4 ธ.ค. 53
พวกเรา ประกอบด้วย เรา หมอปุ้ม จุ๋ย และแมว ไปสิงคโปร์กันแบบตัดสินใจนาทีท้ายๆ งวดนี้ออกเดินทางกันตอนเช้าตรู่ นัดเจอกับแมวที่สนามบินแถวเคาน์เตอร์ Jet star แอบคาดหวังเล็กๆ ว่าสายการบินลูกของแควนตัสจะมีอาหารเสริฟบนเครื่อง แต่สงสัยจะเป็นนโยบายเหมือนๆ กันของสายการบิน low cost ที่ไม่มีอาหารและเบาะนั่งที่บอกอ้อมๆ ว่าถ้าคิดจะไปด้วยห้ามอ้วนกว่านี้แล้ว โชคดีที่กินข้าวหมูแดงเป็นมื้อเช้าที่สนามบินในขณะที่คนอื่นกินโจ๊กกัน เพราะกว่าเราจะไปถึงสนามบินชางฮี (Changi) ก็ปาเข้าไป 11 โมง เดินหาช่องทางที่จะไปรถ MRT เข้าเมืองกันอยู่เป็นนานค่อยถึงบางอ้อว่าขึ้น Airport link ที่ Terminal 2 หรือ 3 (เดินไกลกว่า) แล้วไปต่อ MRT ที่สถานี Changi Airport ได้เลย พวกเราซื้อบัตร EZ link ได้ที่สถานีโดยบัตร 1 ใบ ราคา 12 เหรียญสิงคโปร์ แต่เป็นค่ามัดจำบัตรซะ 5 เหรียญ ใช้ได้ 7 เหรียญ เลยเติมเงินเพิ่มกันอีกคนละ 10 เหรียญกะว่าคงจะพอใช้ในเวลา 3 วัน แล้วก็ขึ้นรถไปลงที่สถานี Tanah Merah เพื่อต่อรถไฟสายสีเขียวไปยังสถานี Outram park ซึ่งอยู่ใกล้ที่พักของเรา นอกจากนี้บัตร EZ link ยังใช้กับรถเมล์ และรถไฟที่ข้ามไปเกาะ Sentosa ได้อีกด้วย
รถไฟฟ้าของสิงคโปร์แล่นใต้ดินบ้างบนดินบ้างแต่ก็เรียก MRT แบ่งออกเป็น 4 สาย 4 สี สายสีเขียวเริ่มที่สถานี Pasir Ris ไปสุดสายที่ Joo Koon โดยมีสีเขียวของ Airport มาเชื่อมต่อแบบต้องเปลี่ยนขบวนกันที่สถานี Tanah Merah ส่วนสายสีแดงเริ่มจาก Marina bay ไป Jurong East สายสีม่วง Punggol ไป Harbour Front และสุดท้ายสายสีเหลืองจาก Dhoby Ghaut ไป Harbour Front จะเปิดเส้นทางในปี 2011 พวกเราเลยได้อาศัย 3 สายหลักไปก่อน วิธีการเดินทางค่อนข้างสะดวกแค่ดูป้ายที่ชานชาลาว่าด้านนี้รถวิ่งไปสุดสายที่ไหนแล้วก็ขึ้นให้ถูก มีแปะบัตรผ่านทางเข้าชานชาลาเหมือนเมืองไทย ตรงช่องแปะบัตรจะมียอดเงินคงเหลือบอกทุกครั้ง เราสามารถเติมเงินกับตู้อัตโนมัติหรือพนักงานที่สถานีก็ได้ ที่สถานีจะมีแผนที่ขนาดใหญ่บอกที่ตั้งของแหล่งต่างๆ และทางออกจากสถานี
พวกเราจองที่พักกับเว็ป Agoda เป็นโรงแรม 2 ดาว ชื่อ 81 Osaka อยู่ห่างจากสถานี Outram ประมาณ 500 เมตร แต่ครั้งแรกเราก็เดินหลงและวนหากันอยู่นานกว่าจะเจอโรงแรม ดีที่พวกเราเลือกเติมพลังรอบบ่ายด้วยขนมปังและนมถั่วเหลืองก่อนออกจากสถานี จากที่คิดว่าจะซื้อขนมมายืนกินกันนอกร้านให้หมดๆ หรือเดินกินกลางทาง แต่รู้สึกยังไงๆ อยู่ว่าทำอย่างนี้ได้หรือเปล่า เพราะกฎหมายสิงคโปร์ค่อนข้างเข้มงวด ไม่ทันไรก็เงยหน้าขึ้นไปเห็นป้ายเหนือศีรษะที่ห้ามกินบริเวณที่คนอื่นๆยืนอยู่และเรากำลังจะอ้าปากงับขนมพอดี พวกเราเลยต้องลากกระเป๋าเข้าไปในร้าน สั่งเครื่องดื่มเพิ่ม แถมยังถ่ายรูปกันในร้านอยู่เป็นนาน
ผู้จัดการทริปคงรู้ดีว่าลองได้เข้าห้องแล้วถ้าไม่รีบจัดโปรแกรม เดี๋ยวจะมีรายการนอนยาว เพราะห้องในโรงแรมถึงเตียงจะกว้างเท่าหมอน แต่ก็สะอาดน่านอน ยิ่งลากกระเป๋าหลงไปซะไกลยิ่งอยากจะลงไปนอนซะให้หายเมื่อย กุศโลบายอื่นนอกเหนือจากนั้นเป็นรายการอาหารบ่าย + ค่ำที่ไหนๆ ก็อดข้าวเที่ยงกันแล้วก็ขอกินให้มันเต็มที่ไปเลยทำให้พวกเรามีแรงออกเที่ยวกันอีกครั้ง
ตัว Merlion เป็นสิงโตทำจากวัสดุจำพวกซีเมนต์สีขาว จุดเด่นอยู่ตรงที่หัวเป็นสิงโตแต่ตัวมีเกร็ดและมีหางคล้ายปลา หันหน้าออกทะเล นักท่องเที่ยวก็สารพัดจะทำท่าถ่ายรูป ตั้งแต่ทำมือรองน้ำ อ้าปากกินน้ำที่พ่นออกจากปากสิงโต ส่วนพวกเราที่ไม่ได้กินข้าวเที่ยงได้แต่ไปยืนพิงรั้ว ถ่ายๆ รูปกันด้วยหน้าตาหิวโหย การที่เราเดินมาจากทางโรงแรม Fullerton จะเจอ Merlion ตัวลูกซึ่งมีขนาดเล็กกว่าก่อน โดยตัวลูกจะต่างกับตัวแม่คือมีการเพิ่มลายละเอียดของเกร็ดด้วยกระเบื้อง และนำถ้วยชาขนาดเล็กสีแดงมาทำเป็นลูกตา ยืนชมวิวรอบอ่าวมองเห็นด้านตรงข้าม ได้แก่ โรงละคร Esplanade รูปทรงหนามทุเรียนริมน้ำเหมือนกับ Sydney Opera House อาคารพิพิธภัณฑ์รูปดอกบัวบาน และ Singapore flyer
พวกเราหาที่เรียกรถแท็กซี่กันจนเดินเข้าไปในโรงแรม เจอแท็กซี่พิเศษที่ต้องเสีย service charge 7% นอกเหนือจากราคาในมิเตอร์ เพื่อจะพากันไปฝั่งตะวันออกที่รถไฟฟ้าไปไม่ถึง โชคดีที่ภัตตาคารจัมโบ้วันนี้คิวไม่ยาวทำให้เราได้กินอาหารทะเล รวมทั้งปูศรีลังกาผัดพริกไทยดำ (Srilankan king crab) อย่างอร่อยในเวลาไม่นาน ก่อนจะตบท้ายด้วยโอนิแป๊ะก๊วย แบบสิงคโปร์ที่ไม่มีข้าวเหนียว มองดูคล้ายโจ๊กเละๆ แต่ก็อร่อยใช้ได้
ได้หมอปุ้มกระตุ้นให้ไปขึ้น Singapore flyer กันต่อเพราะเห็นว่ายังไม่ดึกมาก และโปรแกรมแน่นเอี๊ยดในวันต่อๆ ไปที่จะไปทั้ง Night safari และ Universal studio ซึ่งเสี่ยงจะทำให้พลาดโอกาสนั่งชิงช้ายักษ์เอาง่ายๆ จุ๋ยเลยต้องตามใจเรียกแท็กซี่ไป Singapore firer เลยโดนแท็กซี่แซวซะเสีย self นักเรียนนอกว่า ไม่ไปอ่ะ “ไฟเออร์” ไป “ฟลายเออร์” เหอะ (ไม่นับพวกลูกทัวร์ที่พากันตื้บซ้ำ อิอิ)
พวกเราซื้อตั๋วขึ้นชิงช้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยความสูง 165 เมตร แล้วก็เดินไปรอขึ้นแคปซูลกระจกใส ภายในเป็นม้านั่งยาวไม่มีพนัก นั่งได้ประมาณ 25 คน เคลื่อนตัวมารับช้าๆ เดิมทีเรานึกว่ามันหมุนเร็วๆ เป็นรอบๆ เหมือนชิงช้าสวรรค์งานวัดซะอีก ที่ไหนได้มันหยุดรับคนได้เรื่อยๆ อย่างนี้ก็หมุนเอื่อยๆ ได้ทั้งวันแหละ ตอนแรกไม่มีใครนั่งที่ม้านั่งเลย ทุกคนกระดี๊กระด๊าไปยืนกันริมกระจกถ่ายรูปคู่กับวิวรอบนอก แต่พอชิงช้าเริ่มหมุนขึ้นสูงก็ชักจะเริ่มเสียว มีจุ๋ยไปนั่งก่อนตามด้วยเราและคนอื่นๆ ส่วนหมอปุ้มกับแมว และอีก 3 – 4 คนไม่รู้สึกกลัวก็ถ่ายรูปวิวยามค่ำคืน แสงไฟตามตึก
5 ธ.ค. 53
เช้านี้พวกเรามีเป้าหมายไปกินข้าวเช้ากันที่ Chinatown ฟังชื่อสถานีก็นึกถึงโจ๊ก กาแฟร้อน ปาท่องโก๋ แล้ว แต่พอเดินออกจากสถานีก็ต้องเหวอกับร้านค้าที่ปิดตลอดแนวในเวลาเกือบ 9 โมง เดินจนมาเจอกับอีกทางออกของรถไฟฟ้าคือทางออก A ที่โผล่ขึ้นมากลางไชน่าทาวน์เลย เรายังคงเดินเรื่อยๆ ไปเจอวัดฮินดูหรือวัด Sri Mariamman
มีคนเคยบอกว่าจะกินข้าวมันไก่ต้นตำรับต้องมากินที่สิงคโปร์ แต่ก็มีอีกพวกที่บอกว่าข้าวมันไก่สิงคโปร์ไม่อร่อยเท่าบ้านเรา สำหรับเราแล้วอร่อยกันคนละแบบ ข้าวมันไก่เมืองไทยเป็นไก่ต้มแห้งเหมาะกับน้ำจิ้มเต้าเจี้ยว แล้วก็น้ำซุปลอยด้วยฟัก ส่วนไก่สิงคโปร์เป็นไก่ต้มเนื้อนุ่ม สับเป็นชิ้นแล้วราดในน้ำมันมาอีก กินกับน้ำจิ้มพริกที่ออกเปรี้ยวนิดหน่อยก็อร่อยไปอีกแบบ แต่ไม่ว่าแบบไหนก็ดูท่าจะไม่เหมาะกับไขข้อเราเท่าไหร่นัก ยิ่งต้องเดินๆๆ เที่ยวไปด้วยแบบนี้
อิ่มกันดีค่อยมีอารมณ์เข้าวัดกันแล้ว วัดพระเขี้ยวแก้ว (Buddha tooth relic temple)
เดินออกมาจากวัดได้ก็ต้องแปลกใจที่บรรยากาศผิดตาจากตอนขามา หน้ามือเป็นหลังมือ เพราะร้านค้าต่างๆ รายทางไปจนถึงสถานีรถไฟ เปิดขายกันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะร้านขายของที่ระลึก แสดงว่าในวันธรรมดาจะเปิดขายสายกว่าวันเสาร์ – อาทิตย์ แน่นอนสาวๆ ปราดเข้าไปเลือกซื้อของฝากกันพักใหญ่ ปล่อยให้จุ๋ยยืนหน้าบูดอยู่นอกร้าน ไม่รู้ว่าเจ็บหัว หรือว่ารอนานกันแน่
เรายังอาศัยรถไฟสายสีม่วงย้อนกลับมาที่สถานีสุดสายคือ Harbour Front เพื่อไปขึ้น Sentosa Express สถานีนี้มีทางเชื่อมผ่านเข้ามาในห้าง Vivo city ที่เราต้องขึ้นไปที่ชั้น 3 เพื่อไปยังสถานีรถไฟฟ้า Sentosa ตลอดทางของห้างมีป้ายบอก เพิ่มความมั่นใจว่ามาถูกทางแน่ พวกเราเสียเวลาเข้าคิวซื้อบัตรเครื่องเล่นของ Sentosa คือ Tiger sky tower และ Merlion ซึ่งจริงๆ แล้วไปซื้อเอาตรงเครื่องเล่นก็ได้ไม่ต้องรอคิวนานในยามบ่ายอย่างนี้
เส้นทาง Sentosa Express แบ่งออกเป็น 4 สถานีย่อย คือ สถานี Sentosa ที่อยู่ในห้าง Vivo city ถัดมาเป็นสถานี Waterfront ที่ใครจะไป Universal studio หรือพักที่ Resort world ก็ลงได้ ถัดไปอีกเป็นสถานี Imbian ที่มีสวนผีเสื้อ และเครื่องเล่นต่างๆ ที่พวกเราซื้อตั๋วไว้ ส่วนสถานีท้ายสุดคือ สถานี Beach ที่เป็นชายหาด เป็นที่แสดงโชว์มัลติมีเดีย Songs of the Sea ส่วน Underwater world จะอยู่ใกล้หาด Siloso นอกจากการเดินทางไปเกาะเซ็นโตซ่าด้วยรถไฟฟ้าแล้วยังสามารถไปด้วยกระเช้า (Jewel cable car) หรือรถเมล์ก็ยังได้
คราวนี้จุ๋ยเห็นกระเช้าที่คนนั่งขึ้นมากันก็คุยว่าแบบนี้ไม่สูงเท่าไร พอจะนั่งได้ คนอื่นเลยถือเป็นคำอนุญาตของผู้จัดการทริปให้ซื้อตั๋วทั้ง luge และ skyline เราต้องรอคิวกันพอสมควรถึงจะได้นั่ง luge
พวกเรามาดูโปรแกรมโชว์ Songs of the Sea ที่ตั้งใจจะมาดูในคืนพรุ่งนี้หลังจากไป Universal studio แล้ว จากนั้นก็แวะกินไอติมเติมพลังเมื่อโดนพจนารถหลอกเอาว่าเดี๋ยวเราต้องเดินใต่ขึ้นไปตามทางเพื่อขึ้นไปจนถึงยอดรูปปั้น Merlion ที่สูงน้องๆ Tiger sky tower แต่จริงๆ แล้วตามทางเดินมืดๆ ข้างในตัวสิงโตนี้ มีรูปปั้นมังกรทะเลอยู่ข้างใน และห้องที่ฉายประวัติของประเทศสิงคโปร์ รวมทั้งกำเนิดตัว Merlion รูปแบบการ์ตูน (อย่างตลก) ด้วย โดยหัวรูปปั้นเป็นสิงโตหมายถึงสิงโตที่เจ้าชายซางนิลาอุตามะ (ภาษาอังกฤษได้ยินเป็น Solomon) เคยเห็นตอนที่พระองค์พบเกาะสิงกะปุระในปี ค.ศ. ที่ 11 ตามบันทึกของชาวมาเลย์ ส่วนหางที่เป็นปลาคือสัญลักษณ์ของเมืองโบราณเทมาเซ็ค (หมายความว่า "ทะเล" ในภาษาญี่ปุ่น) และปิศาจท้องทะเลมีหางเป็นปลาที่เจ้าชายบวงสรวงด้วยมงกุฎให้เรือแล่นไปอย่างปลอดภัย ซึ่งสิงคโปร์ถูกค้นพบมาแล้วก่อนที่เจ้าชายนิลาจะตั้งชื่อเกาะนี้ว่า "สิงกะปุระ" (หมายความว่า "สิงโต" (สิงห์) และ "เมือง" (ปุระ) ในภาษาสันสกฤต)
กลับมาถึงสถานี Harbour Front อีกครั้ง ถ่ายรูปกับต้นคริสมาสต์ประดับไฟยามค่ำคืนที่ใหญ่มากของห้าง Vivo city แล้วค่อยไปหาข้าวเย็นกินกันที่ศูนย์อาหารของห้าง Ion บนถนนออร์ชาร์ด ที่สถานี Orchard โดยเปลี่ยนรถไฟฟ้าเป็นสายสีแดง ที่ศูนย์อาหารนี้มีอาหารหลายอย่างให้เลือก เรากิน Raksa
จุดหมายต่อไปของค่ำคืนนี้คือ Night Safari ที่เราต้องขึ้นรถไฟสายสีแดงต่อไปลงที่สถานี Ang Mo Kio จากนั้นก็นั่งรถบัส (ใช้บัตร EZ link แปะตอนขึ้นกับตอนลงรถ) สาย 138 ที่มีทางเชื่อมต่อจากสถานีรถไฟฟ้าให้เดินมาต่อคิว ประมาณครึ่งชั่วโมงรถเมล์ก็ไปสุดสายที่ Night Safari หรือตอนกลางวันคือ Singapore Zoo เราซื้อบัตรผ่านประตูแล้วก็นั่งรถรางรอบสวนสัตว์ มีไฟส่องให้เห็นสัตว์ต่างๆ ที่ออกมากินมื้อเย็น พร้อมคำบรรยายที่ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แถมยังมืดและง่วงนอน ก่อนจะหลับรถรางก็แล่นครบรอบให้ทันไปดูโชว์รอบสุดท้ายเป็นการแสดงของสัตว์ แต่ก็ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่นัก อาศัยว่าเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ทำหน้าที่เป็นพิธีกรชวนคุยเอาสนุกซะมากกว่า มีตื่นเต้นตรงที่เอางูเหลือมตัวเบ้อเร่อมาซ่อนไว้ใต้ที่นั่งคนดูให้วี้ดว้ายกันเล่น
6 ธ.ค. 53
หลังอาหารเช้าพวกเราก็กลับไปเซ็นโตซ่ากันอีกครั้งเพื่อไป Universal studio ถึงแม้ว่าเราตั้งใจจะไปวันธรรมดา ที่ราคาตั๋วถูกกว่าเสาร์ – อาทิตย์ แต่ผู้คนก็ยังล้นหลามตั้งแต่ช่องขายตั๋ว และที่แตกต่างจากสวนสนุกบ้านเราก็คือเป็นตั๋วราคาเดียว รวมเครื่องเล่นและค่าผ่านประตู ไม่มีให้ซื้อที่หน้าเครื่องเล่นอีก แต่จะเล่นกันกี่รอบก็ได้ ถ้าคุณรอคิวไหว
ภายใน Universal studio แบ่งเป็น 7 โซน คือ Hollywood และ New York ที่อยู่คนละด้านของทางเข้า โซนอื่นๆ ถ้าเดินตามเข็มนาฬิกาก็ได้แก่ Madagascar , Far Far Away, The lost world, Ancient Egypt, Sci-Fi city และมาสุดที่ New York ให้แมวที่มีข้อมูลมาแน่นกว่าเพื่อนเป็นผู้นำ เริ่มจากไปเข้าแถวรอดูหนัง 4 มิติเรื่อง Shrek ที่ปราสาทในโซน Far Far Away
ก่อนสวนสนุกจะปิดในเวลา 1 ทุ่ม พวกเราก็เดินถ่ายรูปกันต่อในเวลาเย็นย่ำ บางเครื่องเล่นคนน้อย มองเห็นเวลารอไม่ถึง 20 นาที ถ้าตั้งใจจะมาเล่นให้คุ้ม พักที่โรงแรมในเซนโตซ่าก็คงจะดีไม่น้อย จะได้เข้าตั้งแต่เวลาเปิด คือ 9 โมงเช้า น่าแปลกที่สัญลักษณ์ลูกโลกของ Universal ไม่หมุนไปเรื่อยๆ อย่างที่ควรจะเป็นตั้งแต่เช้ายันมืด พวกเราเดินผ่านไปยังส่วนที่เป็นรีสอร์ทเพื่อพาคุณชายไปซื้อของสะสมที่ Hard Rock shop ตรงโรงแรม Hard Rock กว่าจะได้หมวกมาก็เกือบจะวางมวยกับคนขาย
เราขึ้นรถไฟฟ้ามาลงสถานี Imbiah แบบลืมไปว่า ลงที่สถานี Beach จะใกล้กว่า ซื้อตั๋วดู Songs of the Sea ที่สถานี Beach แล้วเราก็ได้ดูความอลังการของการฉายภาพยนตร์โดยยิงเลเซอร์ไปที่ฉากหลังซึ่งน้ำทะเลที่พุ่งขึ้นมา รวมทั้งแสงสีเสียงตลอดครึ่งชั่วโมง
7 ธ.ค. 53
เช้านี้ผู้จัดการทริปขอไปกินข้าวมันไก่ส่งท้ายกันที่เดิม ส่วนเราและแมวเป็นพวกกินเส้นกัน ก็พากันไปกินก๋วยเตี๋ยว เรายังคงกิน Raksa ด้วยความติดใจหอยแครง จากนั้นก็เดินซื้อหมูย่างกลับมาเป็นของฝากที่บ้าน ไปแวะกินข้าวที่ห้าง Ion กันอีกครั้ง คราวนี้เรากับหมอปุ้มเลือกร้านสุกี้ที่ให้เลือกหยิบของตามสบายใส่ชามให้คนขายลวกให้
กลับไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรม พอตั้งท่าจะแพ็คกระเป๋าใส่ของฝากเข้าไปถึงได้รู้ว่าทำลูกกุญแจไขกระเป๋าหายไปไหนก็ไม่รู้ เลยต้องอาศัยฝากของไปในกระเป๋าจุ๋ยที่มีที่ว่างมากกว่าเขาเพื่อน ไปถึงสนามบินหมอปุ้มก็เตรียมกางใบสั่งซื้อของปลอดภาษี อีก 3 คนที่เหลือได้เครื่องสำอางกันมาคนละนิดหน่อยก่อนเครื่องออก ถึงสุวรรณภูมิ 20.35 น.