมะ ที่ -20 องศาเซลเซียส (หุ หุ ยัยหมอปุ้มแทบแข็งตาย) ดีที่ชุดที่ให้ใส่เปลี่ยนหนาและอุ่น จากนั้นก็เช็คตั๋วขึ้นเครื่องสิงคโปร์แอร์ไลน์อีกครั้ง ก่อนขึ้นเครื่องก็ใช้บัตรโทรศัพท์โทรหาแม่จนหมด เครื่องออก 13.20 น. ตรงเวลา เปลี่ยนเครื่องที่สิงคโปร์ ที่งวดนี้ไม่ต้องรีบมาก มีเวลาพักเกือบ 2 ชั่วโมง แล้วก็มาถึงสุวรรณภูมิ 22.00 น. รอรับกระเป๋าแล้วก็กลับพร้อมจุ๋ยที่เปลี่ยนใจไม่นอนคอนโด แต่กลับบ้านแทน ส่วนหมอปุ้มทางบ้านมารับกลับด้วยความเป็นห่วง ถึงบ้าน 0.30 น.

Christchurch (10 ธ.ค.49)



วันนี่ตื่นกันแต่เช้าตรู่ รู้สึกเสียดายที่นอนในห้องที่มีฮีตเตอร์มากๆ สำหรับจุ๋ยแล้ว ที่พักคืนที่ผ่านมาเรียกว่าเป็นสวรรค์เลยทีเดียว เนื่องจากไม่ต้องนอนในครัวอีกต่อไป เพราะ Bella vista ที่จองได้งวดนี้ ไม่มีห้องชุดเตียงเสริมแบบที่พวกเราเคยพักให้ แต่เป็นห้องที่มีประตูติดกันให้แทน จุ๋ยก็เลยมีห้องน้ำส่วนตัว และประตูที่ปิดล๊อคมิดชิด (กันเข้าหา) ระหว่างห้องให้ด้วย แต่ถึงยังไง ปลาวาฬก็ยังสำคัญกว่า (หลังจากไปมาแล้วอาจจะคิดว่าไม่จริ๊ง) ทำให้พวกเราต้องตะลีตะลานออกจากโรงแรมตั้งแต่ 7.00 น.
ไปถึงที่ทำการของ Whale watch เพื่อจ่ายเงินแล้วก็ดูวีดีโอปลาวาฬและสัตว์ทะเลได้พักนึง ก็มีรถบัสมารับพวกเราไปยังท่าเรือ คนขับเรือมาแนะนำตัวพร้อมกับบอกเสร็จสรรพว่าสภาพทะเลวันนี้มีคลื่นแรงอาจจะเกิด bump ได้นิดหน่อย ยัยหมอปุ้มกินยาเรียบร้อยก็เตรียมจะหลับ อีก 2 หน่วยที่เหลือพากันคิดว่าผ่าน shotover jet มาแล้วคงไม่มีปัญหา ที่ไหนได้ แค่เรือไต่สันคลื่นไปได้ไม่กี่นาที มาม่าที่กินกันตอนเช้าก็แทบจะออกมากองบนตัก นั่งเก็กกันต่อไป ไม่กล้าอ้วกให้อายฝรั่ง จนเรือผ่านไหล่ทวีปเข้าไปในเขตน้ำลึกพันกว่าเมตร ก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้น แต่เหมือนระฆังช่วยที่มีเสียงแจ้งมาว่าเจอปลาวาฬแล้ว เลยพากันออกไปที่หัวเรือเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์
หลังจากถูกหลอกให้ออกไปดูแต่น้ำเวิ้งว้าง 2 – 3 ครั้ง เราก็ได้เห็นปลาวาฬตัวเป็นๆ จนได้ (นึกว่าจะได้เงินคืนเพราะไม่เจอปลาวาฬซะแล้ว) แต่ขนาดไม่ใหญ่อย่างที่คิด เป็น sperm whale ที่มันไม่มาใกล้ๆ เรือซะด้วย เลยต้องคอยเพ่งสายตาหาความแตกต่างระหว่างตัวปลาวาฬกับคลื่นลูกใหญ่อยู่ซักพัก จนมันจะดำน้ำลงไปเลยได้เห็นหางโผล่ขึ้นมาฟาดอากาศแบบเต็มๆ พอเจอตัวที่ 2 คราวนี้ก็เลยเตรียมกล้องถ่ายวีดีโอ น่าเสียดายที่ไม่ได้มาโผล่แถบที่เรายืน ทำให้ต้องยื่นกล้องออกไปจับภาพแบบติดหัวคนอื่นมาเต็มไปหมด หลังจากนั้นก็ไม่มีปลาวาฬโผล่มาให้เห็นอีกเลย จะมีก็แต่นกอัลบาทรอส แล้วก็ฝูงปลาโลมา (ไม่ยอมกระโดดรอบเรืออย่างที่คิด) เลยกลับมานั่งคลื่นไส้ในเรือกันต่อ ในที่สุด จุ๋ยก็ทนไม่ไหวต้องคายมาม่าออกมาจนได้ งานนี้เราจึงเป็นฝ่ายชนะอมอ้วกไว้ได้นานที่สุด (ไม่นับหมอปุ้มที่ใช้ยา)ใช้เวลา 3.5 ชั่วโมงก็กลับมาถึงฝั่ง (ซะที) ให้เวลาจุ๋ย (และตัวเอง) พักซักหน่อย ออกไปชมวิวที่จุดชมวิว kaikoura peninsula ถ่ายรูปจนจุใจแล้วก็ไปหาข้าวกินกัน แวะร้าน fast food สำหรับสั่งกลับบ้าน ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอาหารแบบชุดใหญ่ให้กินในร้านด้วย มื้อนี้ก็เลยได้กินหอยใหญ่ชุบแป้งทอด เอ็นหอยชุบแป้งทอด แล้วก็เนื้อสัตว์ต่างๆ (เพิ่งรู้ว่าคอเดียวกับจุ๋ยก็มาเที่ยวคราวนี้แหละ เพราะพากันกินเนื้อสัตว์ ปล่อยให้หมอปุ้มกินผักไปอย่างเดียวดาย 555) แวะไร่องุ่นทำไวน์แป๊บเดียวก็นั่งรถยาวกลับมาที่ Christchurch พักที่เดิมคือ garden city หลังจากเช็คอินแล้วก็พากันเข้าเมืองไปเก็บของฝากที่เหลือ (แอบหวังเล็กๆ ว่าจะมีพาเหรดอีก) ช้อปกันจนนึกได้ว่าใกล้จะหมดตัวเต็มทีก็พากันหาข้าวกิน งวดนี้แวะร้านอาหารจีนที่อร่อยมากๆ เฮียจุ๋ยแนะนำซุปรสเด็ดที่กินแล้วอิ่มอุ่นถูกลิ้น จานถัดมาเป็นผัดเนื้อแกะรสชาติไทยๆ ตบท้ายด้วยไข่เจียวใส่กุ้ง ซึ่งแค่นี้ก็กินกันไม่หมด ต้องห่อกลับพร้อมทั้งสั่งข้าวผัดไว้กินตอนเช้าวันรุ่งขึ้น (เบื่อมาม่าและไข่ต้มฝีมือแม่ครัวเต็มที)

Kaikoura (9 ธ.ค.49)



วันนี้อากาศแจ่มใสแต่เช้า หลังจากฝนตกตลอดคืน ตกลงกันว่าจะออกเช้าหน่อยเพื่อไปแวะ Mount Cook แต่กว่าจะออกกันได้ก็เกือบ 8.00 น. เป้าหมายวันนี้ทำให้จุ๋ยต้องขับรถไกลมาก (ประมาณ 500 กม.) เพราะมีการเปลี่ยนแผนแทนที่จะไปตามเส้นทาง Arther’s pass และแวะพักที่ Springfield กลายมาเป็นไปดูปลาวาฬที่ Kaikoura ซึ่งอยู่ตอนเหนือของเกาะใต้ (มีหอยแมลงภู่ตัวอ้วนให้กินด้วย) Twizel --- Mount Cook --- Tekapo lake --- Ashburton --- Christchurch --- Kaikoura
Mount Cook เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศนิวซีแลนด์ มีความสูงถึง 3,754 เมตร อยู่ในเทือกเขา southern Alps (มียอดเขามากถึง 19 ยอด) ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักของเราพอสมควร ระหว่างทางต้องขับรถเลียบทะเลสาบ Pukaki ซึ่งสีฟ้าอ่อนของน้ำทะเลสาบ และอากาศที่แจ่มใสทำให้เห็นทิวเขาปกคลุมไปด้วยหิมะตลอดแนว (โดยไม่รู้ว่ายอดไหนคือ Mount Cook ) ทำให้ต้องจอดรถถ่ายรูปอยู่หลายรอบ ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะทำเวลา สุดทางจะมีโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว ชื่อ The Hermitage อยู่และมีเส้นทางให้เดินเข้าไปชมเป็นวันๆ พวกเราเลือกเดินไปทาง Hooker valley แต่แค่ลงจากรถก็สัมผัสกับความหนาว (ยังบ้าถ่ายรูปกันอยู่ โดยเฉพาะจุ๋ยที่ต้องการใส่เสื้อหล่อโดยไม่มีเสื้อกันหนาว) เดินไปเรื่อยๆ จนถึงจุดชมวิวแรกก็กลับ เพราะทั้งหนาวและลมแรง ยังเสียดายอยู่หน่อยที่ไม่ได้เข้าไปดูที่ Tasman valley ซึ่งเป็นถนนลูกรังที่ต่อไปจนถึง Tasman glacier ธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศนิวซีแลนด์
มาแวะพักเที่ยงที่ทะเลสาบ Tekapo ที่ไม่ค่อยตื่นเต้นแล้ว เนื่องจากสีของน้ำไม่ฟ้าใสเท่ากับ Pukaki จุ๋ยเดินหาที่โหลดรูปจากกล้องก็ต้องผิดหวัง เพราะเครื่องอัตโนมัติอัดให้ไม่ได้ พักกินข้าวเที่ยงกันแบบกองโจร (แฮมเบอร์เกอร์ในรถ) แล้วก็รีบไปต่อ เลยได้ไม่ได้ไปแอ็คถ่ายรูปกับโบสถ์ชุมพาบาล (Church of the good Shepherd) ติดทะเลสาบ ที่เห็นอยู่ลิบๆ ตามเส้นทางย้อนกลับ Christchurch แวะอีกทีที่ Ashburton เจอร้านถ่ายรูปปิดช้าอยู่ร้านนึง (วันเสาร์จะปิดกัน 13.00 น.) เลยโหลดได้สมใจ แล้วก็ถือโอกาสเปิด internet หาข้อมูลที่พักคืนนี้และจองทัวร์ดูปลาวาฬ ใช้วิธีโทรถามก็ได้ที่พัก Bella vista และดูปลาวาฬรอบ 7.45 น. (ทำเอาใจไม่ดี เพราะไม่ได้จองกันไว้ล่วงหน้า)
ฝนยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ยัยหมอปุ้มเจอหนาวมาเกือบทั้งวันก็เวียนหัว ไข้ขึ้น พับไปแล้ว เหลือแต่คนขับกะเนวิเกเตอร์ เลยได้แต่ชวนกันคุย (นินทา) เพื่อนแก้ง่วงกันไปตลอดทาง
Kaikoura เป็นเมืองชายทะเล ที่กว่าจะไปถึงได้ต้องขึ้นเขา ลงเขามาได้ก็ต้องวิ่งรถขนานไปกับทางรถไฟติดชายฝั่ง แถมเจอฝนตก ทำให้ขับรถค่อนข้างยากทีเดียว ไปถึงกัน 20.30 น. วนหาที่พักจนเจอ โชคดีที่ลุงเจ้าของใจดี โทรจองร้านอาหารที่มีหอยอร่อยให้ มื้อนี้เลยเป็นโบนัสสำหรับคนที่ไม่ได้หลับ (เรากะจุ๋ย เพราะหมอปุ้มไม่สบายเลยกินอะไรแทบไม่ได้) ทั้งสเต็กแกะและหอยแมลงภู่ (mussel) ตัวเบ้ง (ขนาด 3 เท่าเมืองไทย) ทำเอาลืมความเหนื่อยยากที่อุตส่าห์ถ่อกันมาจนถึง เสียดายอยู่หน่อยที่ไม่ได้กินอาหารดังอีกอย่างของที่นี่คือ crayfish หรือกุ้งมังกร ที่คงแพงจนผม (ไม่แค่ขนหน้าแข้ง) ร่วงกราว (แต่ถ้าชวนจุ๋ย กลัวใจเหลือเกินว่ามันไม่ลังเลที่จะสั่ง) ไอ้เจ้ากุ้งมังกรที่ว่าเป็นของดังคู่กะหอย กล่าวคือมันเป็นที่มาของชื่อเมือง Kaikoura เอาเลย เพราะในภาษาเมารี Kai = food , Koura = crayfish รวมกันก็จะได้ meal of crayfish เอาเป็นว่าถึงจะดังแต่อาจเป็นอาหารที่ทำให้เกิดโรคซาง (จั๊บ) ได้ ก็เลยต้องปล่อยให้มันลอยนวลไปก่อน

Twizel (8 ธ.ค.49)



Queenstown --- Arrow town --- Wanaka --- Twizel --- Mount Cook วันนี้ตื่นมาต้มมาม่ากินกันอีกเช่นเคย ดีหน่อยที่ไก่ KFC เหลืออยู่เลยได้มีเนื้อสัตว์ปนเข้ามากับแป้งบ้าง ออกจาก Queenstown ไป Arrow town ที่บ้านเมืองสร้างแบบคาวบอยโบราณ เดินๆ อยู่เจอหมาน่ารักเลยขอถ่ายรูป เจ้าของเป็นคนคุยเก่งและเคยมาเมืองไทยเลยคุยกันนาน (เพราะฝ่ายนู้นฟังไม่รู้เรื่อง) จากนั้นไปเมือง Wanaka ที่ต้องขึ้นเขาไปจนจุ๋ยท้อใจ แต่พอไปถึงเป้าหมายของเมืองคือ puzzle world ก็สนุกกันจนลืมลำบาก เพราะมีทั้งห้องแสดงภาพลวงตา และมีเขาวงกตที่ใช้เวลา (หลง) นานอยู่ กว่าจะออกได้ แล้วก็ไปถ่ายรูปกับตู้ไปรษณีย์เอียงๆ กันอย่างสนุกสนาน กว่าออกรถไปยังที่หมายวันนี้คือ Mount Cook ได้ก็เกือบ 14.00 น. วิ่งรถมาได้ซักพักก็ฝนตกอีก ดีที่พอจะจำได้ว่าที่พักอยู่ที่เมือง Twizel ไม่ใช่ที่ Mount Cook อย่างที่คิดว่ามันติดกัน (ที่จริงห่างตั้ง 63 กม.) เลยได้เข้าไปเช็คอินทั้งที่ฝนยังตกหนัก แล้วก็พากันไปฟาร์มปลาแซลมอลใกล้ๆ ที่พัก ที่เหมือนกับเปิดรอพวกเรา เพราะเวลาปิดของเขาคือ 17.00 น. แต่เราไปถึงก็ 17.30 น.แล้ว ทำให้มีโอกาสได้ให้อาหารปลาด้วย (ทั้งที่ฝนยังตกอยู่)) ฟาร์มปลาแซลมอนที่นี่จะมีลักษณะเป็นแพลอยอยู่กลางคลองส่งน้ำ โดยที่น้ำในคลองส่งน้ำมีต้นกำเนิดมาจากทะเลสาบ ซึ่งเกิดจากการละลายของธารน้ำแข็งและฝนที่ตกบนเทือกเขา ดังนั้นน้ำที่ใช้เลี้ยงปลาที่นี่จึงสะอาดและบริสุทธิ์มาก เราได้ปลาดิบที่ทำแบบญี่ปุ่น แล้วก็เนื้อปลาสด โดยจุ๋ยบอกว่าจะทำหน้าที่พ่อครัวทำปลาอบให้กินก็เลยต้องตามใจ (เพราะทำไม่เป็น)
กลับมาหมักปลาทิ้งไว้แล้วไปแวะซื้อของเพิ่มที่ซุปเปอร์ ฝนก็ตกลงมาหนักกว่าเก่า ทำให้โปรแกรมที่จะเข้าไป Mount Cook ต้องงด จะเปลี่ยนไปเป็นทะเลสาบ Rautaniwha ที่อยู่ใกล้ๆ ก็ไปกันไม่ถูกอีก เลยกลับมากินปลาอบ (ไม่น่าเชื่อว่าจะอร่อย!!) กันที่บ้าน

Tuesday, December 12, 2006

Queenstown (7 ธ.ค.49)

วันนี้ยังกินไข่ต้มกันเหมือนเดิม และที่แปลกใหม่? คือมาม่า ที่ต้มรอจุ๋ยอาบน้ำไม่เสร็จซะทีจนอืดไปหมด เส้นทางวันนี้คือ Te Anau --- Mossburn --- Kingston --- Queenstown ซึ่งยังผ่านทุ่งน้องแกะอยู่ แวะดูรถจักรไอน้ำที่ Kingston แล้วก็ขับรถเลียบทะเลสาบ Wakatipu ที่ยาวไปตามถนนตลอดแนว ถึง Queenstown ตอนเที่ยง ไปแวะ i-site เจ้าเก่า ได้ที่เที่ยวตอนเย็นเป็น skyline gondola กระเช้าลอยฟ้า จากนั้นก็ไปยืนยันการจอง shotover jet เจอร้านอาหารไทยที่คนเสริฟคนไทย (ได้คุยกับคนอื่นเป็นภาษาไทยซะที) แถมยังเปิดเพลงเสกโลโซซะด้วย (ชักคิดถึงบ้าน) เมือง Queenstown อยู่บนเขา ที่จอดรถก็น้อย หลังจากที่เราวนรถหาที่พักจนเจอ ก็เลยตัดสินใจจอดรถไว้แล้วค่อยเดินเข้าเมืองกันแทนที่พักคืนนี้ Wakatipu apartment ห้องนึงมี 2 ชั้น เป็นงวดแรกที่จุ๋ยจะได้ครองชั้นบนคนเดียว แถมเป็นห้องประมาณใต้หลังคาที่กว้างขวางเอาการ สลับกับ 2 สาวที่เตียงอยู่ติดประตูทางเข้า ไว้คอยนอนกันคนเข้าหาจุ๋ย เสียเวลาเรื่องที่พักนิดหน่อยเพราะไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่ กว่าจะโทรไปถามแล้วรู้ว่าเขาเสียบกุญแจไว้ที่ห้องพักก็กินเวลาไปเยอะ ทำให้ต้องรีบเดินเข้าเมืองเพื่อไปขึ้นรถไปเล่น shotoverjet ยัยหมอปุ้มอัด dimen เข้าไปเต็มที่เพราะกลัวจะเมาเรือด่วน แต่เอาเข้าจริงกลับสนุกกับการซิ่งฉวัดเฉวียน และหมุนควง 360 องศา ขากลับเก็บรูปที่ระลึกกลับมา ส่วนพ่อหนุ่มขาช้อปก็ได้หมวกอันใหม่สีแดงแปร๊ด มาใส่บังหัวล้านแทนหมวกพอสซั่มกลับมาเดินเที่ยวในเมืองรอเวลาขึ้น gondola โดยไปแวะร้านของฝากที่มีทั้งครีมรกแกะ ช็อกโกแลต พวงกุญแจ ตุ๊กตา ฯลฯ เราไปเล็งๆ ครีมรกแกะไว้ให้แม่โดยตกลงจะแบ่งกะหมอปุ้มคนละ 3 กระปุกจุ๋ยชวนไปกินอาหารตุรกีเป็น Kebab ที่หน้าตาเหมือนกุ้งพัฟ KFC มีแป้งหนาๆ ห่อเนื้อสัตว์ที่ย่างแล้วหั่นเป็นชิ้นบางๆ เราเลือกกินเนื้อแกะแบบเผ็ด ขนาดเลือกอันเล็กยังกินกันไม่หมด แล้วก็ได้เวลาเดินไปขึ้น gondola ที่เป็นกระเช้าใสและค่อนข้างสูงไปสู่ยอดเขา Bob’s peak ทำเอาจุ๋ยที่กลัวความสูงไม่กล้ามองลงข้างล่าง (แต่ยังถ่ายรูปกันในกระเช้าอย่างรื่นเริง) สถานี gondola ด้านบนเป็นร้านขายของและร้านอาหาร มีห้องโชว์ชาวเมารีที่พวกเราซื้อทัวร์มาดูอยู่อีกด้านหนึ่ง มองเห็นจุดกระโดดบันจี้จัมพ์อยู่ใกล้ๆ เสียดายที่ไม่ได้เล่นเลื่อน luge เป็นเลื่อนท้องแบน 3 ล้อ ผ่านถนนคดเคี้ยวเส้นเล็ก รอบๆ เขา เพราะคะยั้นคะยอจุ๋ยเท่าไหร่มันก็ไม่เอา คงรู้ว่าต้องขึ้นกระเช้าห้อยขา (ที่เสียวกว่า gondola) ขึ้นไปอีกทอดหนึ่งเพื่อขับ luge ลงมาตามทางลาดเอียง ระหว่างรอรอบโชว์ก็เอาบัตรโทรศัพท์ pin phone ซื้อที่ร้าน kebab มาลองโทร ปรากฏว่าโทรไม่ได้ มารู้ทีหลังว่ากดรหัสผิด มาได้โทรอีกทีตอน 4 ทุ่มรู้สึกแม่จะดีใจมาก ถึงจะ e-mail ฝากให้ปริญโทรไปหาแม่เป็นระยะแล้วก็เถอะโชว์เมารี หรือ kiwi haka เป็นโชว์ที่เอะอะมาก ทั้งดนตรีและคนเต้น ที่แต่งหน้าเหมือนนักรบโบราณพร้อมกับแลบลิ้นปลิ้นตา คนดูมีไม่ถึง 10 คน เขาก็เลยเชิญให้พวกผู้หญิงออกไปร่วมแสดงด้วยโดยให้ลูก point ที่ลักษณะคล้ายลูกประคบ แต่มีเชือกผูกออกมายาว ใช้หมุนเหวี่ยงไปมา ขึ้นลง ตามที่เขาบอก เราทำไม่ค่อยได้แต่ก็สนุกดี พอถึงตาพวกผู้ชายบ้าง ปรากฎว่าจุ๋ยต้องออกไปเต้น กระทืบเท้า แล้วก็แลบลิ้น เราหัวเราะจนท้องแข็งกว่าจะถ่ายรูปได้ ขากลับแวะซื้อครีมรกแกะที่เล็งไว้ แล้วก็ซื้อ KFC กินกันรอบดึก

Te Anau (6 ธ.ค.49)

วันนี้ยังอยู่ Te Anau เช้ารอรถที่จะมารับไป Milford sound ในอุทยานแห่งชาติ Fiordland ซึ่งเป็นผืนน้ำที่เป็นส่วนเว้าของทะเลทาสมัน ซึ่งถูกโอบล้อมไว้ด้วยหุบเขาที่แคบและหน้าผาสูงชัน โดยส่วนที่เป็น sound คือบริเวณที่ธารน้ำแข็งกัดเซาะแล้วถูกแทนที่ด้วยน้ำทะเล ส่วน Fiord คือส่วนที่เป็นภูเขาและหน้าผาแหลมยื่นออกไปในน้ำ เรานัดรถไว้ 7.50 น. ออกมาตรงเวลาพอดี จุ๋ยเลยเครียดว่ารถจะไปแล้วหรือเปล่า แถมตาโจ๋เจ้าของ motel ที่จองให้ก็ยังไม่มาซะด้วย กระวนกระวายกันพอสมควรก็พอดีมีรถตู้วิ่งมาจอดแล้วก็ทักถามพร้อมเรียกขึ้นรถ เลยโล่งใจไปได้ มีฝรั่งไปด้วยอีก 3 คน รถเลยไม่แน่นมาก แวะจอดให้ถ่ายรูปกันเป็นระยะ จุ๋ยหายเครียดแล้วก็เลยกลับมาคุยจ้อหลังจากแวะถ่ายรูปที่ mirror lake ที่มีป้ายตัวหนังสือกลับหัวให้อ่านชื่อในน้ำ แต่แดดยังไม่ค่อยมีเลยได้รูปภูเขาที่สะท้อนในน้ำไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ จากนั้นก็ขึ้นเขา ลงเขา ลอดอุโมงค์ Homer ที่เดินรถทางเดียวระยะทาง 1,200 เมตร (มีสัญญาณไฟแดงที่ปากอุโมงค์ ทุก 15 นาที พอมีวิวให้ดูสบายตา ตามข้างทางแถวลำธารจะมีดอกไม้สีโทนม่วงออกดอกเต็มพรืดไปหมด กว่าจะไปถึง Milford sound ก็ 10.30 น. ลงเรือ cruise ลำใหญ่พาไปแวะดูตามหน้าผาในทะเลสาบ ที่เป็นผลมาจากการกัดกร่อนของธารน้ำแข็ง เจอเจ้าแฮรี่ (ชื่อแมวน้ำ) ที่ใต่ขึ้นมานอนอาบแดดบนก้อนหินสูงให้ดูอย่างไม่กลัวคน เห็นเพ็นกวินว่ายน้ำอยู่ลิบๆ แต่ไม่เห็นโลมา นอกนั้นก็มีน้ำตกอยู่เรื่อยๆ โชคดีที่วันนี้อากาศดีเลยให้เห็นวิวสวยในทะเลสาบที่น้ำนิ่ง ใช้เวลาตรงนี้ 1.5 ชั่วโมง เรือก็พาเราไปแวะที่ Milford deep หอสังเกตการณ์ใต้น้ำบริเวณ Harrison cove กันต่อ ตัวอาคารเหมือนแพลอยน้ำ มีห้องกระจกยื่นลึกลงไปในน้ำประมาณ 9 เมตร ตรงจุดที่คาดว่าพวกปลาน้ำลึกจะมาอาศัยอยู่เพราะเป็นบริเวณที่น้ำสะอาดกว่าที่อื่น ขากลับได้เดินป่าที่เต็มไปด้วยมอสแบบสบายๆ เห็นนก kia นกแก้วประจำถิ่นออกมาให้ถ่ายรูป (เพราะมันอยากกินกล้วยหอมของนักท่องเที่ยว) กลับมาถึงที่พัก 16.30 น. แวะกินพิซซ่า ไปหยอดเหรียญซักผ้าแล้วก็ออกไปเดินและกระโดดถ่ายรูปกันริมทะเลสาบอย่างสนุกสนาน จุ๋ยอุตส่าห์ใส่เสื้อกล้ามและสร้อยหยกเส้นใหม่ฝ่าลมหนาวไปเก็กถ่ายรูปอย่างไม่กลัวหนาว (ทำปายได้)

Te Anau (5 ธ.ค.49)

วันนี้อาหารเช้าเป็นไข่คน เพราะว่ากระทะของ Bella Vista เป็นเทฟล่อนอย่างดี ร้อนช้ามากและไข่ติดกระทะ เลยต้องเขี่ยให้กระจายเป็นเศษไข่ แต่คนกินก็ยัง (จำต้อง) กระเดือกกินกันจนหมด อาหารอย่างอื่นก็มีไก่กะเฟรนซ์ฟรายของ KFC ที่เหลือจากเมื่อวาน และไข่ต้มเจ้าเก่า เป้าหมายของวันนี้จาก Dunedin---Balclutha---Gore---Lumsden---Te Anau ที่ตลอดทางผ่านทุ่งหญ้าและภูเขาที่มองไปทางไหนก็มีแต่แกะ ผิดกับเมื่อวานที่เป็นเส้นทางผ่านเมือง มีแต่บ้านชั้นเดียวปลูกดอกไม้ประดับสวยๆ มีการซ่อมปิดทางที่ Gore ทำให้เราต้องใช้ทางเลี่ยงที่มีแกะเยอะกว่าเก่า (ว้าว) หยุดถ่ายรูปให้น้องแกะตกใจเป็นพักๆ จนจุ๋ยเริ่มสังเกตเป็นพิเศษว่าแกะที่นี่ส่วนใหญ่จะก้นดำ (ทำไมมองตรงนั้นก็ไม่รู้) แวะกินข้าวที่ Gore ตั้งแต่ 11.30 น. เพราะฝนเริ่มหนาเม็ด อากาศเย็นลงจนอยากได้สเวตเตอร์ขนแกะเพิ่ม ลงไปเดินในเมืองได้ไม่นานจุ๋ยก็ได้เสื้อขนแกะปนพอสซั่มที่นิ่มมาก บังเอิญร้านนั้นมีแต่เสื้อผู้ชายก็เลยไปแวะกินข้าวกันต่อ เป็นร้านบุฟเฟต์ชาวจีนจานละ 7 เหรียญ รสชาติถูกลิ้นคนไทยมาก มีข้าวผัด ผัดผักใส่เนื้อ/ไก่ ไก่ทอดแล้วก็เกี๊ยวหมูทอด (แต่ต้องตักให้อยู่ในจานเดียว) สงสัยจะกินเข้าไปเยอะ บ่ายเลยเริ่มง่วง คนขับก็ง่วง ดีที่เราถึง Te Anau กันซะก่อนไปแวะที่ i-site ก็เลยได้ที่เที่ยวเย็นนี้ เป็น glowworm cave เข้าถ้ำดูหนอนเรืองแสง ก่อนจะไปยังพอมีเวลาก็เลยเดินดูสินค้ากันในเมือง แต่แค่ร้านเดียวก็แทบสิ้นเนื้อประดาตัวเพราะเป็นร้านเสื้อขนสัตว์ เรากะยัยหมอปุ้มได้สเวตเตอร์ขนแกะกะพอสซั่มคนละตัว บวกกับหมวกอีกอย่าง ที่ใส่แล้วอุ่นและนุ่มม้ากมากที่พักคืนนี้และคืนถัดไปเป็น Edgewater motel อยู่ติดทะเลสาบ Te Anau ถึงห้องน้ำจะแคบไปนิดแต่เจ้าของยังหนุ่มและหล่อแบบโจ๋ๆ เลยให้อภัย ตอนเย็นพวกเราไปรอเรือของ realjourney พาไปยังถ้ำหนอนเรืองแสง โดยตัวที่เรืองแสงจริงๆ เป็นหนอน (larva) ของแมลงชนิดหนึ่งคล้ายยุง อยู่ในโพรงถ้ำที่เกิดจากน้ำเซาะเป็นทาง โดยที่แสงจะเป็นจุดเล็กๆ สีเขียว เกาะอยู่บนเพดานถ้ำที่มีน้ำไหลผ่าน ซึ่งกว่าจะไปถึงต้องผ่านน้ำตกที่ไหลแรงและมีน้ำวน จากนั้นถึงจะมีเรือลำเล็กมารับพายวนชมโพรงถ้ำที่มืดสนิท มีแสงเล็กๆ เหมือนดวงดาวระยิบระยับอยู่ประปราย สวยสุดๆ ขากลับไกด์ชี้ให้ดูไข่ของแมลงพวกนี้ติดอยู่เป็นสายยาวตามผนังถ้ำเหมือนกับใยแมงมุมที่มีหยดน้ำเกาะเป็นทางกลับมากินสเต็กแกะกันที่ Te Anau จากนั้นจุ๋ยเข้าไปโหลดรูปจากกล้องที่ร้านขายยา เลยได้โอกาสสำรวจ ว่าเป็นร้านประเภทที่ขายยา เครื่องสำอาง เครื่องใช้พวกแว่นกันแดด ตุ๊กตา ฟิล์มถ่ายรูป โหลดรูป แล้วก็แบ่งเป็นส่วนที่ใช้ปรุงยาและจัดยาโดยเภสัชกรเป็นคนจัดให้ซึ่งลูกค้าจะเข้าไปไม่ได้ และเภสัชเองก็ต้องมีประกาศนียบัตร Clinical community pharmacy ด้วย

Monday, December 11, 2006

Dunedin (4 ธ.ค.49)




เช้านี้ฝนตก ตื่นขึ้นมาก็ทำหน้าที่แม่ครัวคือ เจียวไข่ ต้มไข่ ปิ้งขนมปัง wave ไส้กรอก ต้มน้ำเผื่อกินกาแฟ ไข่เจียวออกมาค่อนข้างดี ถึงจะจืดไปหน่อยเพราะไม่กล้าใส่เกลือเยอะ กว่าจะได้ออกจากบ้านกันก็ 8.00 น. อากาศข้างนอกหนาวจนบ่นกับตัวเองว่าคิดผิดที่ใส่กางเกงขาสั้น ออกจากเมืองได้หน่อยฝนก็หยุด วันนี้จะไปถึง Dunedin เมืองริมทะเล ออกจาก Christchurch---Ashburton---Timaru---Oamaru----Dunedin พวกเราแวะถ่ายรูปที่สวนกุหลาบใน Timaru (แดดออกแล้ว) แล้วก็มากิน KFC มื้อเที่ยงกันที่ Oamaru เจอคนไทยมาทักด้วยเพราะเราใส่เสื้อเหลือง หลังจากนั้นแวะไปดูหินรูปทรงกลมในทะเล ที่ถูกลูกคลื่นซัดจนกลมคล้ายลูกนิมิต เรียกว่า Moeraki bounders
แต่ละเมืองในนิวซีแลนด์จะมีแผนที่ถนนอย่างละเอียดและแหล่งท่องเที่ยวโดยเราต้องไปขอที่ i-site (ถ้าเป็นบ้านเราคงเป็น ททท.) ซึ่งมีข้อมูลละเอียดและสามารถจองทัวร์ของเมือง หรือทั้งเกาะ ได้ที่นี่เลย
คืนนี้พักกันที่ Bella Vista ของ Best Westurn (ขนาด qualmark 4 ดาว) ที่มีเครื่องอำนวยความสะดวกเพียบรวมทั้งราวตากผ้าไฟฟ้าที่แห้งเร็วสมใจ
เช็คอินเรียบร้อยแล้วก็ออกคาบสมุทร Otago หวังจะดูนกอัลบาทรอสและนกเพนกวินตาเหลืองก็ต้องผิดหวังเพราะศูนย์นักท่องเที่ยวปิดตอน 5 โมงเย็น จุ๋ยที่ต้องขับรถเลียบชายฝั่งไปกว่าชั่วโมง (ด้วยความเสียวเพราะถนนแคบไม่มีที่กั้นทางและอยู่ชิดอ่าว) ถึงกับเซ็ง แถมอากาศก็หนาวสุดๆ มีลมแรง แต่ก็ไม่ทำให้ บรรดา photographolic (พวกบ้ากล้อง) ทั้งหลายถอดใจ ได้ถ่ายรูปกับประภาคารและสาหร่าย kelp เหนือคาบสมุทรก็ยังดี กลับมาในเมืองยังถ่ายรูปกับสถานีรถไฟที่สร้างสวยมาก ตอนเกือบ 3 ทุ่มอีก ถึงหน้าร้อนนิวซีแลนด์ครั้งนี้จะผิดจากที่คาดไว้มากเพราะมีฝนแล้วก็อากาศเย็น แต่พระอาทิตย์ก็ยังตกช้าและกลางคืนสั้น ตี 5 กว่าก็สว่างแล้ว กว่าจะมืดก็ 21.30 น. ทำให้เราได้กำไรเรื่องเวลาเที่ยว มื้อเย็นแวะกินอาหารเกาหลี เริ่มฉลาดที่สั่งแค่ 2 จานมากิน 3 คน (อาหารจานใหญ่มาก) น้ำชาเขียวหอมแบบแปลกๆ แต่ก็อร่อย (เพราะหิว) กลับมาแวะซื้อไข่ให้แม่ครัว (ที่ทำเป็นแค่เจียวกับต้ม) แล้วก็แยกย้ายกันเข้านอน

Christchurch (3 ธ.ค.49)



เหยียบสนามบิน Christchurch หนแรกก็ตื่นตาตื่นใจกับ ตม. รูปหล่อ (คราวนี้เริ่มฉลาด รวมพาสปอร์ตเป็นกลุ่มแล้วให้จุ๋ยไปยื่น เลยไม่ต้องถูกถามทีละคนเหมือนที่เมืองไทย) แต่พอถึงตอนตรวจเช็คกระเป๋า ยัยหมอปุ้มต้องไปตรวจแยกต่างหาก เพราะนำอาหาร (มาม่า หมากฝรั่ง) เข้ามาด้วย ซึ่งที่นี่เข้มงวดเรื่องการนำเข้าอาหารและผลิตภัณฑ์การเกษตรมาก แต่ก็ผ่านได้ด้วยดี พอผ่านด่านตรวจมาได้ก็แวะหยิบแผนที่แล้วรับรถเช่า ฝรั่งที่นี่พูดฟังยาก (ฟังก็ไม่ค่อยจะออกอยู่แล้ว) ดีที่ล่ามกิตติมศักดิ์ของเราเม้าท์กระจายก็เลยผ่านฉลุย
รถที่เช่ามาเป็น Toyota Camry สีบรอนซ์เขียว ที่กว่าจุ๋ยจะชินกับมันก็คงอีกหลายวัน เพราะเลี้ยวทีก็ปัดน้ำฝนที แถมยังเปิดแอร์และกระจกไม่เป็น (555 ขอบอก) แต่ก็เข้าใจว่าพี่แกขับแต่รถยุโรปก็เลยเป็นเงี้ย (และอาจจะคันก้นนิดหน่อยที่ต้องนั่งรถญี่ปุ่น) แต่ฝีมือขับก็ยังเหมือนเดิม คือเท้าซ้ายเบรก และเท้าขวาเหยียบคันเร่ง ทำเอาเราที่ทำหน้าที่เนวิเกเตอร์ต้องบอกว่าใกล้จะอ้วกแล้ว แทนที่จะบอกทาง และถึงมีแผนที่ก็ยังหลงกันอยู่ดี แต่คนขับคงกำลังสนุกก็เลยขับไปเรื่อยๆ ส่วนหมอปุ้มที่นั่งข้างหลังก็ดูวิวตามบ้านคนแล้วชมว่าสวยๆ อยู่ตลอดทาง ปล่อยให้เราปวดหัวอยู่คนเดียวว่าจะวิ่งไปออกไหนเนี่ย
ถึงที่พักจนได้ตอน 13.30 น. คืนนี้พักที่ garden city motel เป็นที่พักค่อนข้างสวยทีเดียว ห้องของพวกเราอยู่ชั้นบน ห้องนอนมี 2 เตียง หน้าห้องเป็นครัวมีเตียงเสริมของจุ๋ยอยู่ มาถึงคราวแรกก็แบ่งหน้าที่กันโดยเราเป็นแม่ครัว (ฮ่วย) ต้มมาม่าเจ้าปัญหาของหมอปุ้มให้พวกมันกินกันเป็นมื้อแรก หมอปุ้มเป็นคนล้างจาน ส่วนคุณชายจุ๋ยเป็นผู้บริโภค (อาจจะซวยกว่าเราที่เป็นแม่ครัวก็เป็นได้)
พักผ่อนกันแป๊บนึงก็ออกไปที่ cathedral square ในตัวเมืองกัน อากาศเริ่มเย็นลงแถมมีลมพัดแรง (ยัยหมอปุ้มทำท่าจะไม่สบาย) วนรถอยู่นานกว่าจะไปจอดได้ที่อาคารจอดรถใกล้ศูนย์อาหาร ทำให้พลาดดูขบวนแห่ที่ท่าทางจะน่าสนุก และบังเอิญที่วันนี้วันอาทิตย์ ร้านค้าจะปิดค่อนข้างเร็ว เลยไปเดินที่โบสถ์ Christchurch แล้วแวะซื้อโปสการ์ดส่งถึงเพื่อนๆ ก่อนรีบกลับไปเอารถที่อาคารจอดรถจะปิด 17.15 น.ขากลับที่พักแวะซื้อเสบียงที่ทีแรกกะจะเป็นมื้อเย็น เพราะร้านค้าส่วนใหญ่ปิด แล้วก็ซื้อผลไม้ที่บางอย่างก็ถูก เช่น แอปเปิ้ลมาไว้กิน แต่พอขับรถผ่าน shopping mall ที่เปิด 24 ชั่วโมงก็เปลี่ยนใจ (เพราะกลัวต้องกินฝีมือแม่ครัว) แวะกินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านอาหารจีนที่ชามใหญ่และปริมาณเยอะมาก (เท่ากับพิเศษเมืองไทย 3 ชาม) ขนาดเราที่ถือคติท้องแตกดีกว่าของเหลือยังต้องหักใจลา และรสชาติก็ยังเค็มสุดๆ ซะอีกต่างหาก

Kia Ora New Zealand 2 - 11 ธ.ค. 49


จุดหมายปลายทางท่องเที่ยวงวดนี้คือนิวซีแลนด์ เกาะใต้ ใช้เวลาทั้งหมด 10 วัน แก๊งค์ทัวร์ประกอบด้วย เรา จุ๋ย หมอปุ้ม เดินทางโดยสารการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ เรากะหมอปุ้มออกเดินทางจากบ้านตั้งแต่ไก่โห่ 10.30 น. มีครอบครัวหมอปุ้มมาส่งด้วยความเป็นห่วง กว่าจะเดินทางได้เครื่องบินก็ delay ไปประมาณ 1 ชั่วโมง คือ 17.30 น. ทำให้จุ๋ยหัวหน้าทัวร์ของเราเครียดเล็กน้อยเพราะกลัวจะต่อเครื่องที่สิงคโปร์ไม่ทัน แต่อีก 2 สาวไม่ได้คิดอะไรมากเพราะเพิ่งเคยขึ้นเครื่องบินไปต่างประเทศกันหนแรก เลย enjoy eating กันสุดฤทธิ์ (กว่าจะไปถึงเสริฟอาหาร 3 รอบ) และน้องแอร์ฯ ก็หน้าตาจิ้มลิ้มกันทั้งนั้นถึงสิงคโปร์ตอน 20.30 น. วิ่งกันตุ้บตั้บไปเช็คตั๋วขึ้นเครื่อง เที่ยวนี้เห็นมีคนไทยแค่ 2 – 3 คน ไม่เจอกรุ๊ปทัวร์อย่างที่คิด ทีแรกเราตั้งใจจะหลับเอาแรงเยอะๆ แต่ก็เมื่อยขามากจนนอนไม่หลับ แถมยังต้องฟังคนนั่งขนาบข้างกรนกันอย่างน่าหมั่นไส้ กว่าจะถึงที่หมาย Christchurch ก็ตี 5 (11.00 น. นิวซีแลนด์)