บันทึกการท่องเที่ยว บาหลี 21 – 24 ม.ค. 53
21 ม.ค. 53
แก๊งค์ทัวร์ประกอบด้วย เรา จุ๋ย พี่ยี้ เดินทางโดยสายการบินแอร์เอเชีย บินตรงไปยังบาหลีแบบที่ต้องออกจากคอนโดจุ๋ยตั้งแต่เกือบตี 4 เพื่อที่จะ check-in และขึ้นเครื่องในเวลา 6.15 น. ครั้งนี้พวกเรามีเวลาเตรียมตัวและตัดสินใจมาเที่ยวกันเพียง 1 อาทิตย์ ทำให้ข้อมูลต่างๆ ไม่ค่อยพร้อมเท่าที่ควร ได้แต่เชื่อฝีมือผู้จัดการทริปว่าจะไปซื้อทัวร์เอาดาบหน้าที่บาหลี พวกเราหลับๆ ตื่นๆ กันตลอด 4 ชั่วโมงบนเครื่องบิน ระหว่างกินอาหารที่สั่งกันบนเครื่องก็ต้องทำใจว่าอย่าเชื่อถือรูปอาหารในเมนูบนเครื่องนัก ใส่ใจเฉพาะองค์ประกอบอย่างเดียวก็พอ ว่าไอ้ที่สั่งมามีอะไรใส่มาให้กินบ้าง...ส่วนพี่ยี้ได้อาหารที่เหมือนจริงมากที่สุดคือมาม่าคัพ....เฮ้อ
11.55 น. เราก็มาถึงสนามบินงูราห์ไรย์ (Ngurah Rai) เมืองเดนปาซาร์ บาหลี ตัวสนามบินเป็นอาคารขนาดไม่ใหญ่แถมเป็นสถาปัตยกรรมท้องถิ่นเลยรู้สึกแปลกกว่าสนามบินอื่นๆ ที่เคยไป และช่องตรวจคนเข้าเมืองที่ไปถึงยังแบ่งเป็นช่องสำหรับต่างชาติที่ต้องใช้วีซ่า ทำเอางงว่าแล้วตูไม่มีวีซ่าอ้ะ ดีที่คนไทยที่มาด้วยกันบอกว่าช่องต่างชาติที่ไม่ต้องใช้วีซ่าต้องเดินเลยไปอีก อยู่ข้างๆ ช่องเฉพาะของชาวบาหลี พวกเราออกจากตัวสนามบินได้จุ๋ยก็เดินดิ่งไปที่ช่องแท็กซี่สาธารณะด้านนอก ไม่สนใจแท็กซี่ที่ยืนเรียกลูกค้าอยู่เป็นกลุ่มๆ พวกเราแจ้งชื่อโรงแรมแล้วก็จ่ายค่าแท็กซี่ตามราคาที่จุ๋ยหาข้อมูลมาโดยไม่โดนขูดรีดค่าโดยสารเพิ่ม ครึ่งชั่วโมงถัดมาเราก็มาถึงโรงแรม Kuta seaview boutique resort and spa โดยที่แท็กซี่ไม่ลืมเรียกค่าทิปตามธรรมเนียม ดีที่พอมีข้อมูลอยู่บ้างเลยบอกผู้จัดการทิปไป 10,000 รูปี หรือ 1 US ก็พอ แต่จากนั้นเราก็ต้องคอยทิปเด็กยกกระเป๋า คนทำเตียงเสริม แท็กซี่และบรรดาร้านอาหารไปตลอดการเดินทาง
พวกเรานั่งรอที่ล็อบบี้โรงแรมได้พักนึงเพื่อรอห้องว่าง ก็มีพนักงานมาคล้องพวงมาลัยดอกลั่นทมให้จุ๋ยกับพี่ยี้ แล้วก็ผ่านเราไปเฉย ให้มองตาปริบๆ ว่าทำไมตูไม่ได้บ้างเนี่ย ดีที่ยังได้ welcome drink จากพนักงานอีกคนมาดื่ม ไม่งั้นคงเกิดรายการวีนแตก in Bali ขึ้นมา ส่วนคู่ฮันนีมูนที่ได้ดอกลั่นทมหัวเราะกันก๊ากๆ ไม่คิดจะทวงสิทธิให้เพื่อนเลยซักนิด..ชิ
ห้องพักของพวกเราไม่เหมือนห้องที่จองในเนตเพราะมีแค่ 2 เตียง ถึงจะมีเสาเตียงผูกมุ้งอยู่อย่างสวยก็เหอะ รออยู่ตั้งนานไม่มีวี่แววว่าจะมีเตียงเสริมมาเพิ่มให้ซักนิดจนต้องระแวงว่าตกลงเค้านึกว่ามีนักท่องเที่ยวมากัน 2 คนแค่นั้นใช่มั๊ย
ต้องกลับไปบอกที่ล็อบบี้อีกครั้งถึงจะรู้ว่าเดี๋ยว (พักใหญ่) จะมีคนเอาเตียงมาเสริมให้ จุ๋ยอาศัยช่วงที่รอนั่งดูทัวร์แต่ละบริษัทว่าพาไปที่ไหนกันบ้าง เงยหน้าขึ้นมาอีกที 2 สาวที่จับจองเตียงกันเรียบร้อยแล้วก็เกือบไปเฝ้าพระอินทร์ พอบอกให้ตื่นมาช่วยกันดูทัวร์ก่อน ลูกทัวร์กิตติมศักดิ์ก็ร้องจะกินข้าวเที่ยงกันซะอีก
พวกเราต้องเดินฝ่าความร้อนจากโรงแรมไปยังจัตุรัส Kuta ที่มีร้านค้ามากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นร้านเสื้อผ้าซะมากกว่า ห้างสรรพสินค้าแถวนั้นคล้ายบ้านเรามาก จะมีที่แปลกก็คือมีสปาปลาตอดอยู่ด้านหน้าห้าง
แต่เนื่องจากพวกเรากำลังหิวเลยไม่คิดจะทดลองดู หรือว่ากลัวปลาตายก็ไม่แน่ เลยได้แต่เดินหาร้านอาหารกันต่อไปเป็นนาน ที่ตั้งใจจะกินอาหารพื้นเมืองกันแต่แรกก็ต้องเปลี่ยนเป็นอาหารอิตาเลี่ยนแทนเมื่อเวลาผ่านไปจนเกือบบ่าย 3 พวกเราหาซื้อซิมการ์ดโทรศัพท์ได้แถวโรงแรม คิดค่าโทรคร่าวๆ แล้วประมาณ 20 บาท/ นาทีเท่านั้น ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนเงินก็ได้ราคาดีกว่าที่สนามบินอีกด้วย คือ 9250 – 9275 รูปี ต่อ 1 ดอลล่าร์ กลับมาที่โรงแรมกันอีกครั้งเพื่อถามข้อมูลเกี่ยวกับทัวร์ในวันรุ่งขึ้น เราก็ได้คำแนะนำจากประชาสัมพันธ์ว่าเช่ารถแท็กซี่พร้อมน้ำมันและคนขับจะสะดวกกว่า ถ้าพวกเราจะไปตามที่ๆ หาข้อมูลมาและอยากไป พร้อมทั้งอาสาจะติดต่อรถเช่าให้ แถมยังขอโทษขอโพยเราว่าที่ไม่คล้องพวงมาลัยให้เพราะนึกว่าเราเป็นคนพื้นที่...แหม นอกจากจะหน้าเหมือนน้องแพนเค้กแล้วยังจะหน้าเหมือนคนบาหลีอีกนะเนี่ยเรา
ยังเหลือเวลาอีกนานกว่าจะมืด แต่ก็ไม่พอที่เราจะไปดูพระอาทิตย์ตกดินกันที่วัดอูลูวาตู (Uluwatu) วัดที่อยู่ริมหน้าผาติดทะเล เลยได้คำแนะนำให้ไปกินอาหารทะเลกันแถว Jimbaran โดยทางร้านอาหารจะมีรถมารับถึงโรงแรม ถนนบนเกาะบาหลีมีลักษณะเล็กและแคบ ผู้คนไม่นิยมขับรถเร็ว ถึงแม้จะขับชิดซ้ายเหมือนในเมืองไทย ทำให้รู้สึกว่าโชคดีที่ไม่เช่ารถขับเองเหมือนที่เว็บแนะนำเพราะเส้นทางมีตรอกซอกซอยมากมาย พวกเราจะเสียเวลาเอากับการหลงทางซะมากกว่า จิมบารานจากในแผนที่ที่เป็นชายหาดใกล้กับหาดคูต้า ใช้เวลาเดินทางไปถึงเกือบ 1 ชั่วโมง ร้านอาหารทะเลแถวนั้นบรรยากาศค่อนข้างดี มีอาหารทะเลให้ไปชี้สั่งและปรุงให้คล้ายสะพานปลาเมืองไทย โต๊ะอาหารก็ตั้งอยู่บนชายหาดแถมยังจุดตะเกียงสร้างบรรยากาศ มีวงดนตรีเดินเล่นเพลงให้ฟังตามโต๊ะ ทำเอารู้สึกดีกับบาหลีขึ้นมาอีกไม่น้อย

22 ม.ค. 53
พวกเรานั่งรอที่ล็อบบี้โรงแรมได้พักนึงเพื่อรอห้องว่าง ก็มีพนักงานมาคล้องพวงมาลัยดอกลั่นทมให้จุ๋ยกับพี่ยี้ แล้วก็ผ่านเราไปเฉย ให้มองตาปริบๆ ว่าทำไมตูไม่ได้บ้างเนี่ย ดีที่ยังได้ welcome drink จากพนักงานอีกคนมาดื่ม ไม่งั้นคงเกิดรายการวีนแตก in Bali ขึ้นมา ส่วนคู่ฮันนีมูนที่ได้ดอกลั่นทมหัวเราะกันก๊ากๆ ไม่คิดจะทวงสิทธิให้เพื่อนเลยซักนิด..ชิ
ห้องพักของพวกเราไม่เหมือนห้องที่จองในเนตเพราะมีแค่ 2 เตียง ถึงจะมีเสาเตียงผูกมุ้งอยู่อย่างสวยก็เหอะ รออยู่ตั้งนานไม่มีวี่แววว่าจะมีเตียงเสริมมาเพิ่มให้ซักนิดจนต้องระแวงว่าตกลงเค้านึกว่ามีนักท่องเที่ยวมากัน 2 คนแค่นั้นใช่มั๊ย
พวกเราต้องเดินฝ่าความร้อนจากโรงแรมไปยังจัตุรัส Kuta ที่มีร้านค้ามากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นร้านเสื้อผ้าซะมากกว่า ห้างสรรพสินค้าแถวนั้นคล้ายบ้านเรามาก จะมีที่แปลกก็คือมีสปาปลาตอดอยู่ด้านหน้าห้าง
ยังเหลือเวลาอีกนานกว่าจะมืด แต่ก็ไม่พอที่เราจะไปดูพระอาทิตย์ตกดินกันที่วัดอูลูวาตู (Uluwatu) วัดที่อยู่ริมหน้าผาติดทะเล เลยได้คำแนะนำให้ไปกินอาหารทะเลกันแถว Jimbaran โดยทางร้านอาหารจะมีรถมารับถึงโรงแรม ถนนบนเกาะบาหลีมีลักษณะเล็กและแคบ ผู้คนไม่นิยมขับรถเร็ว ถึงแม้จะขับชิดซ้ายเหมือนในเมืองไทย ทำให้รู้สึกว่าโชคดีที่ไม่เช่ารถขับเองเหมือนที่เว็บแนะนำเพราะเส้นทางมีตรอกซอกซอยมากมาย พวกเราจะเสียเวลาเอากับการหลงทางซะมากกว่า จิมบารานจากในแผนที่ที่เป็นชายหาดใกล้กับหาดคูต้า ใช้เวลาเดินทางไปถึงเกือบ 1 ชั่วโมง ร้านอาหารทะเลแถวนั้นบรรยากาศค่อนข้างดี มีอาหารทะเลให้ไปชี้สั่งและปรุงให้คล้ายสะพานปลาเมืองไทย โต๊ะอาหารก็ตั้งอยู่บนชายหาดแถมยังจุดตะเกียงสร้างบรรยากาศ มีวงดนตรีเดินเล่นเพลงให้ฟังตามโต๊ะ ทำเอารู้สึกดีกับบาหลีขึ้นมาอีกไม่น้อย
22 ม.ค. 53
เช้านี้ตื่นขึ้นมาด้วยความแตกตื่น เมื่อมองเห็นฟ้าสว่างโร่ให้นึกได้ว่าลืมปรับเวลามือถือที่ใช้ปลุกให้เร็วขึ้นอีก 1 ชั่วโมงตามเวลาบาหลี อากาศเย็นสบายเพราะมีฝนตกเมื่อคืนทำเอานอนหลับสนิทไม่ยอมตื่น แต่ในที่สุดเราก็โวยวายปลุกเพื่อนอีก 2 คนให้รีบลุกตามจนได้ เพราะนัดแท็กซี่ไว้ 8.00 น. จุ๋ยให้พี่ยี้โทรไปที่ล็อบบี้เพื่อเลื่อนนัดแท็กซี่เป็น 9.00 น. ปรากฏว่าประชาสัมพันธ์คนเก่าจะมาทำงานตอนบ่าย เลยไม่มีใครรู้ว่าพวกเรานัดรถไว้ แต่ประชาสัมพันธ์ก็โทรกลับมาบอกอีกครั้งว่าถ้าพวกเราจะไปดูโชว์บารอง (Barong dance) ที่เริ่ม 9.00 น. ก็จำเป็นต้องออกเวลาเดิม แต่พวกเราก็ทันจนได้แบบต้องกินอาหารเช้ากันอย่างเร่งรีบ
คนขับแท็กซี่ที่มารับเราค่อนข้างอารมณ์ดี ชวนคุยกันอย่างเป็นกันเอง แถมยังสารภาพว่างงกับกลุ่มพวกเราเหมือนกัน คนนึงก็เหมือนสิงคโปร์ คนนึงก็เหมือนเกาหลี อีกคนเป็นคนพื้นเมือง แต่ประชาสัมพันธ์บอกว่าแขกคนไทยจองรถไว้ ทำเอาเดินหาอยู่นานว่าเจ้าไหน พวกเราไปถึงสถานที่โชว์กัน 8.30 น. ทีแรกก็คิดว่าไม่น่ารีบเล้ย แต่ในที่สุดก็รู้ข้อดีว่ามีเวลามาถ่ายรูปกับสถานที่ก่อนการแสดงได้สบายๆ เลยทีเดียว ผิดกับพวกที่มากับทัวร์ บางกลุ่มเข้ามาตอนโชว์เริ่มแล้วถึงครึ่งชั่วโมง
จากนั้นเรานั่งรถยาวไปทางเหนือยังวัดเบซากิห์ (Besakih) ทั้งที่คนขับบอกแล้วว่าไกล แต่พวกเราก็ยังอยากไปดูวัดฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในบาหลี
พวกเราติดฝนกันนานจนต้องเช่าร่มจากร้านค้าที่หลบฝนเพื่อเดินกลับรถ แต่หลังจากเจอเหตุการณ์หลายอย่างทำเอาจำทางกลับไม่ได้ เลยเดินผิดทิศไปกันโข ต้องเดินกลับมาตั้งหลักที่เดิม เด็กหญิงอายุประมาณ 6 – 7 ขวบลูกร้านที่เราเช่าร่มมาเลยต้องเดินขึ้นลงเนินไปกลับตามพวกเราจนเมื่อยไปด้วย คนขับรถบอกพวกเราทีหลังว่านักท่องเที่ยวที่มาเจอแบบนี้ก็พากันบ่นว่าต้องจ่ายเงินหลายทอดกว่าจะขึ้นไปดูวัดได้ทั่ว แต่ก็เอาเถอะ ได้เห็นวัดนิดหน่อย พร้อมทั้งภูเขาไฟอากุง (Agung) ที่ใหญ่ที่สุดในบาหลีด้านหลังวัด แถมเส้นทางที่รถขับมามีต้นไม้ร่มรื่น ก็สวยไปอีกแบบ
รถพาเรามาแวะชมวิวริมทะเลสาบบาตูร์ (Batur) มองเห็นภูเขาไฟบาตูร์อยู่ด้านหลัง จากจุดชมวิวก็มีคนมาขายโปสการ์ด ตัดราคากันไปมาในที่สุดราคาก็ปิดที่ 1,000 รูปี หรือประมาณ 4 บาท พจนารถก็เลยได้โอกาสซื้อมาส่งถึงเพื่อนๆ ที่เมืองไทย เรามาแวะกินอาหารบุพเฟต์สไตล์
หลังจากอิ่มอาหารเที่ยงจนแทบหลับแล้ว คนขับก็พาเรามาแวะร้านกาแฟในไร่ พวกเราเดินๆ ดูกาแฟ และเครื่องหอมที่ขายอยู่ จนคนขับรถบอกว่าไม่ลองชิมกาแฟกันดูเหรอ ทีแรกเราก็งงๆ ว่าซื้อกาแฟ 1 แก้วแล้วจะได้เลือกกาแฟที่จะให้ชิมได้อีก 1 อย่างจาก 5 อย่าง
อูบุดเป็นเมืองที่ให้บรรยากาศคล้ายเชียงใหม่บ้านเรา มีพระราชวังเดิม (Saren Agung หรือ Ubud palace) ที่ตอนนี้ใช้เป็นที่จัดแสดงโชว์ Kecak dance พวกเราเดินเข้าไปถ่ายรูปกันก่อนเวลาแสดงจะเริ่ม (แต่ไม่ได้ดู) จากนั้นเราก็ไปช้อบปิ้งกันแถวนั้นซึ่งเป็นย่านรวมสินค้าพื้นเมือง และของที่ระลึก ทั้งผ้าบาติก เครื่องไม้ เครื่องเงินและอื่นๆ จากข้อมูลที่ได้เขาให้เราต่อราคาได้ถึง 50% แต่พจนารถใช้วิธีประเมินราคาของดูก่อนแล้วค่อยต่อรอง ดังนั้นสินค้าราคา 45 US เลยซื้อมาได้ที่ 5 US ให้ชาวแก็งค์ที่มาด้วยทำตาปริบๆ แบบพร้อมจะโกยทันทีถ้าพ่อค้าแม่ค้าจะรุมตื้บ แต่อย่างไรก็ดีผ้าบาติกที่เป็นสินค้าพื้นเมืองก็ยังมีราคาแพงมากอยู่ดี ตกผืนละ 400 – 600 บาท พวกเราก็เลยได้ของเล็กๆ น้อยๆ และของแต่งบ้านของจุ๋ยไปแทน
กว่าจะกลับถึงโรงแรมก็เกือบ 3 ทุ่ม พวกเราจ่ายค่าแท็กซี่ 600,000 รูปี กับทิปที่เกินเวลามาเป็นทั้งวัน 12 ชั่วโมงและความเป็นกันเองของคนขับอีก 50,000 รูปี จากนั้นก็แยกย้าย โดยวันนี้พวกเรากินอาหารทะเลกันที่ seafood center ใกล้โรงแรมนั่นเอง บรรดาร้านค้าในนี้มีรูปอาหารติดหน้าร้านเต็มไปหมด ถ้ามีแขกหรือคนไทย 3 หน่อนี่เดินเข้าไปก็จะร้องเรียกแย่งลูกค้ากันโกลาหล พวกเราเลือกร้านหนึ่งที่มีรูปอาหารดูน่ากิน เมื่อเลือกร้านแล้วไปนั่งแปะที่โต๊ะส่วนกลางร้านอื่นก็เลิก หันไปเรียกลูกค้าอื่นที่เดินเข้ามาใหม่แทน อาหารราคาไม่แพงเหมือนคืนแรกแต่ก็สดอร่อยใช้ได้ พอท้องอิ่มก็มีแรงไปเดินเตร็ดเตร่กันที่คูต้าสแควร์อีกครั้ง บรรยากาศกลางคืนผิดกับกลางวันลิบลับ เพราะมีแสงไฟและนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด ถึงจะไม่มีบาร์เหมือนพัทยาบ้านเราก็ตาม ส่วนกลางวันวิวทะเลที่ต่างจากเมืองไทยก็คือคลื่นที่ค่อนข้างแรงทำให้นักท่องเที่ยวหรือคนพื้นเมืองเอง นิยมมาเล่นกระดานโต้คลื่น จุ๋ยพาแวะร้านค้าของฮาร์ดร็อคคาเฟ่แล้วก็เสร็จหน่วยส่งเสริมการขายจนได้หมวกแก็ปมาอีกใบ เราแวะกินไอติมกันอีกครั้งก่อนจะเดินกลับ ที่หน้าร้านไอติมมีแผงเพ้นท์รอยสักบนร่างกาย มีฝรั่งมาใช้บริการหลายคนเหมือนกัน ทำเอาฝรั่งในกลุ่มเราชักอยากจะเพ้นท์ขึ้นมาบ้าง เราออกแรงเชียร์แต่ตามองไปทางตู้ไอติมประมาณว่าไปเพ้นท์ก็ได้ แต่ตูจะกินไอติมรออีกถ้วย สุดท้ายมัวแต่ลังเลกันแผงก็เลยเก็บไปซะก่อน
กลับมาถึงห้องแทนที่จะรีบอาบน้ำนอนกันต้องมาแจงงบประมาณประจำวันตามคำสั่งหัวหน้าทริปกันอีก เรารึตั้งใจจะสระผมเพราะเปียกฝนเมื่อกลางวัน อุตส่าห์เสียสละบอกว่าจะอาบน้ำเป็นคนสุดท้ายเพราะใช้เวลานาน เลยได้นอนตี 2 เลย...ฮือ
23 ม.ค. 53
วันนี้ปรับเวลาให้เข้าที่และไม่รีบมากเพราะพวกเราเลื่อนเวลาเป็น 9.00 น. เรากินข้าวเสร็จแล้วแยกไปซื้อแสตมป์และน้ำดื่มที่ซุปเปอร์ข้างโรงแรมก็เจอคนขับรถรออยู่แล้ว ได้แต่บอกให้คอยอีกแป๊บนึงพวกเราคงจะเสร็จทันเวลานัด คนขับยิ้มบอกไม่เป็นไรเขามาก่อนเวลาอยู่แล้ว ไปถึงซุปเปอร์คนขายก็พูดภาษาท้องถิ่นด้วยอีก...หน้าตาบาหลีจริงๆ เลยตู เลยต้องส่งภาษาสากล...ภาษาใบ้ และภาษาอังกฤษแบบกระท่อนกระแท่น ว่าจะเอาแสตมป์ พอคนขายรู้ว่ามาจากเมืองไทย ก็บอกว่าเนี่ยชอบหนังไทยมากเลย เรื่องที่มีช้างและก็ทำท่าต่อยคนขายอีกคน เราก็เลยถึงบางอ้อ บอกว่า จา พนม...ถูก ถูก ถูกต้องนะคร๊าบ (ว่าแต่ชื่อเรื่องมันเรื่องอะไรเนี่ย..ไม่เคยดูกะเขา และถ้าใบ้ว่าช้างอย่างเดียวจะบอกว่า “ก้านกล้วย” หรือถ้าใบ้ชกอย่างเดียว พจนารถก็จะบอกว่า “เฉินหลง”) พวกนั้นยิ้มแป้นดีใจกันใหญ่..ที่ไม่ต้องเมื่อยมือมากกว่านี้ ถ้าภาษาเก่งล่ะก็เราคงจะโม้ว่าร่วมแสดงเรื่องนี้เหมือนกัน...เป็นช้างอ่ะ
รถวิ่งทางไกลกันอีกครั้งจนจุ๋ยและพี่ยี้หลับ เราก็เริ่มๆ จะหลับบ้างเหมือนกัน แต่ก็กลัวว่าคนขับจะหลับมั่ง เลยต้องชวนคุย (แบบงูๆ ปลาๆ เหมือนเคย) ถึงว่าที่เขาดูอารมณ์ดีและยิ้มแย้มอยู่ตลอด แถมยังชอบเล่าเรื่องพระเจ้าและศาสนา เพราะเค้ามักจะบอกว่าทำความดีเวลาตายไปก็จะได้อยู่ใกล้พระเจ้า แต่เราฟังแล้วจะยิ่งพากันหลับมากกว่าเลยชวนคุยเรื่องอื่นๆ แทน จุ๋ยที่คงตื่นมาตอนหลังยังมาแซวว่าพจนารถพูดภาษาอังกฤษจ้อ (หนอย..เราอุตส่าห์ชวนคุยไม่ให้คนขับง่วงยังจะมาแกล้งหลับต่ออีก) จากนั้นเราไปรอพระอาทิตย์ตกดินกันที่วัดทานาล๊อต (Tanah Lot) ทีแรกก็คิดว่าจะรีบมาทำมั๊ย เหลือเวลาอีกตั้งนานกว่าพระอาทิตย์จะตก แต่พอมาเห็นร้านขายของที่ระลึกเต็ม 2 ข้างทางแล้วก็เปลี่ยนใจ ระหว่างที่เดินเข้าร้านโน้นออกร้านนี้ พี่ยี้ก็ไปให้เพ้นท์รอยสักรอบต้นแขนเป็นสาวมั่น แต่ยังไงก็ตามเราก็ยังไปนั่งรอท่ามกลางผู้คนล้านแปดเพื่อดูพระอาทิตย์ตก น่าเสียดายที่ในฤดูนี้ ดวงอาทิตย์ตกทำมุมห่างจากวัดพอสมควร ภาพที่พวกเราได้เลยไม่มีทั้งวัดและพระอาทิตย์ตกอยู่ในเฟรมเดียวกันเหมือนในโปสการ์ด
ทานาล๊อต แปลว่า ดินแดนแห่งท้องทะเล เป็นวัดที่สร้างบนแท่นหิน แต่ถูกน้ำทะเลกัดเซาะจนดูเหมือนแยกออกไปอยู่ในทะเล เวลาน้ำลงสามารถเดินข้ามไปที่ตัววัดได้ ส่วนที่เป็นจุดเด่นคือเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตก เมื่อแสงอาทิตย์ยามลับฟ้าทาบกับแผ่นน้ำสะท้อนเป็นสีทองกระจ่างตา เสริมความงามให้กับวัดที่เหมือนจะผุดขึ้นมากลางน้ำ (ว่าเข้าไปนั่น) แต่พอพระอาทิตย์ตกให้ถ่ายรูปกันจุใจแล้วนักท่องเที่ยวก็พากันเดินกลับ ปล่อยให้กลับเป็นสถานที่สงบสุขท่ามกลางเสียงคลื่นอีกครั้ง
เรากลับไปซื้อของที่ระลึกตอนเริ่มมืดกันอีก ผู้คนเริ่มบางตาและอากาศไม่ร้อนเหมือนทีแรก แต่ก็ชักจะอ่อนเพลียจนต่อราคาแทบไม่ออก ขากลับเราผ่านนาขั้นบันไดสวยๆ อีกหลายที่ แต่แสงตะวันที่ลับฟ้าไปนานแล้วทำให้ได้แต่เก็บภาพไว้ในความทรงจำ ก่อนถึงโรงแรมคุณ Ketut (กะตุ๊ด..ชื่อหรือนี่ แปลว่าลูกชายคนที่ 4) คนขับรถของพวกเรายังถามถึงการเดินทางกลับของพวกเราในวันพรุ่งนี้ แถมยังอาสามารับไปสนามบิน ซึ่งพวกเราก็ยินดีจะใช้บริการของเขาก่อนกลับ
24 ม.ค. 53
เช้านี้เราตื่นกันแบบสบายๆ เก็บรูปบรรยากาศที่พักต่ออีกนิดหน่อย พี่ยี้ยังใช้สิทธินวด 15 นาทีที่โรงแรมแถมให้ก่อนกลับ ส่วนเราเปิดแพคสตอเบอร์รี่ที่ซื้อมาตั้งแต่เมื่อวานปรากฏว่านอกจากราขาวจะกินไปบางลูกแล้วยังมีลูกที่ช้ำจนกินไม่ได้ มีเหลือดีให้เรากินแกล้มกับช็อคโกแลตเละๆ อยู่แค่ครึ่งเดียว พวกเราต้องเก็บเงินรูปีติดตัวอีกคนละ 150,000 เพื่อเป็นค่าภาษีสนามบิน คุณกะตุ๊ดมารับไวเหมือนเดิม งวดนี้จุ๋ยมีแจกยาหอมว่าเพื่อนสนใจจะมาบาหลีคราวหน้า แล้วจะแนะนำให้มาใช้บริการ ทำเอาคนขับของเรายิ้มแป้น