22 พ.ย. 51
สุสานตือดึ๊กเป็นสุสานกษัตริย์ที่ใหญ่มาก อาคารเป็นสถาปัตยกรรมจีน แต่สุสานต่อมาที่พวกเราไปถึงนั้นใหญ่ยิ่งกว่า ชื่อสุสานไคดิ้นท์ (Khai Dinh tomb) และยังเป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างจีน ฝรั่งเศส อิตาลี ไกด์อธิบายว่ากษัตริย์ไคดิ้นท์เป็นกษัตริย์ที่ชาวเวียตนามไม่ปลื้มนัก เนื่องจากไปเข้าพวกกับฝรั่งเศสและเกณฑ์ชาวเวียตนามไปช่วยรบในสงคราม นอกจากนี้ยังเป็นเกย์อีกต่างหาก (รู้สึกเรื่องนี้ไกด์จะพูดหลายรอบ)
พวกเรากลับเข้าเมืองเว้เพื่อกินข้าวเที่ยงแบบบุฟเฟต์ อาหารอร่อยและมีให้เลือกหลายอย่างเล่นเอาตอนบ่ายตาเกือบปิด แต่ก็ช่วยให้มีแรงเดินในพระราชวังเก่า (The Citadel) ที่สถาปนากษัตริย์ราชวงศ์เหงียน ไปดูเสาพระราชวัง 90 ต้นที่เหลือของเก่าอยู่แค่ต้นเดียว และส่วนของพระราชวังเดิมถูกทำลายไปถึง 90% ยังดีที่บัลลังก์ทองคำของกษัตริย์ยังอยู่ให้ได้ชื่นชมในยุคนี้ และคงมีเงื่อนไขบางอย่างเป็นการแลกเปลี่ยน รัฐบาลญี่ปุ่นถึงได้ให้เงินมากโขมาบูรณะพระราชวังแห่งนี้จนสวยงามเหมือนเก่า พวกเราผ่านส่วนอื่นๆ ของพระราชวัง เช่น หอสมุด หอละคร ไปจนถึงส่วนที่ประดิษฐานพระรูปของกษัตริย์องค์ต่างๆ ในราชวงศ์ จากประวัติที่กษัตริย์บางพระองค์ต้องถูกส่งไปอยู่ในประเทศอาณานิคมแถวแอฟริกา ทำให้รู้ว่าเวียตนามพยายามอย่างยิ่งที่จะเป็นเอกราชจากการปกครองทั้งจากฝรั่งเศสและอเมริกาขนาดไหน ซึ่งในปัจจุบันคนเวียตนามไม่สนใจระบบกษัตริย์หรือการปกครองว่าจะเป็นแบบใด พวกเขาสนใจเรื่องของเศรษฐกิจเป็นหลัก ถือเป็นความคิดที่เป็นแรงผลักดันให้ก้าวหน้า แต่ส่วนลึกในใจของเราก็ยังมีคำถามว่าแล้วความสุขแบบพอเพียงของคนเวียตนามจะอยู่ตรงไหนหนอ
ที่สุดท้ายของทัวร์คือ เจดีย์เทียนมู (Thien Mu pagoda)
ถึงตลาดดองบาได้พจนารถก็นำขบวนไปตามร้านที่ (ส่วนใหญ่) พูดไทยได้ เริ่มจากเสื้อยืดที่รื้อกันจนแม่ค้าถอนใจ แต่ก็ต่อรองซื้อขายกันอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส ซื้อเสร็จยังชักชวนให้ซื้ออ๋าวใหญ่ตัวละ 200 ที่ถึงแม้เราจะบอกว่าคับๆ แม่ค้าก็ยังพยักเพยิดบอกว่ามี big ๆ ทีแรกเราตั้งเป้าหมายว่าจะซื้อเป้ใหม่อีก 1 ใบ ทดแทนใบที่ให้น้องชายไป แต่เนื่องจากยึดถือคัมภีร์ของพี่วุฒิเคทมากไป ต่อรองจาก 400 จนเหลือ 250 บาทแล้วก็ยังไม่ได้ตามเป้า คือ 60,000 ด่อง หรือ 150 บาท (เราต่อ 200) ซึ่งไม่มีร้านไหนให้ก็เลยมือเปล่ากลับมา ส่วนจุ๋ยได้สร้อยไข่มุกไปฝากแม่ ที่อาศัยเราเป็นนางแบบให้สวมคอแถมยังต้องต่อรองให้ด้วย โดยเจ้าตัวไปยืนห่างๆ ประมาณว่าถ้ามีรายการตบเนื่องจากต่อรองจะได้เผ่นได้ทัน บางร้านต่อกันราวกับประมูลราคา (ให้ถูกลง) จนได้แล้ว จุ๋ยก็ไม่เอา ปล่อยให้เพื่อนเหวอโดนแม่ค้าฉุดเอาไว้ โชคดีที่หุ่นกำยำของเราสู้แรงแม่ค้าไหว เลยเดินออกมาได้แบบไม่ต้องคิดกลับไปซอยนั้นอีก หมอปุ้มไปต่อรองราคากล้วยกรอบและขนุนกรอบอีกด้านนึงจนได้ เลยเป็นภาระให้เดินถือ (10 กว่าถุง) ไปรอบตลาด ปล่อยให้คุณชายและคนต่อของเดินตัวปลิวกันต่อไป เรามาแวะหยุดที่ร้านขายเป้กันอีก มีคุณป้าเฝ้าร้านอยู่คนเดียว ซึ่งเราก็ลุยต่อ 200 เหมือนเก่า แต่คราวนี้เพิ่มปริมาณเป็น 2 ใบ ยังต่อไม่เสร็จดีพี่ยี้ก็อยากได้ผ้าคลุมโต๊ะปักมือของป้าเพิ่มอีก เราเลยต่อในราคาเดิม 200 (จาก 350) ป้าก็ยังไม่ให้ หันมามองหน้าผู้ร่วมทีมแล้วบอกกันว่างั้นไม่เอา ไปกันเหอะ เราไม่วายบอกพี่ยี้ว่าห้ามทำหน้าอยากได้ เดี๋ยวป้าไม่ลด (รวมทั้งผู้ชายก็เหมือนกันนะพี่ยี้ ห้ามทำหน้าอยากได้) ร้อนถึงป้าต้องออกมาตามอีกครั้ง แต่ยังยืนยันราคาเดิม คราวนี้เลยต้องไปจริง แห้วกันทั้งเราและพี่ยี้ ...เดินกันจนมืด ร้านต่างๆ เตรียมเก็บกันหมดแล้ว พวกเราเลยเลิก แต่สรุปว่ามีแต่เราที่สนุกอยู่คนเดียว พอมาถึงโรงแรมได้ คุณชายจุ๋ยก็สั่งให้ถอดรองเท้าไว้นอกห้อง แล้วไปล้างเท้าที่เปื้อนน้ำในตลาดกันให้สะอาดก่อน
23 พ.ย. 51
วันนี้พวกเรารีบตื่นมากินอาหารเช้าในโรงแรมแล้วก็นั่ง taxi ไปสนามบินเว้ เพื่อขึ้นเครื่องไปโฮจิมินห์ โดยสายการบินเวียตนามซึ่งเป็นสายการบินในประเทศเจ้าเดียว แอร์ใส่ชุดอ๋าวใหญ่ดูน่ารัก แต่สจ๊วตเหมือนกับคัดหุ่น เพราะตัวสูงล่ำสัน ผิดกับหนุ่มเวียตนามที่เราเจอตามท้องถนน ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงก็มาถึงเมืองโฮจิมินห์
อากาศที่โฮจิมินห์ยังร้อนเหมือนเดิมผิดกับเมืองอื่นๆ ที่เราจากมา ออกจากร้าน Pho24 ได้ พวกเราก็คิดว่าไปเดินตากแอร์ในห้างแถวสนามบินคงดีกว่าตลาดเบนถันห์ หมอปุ้มเสนอให้ขึ้นรถเมล์กลับ แต่เราก็ไม่รู้ว่าป้ายรถเมล์ของที่นี่หน้าตาเป็นยังไงและอยู่ตรงไหน พากันเดินตามหากันได้ซักพักก็แพ้ความร้อนในที่สุดก็ขึ้น taxi กลับ
คุณชายยังได้เครื่องประดับห้องราคาห้างอีก 1 อย่าง ส่วนเราก็เอาเงินด่องที่เหลือซื้อกล้วยกับแอบเปิ้ลแห้งจนหมด